บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม13%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 339928 / ดาวน์โหลด: 4959
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

ความหมายของวิธีการแรกคือ มนุษย์ใช้เหตุผลตามหลักการและกฏต่างๆ ของตรรก และปรัชญาในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า และการมีอยู่ของคุณลักษณะและการกระทำของพระองค์ ส่วนในวิธีการที่สองคือ การรู้จักพระเจ้าโดยผ่านการปฏิบัติ ซึ่งเกิดจากการขัดเกลาจิตวิญญาณของมนุษย์และการยกระดับจิตใจให้สูงส่ง  จนสามารถมองเห็นพระองค์และคุณลักษณะอันสวยงามทั้งหลายของพระองค์ได้ด้วยตาแห่งปัญญา

การจัดแบ่งการรู้จักพระเจ้าอีกระบบหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางหลักของการรู้จักอันประกอบด้วย แนวทางของสติปัญญา วิทยาศาสตร์ และแนวทางของจิต

๑. สติปัญญา เป็นวิธีการที่มนุษย์ใช้เหตุผลตามหลักการและกฎต่างๆ ของตรรก และปรัชญาในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า และคุณลักษณะของพระองค์

๒.วิทยาศาสตร์และการทดลอง ในบางครั้ง มนุษย์มิได้ใช้เหตุผลของปรัชญาหรือกฏต่างๆ ของตรรกศาสตร์ แต่เขาได้รับเหตุผลต่างๆในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าด้วยกับการสังเกตุในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในโลกและในตัวของมนุษย์ ทำให้เขารู้ว่าในโลกนี้มีพระเจ้าอยู่จริง วิธีการนี้จึงถูกเรียกว่า “เหตุผลทางประสบการณ์นิยม”

เหตุผลทฤษฎีที่ว่าด้วยกฏและระเบียบของโลก ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลดังกล่าวซึ่งเกิดจากการสังเกตุการเปลี่ยนแปลงของโลก การใช้กฏของตรรกศาสตร์ และปรัชญามาอ้างเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น

๒๑

๓.จิตหรือญาณวิสัย หมายถึง บางครั้ง การรู้จักพระเจ้าไม่ต้องการเหตุผลที่สลับซับซ้อนของปรัชญาหรือวิทยาศาสตร์ ประสบการณ์นิยม แต่การรู้จักพระเจ้าอาจเกิดจากภายในส่วนลึกของมนุษย์หรือด้วยกับญาณวิสัย โดยผ่านการฝึกฝนและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในคำสอนของศาสนา จนสามารถมองเห็นพระเจ้าได้ด้วยตาแห่งปัญญา ซึ่งวิธีการนี้จะเกิดเฉพาะเจาะจงกับกลุ่มชนบางกลุ่มเท่านั้น และในอิสลามก็ให้การยอมรับพวกเขาและเรียกพวกเขาว่า นักรหัสยวิทยา (อาริฟ)

   วิธีการทั่วไป และวิธีการโดยเฉพาะ

   วิธีการรู้จักพระเจ้ามีอีก ๒  วิธีการ ดังนี้

 ๑.วิธีการทั่วไป

 ๒.วิธีการอันเฉพาะเจาะจง

   ความหมายของวิธีการทั่วไป หมายถึง วิธีการที่มนุษย์ทุกคนสามารถใช้ได้ โดยไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่ว่าจะเป็นวิชาการใดหรือวัฒนธรรมใดก็ตาม

   ส่วนวิธีการโดยเฉพาะเจาะจงนั่นหมายถึง วิธีการที่ต้องใช้เหตุผลทางวิชาการที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้ เป็นวิธีการที่มีความยากลำบากต่อการสร้างความเข้าใจ ทั้งเหตุผลที่ซับซ้อนทางปรัชญาและตรรกศาสตร์ หรือแม้แต่เหตุผลที่ง่ายต่อการเข้าใจ เช่น ทฤษฎีที่ว่าด้วยกฏและระเบียบของโลก

ในที่นี้ จะขออธิบายถึงการรู้จักพระเจ้าโดยวิธีการฟิฏรัต (สัญชาตญาณดั้งเดิม) หลังจากนั้น จะกล่าวถึงทฤษฎีที่ว่าด้วยกฎและระเบียบของโลก

๒๒

 ส่วนในตอนท้ายจะกล่าวถึงเหตุผลทางสติปัญญา

   ศัพท์วิชาการท้ายบทที่ ๑

การสกัดกั้นอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้   : Removing harm

การสำนึกในบุญคุณต่อผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพ (ผู้มีบุญคุณ)

: Thanks giving                                            

การแสวงหาและการรู้จักพระเจ้า      :  Theist

วิธีการทางสติปัญญา         : Reason

วิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือประสบการณ์นิยม    : Experience

วิธีการทางจิตหรือญาณวิสัย     : Intuition

๒๓

   สรุปสาระสำคัญ

๑.เรื่องของการรู้จักพระเจ้า นอกจากจะมีความสำคัญต่อมนุษย์ในด้านทฤษฎีทางความคิดแล้ว ยังมีผลต่อการปฏิบัติทางด้านการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ดังนั้น ความเชื่อในพระเจ้าและคุณลักษณะของพระองค์ ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้จะมีผลโดยตรงต่อการปฏิบัติของมนุษย์

๒.การรู้จักพระเจ้า  ไม่ใช่ว่ามีความสำคัญกับมนุษย์เท่านั้น หากยังเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์อีกด้วย เพราะว่าพวกเขามีความต้องการที่จะรู้จักพระเจ้าให้ได้มากเท่าที่จะทำได้ โดยเหตุผลทางสติปัญญาคือ ให้มนุษย์หลีกออกห่างจากภยันตรายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และการรู้สำนึกในบุญคุณต่อผู้ที่ประทานปัจจัยยังชีพให้เขา

๓.การรู้จักพระเจ้า มีด้วยกัน ๓ ระดับขั้น

(๑).การรู้จักอาตมันของพระเจ้า หมายถึง การรู้จักระดับนี้ทั้งมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายไร้ความสามารถในการที่จะรู้จักในแก่นแท้แห่งอาตมันของพระองค์

(๒).การรู้จักว่า พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่

(๓).การรู้จักในคุณลักษณะ และการกระทำของพระเจ้า

การรู้จักในระดับที่สอง และสามนั้น มีความเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ที่จะรู้จักพระเจ้าจากระดับขั้นเหล่านี้

การรู้จักระดับขั้นที่สอง เป็นมูลเหตุสำคัญทำให้มนุษย์แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม

(๑). มนุษย์กลุ่มที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า

(๒).มนุษย์กลุ่มที่มีความสงสัยในการมีอยู่ของพระเจ้า

(๓).มนุษย์กลุ่มที่มีความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า

๒๔

การให้ทัศนะที่แตกต่างกันทางคุณลักษณะ และการกระทำของพระเจ้า เป็นสาเหตุทำให้เกิดสำนักคิดต่างๆ ในเทววิทยาอิสลาม และเป็นยังสาเหตุทำให้มีความแตกต่างในระหว่างศาสนาทั้งหลายด้วย

๔.แม้ว่า วิธีการรู้จักพระเจ้ามีมากมายก็ตาม  มนุษย์ทุกคนต่างมีวิธีการรู้จักพระเจ้าเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถแบ่งวิธีการเหล่านั้นได้เป็น ๓ ประเภท ได้แก่

(๑).วิธีการทางสติปัญญา

(๒).วิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือเหตุผลประสบการณ์นิยม

(๓).วิธีการทางจิตหรือญาณวิสัย

๕.นอกเหนือจากวิธีการทั้งสามแล้ว ยังมีวิธีการรู้จักพระเจ้า อีก สอง วิธีการ ดังนี้

(๑).วิธีการทั่วไป เป็นวิธีการของมนุษย์ทุกคนในการรู้จักถึงพระเจ้า

(๒).วิธีการโดยเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นวิธีการของมนุษย์บางกลุ่มโดยอาศัยการอ้างอิงเหตุผลทางวิชาการต่างๆในการรู้จักพระเจ้า

๒๕

   บทที่ ๒

   วิธีการฟิฏรัต(สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์)

   บทนำเบื้องต้น

   ได้กล่าวแล้วว่าวิธีการการรู้จักพระเจ้านั้นมีหลายวิธี  ตลอดจนวิธีการทางญาณวิสัย นอกจากนั้นแล้วยังมีวิธีการฟิฏรัต (สัญชาตญาณดั้งเดิม) ซึ่งหมายถึง การรู้จักพระเจ้าผ่านทางจิตใต้สำนึกของมนุษย์ หรือที่เรียกกันว่า สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั่นเอง วิธีการนี้เป็นขั้นตอนทั่วไปสำหรับการรู้จักพระเจ้า นอกเหนือจากวิธีการฟิฎรัตแล้ว ยังมีวิธีการในระดับสูงสุดอีกวิธีหนึ่งนั่นคือ วิธีการจาริกทางจิตวิญญาณของนักรหัสยวิทยา (อาริฟ) หมายถึง การรู้จักพระเจ้าโดยผ่านการอิบาดะฮ (การฝึกฝนและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในคำสอนของศาสนา) และการขัดเกลาจิตวิญญาณ จนสามารถมองเห็นคุณลักษณะอันสวยงามทั้งหลาย (ซิฟะตุลญะมาลียะฮฺ) และคุณลักษณะอันสูงส่งของพระองค์ (ซิฟะตุลญะลาลียะฮฺ) ได้ด้วยตาแห่งปัญญา มิใช่ตาเนื้อ 

อันดับแรกจะอธิบายความหมายของคำว่า ฟิฏรัต ในด้านภาษา ก่อน หลังจากนั้นจะอธิบายเหตุผลของวิธีการฟิฏรัต ต่อไป

๒๖

   ฟิฏรัต ความหมายด้านภาษา และเชิงวิชาการ

    คำว่า “ฟิฏรัต” ในภาษาอาหรับมาจากรากศัพท์คำว่า ฟิฏร์ แปลว่า การแยกออกของสิ่งหนึ่งตามด้านยาว

นักอักษรศาสตร์ได้ให้ความหมายคำว่า ฟิฏรัต ว่า การแยกออกหรือการแตกออกของๆ สิ่งหนึ่ง ดังนั้น การสร้างของพระเจ้าก็เปรียบเสมือนกับการแยก หรือการแตกออกจากการที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยเหตุนี้ คำว่า ฟิฏรัต จึงหมายถึง การสร้างหรือการบันดาล กล่าวคือ การเกิดขึ้นของการกระทำหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ฟิฏรัต อันเป็นรูปแบบหนึ่งของการสร้างสรรค์โดยเฉพาะ

อัล กุรอาน กล่าวว่า

 “ดังนั้น เจ้าจงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาที่เที่ยงแท้ ฟิตรัตของอัลลอฮ์ คือการสร้างมนุษย์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างของพระองค์” (บทอัรรูม โองการที่ ๓๐)

อิสลามเชื่อว่า พระเจ้าทรงแนะนำพระองค์ให้มนุษย์รู้จักก่อนที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมา ซึ่งจะอธิบายรายละเอียดความเชื่อนี้ต่อไป

ส่วนความเชื่อที่ว่า การมีอยู่ของพระเจ้าเป็น ฟิฎรัต (สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์) นั้นเป็นจริงหรือไม่ ?

๒๗

   การอธิบายความหมายของการมีอยู่ของพระเจ้าเป็น ฟิฏรัต

   กล่าวได้ว่า หลังจากที่ได้อธิบายความหมายของคำว่า ฟิฏรัตไปแล้ว สิ่งจำเป็นที่จะต้องอธิบายต่อไปคือ ความหมายของประโยค การมีอยู่ของพระเจ้าเป็น ฟิฏรัต (สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์) โดยเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั้น หมายความว่าอย่างไร?

สำหรับคำตอบ  บรรดานักวิชาการได้ให้ทัศนะไว้ต่างๆมากมาย ซึ่งจะขออธิบายเฉพาะในทัศนะที่สำคัญเท่านั้น ซึ่งมีดังนี้

๑.ทัศนะที่กล่าวว่า  “ประโยคพระเจ้ามีอยู่จริง เป็นประโยคตรรกเบื้องต้น และประโยคการมีอยู่ของพระเจ้า เป็นฟิฏรัต(สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ก็เป็นประโยคตรรกะเบื้องต้นเช่นกัน”

 เป็นที่ทราบกันดีว่า นักตรรกศาสตร์อิสลามได้อธิบายไว้ว่า ประโยคตรรกหรือประพจน์ ถูกแบ่งออกได้หลายประเภทด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ ประโยคตรรกเบื้องต้นหมายถึง ประโยคที่ประกอบด้วยประธานและผลลัพท์ รวมทั้งตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เช่น ประโยค มนุษย์เป็นสัตว์ที่พูดได้ (มนุษย์ คือ ประธานของประโยค สัตว์พูดได้ คือ ผลลัพท์ และคำว่า เป็น คือ ตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประธานและผลลัพท์) ดังนั้น ตามทัศนะนี้ ประโยค การมีอยู่ของพระเจ้าเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิม จึงเป็นประโยคตรรกเบื้องต้น

๒.ทัศนะที่กล่าวว่า “ประโยคที่กล่าวว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นประโยคตรรกฟิฏรีย์ (ประโยคตรรกประเภทหนึ่ง)”

๒๘

นักตรรกศาสตร์อิสลามกล่าวว่า ประโยคตรรกฟิฏรีย์ หมายถึง ประโยคตรรกะประเภทหนึ่งที่ต้องการเหตุผลเพื่อยืนยันถึงการเกิดขึ้นของประโยคนั้น แต่เนื่องจากความชัดเจนของประโยคจึงไม่ต้องหาเหตุผลมายืนยัน และในเวลาที่กล่าวประโยคนั้นออกมา เหตุผลของมันได้เกิดขึ้นโดยฉับพลัน เหมือนกับประโยคในคณิตศาสตร์ที่กล่าวว่า เลขสองเป็นครึ่งหนึ่งของเลขสี่ ซึ่งถือว่าเป็นประโยคตรรกฟิฏรีย์ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ตามทัศนะนี้ ความหมายของความเชื่อที่ว่า การมีอยู่ของพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ก็คือ เมื่อได้กล่าวประโยคนี้ออกไป เหตุผลของมันได้เกิดขึ้นทันทีทันใดในสติปัญญาของมนุษย์ และไม่ต้องหาเหตุผลใดมายืนยันเลย ดังนั้นกฏตรรกนี้ยังสามารถใช้กับข้อพิสูจน์ในเหตุผลของการมีความต้องการของสิ่งที่ต้องพึ่งพา (มุมกินุลวุญูด) ยังสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ (วาญิบุลวุญูด) ได้อีกด้วย

๓.ทัศนะที่กล่าวว่า พระเจ้าได้ทรงแนะนำตนเองให้มนุษย์รู้จักพระองค์ก่อนที่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมาบนโลกนี้

คำอธิบาย

 

ทัศนะนี้ บ่งบอกถึง ความเชื่อที่กล่าวว่า พระเจ้ามีอยู่จริงเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั้น มีมาก่อนการถือกำเนิดของเขาในโลกแห่งธรรมชาติ ในอีกโลกหนึ่ง ณ ที่แห่งนั้น พระเจ้าทรงแสดงตนเองให้มนุษย์รู้จัก ด้วยกับคุณลักษณะทั้งหลายที่สวยงามของพระองค์ (ซิฟัตญะมาลียะฮ์) แล้วมนุษย์ทั้งหลายต่างก็ยอมรับในความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์

๒๙

 แต่ทว่าหลังจากที่มนุษย์มาสู่โลกแห่งวัตถุ กลับหลงลืมต่อการรู้จักอันนั้น แต่ในความเป็นจริง แก่นแท้แห่งการรู้จักพระเจ้านั้น ยังอยู่ในสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขา ตลอดเวลาและตลอดไป

นักวิชาการที่ยอมรับในทัศนะนี้ ได้กล่าวอ้างหลักฐานจาก อัล กุรอาน และวจนะต่างๆมากมาย

โองการที่สำคัญของอัล กุรอาน คือ โองการที่เรียกว่า พันธสัญญา   ซึ่งมีดังนี้

“และจงรำลึกเถิดว่า ในขณะที่พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ดลบันดาลให้เผ่าพันธ์ของอาดัม ออกมาจากไขสันหลังของพวกเขาและให้พวกเขายืนยันแก่ตัวของเขาเอง (โดยตอบคำถามที่ว่า) ข้ามิใช่พระเจ้าของพวกเจ้าดอกหรือ? พวกเขากล่าวว่าใช่แล้ว พวกเราขอยืนยัน เพื่อป้องกัน พวกเจ้ากล่าวในวันกิยามะฮ์ (วันแห่งการตัดสิน) ว่า แท้จริงพวกเราไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”(บทอัลอะอ์รอฟ โองการที่ ๑๗๒)

๔.ทัศนะที่กล่าวว่า “มนุษย์รู้จักพระเจ้าได้ด้วยกับการรับรู้โดยตรง (อิลม์ ฮุฎูรีย์)”

คำอธิบาย

ทัศนะนี้ มีความเห็นว่า การรู้จักพระเจ้าเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ที่เกิดจากการรับรู้โดยตรง ก็เพราะว่าพระเจ้า คือ ผู้สร้างเขานั่นเอง

การอธิบายในทัศนะนี้มีดังนี้

การรับรู้ของมนุษย์สามารถที่จะแบ่งได้เป็น สองประเภทคือ

๑.การรับรู้โดยตรง หมายถึง การรับรู้โดยปราศจากสื่อของคำและความหมาย

๒.การรับรู้โดยผ่านสื่อ หมายถึง การรับรู้ที่เกิดขึ้นจากการให้ความหมายและการสร้างมโนภาพ

กล่าวได้ว่า การรับรู้โดยตรง มิได้เกิดขึ้นจากการสร้างมโนภาพและการให้ความหมาย แต่เป็นการเกิดขึ้นของสิ่งที่ถูกรับรู้(มะอ์ลูม) ในตัวของผู้รู้ (อาลิม) เช่น ความรู้สึกหิว หรือความเจ็บปวด ส่วนความแตกต่างระหว่างการรับรู้ทั้งสองประเภทก็คือ การรับรู้โดยผ่านสื่อ คาดว่าจะเกิดความผิดพลาดได้ แต่การรับรู้โดยตรง ไม่มีความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในการรับรู้นี้ได้

 ทัศนะที่บ่งบอกถึงความเชื่อที่ว่า พระเจ้ามีอยู่จริงเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั้น เกิดขึ้นจากการรับรู้โดยตรง มิใช่เกิดจากการรับรู้โดยผ่านสื่อ หรือการสร้างมโนภาพ และการให้เหตุผล ดังนั้น การรู้จักพระเจ้า ก็คือ การรู้จักในตัวตนของมนุษย์นั่นเอง

คำอธิบายทั้งหลายในความเชื่อที่ว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั้น มีความแตกต่างกัน แต่มีความเชื่อที่เหมือนกันว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เกิดจากสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และโดยที่ไม่ต้องหาเหตุผลใดมายืนยันในประโยคนี้

ด้วยเหตุนี้ อัล กุรอานได้กล่าวว่า การมีอยู่ของพระเจ้า เป็นสิ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ แต่การที่จะรู้จักพระองค์นั้น ต้องรู้จักจากคุณลักษณะและการกระทำของพระองค์เท่านั้น

ในตอนท้ายสามารถสรุปได้ว่า

๑.การมีความเชื่อว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ จากคำอธิบายทั้งหลายนั้น มิได้หมายความว่า  มนุษย์ทุกคนมีความเชื่อว่า พระเจ้ามีอยู่จริง และไม่มีผู้ใดที่ปฏิเสธหรือสงสัยในการมีอยู่ของพระองค์

๓๐

และเป็นที่ทราบกันดีว่า ในกลุ่มชนบางกลุ่ม ปฏิเสธในสิ่งที่ชัดเจนที่สุด หรือมีความสงสัยในสิ่งนั้น เช่น การสงสัยการมีอยู่ของพระเจ้า ดังนั้น การยอมรับคำอธิบายในทัศนะที่หนึ่งและที่สองมิได้ขัดแย้งกับการมีอยู่ของกลุ่มชนที่สงสัยในการมีอยู่ของพระเจ้า (พวกชักกากีน) และกลุ่มชนที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระองค์ (พวกมุลฮิดีน) และจากคำอธิบายในทัศนะที่สามและที่สี่ แม้ว่า มนุษย์ได้รู้จักพระเจ้าด้วยกับการรับรู้โดยตรงจากสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขา แต่เนื่องด้วยการที่เขานั้นหลงใหลในสีสันที่สวยงามของโลกแห่งวัตถุ ทำให้เขาหลงลืมการรู้จักอันนั้น ดั่งเช่น ผู้ป่วยที่บาดเจ็บสาหัส ในขณะที่เขาได้รับข่าวดี เขากลับดีใจมากจนลืมนึกถึงความเจ็บปวดของเขาไปชั่วระยะหนึ่ง และเช่นกัน เมื่อมนุษย์ได้ประสบกับอุปสรรคปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ เมื่อนั้นเขาจะร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระผู้ทรงเดชานุภาพเหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะฉะนั้น การมีอยู่ของพวกที่สงสัยและปฏิเสธก็มิได้ขัดแย้งกับความเชื่อว่า พระเจ้ามีอยู่จริงนั้น เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์

๒.ได้อธิบายไปแล้วว่า ความเชื่อที่ว่า พระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และเนื่องจากการหลงใหลของมนุษย์ในโลกแห่งวัตถุ ทำให้เขาไม่รู้จักพระองค์ และเป็นม่านปิดกั้นเขาต่อการรู้จักถึงพระองค์ สาเหตุที่ทำให้มนุษย์ตื่นขึ้นและเปิดม่านสู่การรู้จักพระองค์ได้นั้น มีหลายเหตุผลด้วยกัน เหตุผลหนึ่ง คือ การใช้เหตุผลทางวิชาการมายืนยันต่อการรู้จักพระเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตาม และหนึ่งในเหตุผลทั้งหลายที่ทำให้มนุษย์ตื่นขึ้น คือ การใช้เหตุผลทางสติปัญญา ดังนั้น การมีความเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ จากการยืนยันของเหตุผลทางสติปัญญา มิได้หมายความว่า เหตุผลนั้นไม่มีประโยชน์และไม่ถูกต้อง แต่การให้เหตุผลนี้ เพื่อที่จะทำให้มีความเข้าใจในการรู้จักพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น

๓๑

   การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ในทัศนะของอัล กุรอาน

     อัล กุรอานได้ให้ความสำคัญในเรื่องการรู้จักพระเจ้า เป็นอย่างมาก โดยมีโองการทั้งหลายที่ได้กล่าวถึง การมีอยู่ของพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และในวจนะที่มีอยู่มากมายก็ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยเช่นเดียวกัน บางโองการได้กล่าวว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ตรงกันกับความเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ดั่งในโองการนี้

           

 “ดังนั้น เจ้าจงหันหน้ามาสู่ศาสนาอันเที่ยงตรงเถิด เป็นสัญชาตญาณของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ทรงบันดาลมนุษย์มาบนนั้น” (บทอัรรูม โองการที่ ๓๐)

 

คำอธิบาย

จากโองการนี้ แม้ว่าได้กล่าวถึง ศาสนาของพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ แต่ยังสามารถกล่าวได้อีกว่า ความเชื่อว่า พระเจ้ามีอยู่ ก็เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขาด้วยเช่นกัน เพราะว่า ความเชื่อในศาสนานั้น เกิดขึ้นจากคำสอนของบรรดาศาสดา รวมถึงความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าด้วย และหากว่า การมีความเชื่อในศาสนา หมายถึง การยอมรับและการเคารพภักดีต่อพระเจ้า ดังนั้น  การเคารพภักดีต่อพระองค์ จึงเกิดขึ้นจากการมีความเชื่อว่าพระองค์มีอยู่จริงอย่างแน่นอน

และอีกโองการหนึ่งที่กล่าวถึง การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ คือ โองการที่เรียกกันว่า “พันธสัญญา”

อัลกุรอานกล่าวว่า

“และจงรำลึกเถิดว่า ในขณะที่พระผู้อภิบาลของเจ้าได้ดลบันดาลให้เผ่าพันธ์ของอาดัม ออกมาจากไขสันหลังของพวกเขาและให้พวกเขายืนยันแก่ตัวของเขาเอง (โดยตอบคำถามที่ว่า) ข้ามิใช่พระเจ้าของพวกเจ้าดอกหรือ? พวกเขากล่าวว่าใช่แล้ว พวกเราขอยืนยัน เพื่อป้องกัน พวกเจ้ากล่าวในวันกิยามะฮ์(วันแห่งการตัดสิน)ว่า แท้จริงพวกเราไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”

(บทอัลอะอฺรอฟ โองการที่๑๗๒)

คำอธิบาย

โองการนี้ มีความหมายที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนมากในการเข้าใจและการตีความ ด้วยเหตุนี้ บรรดานักอรรถาธิบายอัล กุรอานได้ให้ทัศนะที่แตกต่างกัน แม้ว่าบางคนกล่าวว่า โองการนี้เป็นโองการที่คลุมเครือ(มุตะชาบิฮ์)  แต่สิ่งหนึ่งที่ได้รับจากโองการนี้ ก็คือ พระเจ้าได้ทรงแนะนำตนเองให้มนุษย์รู้จักถึงความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ก่อนการสร้างมนุษย์ขึ้นมา อีกทั้งยังให้มนุษย์มีความเชื่อต่อพระองค์ ตั้งแต่วันที่เขามาจุติยังโลกจนถึงวันแห่งการตัดสิน เพื่อที่จะทำให้เหล่าผู้ปฏิเสธได้สำนึกในวันแห่งการตัดสินว่า มีพระเจ้าอยู่จริง อย่างไรก็ตาม การยอมรับความเชื่อที่กล่าวว่า การมีอยู่ของพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ บรรดานักอรรถาธิบายอัล กุรอานได้ยกโองการนี้ เป็นหลักฐานเพื่อยืนยันว่า พระเจ้าได้ทรงแนะนำตนเองให้มนุษย์รู้จักในความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ก่อนการสร้างมนุษย์ และบางคนได้อธิบายว่า มนุษย์รู้จักถึงพระเจ้าด้วยตัวของเขาเองจากการรับรู้โดยตรงที่ปราศจากความผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น

และเช่นเดียวกัน ยังมีโองการจากอัล กุรอานอีกมากมายที่ยืนยันถึงประเด็นดังกล่าว เช่น โองการที่ได้กล่าวถึง การรำลึกถึงพระเจ้า ในขณะที่มนุษย์ประสบกับปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ โดยพวกเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์

อัล กุรอานกล่าวว่า

 “ดังนั้นครั้นเมื่อพวกเขา(มนุษย์ทั้งหลาย)ได้โดยสารเรือ พวกเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า(อัลลอฮ์) อย่างบริสุทธิ์ใจต่อศาสนาของพวกเขา แล้วเมื่อพวกเขาได้รับความปลอดภัยจากภยันอันตราย พวกเขาก็ตั้งภาคีต่อพระองค์”

 (บทอัลอังกะบูต โองการที่๖๕ ,บทลุกมาน โองการที่ ๓๓ บทอัลนะห์ล์ โองการที่ ๕๒)

โองการเหล่านี้บ่งบอกถึงการยอมรับว่า การรู้จักพระเจ้านั้น เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์

๓๒

   การรู้จักพระเจ้า  เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ในทัศนะของวจนะ

   มีวจนะต่างๆมากมายที่ได้กล่าวถึงการรู้จักพระเจ้าว่า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ แต่ในการอธิบายความหมายของสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์นั้น เห็นได้ว่ามีความแตกต่างกัน โดยบางวจนะได้กล่าวว่า รากฐานของศาสนาอิสลาม เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และอีกวจนะหนึ่งกล่าวว่า รากฐานของหลักศรัทธาของอิสลาม เช่น เตาฮีด

(ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า), นะบูวะฮ์(สภาวะการเป็นศาสดา), อิมามะฮ์(สภาวะการเป็นผู้นำสืบทอดจากศาสดามุฮัมมัด) ทั้งหมดนั้น เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และในท้ายที่สุด การรู้จักพระเจ้า ก็ถือว่า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ด้วยเช่นกัน 

เช่น การรายงานของสาวกคนหนึ่งของท่านอิมามมุฮัมมัด บากิร (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน)

 เขาได้ถามท่านอิมามเกี่ยวกับการอรรถาธิบายในโองการอัล กุรอาน บทที่ ๒๒ โองการที่ ๓๑ ถึง

คำว่า ฮุนะฟาอฺ ในโองการนี้ นั้นมีความหมายว่าอย่างไร?

ท่านอิมามตอบว่า

 “ฮุนะฟาอฺ หมายถึง สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ ที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้แก่เขา และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในการสร้างสรรค์ของพระองค์”

๓๓

 

หลังจากนั้น อิมามได้กล่าวอีกว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ให้รู้จักพระองค์ด้วยสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขาเอง”

   ศัพท์วิชาการท้ายบทที่ ๒

๑.คำว่า ฟิฏรัต หมายถึง สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ หรือธรรมชาติด้านในของเขา   : The human nature, innate

๒.ประโยคตรรกะฟิฏรีย์ หมายถึง ประโยคตรรกะประเภทหนึ่งที่ต้องการเหตุผลยืนยันการเกิดขึ้นของประโยคนั้น แต่เนื่องจากความชัดเจนของประโยคจึงไม่ต้องหาเหตุผลมายืนยัน เมื่อเวลาที่กล่าวประโยคนั้นออกมา เหตุผลของมันได้ปรากฏโดยฉับพลัน เหมือนกับประโยคในคณิตศาสตร์ที่กล่าวว่า เลขสองคือ ครึ่งหนึ่งของเลขสี่

๓.การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ หรือเป็นธรรมชาติด้านในของเขา      : God knowing nature

๔.ประโยคตรรกเบื้องต้น   :  Self evident proposition

๕.การรับรู้โดยตรง          :  Immediate knowledge

๖.การรับรู้โดยผ่านสื่อ     :  Empirical knowledge

๓๔

   สรุปสาระสำคัญ

๑.คำว่า ฟิฏรัต หมายถึง สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ที่เป็นรูปแบบหนึ่งในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า    

๒.คำอธิบายในการรู้จักพระเจ้าว่า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ มีด้วยกันหลายทัศนะ ดังนี้

(๑).การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ เป็นประโยคตรรกเบื้องต้น เหมือนกับประโยคที่กล่าวว่า พระเจ้ามีอยู่จริงก็เป็นประโยคตรรกเบื้องต้นด้วยเช่นกัน

(๒).ประโยคการรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ เป็นประโยคตรรกฟิฏรีย์ หมายถึง ประโยคตรรกประเภทหนึ่งที่ต้องการเหตุผลในการยืนยันประโยคนั้น แต่เหตุผลของมันเกิดขึ้นทันทีที่ได้กล่าวประโยคนั้นออกไป

(๓).คำอธิบายในทัศนะที่สาม คือ พระเจ้าได้แนะนำตนเองให้กับมนุษย์รู้จักพระองค์ก่อนการสร้างเขาขึ้นมา แต่หลังจากที่มนุษย์มาสู่โลกนี้แล้วได้หลงลืมต่อการรู้จักอันนั้น ซึ่งในความเป็นจริง รากเดิมของการรู้จักพระเจ้านั้นยังมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน 

(๔).มนุษย์รู้จักพระเจ้า ด้วยกับการรับรู้โดยตรง ที่ไม่ใช่การรับรู้โดยผ่านสื่อ และไม่ได้เกิดขึ้นจากการสร้างมโนภาพหรือจากการเข้าใจในความหมาย และไม่ใช่การใช้เหตุผลทางสติปัญญา แต่คือการรู้จักพระเจ้าด้วยกับสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของเขาเอง

๓๕

๓.การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ มิได้หมายความว่า มนุษย์ทุกคนต้องมีความเชื่อในพระเจ้าเหมือนกันหมด และไม่มีผู้ใดที่ปฏิเสธ หรือสงสัยในการมีอยู่ของพระองค์เลย

๔.การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ได้หลงใหลในโลกแห่งวัตถุ จึงทำให้เขาลืมต่อการรู้จักถึงพระองค์ และสาเหตุที่ทำให้เขาตื่นจากการหลับไหลด้วยกับเหตุผลต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม จะด้วยกับการยืนยันทางสติปํญญาหรือทางจิตวิทยาก็ตาม

๕.การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ มิได้หมายถึง การปฏิเสธการใช้เหตุผลทางสติปัญญาที่นำมาพิสูจน์และยืนยัน แต่การใช้เหตุผลประเภทนี้ สามารถทำให้มีความเข้าใจต่อการรู้จักพระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น

๖.อัล กุรอานได้กล่าวไว้ในโองการทั้งหลายเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้าว่า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ และได้อธิบายอีกว่า การรู้จักพระองค์ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ มนุษย์นั้นได้ประสบกับอุปสรรคหรือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และในวจนะทั้งหลายก็ได้กล่าวในประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน

๓๖

   บทที่ ๓

   ทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก

   ได้กล่าวไปแล้วว่า วิธีการฟิฏรัต เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการรู้จักพระเจ้า ซึ่งเกิดจากจิตใต้สำนึกของมนุษย์ และยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่พิสูจน์ในการมีอยู่จริงของพระเจ้าได้ นั่นคือ วิธีการวิทยาศาสตร์หรือเหตุผลทางประสบการณ์นิยม หมายความว่า เมื่อมนุษย์ได้ทำการศึกษาพิจารณาและค้นคว้าเกี่ยวกับโลกแห่งธรรมชาติ โดยการสังเกตจากสิ่งที่ต่างๆที่อยู่รอบด้านตัวเขา ทำให้รับรู้ถึงการมีอยู่จริงของพระเจ้า และอัล กุรอานก็ได้ให้ความสำคัญ โดยได้เน้นย้ำให้มนุษย์ใช้สติปัญญาในการครุ่นคิดต่อการสร้างสรรค์ของพระเจ้า และบรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลามก็ ได้ยึดถือเอาวิธีการนี้ เป็นวิธีการทั่วไปต่อการรู้จักพระองค์

ประเด็นที่สำคัญและควรรู้เบื้องต้น มีหลายประเด็นด้วยกัน ดังนี้

๑.จากการศึกษาและตรวจสอบในทัศนะต่างๆของบรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลาม สังเกตุได้ว่า มีการให้ทัศนะ และความคิดในการอธิบายความหมายของวิธีการนี้ที่แตกต่างกันออกไป และเรียกวิธีการนี้ว่า ทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก หรือข้อพิสูจน์ในการสร้างของพระเจ้า

นักวิชาการบางคนได้กล่าวว่า วิธีการนี้ คือ การใช้เหตุผลทางสติปัญญาที่เกิดจากหลักการของวิทยาศาสตร์ และบางทัศนะกล่าวว่า วิธีการนี้ เป็นวิธีการที่เกิดจากจิตใต้สำนึกของมนุษย์ เพื่อที่จะใช้ในการกระตุ้นสัญชาตญาณดั้งเดิมของเขาให้ตื่นขึ้น

๓๗

จะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า บรรดานักปรัชญาและเทววิทยาอิสลาม ได้ใช้วิธีการนี้ในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า และการมีอยู่คุณลักษณะบางประการของพระองค์ เช่น การมีความรู้ การมีวิทยปัญญา ฯลฯ

๒.ทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก คือ การใช้เหตุผลทางสติปัญญา ที่มีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้

(๑). ประโยคที่ใช้ในการพิสูจน์มีความสัมพันธ์กับเหตุผลทางสติปัญญา และมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับมโนธรรมของมนุษย์

(๒). ทฤษฎีนี้มีความเข้าใจง่าย เพราะว่า ปราศจากหลักการของปรัชญาและกฏต่างๆของตรรกศาสตร์

(๓). เหตุผลนี้มีความใกล้ชิดกับคำสอนของโองการทั้งหลายในอัล กุรอาน และทำให้เกิดความผูกพันธ์ของผู้ที่เคร่งครัดในศาสนากับทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก อีกทั้งได้สร้างความสมานฉันท์ระหว่างสติปัญญากับการวิวรณ์ด้วย

(๔). นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นคว้าในความลี้ลับของโลก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่บ่งบอกถึง ความมีระบบและระเบียบของโลก ดังนั้น การค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ จึงเป็นบทสรุปอย่างชัดเจนในการให้เหตุผลเช่นนี้

(๕).เหตุผลนี้ ยังส่งผลต่อหลักศรัทธาของมนุษย์อีกด้วย

๓.เหตุผลนี้ มีความเป็นพิเศษและเฉพาะเจาะจง แม้ว่าในอดีต บรรดานักเทววิทยาอิสลามของสำนักคิดทั้งหลาย มิได้ให้ความสำคัญมากนักเท่าไรในทฤษฎีนี้ มีเพียง ท่านฟัครุดดีน อัรรอซี ซึ่งเป็น นักเทววิทยาอิสลามท่านหนึ่งของสำนักคิดอัชอะรีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลมะตอลิบุลอฺาลียะฮ์ เกี่ยวกับการอธิบายในเหตุผลนี้ว่า มีคำอธิบายมากมาย และเขาเชื่อว่า เหตุผลนี้จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อนำมารวมกับเหตุผลอื่นๆ จึงสามารถใช้ในการพิสูจน์ถึง การรู้จักพระเจ้าได้

๓๘

 และท่านมุฮักกิก ลาฮีญี ก็เช่นเดียวกัน ท่านเป็นนักเทววิทยาอิสลามที่สำคัญคนหนึ่งของสำนักคิดชีอะฮ์อิมามียะฮ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ โกฮัร มุรอด เกี่ยวกับเหตุผลนี้ว่า หลังจากที่ได้พิสูจน์ในเหตุผลนี้ ก็สามารถสรุปได้ว่า โลกแห่งธรรมชาตินั้น เป็นโลกที่ต้องมีความเป็นระบบและระเบียบ อีกทั้งเป็นโลกที่มีความสวยงามที่สุด ซึ่งบ่งบอกถึงความมีวิทยปัญญาของพระเจ้า แต่มิได้บ่งบอกถึงการมีอยู่ของพระองค์

   อะไร คือ ความเป็นระบบและระเบียบ?

   ก่อนที่จะอธิบายและวิเคราะห์ในทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก จะมาพิจารณาในความหมายของ ความเป็นระบบและระเบียบ ในด้านภาษาและเชิงวิชาการ ซึ่งจะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของความเป็นระบบและระเบียบนั้น มีองค์ประกอบอยู่ด้วยกัน สาม  องค์ประกอบ ดังนี้

๑.การเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย

๒. ผู้ที่จัดให้เป็นระบบและระเบียบ

๓.ความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งสอง หมายถึง ระหว่างสรรพสิ่งกับผู้ที่จัดให้เป็นระบบและระเบียบ

จะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อใดก็ตามที่กล่าวถึง ความเป็นระบบและระเบียบ จะต้องมีการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีความเป็นระบบและระเบียบจากผู้ที่จัดให้เป็นระบบและระเบียบ และการสังเกตุจากความหมายข้างต้น สามารถบอกได้ว่า ความเป็นระบบและระเบียบถูกแบ่งออก เป็นหลายประเภทด้วยกัน และประเภทที่เฉพาะเจาะจง ก็มีองค์ประกอบ อยู่ ๓ องค์ประกอบ เช่นกัน ดังนี้

๓๙

๑.การเกิดขึ้นของสิ่งทั้งหลายที่เป็นวัตถุ

๒.การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆโดยธรรมชาติ (ปราศจากเหตุผลใดๆ)

๓.สิ่งต่างๆมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อีกทั้งมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดก็ตามที่กล่าวถึง การมีอยู่ของระบบและระเบียบของสิ่งหนึ่ง หมายความว่า สิ่งนั้นจะต้อง มีองค์ประกอบ ดังที่กล่าวไปข้างต้น

   เหตุผลที่ง่ายต่อการเข้าใจ

   เหตุผลที่ใช้ในการพิสูจน์ทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก ประกอบด้วย ๒ ข้ออ้าง และ ๑ ข้อสรุป ดังนี้

ข้ออ้างหลัก คือ  โลกแห่งธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มีความเป็นระบบและระเบียบ

ข้ออ้างรอง คือ ทุกสิ่งที่มีความเป็นระบบและระเบียบ จะต้องมีผู้ที่จัดให้เป็นระบบและระเบียบ

ข้อสรุป คือ โลกแห่งวัตถุนั้น จะต้องมีผู้ที่จัดให้เป็นระบบและระเบียบ นั่นคือ จะต้องมีพระเจ้าอยู่ และป็นผู้จัดให้สิ่งต่างๆนั้น เป็นระบบและระเบียบ ดังนั้น การอธิบายข้ออ้างทั้งสองนี้ บรรดานักวิชาการด้านเทววิทยาอิสลาม มีทัศนะที่แตกต่างกัน และจะขออธิบายเพียงบางส่วน

๔๐

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175

176

177

178

179

180

181

182

183

184

185

186

187

188

189

190

191

192

193

194

195

196

197

198

199

200

201

202

203

204

205

206

207

208

209

210

211

212

213

214

215

216

217

218

219

220

221

222

223

224

225

226

227

228

229

230

231

232

233

234

235

236

237

238

239

240

241

242

243

244

245

246

247

248

249

250

251

252

253

254

255

256

257

258

259

260

261

262

263

264

265

266

267

268

269

270

271

272

273

274

275

276

277

278

279

280

281

282

283

284

285

286

287

288

289

290

291

292

293

294

295

296

297

298

299

300

นักอรรถาธิบายอัลกุรอานได้กล่าวว่า ความหมายของคำว่า องค์แรกและองค์สุดท้าย ก็คือ ความหมายเดียวกับการมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ และเช่นเดียวกัน ในวจนะหนึ่งได้กล่าวเน้นย้ำ ดั่งบทเทศนาหนึ่งของท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ที่ได้กล่าวว่า

“พระเจ้า เป็นองค์แรกที่ไม่มีสิ่งใดมาก่อนหน้าพระองค์ และเป็นองค์สุดท้ายที่ไม่มีสิ่งใดมาหลังพระองค์”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๙๑ )

และท่านอิมามซอดิก ได้กล่าวว่า

“พระองค์ทรงเป็นองค์แรกที่ไม่มีการเริ่มต้น และเป็นองค์สุดท้ายที่ไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์ทรงมีมาแต่เดิม และพระองค์ทรงมีอยู่เสมอ”

 (อุศูลุลอัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๑๖ )

จากวจนะทั้งหลายที่ได้กล่าวถึง พระผู้เป็นเจ้าว่า เป็นองค์แรกและเป็นองค์สุดท้าย มิได้หมายความว่า พระองค์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรก และเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะต้องสูญสลาย แต่ทว่า ความเป็นองค์แรกและองค์สุดท้ายของพระองค์ หมายถึง พระองค์ไม่มีคำว่า มาก่อนหรือมาหลัง เพราะพระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด

โองการหนึ่งของอัล กุรอาน กล่าวว่า

ทุก ๆ สิ่งที่อยู่บนแผ่นดินย่อมสูญสลาย”

และพระพักตร์ของพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงโปรดปรานเท่านั้นที่จะคงเหลืออยู่”

( บทอัรเราะห์มาน โองการที่ ๒๖-๒๗)

และอีกโองการหนึ่ง กล่าวว่า

“และอย่าวิงวอนขอต่อพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ทุกสิ่งย่อมพินาศนอกจากพระพักตร์ของพระองค์” ( บทอัลกอศ็อด โองการที่ ๘๘)

๓๐๑

การอธิบายความหมายของคำว่า พระพักตร์ หมายถึง ตัวตนและอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า  ด้วยเหตุนี้ โองการทั้งหลายได้กล่าวถึง การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า

    ศัพท์วิชาการท้ายบท

: Life การมีชีวิต ฮายาต

: Life of God การมีชีวิตของพระเจ้า ฮายาต อิลาฮีย์

: Eternity การมีมาแต่เดิม อะซะลียัต

: Perenniality ความเป็นนิรันดร์

   สรุปสาระสำคัญ

๑.การมีชีวิต เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่สมบูรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า มีความหมายครอบคลุมถึง  ๒ คุณลักษณะ กล่าวคือ ความรู้และความสามารถ

๒.การมีชีวิตอยู่ของสิ่งที่เป็นวัตถุ เช่น มนุษย์และสัตว์ มีความเจริญเติบโต ต้องการอาหารและปัจจัยสี่ และการขยายเผ่าพันธ์ สิ่งมีชีวิต เป็นองค์ประกอบของการมีชีวิตอยู่ของสิ่งที่เป็นวัตถุ และจะไม่มีอยู่ในสิ่งที่มิใช่วัตถุ

๓.ความหมายของการมีชีวิตของพระเจ้า คือ ในอาตมันของพระองค์มีความรู้และความสามารถ และการมีชีวิต เป็นคุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า

๓๐๒

๔.นอกเหนือจาก เหตุผลโดยทั่วไปในการพิสูจน์การมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์แบบ เช่น ความรู้และความสามารถ เหตุผลเหล่านั้นยังใช้พิสูจน์การมีชีวิตของพระเจ้าได้อีกด้วย

๕.อัล กุรอานกล่าวถึงพระเจ้าว่า การมีชีวิตอยู่ของพระองค์นั้น มีมาแต่เดิม และไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีการเปลี่ยนแปลง และในวจนะก็กล่าวไว้เช่นเดียวกัน

๖.และอีกคุณลักษณะหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า ก็คือ การมีมาแต่เดิม และความเป็นนิรันดร์ ความหมายของคุณลักษณะนี้ ก็คือ การมีอยู่ของพระเจ้านั้น อยู่เหนือกาลเวลา ดังนั้น จะกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงมีอยู่และจะมีอยู่ตลอดไป

๗.ความจำเป็นที่ต้องมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นสาเหตุที่ไม่สามารถแยกการมีอยู่ออกจากพระองค์ได้ ดังนั้น พระเจ้า ทรงเป็นองค์แรกและเป็นองค์สุดท้าย และนี่คือ ความหมายของการมีมาดั้งเดิมและความเป็นนิรันดร์

๘.อัล กุรอานกล่าวถึงพระเจ้าว่า พระองค์ทรงเป็นองค์แรกและองค์สุดท้าย ซึ่งแสดงว่า พระเจ้าทรงมีมาแต่เดิมและมีความเป็นนิจนิรันดร์

๓๐๓

   บทที่ ๗

   ความประสงค์ของพระเจ้า (อิรอดะฮ์ อิลาฮีย์)

   ในระหว่างคุณลักษณะในอาตมันของพระเจ้า คือ ความประสงค์ของพระองค์ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ แม้ว่าบรรดานักเทววิทยาอิสลามมีความคิดเห็นที่ตรงกันว่า พระเจ้านั้นมีคุณลักษณะนี้ แต่มีความแตกต่างกันในการอธิบายรายละเอียด

คำถามทั้งหลายเกิดขึ้นในประเด็นนี้ คือ

การให้คำนิยามของ ความประสงค์ของพระเจ้า

๑.ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะที่มีในอาตมันหรือเป็นคุณลักษณะที่มีนการกระทำของพระเจ้า

๒.ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะที่มีมาแต่ดั้งเดิมหรือเพิ่งเกิดขึ้น

๓.ความแตกต่างของความประสงค์กับความต้องการและการเลือกสรร

นอกเหนือจาก ทัศนะต่างๆของบรรดานักเทววิทยาอิสลาม ยังมีทัศนะของบรรดานักปรัชญาอิสลามที่กล่าวถึง ความเป็นจริงของความประสงค์ของพระเจ้า และรายละเอียดในความลึกซึ้ง ซึ่งเราจะกล่าวในประเด็นที่เหมาะสมกับเทววิทยาอิสลาม เป็นลำดับต่อไป

๓๐๔

 

   ความหมายความเป็นจริงของความประสงค์ของมนุษย์

   ในขณะที่มนุษย์ได้กระทำการงานหนึ่งการงานใด และเขาเป็นผู้เลือกสรรในการกระทำของเขา ดังนั้นมีสภาพหนึ่งที่เกิดขึ้นในตัวเขา นั่นคือ สภาพของความประสงค์ของมนุษย์ เป็นสภาพภายในหรือเกิดจากจิตใจของเขา ซึ่งรับรู้ด้วยการรับรู้โดยตรงและไม่ได้ใช้สื่อ และมิได้มีความหมายว่า การอธิบายในความเป็นจริงนั้น มีความง่ายดายยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการให้คำนิยามต่างๆมากมายในความประสงค์ของมนุษย์ บางสำนักคิดกล่าวว่า ความประสงค์คือ การมีความเชื่อว่า การมีประโยชน์ในการกระทำ หมายถึง ก่อนที่มนุษย์จะกระทำการงานหนึ่งการงานใด มีความเชื่อว่า การงานที่จะกระทำนั้น ต้องมีประโยชน์ดังนั้น นี่คือความหมายของ ความประสงค์ของมนุษย์ และในบางครั้ง ความประสงค์นี้ ถูกเรียกว่า จุดประสงค์ที่มีต่อการกระทำ ด้วยเหตุนี้ ความหมายของความประสงค์ก็คือ จุดประสงค์ของมนุษย์ที่มีต่อการกระทำ และตรงกันข้ามกับทัศนะนี้ ยังมีสำนักคิดหนึ่งที่ได้กล่าวว่า ความประสงค์ มิได้หมายถึง จุดประสงค์ของมนุษย์ และการมีประโยชน์ในการกระทำ ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดทัศนะต่างๆในการให้ความหมายของ ความประสงค์ของมนุษย์ และจากทัศนะที่มีความคิดเห็นว่า ความประสงค์ของมนุษย์ คือ การมีความเชื่อว่า มีประโยชน์ในการกระทำ และมีความรู้สึกอยากที่จะกระทำ ดังนั้น ความรู้สึกอยากนี้ คือ ความประสงค์ของเขา และบางครั้งเรียกความประสงค์ว่า ความต้องการที่จะกระทำการงานหนึ่ง  ซึ่งตรงกันข้ามกับความต้องการที่จะละทิ้งการกระทำอันนั้น

๓๐๕

 และบางทัศนะกล่าวว่า ความประสงค์(ความประสงค์) คือ ความรู้สึกหนึ่งที่อยู่ในตัวของมนุษย์ หลังจากที่เขามีความรู้ในผลประโยชน์ของการกระทำนั้น และก่อนที่จะกระทำการงานนั้นขึ้นมา ซึ่งเป็นสาเหตุให้เขาต้องกระทำมากกว่าที่จะไม่กระทำ

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่า ทัศนะทั้งหลายในการอธิบายความหมายของคำว่า ความประสงค์ นั้น มีเหตุผลและข้อพิสูจน์มากมาย ซึ่งทั้งหมดนั้นอยู่เหนือการเรียบเรียงหนังสือนี้ แต่สิ่งที่ควรรู้และสังเกต ก็คือ การอธิบายความหมายของ ความประสงค์ ในมนุษย์มีขอบเขตจำกัด เพราะว่า การมีอยู่ของมนุษย์นั้น มีขอบเขตจำกัด และความประสงค์ของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีขอบเขต ในขณะที่พระเจ้านั้นไม่มีขอบเขตในการมีอยู่ของพระองค์ ดังนั้นความหมายของ ความประสงค์ ในพระเจ้า จึงมีความหมายทีแตกต่างกับความประสงค์ในมนุษย์

   ทัศนะต่างๆของนักเทววิทยาอิสลามในการอธิบายความหมาย

 ความประสงค์ของพระเจ้า

   กล่าวไปแล้วว่า ความหมายของ ความประสงค์ในพระเจ้า บรรดานักเทววิทยาและปรัชญาอิสลามได้ให้หลายความหมายด้วยกัน ซึ่งมีดังนี้

๑.ความประสงค์ในพระเจ้า คือ พระองค์ทรงกระทำการงานใดการงานหนึ่งโดยที่ไม่มีการบังคับใดๆทั้งสิ้น ดังนั้นความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในด้านลบของพระเจ้า

๒.ความประสงค์ในพระเจ้า คือ การมีพลังอำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์

๓๐๖

๓.ความประสงค์ในพระเจ้า มีอยู่ สอง ความหมาย กล่าวคือ ความประสงค์ในอาตมัน คือ การมีความรักในตนเองและความสมบูรณ์แบบของพระองค์ อีกความหมายของความประสงค์ กล่าวคือ ความประสงค์ในการกระทำ หมายถึง พระเจ้าทรงมีความพึงพอพระทัยในการเกิดขึ้นของการกระทำของพระองค์

๔.ความประสงค์ คือ ความรู้ที่มีมาดั้งเดิมของพระเจ้าในการปกครองที่ประเสริฐที่สุด

ทัศนะนี้ เป็นทัศนะของบรรดานักปรัชญาอิสลาม

๕.ความประสงค์ คือ การเลือกสรรของพระผู้เป็นเจ้า หมายความว่า พระเจ้า เป็นผู้กระทำที่เป็นอิสระในการเลือกสรร และไม่มีการบังคับใดๆในการกระทำของพระองค์ ดังนั้นการอธิบายในความหมายนี้ มิได้ถือว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในด้านลบของพระเจ้า และเช่นเดียวที่อธิบายความหมายของ ความรู้ หมายถึง การไม่รู้ และมิได้ถือว่า ความรู้ เป็นคุณลักษณะในด้านลบของพระเจ้า

   ความประสงค์ในอาตมันของพระเจ้าและในการกระทำของพระองค์

   มีคำถามว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในประเภทใดของพระเจ้า และเป็นคุณลักษณะในอาตมันหรือในการกระทำของพระองค์? ความสำคัญของคำถามทั้งหลายนี้แสดงให้เห็นว่า ทัศนะที่สี่ กล่าวว่า  ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในอาตมัน และทัศนะที่สอง กล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในการกระทำ

๓๐๗

และในทัศนะที่สามยอมรับว่า ความประสงค์ เป็น คุณลักษณะทั้งสองประเภท ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นก่อนทีจะอธิบายรายละเอียดของความหมายทั้งหลาย มากำหนดให้ชัดเจนว่า ความประสงค์ นั้น เป็นคุณลักษณะในอาตมันหรือในการกระทำ

สำหรับคำตอบของคำถามเหล่านี้ จะกล่าวได้ว่า ความประสงค์ มีอยู่ สอง ระดับขั้น

๑.ความประสงค์ในอาตมันของพระเจ้า

๒.ความประสงค์ในการกระทำของพระองค์

ส่วนมากของบรรดานักเทววิทยาและปรัชญา มีความเห็นว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในอาตมันของพระเจ้า หมายถึง ความรู้ที่มีมาดั้งเดิมในการมีระบบระเบียบที่สมบูรณ์แบบในการบริหารและดูแลของพระองค์

สามารถอธิบายได้ว่า ทัศนะนี้กล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความรู้ในความเป็นระบบระเบียบที่สมบูรณ์แบบก่อนการสร้างโลก และความรู้นี้ ยังเป็นสาเหตุทำให้โลกนี้เกิดขึ้นและความประสงค์ ก็คือ ความรู้นี้

ดังนั้น ทัศนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะว่าจากการสังเกตุในความหมายของความประสงค์ มิได้มีความหมายเดียวกับการมีความรู้ อีกทั้งในวจนะได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า การมีความรู้ มิใช่ ความประสงค์

หากว่า เราไม่ยอมรับว่า ความประสงค์ มีความหมายเดียวกับการมีความรู้ดั้งเดิมของพระเจ้า ดังนั้น ความหมายของอิรอดะฮ๋ คือ การเลือกสรรในการกระทำของพระองค์ ซึ่งเป็นความหมายที่ห้า ด้วยเหตุนี้ ความประสงค์ ถือว่าเป็นคุณลักษณะในอาตมันของพระเจ้า และในกรณีที่กล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในการกระทำของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับ การให้ความรักและความพึงพอพระทัย

๓๐๘

 เพราะฉะนั้น ความประสงค์ของพระเจ้า มีความหมายว่า การเกิดขึ้นของการกระทำของพระองค์นั้น มาจากการให้ความรักและความพึงพอพระทัย การกระทำนั้น จึงจะเกิดขึ้นมาได้ และจากความหมายนี้ ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะว่าความหมายของความประสงค์ มิได้มีความหมายเดียวกับการให้ความรักและความพึงพอพระทัย และการให้ความหมายของความประสงค์ในทัศนะหนึ่งกล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในการกระทำที่เกิดจากระดับขั้นของการกระทำของพระเจ้า  หมายถึง การเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย กล่าวได้ว่า สติปัญญายอมรับว่า การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งในสถานที่และเวลาที่ถูกกำหนด บ่งบอกถึง การมีความรู้และการให้ความรัก อีกทั้งยังเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ที่มีต่อการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้ คุณลักษณะความประสงค์ คือ การมีความสัมพันธ์ของพระผู้เป็นเจ้ากับการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย

และในอีกทัศนะหนึ่งกล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในการกระทำของพระเจ้า เพราะว่า เกิดขึ้นมาจากการมีความสัมพันธ์ของพระองค์กับการกระทำที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดก็ตามที่การกระทำของพระเจ้ามีองค์ประกอบที่สมบูรณ์พร้อมที่จะเกิดขึ้น เมื่อนั้นจะกล่าวได้ว่า พระเจ้ามีความประสงค์ กล่าวคือ มีความประสงค์ที่จะทำให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น

๓๐๙

   การมีมาดั้งเดิมหรือการเพิ่งเกิดขึ้นมาของความประสงค์ในพระเจ้า

   หลังจากที่อธิบายความหมายของ ความประสงค์ และเป็นที่กระจ่างชัดสำหรับเราแล้วนั้น จะมากล่าวในคำถามที่เกี่ยวกับความประสงค์ของพระเจ้า ว่า มีมาดั้งเดิมหรือเพิ่งเกิดขึ้นมา จะเห็นได้ว่ามีทัศนะต่างๆมากมายและมีความแตกต่างกันในสำนักคิดของเทววิทยาอิสลาม  โดยสำนักคิดอัชอะรี มีความเชื่อว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่อยู่เหนืออาตมันของพระเจ้า และเป็นคุณลักษณะที่มีมาดั้งเดิม ในทางตรงข้ามกับความเชื่อของสำนักคิดอื่น ที่กล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะที่เพิ่งมีการเกิดขึ้น แต่มีความเห็นที่ไม่ตรงกันในสถานที่การเกิดขึ้นของความประสงค์ เช่น สำนักคิดกะรอมียะฮ์ มีความเห็นว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในอาตมันของพระเจ้าและเพิ่งเกิดขึ้นในอาตมันของพระองค์ แต่ในทัศนะของอะบูฮาชิม ญุบบาอีย์และกลุ่มหนึ่งของสำนักคิดมุตะซิละฮ์ กล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะที่เพิ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีสถานที่ จากการอธิบายในประเภทของความประสงค์ทั้งสอง คือ ความประสงค์ในอาตมัน และในการกระทำ ทำให้เข้าใจได้ว่า ความประสงค์ในอาตมัน เป็นคุณลักษณะที่มีในอาตมันและเป็นหนึ่งเดียวกับอาตมันของพระเจ้า ดังนั้น ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะที่มีมาดั้งเดิม เหมือนกับอาตมัน และความประสงค์ในการกระทำ เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการมีความสัมพันธ์ของอาตมันและการกระทำของพระเจ้า

๓๑๐

 และการกระทำของพระเจ้านั้น เพิ่งเกิดขึ้น ดังนั้น ความประสงค์ของพระองค์ ก็เป็นคุณลักษณะที่เพิ่งเกิดขึ้นเช่นกัน และได้กล่าวผ่านไปแล้วว่า สาเหตุหรือที่มาของการกระทำของพระเจ้า มิได้เกิดขึ้นมาจากอาตมันของพระเจ้า อย่างเดียว แต่เกิดขึ้นจากสภาวะของการกระทำนั้น

  ความแตกต่างกันระหว่างความประสงค์,ความต้องการและการเลือกสรร

   นอกเหนือจาก การมีคุณลักษณะ ความประสงค์ของพระเจ้า ยังมีคุณลักษณะอื่นๆเช่น ความประสงค์ ความต้องการ และการเลือกสรร

มีคำถามเกิดขึ้นว่า ทั้งสามคุณลักษณะที่กล่าวไปนั้น มีความหมายเดียวกันหรือมีความหมายแตกต่างกัน?

สำหรับคำตอบ ก็คือ มีสองทัศนะด้วยกัน

กลุ่มหนึ่งของนักเทววิทยาอิสลาม กล่าวว่า ความประสงค์และความต้องการ มีความหมายเดียวกัน และไม่มีความแตกต่างกัน และบางกลุ่มมีความเห็นว่า ระหว่างความประสงค์กับความต้องการมีความหมายที่แตกต่างกัน คือ ความประสงค์ หมายถึง การมีความรู้ในผลประโยชน์และผลเสียของการกระทำ ส่วนมะชียะฮ์(ความต้องการ) หมายถึง ความต้องการที่จะกระทำหรือละทิ้งการงานนั้น  ความต้องการที่เกิดขึ้นจากการมีความรู้ในประโยชน์และผลเสียของการงานนั้น และกล่าวเช่นกันว่า การเชื่อมความสัมพันธ์ของความต้องการ คือ ผลของการกระทำหนึ่ง และการเชื่อมความสัมพันธ์ของความประสงค์ คือ การมีอยู่ของความประสงค์

๓๑๑

จะเห็นได้ว่าในการอธิบายความหมายของความประสงค์ ระหว่างความประสงค์กับการเลือกสรรนั้นไม่มีความแตกต่างกัน และความหมายที่แท้จริงของความประสงค์ คือ ความเป็นผู้เลือกสรรของพระเจ้า และบางทัศนะกล่าวว่า การเลือกสรร หมายถึง การกระทำหนึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้และความประสงค์ และความต้องการและการมีอำนาจในการบริหาร ซึ่งจากการมีความสัมพันธ์ของผู้กระทำกับการกระทำ คุณลักษณะการเลือกสรรรได้เกิดขึ้น

เหตุผลของบรรดานักเทววิทยาอิสลามในการพิสูจน์ความประสงค์ของพระเจ้า

    หลังจากที่อธิบายความหมายของ คำว่า ความประสงค์ของพระเจ้า และประเภทต่างๆของความประสงค์ ไปแล้ว บัดนี้ จะมาอธิบายในเหตุผลต่างๆของบรรดานักเทววิทยาอิสลามกัน

เหตุผลหนึ่งที่ถูกรู้จักกันโดยทั่วไป คือ บางการกระทำของพระเจ้านั้น ถูกทำให้เกิดขึ้นในเวลาที่ถูกกำหนด เช่น การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งในเวลาที่ถูกกำหนดและก่อนหน้านี้สิ่งนี้ไม่มีอยู่ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งในเวลาดังกล่าวนั้น จะต้องการสิ่งที่เป็นตัวกำหนดให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น และสิ่งที่เป็นตัวกำหนดนั้น คือ สาเหตุของการเกิดขึ้นของการมีสิ่งนั้นในเวลาที่ได้กำหนดไว้ ไม่ช้าและก่อนกำหนด และจะเห็นได้ว่า การมีความสามารถและความรอบบรู้ของพระเจ้านั้น ไม่ต้องการสิ่งที่เป็นตัวกำหนด เพราะว่า ความสัมพันธ์ของความสามารถกับเวลานั้น มีความเท่าเทียมกัน

๓๑๒

จะไม่กล่าวว่า พระเจ้ามีความสามารถในเวลาหนึ่งและไม่มีความสามารถในอีกเวลาหนึ่ง แต่กล่าวได้ว่า พระองค์ทรงมีความสามารถในทุกๆเวลา และในความรู้ของพระองค์ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่เป็นตัวกำหนดให้การกระทำหนึ่งเกิดขึ้นในเวลาที่ได้กำหนดนั้น มิใช่ความรู้และความสามารถ แต่สิ่งนั้น คือ ความประสงค์นั่นเอง

   ความประสงค์ในการสร้างสรรค์และการกำหนดบทบัญญัติ(อิรอดะฮ์ ตักวีนีย์ และตัชริอีย์)

    สิ่งได้กล่าวไปแล้วนั้นคือ ความประสงค์ของพระเจ้า เป็นความประสงค์ในการสร้างสรรค์ และนอกจากความประสงค์ประเภทนี้แล้ว ยังมีความประสงค์อีกประเภทหนึ่งนั่นคือ ความประสงค์ในการกำหนดบทบัญญัติ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์ และเป็นสาเหตุทำให้การกระทำนั้น เป็นการกระทำที่จำเป็นต้องกระทำ(วาญิบ)หรือเป็นการกระทำที่สมควรกระทำ(มุสตะฮับ)หรือเป็นการกระทำที่ไม่สมควรกระทำ(มักรุฮ์)และในทางตรงกันข้าม การกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตให้กระทำ(ฮะรอม) ดังนั้น ความประสงค์ในการสร้างสรรค์เกิดจากการมีอยู่ของสิ่งทั้งหลาย และส่วนความประสงค์ในการกำหนดบทบัญญัตินั้น เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับการกระทำของมนุษย์

ความแตกต่างอีกอันหนึ่งของความประสงค์ทั้งสองประเภท คือ ในความประสงค์ในการสร้างสรรค์ไม่มีมุรอด(สิ่งที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างความประสงค์กับผู้กระทำ) แต่มีในความประสงค์ในการกำหนดบทบัญญัติ

๓๑๓

   ความประสงค์และความต้องการของพระเจ้า ในอัลกุรอานและวจนะ

    คำว่า อิรอดะฮ์ในภาษาอาหรับ มาจากรากศัพท์ของคำว่า ราวด์ หมายถึง การกลับไปและการกลับมาที่มีความต้องการในสิ่งหนึ่ง ดังนั้น จากความหมายของคำนี้ มีอยู่ สามองค์ประกอบด้วยกัน ดังนี้

๑.ความต้องการในสิ่งหนึ่งที่มีความรักในสิ่งนั้น

๒.การมีความหวังที่จะได้รับในสิ่งนั้น

๓.การกระทำที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นด้วยตนเองหรือผู้อื่น

ส่วนคำว่า มะชียะฮ์ในด้านภาษา ซึ่งจากส่วนมากของนักอักษรศาสตร์อาหรับให้ความหมายเดียวกันกับความประสงค์(อิรอดะฮ์  และบางคนกล่าวว่า มะชียะฮ์ หมายถึง การมีความรักที่เกิดขึ้นหลังการมโนภาพ และการตัดสินใจ และหลังจากนั้น ความประสงค์ จึงจะเกิดขึ้นมาทีหลัง

แม้ว่าอัลกุรอานมิได้กล่าวถึงทั้งสองคุณลักษณะดังกล่าว นั่นก็คือ อิรอดะฮ์และมะชียะฮ์ ในรูปของอิสมุลฟาอิล (นามของผู้กระทำ) หรือศิฟัต มุชับบะฮะ(คุณลักษณะหนึ่ง) ของพระเจ้า แต่ทว่าได้กล่าวในรูปแบบของกริยาในโองการทั้งหลายมากมาย

และโองการหนึ่งได้กล่าวว่า ความประสงค์และความต้องการของพระเจ้านั้น ครอบคลุมถึงทุกสิ่งและทุกอย่าง และการกระทำของพระองค์ได้เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

ดั่งในโองการที่กล่าวว่า

 “ แท้จริงเมื่อเราปรารถนาคำตรัสของเราแก่สิ่งใด เราก็จะกล่าวแก่มันว่า จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้น”

(บทอันนะห์ล์ โองการที่ ๔๐)

๓๑๔

จากโองการนี้ที่ได้กล่าวว่า จงเป็นแล้วมันก็เป็นขึ้น  บ่งบอกถึงความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า มิได้เป็นเพียงคำกล่าวอย่างเดียว

และบางโองการก็กล่าวถึง ความไม่มีขอบเขตจำกัดในความประสงค์ของพระองค์ ความว่า  

“อัลลอฮ์ทรงบังเกิดสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง”

(บทอันนูร โองการที่๔๕)

และเช่นเดียวกัน อัลกุรอานได้กล่าวย้ำถึงไม่มีอำนาจใดจะเท่าเทียมอำนาจและความประสงค์ของพระเจ้าได้
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)ใครเล่าจะมีอำนาจอันใดที่จะป้องกันพวกเจ้าจากอัลลอฮ์หากพระองค์ทรงประสงค์ให้ความทุกข์แก่พวกเจ้า หรือพระองค์ทรงประสงค์จะให้ประโยชน์แก่พวกเจ้า แต่ทว่า อัลลอฮ์ทรงตระหนักยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ” (บทอัลฟัตฮ์ โองการที่๑๑)

แน่นอนที่สุด จะกล่าวในประเด็นของ ความเป็นวิทยปัญญาของพระผู้เป็นเจ้าถึง การไม่มีขอบเขตในอำนาจและความประสงค์ของพระองค์ แต่มิได้หมายความว่า พระเจ้า เป็นผู้ที่กระทำการงานที่ไม่ดีหรือไม่มีประโยชน์ได้ แต่ทว่า ด้วยกับการมีวิทยปัญญาของพระองค์ บ่งบอกว่า ทุกการกระทำของพระองค์นั้น มีประโยชน์ต่อสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา

และบางโองการได้กล่าวถึง ความประสงค์ของพระเจ้าในการกำหนดบทบัญญัติไว้เช่นกัน  ในบทอัลบะกอเราะ ดังนี้
“อัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้มีความสะดวก แก่พวกเจ้า และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกเจ้า”

(บทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่๑๘๕)

๓๑๕

หลังจากที่อัลลอฮ์ได้กล่าวถึงหลักการถือศีลอดและอนุญาตให้บรรดาผู้ป่วยและผู้เดินทาง ไม่ต้องถือศีลอดได้ และได้กล่าวว่า ความประสงค์ของพระองค์ในการกำหนดบทบัญญัตินั้น ไม่ต้องการความยากลำบาก แต่ต้องการความสะดวกสบาย

และอัลกุรอานได้กล่าวถึง ความประสงค์ของพระองค์ หลังจากที่กล่าวหลักการปฏิบัติ ในบทอัลมาอิดะ ได้กล่าวไว้ดังนี้

“แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงชี้ขาดตามที่พระองค์ทรงประสงค์” (บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ ๑)

นอกเหนือจาก โองการทั้งหลายของอัลกรุอานที่ได้กล่าวถึง ความประสงค์ของพระเจ้า ยังมีพระวจนะต่างๆที่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน  และสิ่งที่ต้องสังเกตในวจนะทั้งหลาย นั่นคือ ส่วนมากของวจนะกล่าวถึง ความประสงค์ในการกระทำของพระเจ้าที่เป็นคุณลักษณะหนึ่งไม่ได้ที่อยู่นอกเหนือจากอาตมันของพระองค์และเป็นคุณลักษณะที่มีมาดั้งเดิม เช่น วจนะหนึ่งที่ผู้รายงานได้ถามท่านอิมามว่า

“พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความประสงค์ที่มีมาดั้งเดิมกระนั้นหรือ?”

ท่านอิมามได้ตอบว่า

“พระเจ้า เป็นผู้ทรงประสงค์ที่ไม่มีสิ่งใดอยู่เคียงข้างพระองค์ และทรงมีความรู้และมีความสามารถที่มีมาแต่ดั้งเดิม หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงมีความประสงค์เกิดขึ้น”

(อุศูลุลกาฟี เล่มที่หนึ่ง หน้าที่ ๑๐๙ วจนะที่ ๑)

๓๑๖

จากวจนะนี้แสดงให้เห็นว่า ความประสงค์ของพระเจ้าในการกระทำนั้น ไม่มีได้มีมาแต่ดั้งเดิม ก็เพราะว่า เมื่อได้เชื่อมความสัมพันธ์ของพระองค์กับสิ่งสร้างของพระองค์ จะกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ การกระทำของสิ่งถูกสร้างเกิดจากการกระทำของพระเจ้า  และการกระทำของพระองค์เพิ่งเกิดขึ้น ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่คุณลักษณะในการกระทำของพระองค์ จะมีมาแต่ดั้งเดิม  และวจนะหนึ่งจากท่านอิมามริฎอ (อ) ได้กล่าวถึง ความประสงค์ของพระเจ้าในการกระทำและความแตกต่างของความประสงค์ของพระองค์กับมนุษย์ ความว่า

“ความประสงค์ (ความประสงค์) ของสิ่งถูกสร้าง หมายถึง การตัดสินใจหลังจากนั้นได้กระทำในสิ่งที่ได้ตัดสินใจไป แต่ความประสงค์ของพระเจ้า หมายถึง  การเกิดขึ้นที่ไม่มีการใช้ความคิดและการตัดสินใจ และทุกๆคุณลักษณะที่เป็นแบบนี้ ไม่มีในพระองค์และเป็นคุณลักษณะของสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ดังนั้น ความประสงค์ (ความประสงค์)ของพระเจ้า คือ การกระทำของพระองค์ และมิใช่สิ่งอื่นใด พระองค์ทรงกล่าว จงเป็น แล้วสิ่งนั้นก็เป็นขึ้นมา โดยที่ปราศจากการพูดและการใช้ลิ้นในการสื่อสาร และไม่มีการตัดสินใจและการใช้ความคิด และไม่ต้องการสิ่งพึ่งพา เพราะพระองค์ก็ไม่ต้องการสิ่งพึ่งพาเช่นกัน”

(อุศูล อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๐๙-๑๑๐ วจนะที่ ๓)

และบางวจนะกล่าวถึง ความประสงค์ของพระเจ้าว่า เป็นสิ่งที่ถูกสร้างและเพิ่งเกิดขึ้น

๓๑๗

ดั่งวจนะของท่านอิมามซอดิก (อ) ได้กล่าวว่า

“อัลลอฮ์ทรงสร้างความประสงค์ด้วยพระองค์เอง หลังจากนั้นทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยความประสงค์ของพระองค์”

(อุศูล อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๑๐ วจนะที่ ๔)

ในวจนะหนึ่งจากท่านอิมามซอดิกได้กล่าวถึง ความแตกต่างของความรู้กับความประสงค์ ดังนี้

“ความรู้ของพระเจ้า มิใช่ความประสงค์ของพระองค์ เจ้ามิได้กล่าวหรือว่า ฉันจะกระทำสิ่งนี้ หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ และเจ้าไม่ได้กล่าวว่า ฉันจะกระทำสิ่งนี้ หากอัลลอฮ์ทรงรู้ ดังนั้น คำกล่าวของเจ้า ที่ว่า หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ บ่งบอกถึง พระองค์ไม่ทรงประสงค์ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์ การกระทำนั้นก็จะเกิดขึ้น และพระองค์ทรงมีความรู้ในความประสงค์ของพระองค์” (อุศูล อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๐๙ วจนะที่ ๒)

๓๑๘

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

อิรอดะฮ์ หมายถึง ความประสงค์: Act of will

อิรอดะฮ์ อิลาฮีย์ หมายถึง ความประสงค์ของพระเจ้า: Divine will

ความประสงค์ในอาตมัน อิรอดะฮ์ซาตีย์

ความประสงค์ในการกระทำ อิรอดะฮ์ เฟียะลีย์

มะชียะฮ์ หมายถึง ความต้องการ  : Radical will

การเลือกสรร อิคติยาร : Choice

ความประสงค์ในการสร้างสรรค์ อิรอดะฮ์ ตักวีนีย์

ความประสงค์ในการกำหนดบทบัญญัติ อิริดะฮ์ ตัชรีอีย์

   สรุปสาระสำคัญ

๑.บรรดานักเทววิทยาอิสลามมีทัศนะที่แตกต่างกันในความหมายของ ความประสงค์ของพระเจ้า

 (อิรอดะฮ์ อิลาฮีย์)

บางคนกล่าวว่า ความประสงค์ของพระเจ้า หมายถึง การกระทำของพระเจ้าที่ไม่มีการบังคับใดๆเกิดขึ้น และบางคนมีความเชื่อว่า คือ การมีความสามารถและการชี้ขาดของพระเจ้า และบางสำนักคิดกล่าวว่า หมายถึง การเลือกสรรของพระองค์

๓๑๙

๒.ความประสงค์ของพระเจ้า มีอยู่ สองระดับขั้น

(๑).ความประสงค์ในอาตมันที่มีมาแต่ดิม

(๒).ความประสงค์ในการกระทำที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่

๓.เหตุผลของบรรดานักเทววิทยาอิสลามในการพิสูจน์ถึง การมีความประสงค์ของพระเจ้า  คือ การกระทำของพระเจ้านั้นเกิดขึ้นในเวลาที่ได้กำหนดไว้และมีสิ่งที่เป็นตัวกำหนดให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น ก็คือ ความประสงค์ที่เป็นตัวกำหนดให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น

๔.พระเจ้าทรงมีความประสงค์ในการสร้างสรรค์และการกำหนดบทบัญญัติ และความแตกต่างของความประสงค์ทั้งสองของพระองค์ ก็คือ ในประเภทแรก ไม่มีความสัมพันธ์กับการกระทำของมนุษย์ แต่ในประเภทที่สองนั้นมีความสัมพันธ์กับมนุษย์

๕.อัลกุรอานได้กล่าวว่า ความประสงค์ของพระเจ้า คือ เมื่อพระองค์ทรงตรัสว่า จงเป็นสิ่งนั้นก็เป็นขึ้นมาทันที และในวจนะทั้งหลายก็ได้กล่าวถึง ความแตกต่างของความประสงค์ของพระเจ้าและมนุษย์ว่า ความประสงค์ของพระเจ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุดและขอบเขตจำกัด

๓๒๐

321

322

323

324

325

326

327

328

329

330

331

332

333

334

335

336

337

338

339

340

341

342

343

344

345

346

347

348

349

350

351

352

353

354

355

356

357

358

359

360

361

362

363

364

365

366

367

368

369

370

371

372

373

374

375

376

377

378

379

380

381

382

383

384

385

386

387

388

389

390

391

392

393

394

395

396

397

398

399

400

401

402

403

404

405

406

407

408

409

410

411

412

413

414

415

416

417

418

419

420

421

422

423

424

425

426

427

428

429

430

431

432

433

434

435

436

437

438

439

440

441

442

443

444

445

446

447

448

449

450