บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม13%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 339889 / ดาวน์โหลด: 4958
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175

176

177

178

179

180

181

182

183

184

185

186

187

188

189

190

191

192

193

194

195

196

197

198

199

200

201

202

203

204

205

206

207

208

209

210

211

212

213

214

215

216

217

218

219

220

221

222

223

224

225

226

227

228

229

230

231

232

233

234

235

236

237

238

239

240

241

242

243

244

245

246

247

248

249

250

251

252

253

254

255

256

257

258

259

260

261

262

263

264

265

266

267

268

269

270

271

272

273

274

275

276

277

278

279

280

281

282

283

284

285

286

287

288

289

290

291

292

293

294

295

296

297

298

299

300

301

302

303

304

305

306

307

308

309

310

311

312

313

314

315

316

317

318

319

320

321

322

323

324

325

326

327

328

329

330

331

332

333

334

335

336

337

338

339

340

341

342

343

344

345

346

347

348

349

350

351

352

353

354

355

356

357

358

359

360

361

362

363

364

365

366

367

368

369

370

371

372

373

374

375

376

377

378

379

380

381

382

383

384

385

386

387

388

389

390

391

392

393

394

395

396

397

398

399

400

กล่าวคือ พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ดังนั้น พระองค์มิทรงกระทำการกดขี่ และการกระทำของพระองค์ทั้งหมด มีความยุติธรรม

และยังเหตุผลอื่นๆที่ใช้พิสูจน์การมีความยุติธรรมของพระเจ้า ซึ่งเหตุผลทั้งหมดที่ใช้นั้น ถ้าหากว่า ไม่มีหลักการความดีและความชั่ว ถือว่า เหตุผลนั้น ไม่สมบูรณ์ เช่น

สมมุติว่า ถ้าพระเจ้ากระทำการกดขี่ คาดว่า มี  สาม ปัจจัย คือ

๑.การกระทำนี้ เกิดขึ้นจาก ความโง่เขลา

๒.การกระทำนี้ เกิดขึ้นจาก ความต้องการ

๓.การกระทำนี้ เกิดขึ้นจาก วิทยปัญญา

การคาดคะเนทั้งสอง ถือว่า ไม่ถูกต้อง เพราะพระองค์ทรงเป็น วาญิบุลวุญูด(สิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่) และพระองค์ทรงมีความรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้ ความโง่เขลา จะไม่เกิดขึ้นและความต้องการก็ไม่มีในพระองค์ด้วย และการคาดคะเนที่สาม ก็ถือว่า ไม่ถูกต้อง เช่นกัน เพราะการมีวิทยปัญญา หมายถึง การละทิ้งการกระทำที่ไม่ดีและน่ารังเกียจ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะกระทำการกดขี่

ด้วยเหตุนี้ การคาดคะเนทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถือว่า ไม่ถูกต้อง ฉะนั้น การกระทำทั้งหมดของพระเจ้า เป็นการกระทำที่มีความยุติธรรม

   ความยุติธรรมของพระเจ้าในอัล กุรอาน

    ในอัล กุรอาน มืได้ใช้คำว่า อัดล์(ความยุติธรรม) และคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน  แต่ได้อธิบายถึง การไม่มีความกดขี่ของพระเจ้าแทน ตัวอย่างเช่น

๔๐๑

“แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงอธรรมแก่มนุษย์แต่อย่างใด แต่ว่ามนุษย์ต่างหากที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง”

 (บทยูนุส โองการที่ ๔๔)

 “และพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย” (บทอัลกะฮ์ฟ โองการที่ ๔๙)

 “และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงประสงค์ซึ่งการอธรรมใด ๆ แก่ประชาชาติทั้งหลาย”

(บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๑๐๘)

ความหมายของ คำว่า อาละมีน หมายถึง โลกทั้งหลาย มีทั้ง โลกของมนุษย์ ,ญิน และโลกของมวลเทวทูต และยังหมายถึง โลกทั้งหมดหรือสากลจักรวาล จะอย่างไรก็ตาม โองการนี้กล่าวถึง การมีความยุติธรรมของพระเจ้า ที่มีความหมายกว้างกว่า ซึ่งรวมถึง โลกทั้งหลาย

และบางโองการกล่าวถึง การมีความยุติธรรมในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า

“ อัลลอฮ์ทรงยืนยันว่า แท้จริงไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น และมลาอิกะฮ์ และผู้มีความรู้ในฐานะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมนั้น” (บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๑๘)

และบางโองการกล่าวถึง การมีความยุติธรรมในการกำหนดกฏเกณฑ์ของพระเจ้า

“และเรามิได้บังคับผู้ใด เว้นแต่ความสามารถของเขา และ ณ ที่เรานั้นมีบันทึก ที่บันทึกแต่ความจริง โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอยุติธรรม” (บทอัลมุมินูน โองการที่ ๖๒)

๔๐๒

 “ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พระเจ้าของฉันได้ทรงสั่งให้มีความยุติธรรม

 (บทอัลอะอฺรอฟ โองการ ๒๙ )

เช่นเดียวกัน ในบางโองการได้ยืนยันถึง ความยุติธรรมในการตอบแทนของพระเจ้า

และเราตั้งตราชูที่เที่ยงธรรมสำหรับวันกิยามะฮ์ ดังนั้นจะไม่มีชีวิตใดถูกอธรรมแต่อย่างใดเลย”

(บทอันอัมบิยาอฺ โองการที่ ๔๗)

 “และเรามิเคยลงโทษผู้ใด จนกว่าเราจะแต่งตั้งร่อซู้ลมา” (บทอัลอิสรออฺ โองการที่ ๑๕)

ใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะอธรรมแก่พวกเขาก็หาไม่ แต่ทว่าพวกเขาอธรรมแก่ตัวของพวกเขาเองต่างหาก”

(บทอัตเตาบะฮ์ โองการ ๗๐ และบทอัรรูม โองการ ๙)

โองการนี้อธิบายเกี่ยวกับ พระองค์ทรงลงโทษกลุ่มชนที่ฉ้อฉล ดังนั้น การลงโทษของพระองค์ มิใช่ว่า พระองค์ไม่มีความยุติธรรม แต่คือ ผลตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับจากการกระทำของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาได้กดขี่ตัวของพวกเขา และแน่นอนที่สุด พระองค์มิทรงกดขี่ผู้ใด นอกเหนือจากโองการจากอัล กุรอาน ยังมีวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์

ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า

ด้วยกับความยุติธรรม ชั้นฟ้าและแผ่นดินจึงมีอยู่ได้”

(ตัฟซีรศอฟีย์ เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๖๒๘)

๔๐๓

ท่านอิมามอะลี ได้ตอบคำถามชายคนหนึ่งในความหมายของ เตาฮีดและความยุติธรรม ว่า

“เตาฮีด คือ การไม่คิดว่า พระองค์เหมือนกับสิ่งสร้างของพระองค์ และความยุติธรรม คือ การไม่กล่าวในสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงมี”

“พระเจ้าทรงบริสุทธิ์กว่าที่จะกล่าวว่า พระองค์ทรงอธรรมกับมวลบ่าวของพระองค์ และแท้จริง พระองค์ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑๘๕)

   ข้อสงสัยในความยุติธรรมของพระเจ้า

    ในประเด็นวิทยปัญญาของพระเจ้า กลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่า การมีอยู่ของความยากลำบากทั้งหลาย  ,ความเจ็บปวด และการทดสอบจากภัยธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายสำหรับมนุษย์  สิ่งเหล่านี้ไม่เข้ากันกับการมีวิทยปัญญาของพระองค์ และดังที่ๆได้อธิบายไปแล้วถึง การมีอยู่ของวิทยปัญญาที่มนุษย์เข้าไปไม่ถึง  และความเชื่อเช่นนี้ ถือว่าไม่ถูกต้อง

ณ ที่นี้ จะมาตอบข้อสงสัยทั้งหลายที่เกี่ยวกับประเด็นความยุติธรรมของพระเจ้า

ก่อนที่จะตอบคำถาม ก็จะกล่าวว่า บางทีข้อสงสัยเหล่านี้ เกี่ยวกับประเด็นของวิทยปัญญาของพระเจ้า ด้วยเหมือนกัน แต่คำตอบของข้อสงสัยดังกล่าวอยู่ในประเด็นนี้

๔๐๔

   ความยุติธรรมของพระเจ้ากับความแตกต่างที่มีอยู่ในสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย

    ในบางครั้งอาจจะคิดว่า ความแตกต่างที่มีอยู่ในสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย จะเข้ากับความยุติธรรมของพระเจ้าได้อย่างไร  เช่น ความแตกต่างในการสร้างของพระองค์ กล่าวกันว่า เพราะเหตุใดพระเจ้าสร้าง สิ่งหนึ่งเป็นมนุษย์ และสิ่งหนึ่งเป็นสัตว์ และอีกสิ่งหนึ่งเป็น พรรณพืช  และเพราะเหตุใด สัตว์ทั้งหลายและพรรณพืช จึงไม่ถูกสร้างให้เหมือนกับมนุษย์ และบางครั้ง ความแตกต่างมีอยู่ในตัวของมนุษย์เอง เช่น เพราะเหตุใด บางคนจึงตาบอด และอีกคนตาไม่บอด แต่กับมองเห็นได้เป็นอย่างดี และทำไมบางคนมีรูปร่างที่งดงาม และบางคนมีรูปร่างที่น่ารังเกียจ และด้วยเหตุใด บางคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และบางคนไม่มีเช่นนั้น และมีคำถามในทำนองเดียวกันนี้ อีกมากมาย

คำตอบ ด้วยกับหลักการดังต่อไปนี้                    

๑.ระบบของโลกแห่งธรรมชาติ เป็นระบบที่เฉพาะ มีกฏเกณฑ์ที่มั่นคงและไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  หนึ่งในกฏเกณฑ์ทั้งหลาย คือ กฏของเหตุและผล ด้วยกับหลักการนี้ ทุกสิ่งที่มีอยู่ต้องมีเหตุและผลในการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น

๒.ระบบและกฏเกณฑ์ของโลกนี้ เป็นระบบที่คงที่ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง หมายความว่า  ไม่สามารถจะกล่าวว่ามีโลกอยู่ แต่ระบบและกฏเกณฑ์นั้นมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำนองเดียวกัน จะไม่มีน้ำตาลใดที่ไม่มีความหวาน และน้ำใดที่ไม่มีความเปียกชื้น

๔๐๕

๓.สิ่งจำเป็นของการมีระบบและกฏเกณฑ์ดังกล่าว คือ การมีความแตกต่างและความหลากหลายในสรรพสิ่งที่มีอยู่ เช่น กฏของเหตุและผล บ่งบอกถึง ผลของเหตุของสิ่งทั้งหลายนั้น มีความสมบูรณ์น้อยกว่า เหตุของสิ่งนั้น และเช่นเดียวกัน การมีความสามัคคีกันระหว่างเหตุและผล ดังนั้น เมื่อมีเหตุในการเกิดขึ้นของทารกที่ตาบอด จึงทำให้ทารกนั้นเกิดขึ้นมา มีตาที่บอด

สรุปได้ว่า การมีความแตกต่างในสรรพสิ่งที่มีอยู่เป็นสิ่งจำเป็นของระบบและกฏเกณฑ์ของโลกนี้ ซึ่งไม่มีการแยกออกจากกันได้

ด้วยเหตุนี้ เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่า การใช้คำว่า การแบ่งแยกในความแตกต่างในสิ่งทั้งหลายนั้น ไม่ถือว่า ถูกต้อง เพราะการแบ่งแยกมีอยู่ในที่ๆ มีสองสิ่ง ที่มีผลประโยชน์เหมือนกัน แต่อีกสิ่งหนึ่งมีความสามารถเหนือกว่า

ดังนั้น ความแตกต่างที่มีอยู่ในสรรพสิ่งทั้งหลาย จึงไม่ขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่ทรงมีการกดขี่และการแบ่งแยก และพระองค์มิกระทำการงานที่ไม่ดีและไร้สาระ

   ความตายกับการสูญสลาย

    อีกข้อสงสัยหนึ่งที่เกี่ยวกับความยุติธรรมของพระเจ้า คือ เรื่องของความตาย บางคนคิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังความตาย เป็นการสูญสลายและการทำลาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

คำตอบ ประการแรก ความตายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโลกแห่งธรรมชาติ ที่มีความสำคัญในการดำเนินชีวิต และสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งธรรมชาตินั้น ไม่มีความเป็นถาวร

๔๐๖

ประการที่สอง ข้อสงสัยนี้ บ่งบอกถึง ความตาย คือ การสูญสลาย แต่ความเป็นจริง มิได้เป็นเช่นนั้น ความตายคือ การเคลื่อนย้ายจากโลกนี้ไปสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งความหมายนี้มิได้มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้าแต่อย่างใด

  ความสัมพันธ์ของบาปกับการถูกลงโทษในวันแห่งการตัดสิน

    ได้อธิบายไปแล้วถึง ทั้งสองข้อสงสัย  ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า  แต่เรื่องการลงโทษในวันแห่งการตัดสิน เกี่ยวกับความยุติธรรมในการตอบแทนของพระองค์

พื้นฐานของข้อสงสัยนี้  คือ สติปัญญาเป็นตัวกำหนดถึง ความสัมพันธ์ของความบาปกับการถูกลงโทษ ดังนั้น สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฏจราจร ไม่สมควรที่จะถูกลงโทษเหมือนผู้ที่ทำความผิดร้ายแรง

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในกฏหมายอิสลามได้กำหนดว่าการลงโทษในความบาปทั้งหลายนั้น มีความรุนแรงมากทีเดียว เช่น  อัล กุรอานกล่าวว่า ผู้ที่ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา เขาจะถูกลงโทษโดยการให้อยู่ในนรกตลอดกาล ด้วยเหตุนี้ การถูกลงโทษในวันแห่งการตัดสิน ไม่มีความเหมาะสมกับบ่าวและบาปที่เขากระทำ ซึ่งเหล่านี้ มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

คำตอบ ก็คือ มีความแตกต่างกันระหว่างการลงโทษที่มนุษย์เป็นผู้กำหนดขึ้นมากับการลงโทษของพระเจ้าในวันแห่งการตัดสิน เพราะว่า การลงโทษของมนุษย์ เป็นกฏหมายที่ถูกกำหนด ด้วยเหตุนี้ ในระบอบสิทธิมนุษยชน บางที การลงโทษมีมากมายในความผิดเดียว

๔๐๗

 และเช่นเดียวกัน เป้าหมายของการลงโทษในโลกนี้ เพื่อเป็นข้อเตือนใจในความผิดของตนเองและเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ครอบครัวและชนรุ่นหลังด้วย  แต่การลงโทษของพระเจ้า มิใช่การกำหนดดังกล่าว แต่เป็นผลของการกระทำที่มนุษย์ได้กระทำในโลกนี้  เช่น การดื่มยาพิษ ผลของมัน คือ การหลีกเลี่ยงจากการกระทำนั้น มิใช่ว่า การดิ่มยาพิษ มีโทษถึงตาย

บางโองการจากอัล กุรอาน กล่าวถึง ความสัมพันธ์ของการถูกลงโทษกับความบาปทั้งหลาย

และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ปรากฏอยู่ต่อหน้าและพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย”

(บทอัลกะฮ์ฟ โองการที่ ๔๙ )

“วันที่แต่ละชีวิตจะพบความดีที่ตนได้ประกอบไว้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้า และความชั่วที่ตนได้ประกอบไว้ด้วย แต่ละชีวิตนั้นชอบ หากว่าระหว่างตนกับความชั่วนั้นจะมีระยะทางที่ห่างไกล และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีต่อปวงบ่าวทั้งหลาย” (บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๓๐ )

ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ของการลงโทษในวันแห่งการตัดสินกับการกระทำของมนุษย์ มืได ้เหมือนกับการลงโทษที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเอง เพื่อที่จะกล่าวว่า การลงโทษของพระเจ้านั้น มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า แต่การลงโทษของพระเจ้า คือ ผลตอบแทนในการกระทำที่ไม่ดีของมนุษย์

๔๐๘

   ความยุติธรรมของพระเจ้ากับความเจ็บปวดและความยากลำบากของมนุษย์

   การมีความเจ็บปวดและความยากลำบากทั้งหลาย ความป่วยไข้ การทดสอบจากภัยธรรมชาติและภัยทางสังคม เป็นอีกข้อสงสัยหนึ่งในความยุติธรรมของพระเจ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เข้ากันกับความยุติธรรมของพระเจ้า

สำหรับคำตอบ ก็คือ นอกเหนือจากที่ได้ตอบไปแล้วนั้น สามารถกล่าวได้ว่า ความเจ็บปวดและความยากลำบาก เกิดขึ้นจาก สองสภาพต่อไปนี้

๑.บางส่วนของความเจ็บปวด เกิดจากการกระทำของมนุษย์และผลของการกระทำบาปของเขา ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่มีเจตนารมณ์เสรีในการกระทำ และบางคนเลือกที่จะปฏิบัติความชั่ว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้รับการตอบแทนในการกระทำของเขา

ดังนั้น ผลของความเจ็บปวดและความยากลำบาก เกิดขึ้นมาจากการกระทำของมนุษย์เอง ซึ่งก็มิได้มีความขัดแย้งกันกับความยุติธรรมของพระเจ้า

อัล กุรอานได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในหลายโองการ โดยกล่าวว่า ส่วนมากความยากลำบาก เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์เอง

๔๐๙

๒.บางส่วนของความข่มขืนไม่มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์และไม่มีการลงโทษในวันแห่งการตัดสินด้วย เช่น ความเจ็บปวดของเด็กที่มิได้กระทำบาปใดเลย เขาจะไม่ถูกลงโทษจากพระเจ้า  ในเรื่องนี้ บรรดานักเทววิทยาอิสลามอิมามียะฮ์ เชื่อว่า ความยุติธรรมของพระเจ้า บ่งบอกถึง การทดแทนพวกเขาทั้งหลายด้วยความเจ็บปวดนี้ หมายความว่า พระองค์ทรงประทานรางวัลที่ดีงามให้กับเขา ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกหน้า เพื่อเป็นการทดแทนความเจ็บปวดที่เขาทุกข์ทรมาน  ด้วยเหตุนี้ การมีความเจ็บปวดและความยากลำบาก มิใช่สิ่งที่ขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

ความยุติธรรมอัดล์     :justice

ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์อัดล์ ตักวีนีย์

ความยุติธรรมในการกำหนดบทบัญญัติอัดล์ตัชรีอีย์

ความยุติธรรมในการตอบแทนผลรางวัลและลงโทษอัดล์ ญะซาอีย์

   สรุปสาระสำคัญ

๑.ประเด็นความยุติธรรมของพระเจ้า เป็นหนึ่งในรากฐานของหลักศรัทธาอิสลาม และเป็นหนึ่งในหลักศรัทธาทั้งห้าของศาสนาหรือสำนักคิด ความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า นอกจากมีผลในโลกทรรศน์และการรู้จักพระเจ้า ยังมีผลในการอบรมสั่งสอน สำหรับมนุษย์และสังคมด้วย

๒.บรรดานักเทววิทยาอิสลามอิมามียะฮ์และมุอฺตะซิละฮ์ ที่รู้จักกันใน อัดลียะฮ์ มีความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า ในทางตรงกันข้าม สำนักคิดอัขอะรีย์ ไม่เชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า

๔๑๐

๓.รากฐานหนึ่งของความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า คือการยอมรับในหลักความดีและความชั่วทางสติปัญญา เพราะว่า ด้วยหลักการนี้ ความยุติธรรม คือ การกระทำที่ดี ความกดขี่ คือ การกระทำที่ไม่ดีและพระเจ้ามิกระทำการกระทำที่ไม่ดี และเหตุผลของฝ่ายที่ปฏิเสธความยุติธรรมของพระองค์ ถือว่า เหตุผลดังกล่าวไม่สมบูรณ์และไม่ถูกต้อง

๔.ความยุติธรรมมีหลายความหมาย ดังนี้

(๑) การรักษาความเท่าเทียมกันและความเสมอภาค

(๒)การรักษาไว้ซึ่งสิทธิของผู้อื่นและการออกห่างจากการแบ่งแยก

และความหมายที่ถูกต้องและสมบูรณ์คือ การวางสิ่งหนึ่งในที่ๆของมัน ในสถานที่เหมาะสมกับมัน พื้นฐานของนิยามนี้ คือ ในโลกแห่งการสร้างสรรค์และกำหนดบทบัญญัติของพระเจ้า มีทุกสิ่งที่ต้องอยุ่ในที่ๆของสิ่งนั้น และความยุติธรรมก็คือ การักษาสิ่งนั้นให้อยู่ในที่ๆของสิ่งนั้น

๕.ความยุติธรรมของพระเจ้ามี สามประเภท ดังนี้

(๑) ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์

(๒) ความยุติธรรมในการกำหนดบทบัญญัติ

(๓) ความยุติธรรมในการตอบแทนผลรางวัลและการลงโทษ

ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์ หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานปัจจัยยังชีพและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมให้กับสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์

๖.ความหมายของความยุติธรรมในการกำหนดบทบัญญัติ มี สอง ความหมาย ดังนี้

(๑) พระเจ้าทรงกำหนดบทบัญญัติและกฏต่างๆเพื่อทำให้มนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์และความผาสุก

(๒) และพระองค์มิได้รับสั่งให้มนุษย์ปฏิบัติในสิ่งที่เขาไม่มีความสามารถ

๔๑๑

๗.ความยุติธรรมในการตอบแทนผลรางวัลและการลงโทษ หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าทรงให้รางวัลที่เหมาะสมกับการกระทำของมวลบ่าวของพระองค์ ผู้ที่กระทำความดี จะได้รับรางวัลที่ดี และผู้ที่กระทำความชั่ว จะถูกลงโทษในความผิดของเขา

๘.เหตุผลของบรรดานักเทววิทยาอิสลามที่ใช้ในการพิสูจน์ความยุติธรรมของพระเจ้า มีความเกี่ยวข้องกับหลักความดีและความชั่วทางสติปัญญา

๙.โองการทั้งหลายของอัล กุรอานได้อธิบายถึง ความยุติธรรมของพระเจ้า และวจนะทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน

๑๐.บางกลุ่มชนมีความคิดว่า การมีความแตกต่างในสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า  สำหรับคำตอบก็คือ ความแตกต่างเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโลกแห่งธรรมชาติ ที่ไม่มีวันแยกออกจากกันได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความแตกต่างในโลกใบนี้

๑๑.ความตายของมนุษย์ มิได้หมายถึง การไม่มีและการสูญสลาย แต่มีความหมายว่า คือ การเคลื่อนย้ายจากโลกนี้ไปสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งมิได้มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

๑๒.การลงโทษในวันแห่งการตัดสิน คือ ผลของการกระทำของมนุษย์ และมิใช่การลงโทษที่เหมือนกับการลงโทษของมนุษย์ที่เขากำหนดกฏและระเบียบขึ้นมาเอง และไม่มีความเหมาะสมกับความผิดของผู้ที่ฝ่าฝืนสักเท่าไร

๑๓.ความยุติธรรมของพระเจ้า บ่งบอกว่า ความเจ็บปวดและความยากลำบากที่ผู้มิได้กระทำความผิดต้องทนทุกข์ทรมาน เขาจะได้รับการทดแทนจากพระองค์

๔๑๒

บทที่ ๔

   การกำหนดกฏสภาวะและจุดหมายปลายทางของมนุษย์ (กอฎออฺและกอดัร)

 บทนำเบื้องต้น

  เรื่องการกำหนดกฏสภาวะและจุดหมายปลายทาง (กอฎออฺและกอดัร) เป็นประเด็นที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในเทววิทยาอิสลาม และที่รู้จักกันในประเด็นนี้ ก็คือ เรื่องของชะตาชีวิตหรือชะตากรรม ซึ่งมีความสัมพันธ์กับมนุษย์และการดำเนินชีวิตของเขาโดยตรง และมิใช่ประเด็นทีเกี่ยวกับการใช้สติปัญญาของบรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลามเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เรื่องของชะตากรรม จึงเป็นเรื่องที่ความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ และในสังคมของมนุษย์ จนกระทั่ง บรรดานักกวีและนักประพันธ์ได้เรียบเรียงเรื่องราวที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้มากมาย และในทัศนะของนักปราชญ์และผู้ที่มีศรัทธาต่อพระเจ้า มีความเห็นว่า ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความรู้และความประสงค์ของพระองค์  ส่วนความเห็นของผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า กล่าวว่า ชะตากรรม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากเหตุผลของวัตถุและธรรมชาติ

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่า เรื่องของกอฎออฺและกอดัร จึงเป็นหลักศรัทธาหนึ่งของอิสลาม และได้มีหนังสือและตำรามากมายที่เขียนเกี่ยวกับประเด็นนี้ และก็ไม่มีความแตกต่างอันใดเหลืออยู่ และจะขออธิบายถึงหลักการนี้ในมุมมองของสำนักคิดทั้งหลายในอิสลาม เป็นลำดับต่อไป

๔๑๓

    ความหมายของ กอฎออฺ และ กอดัร

   กอดัร ในทางภาษาหมายถึง ขนาด และจำนวนของสิ่งหนึ่ง ส่วนกอฏออ์ มีหลายความหมาย คือ การตัดสิน และภาวะที่แน่นอนตายตัว  ทั้งสองคำ มีคำที่มีความคล้ายคลึงกัน ถูกกล่าวในโองการและวจนะทั้งหลาย และจากนี้ไปจะอธิบายบางส่วนต่อไป

   ประเภทของกอฎออฺ และกอดัร

   เพื่อการเข้าใจให้กระจ่างชัดในประเด็นนี้ สามารถแบ่งประเภทของกอฎออฺและกอดัร ได้ สอง ประเภท ด้วยกัน

๑.กอฎออฺและกอดัร อิลมีย์ (การกำหนดสภาวะในความรู้)

๒.กอฎออฺและกอดัร อัยนีย์ (การกำหนดสภาวะในความเป็นจริง)

เช่นเดียวกันการแบ่งประเภทของกอฎออฺและกอดัรอีกประเภท คือ ถูกแบ่งออกเป็น สอง ประเภท ดังนี้

กอฎออฺและกอดัรโดยเฉพาะ และกอฎออฺและกอดัรโดยทั่วไป

และจะเริ่มต้นด้วยกับประเภทแรก นั่นคือ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ (การกำหนดสภาวะทางความรู้) หลังจากนั้น จะอธิบายประเภทอื่น เป็นลำดับต่อไป

๔๑๔

   กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ (การกำหนดกฏสภาวะในความรู้)

   ความหมายของกอดัรอิลมีย์ คือ พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความรู้ในลักษณะ ,ขนาด และขอบเขตของสิ่งหนึ่งก่อนการสร้างของสิ่งนั้น ลักษณะของสิ่งที่มิใช่วัตถุ คือ ลักษณะที่มีอยู่ในตัวของสิ่งนั้น และลักษณะของสิ่งที่เป็นวัตถุ คือ นอกเหนือจากมีลักษณะที่เฉพาะตัวแล้ว ยังมีลักษณะความต้องการ เวลา ,สถานที่ ,มิติต่างๆ และขนาดและอื่นๆ ดังนั้น พระเจ้าทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า สิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ มีลักษณะเป็นเช่นไร

ส่วนกอฎออฺอิลมีย์ หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้ว่ามีความจำเป็นที่สิ่งหนึ่งต้องมีอยู่และเกิดขึ้น เมื่อมีปัจจัยและองค์ประกอบสมบูรณ์ หมายความว่า พระเจ้าทรงรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า ทุกสิ่งที่มีอยู่จะเกิดขึ้นในสภาพใดและมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ทำให้สิ่งนั้นมีอยู่ ดังนั้น จะกล่าวได้ว่า ความรู้ที่มีมาดั้งเดิมของพระองค์ ในสิ่งที่มีอยู่ คือ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ จึงย้อนกลับไปหายัง ความรู้ของพระเจ้า และเป็นหนึ่งในสาขาของคุณลักษณะนี้ ด้วยกับหลักการนี้ สามารถกล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงมีความรู้ในทุกสิ่งที่มีอยู่ และรู้ว่าสิ่งนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไรและเกิดขึ้นในสภาพใด สิ่งเหล่านี้ ที่เรียกกันว่า ชะตากรรม

๔๑๕

กอฎออฺและกอดัร อัยนีย์ (การกำหนดสภาวะในความเป็นจริง)

   ความหมายของกอดัรอัยนีย์ คือ การกำหนดลักษณะและคุณลักษณะที่มีอยู่ในตัวของสิ่งหนึ่ง จากพระผู้เป็นเจ้า 

ส่วนความหมายของกอฎออฺอัยนีย์ คือ พระเจ้าทรงให้ความจำเป็นกับสิ่งที่มีอยู่และทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทุกสิ่งที่มีอยู่ มี สอง สภาพ ดังนี้

สภาพแรก คือ การมีอยู่ของสิ่งหนึ่ง บนพื้นฐานของหลักเหตุและผล 

สภาพที่สอง คือ การมีลักษณะที่เฉพาะของสิ่งนั้น

ดังนั้น ทั้งสองสภาพ คือ ความหมายของกอฏออฺและกอดัรอัยนีย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ความประสงค์ของพระเจ้า

การสังเกตุในความหมายของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ มีหลายประเด็นที่ควรรู้ ดังนี้

๑.ความแตกต่างของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์กับกอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ก็คือ กอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ มิได้มีมาก่อนสิ่งที่มีอยู่ แต่ได้เกิดขึ้นมาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น

๒.กอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ เป็นลักษณะหนึ่งในการสร้างของพระเจ้า และสามารถกล่าวว่า กอฎออฺและกอดัรนั้น ย้อนกลับไปหา คุณลักษณะการเป็นผู้สร้างของพระองค์

๔๑๖

๓.การกำหนดของแต่ละสิ่ง มีระดับขั้นการมีอยู่ที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ การกำหนดของสิ่งที่มิได้เป็นวัตถุ คือ การกำหนดที่มีอยู่เฉพาะตัวของสิ่งนั้น แต่การกำหนดของสิ่งที่เป็นวัตถุ คือ การกำหนดในสภาวะการมีอยู่ในเวลา ,สถานที่ และคุณลักษณะอื่นๆ เช่น ความสวยงาม ,ความสมบูรณ์ และฯลฯ

   ชะตากรรมและการเลือกสรรของมนุษย์

   หนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่เกี่ยวกับกอฎออฺและกอดัร คือ ประเด็นที่มีความสัมพันธ์กับการเลือกสรรและการเป็นอิสระในการกระทำของมนุษย์ ซึ่งจากความหมายของกอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ บ่งบอกว่า พระเจ้าทรงมีความรู้มาก่อนที่การกระทำทั้งหลายของมนุษย์จะเกิดขึ้น และพระองค์ทรงทราบดีว่า มีลักษณะเป็นเช่นไร และเช่นเดียวกัน กอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ ก็บ่งบอกถึง ความประสงค์ของพระองค์ว่า แน่นอน ย่อมมีบทบาทต่อการเกิดขึ้นของการกระทำของมนุษย์  ด้วยสาเหตุนี้ บางคนก็คิดว่า กอฎออฺและกอดัรนั้นไม่เข้ากันกับการเลือกสรรของมนุษย์ และแทนที่มนุษย์จะเป็นผู้ที่แสดงบทบาท กลายเป็นผู้ชมการแสดงที่ถูกกำหนดไว้ ซึ่งเขาไม่มีอิสระในการกระทำ ดังนั้น กอฎออฺและกอดัร จึงเป็นความเชื่อของกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่า ทุกการกระทำของมนุษย์ เป็นการบังคับจากพระเจ้า ในขณะที่อัล กุรอานได้เน้นย้ำในการเลือกสรรของมนุษย์ และได้ตอบข้อสงสัยของพวกผู้ตั้งภาคีที่มีความเชื่อในการบังคับ และบางทีเรียกกลุ่มหนึ่งในอิสลามว่า กอดะรียะฮ์ โดยที่พวกเขากล่าวว่า ความเชื่อในกอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า มีความขัดแย้งกับการเลือกสรรของมนุษย์

๔๑๗

คำตอบ ที่สรุปได้ก็คือ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ของพระเจ้าที่มีต่อการกระทำของมนุษย์นั้น มิได้เป็นสภาพที่ไร้ขอบเขต แต่เป็นกอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ต่อการกระทำที่มีคุณสมบัติครบสมบูรณ์และพร้อมที่จะเกิดขึ้น และหนึ่งในคุณสมบัติก็คือ การเลือกสรร และความประสงค์ของมนุษย์ที่มีผลทำให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น ดังนั้น พระเจ้าทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า มนุษย์ได้กระทำการกระทำของตนเองด้วยการเลือกสรรของเขาเอง  และในสภาพเช่นนี้ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ของพระองค์ ก็มิได้มีความขัดแย้งกับการเลือกสรรของมนุษย์เลย แต่ทว่า เป็นการเน้นย้ำอีกครั้ง และด้วยเหตุนี้ ความรู้ของพระเจ้า จึงครอบคลุมในการเกิดขึ้นการกระทำ(ผล)ของผู้กระทำ (เหตุ) ที่มีคุณสมบัติครบสมบูรณ์ และถ้าหากว่า ผู้กระทำที่ไม่มีอิสระในการกระทำ เช่น ไฟที่ทำให้ความร้อนเกิดขึ้นมานั้น ความรู้ของพระเจ้าจึงมีต่อการเกิดขึ้นในการกระทำที่ไม่มีการเลือกสรร หมายความว่า พระองค์ทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า การกระทำที่ไม่มีอิสระการเลือกสรร เช่น ไฟนั้น จะทำให้เกิดความร้อนในเวลาและสถานที่ได้เฉพาะ แต่ถ้าหากว่า ผู้กระทำมีการเลือกสรร เช่น การกระทำของมนุษย์ และสิ่งที่กำหนดจาก พระเจ้า คือ การเกิดขึ้นของการกระทำที่มนุษย์เป็นผู้กระทำด้วยกับการเลือกสรรของเขา

สำหรับในเรื่องของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ ก็มีคำตอบเช่นเดียวกัน ดังนั้น การเกิดขึ้นของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ มิได้มีสภาพโดยตรงจากพระเจ้า แต่เป็นการเกิดขึ้นของการกระทำที่มีเหตุและผลในระบบหลักด้วยเหตุและผล และความประสงค์ของมนุษย์ เป็นหนึ่งในพื้นฐานของการกระทำที่มีความเป็นอิสระในตัวเอง

๔๑๘

 กอฎออฺและกอดัรก็มีผลต่อการเกิดขึ้นของการกระทำนั้น ด้วยเหตุนี้ การกำหนดจากพระเจ้าและการเกิดขึ้นของการกระทำที่มีอิสระ มิได้มีความขัดแย้งกับการเป็นอิสระและการเลือกสรรของมนุษย์เลย

   กอฎออฺและกอดัรโดยทั่วไป

    สิ่งที่กล่าวไปแล้ว คือ กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า ที่มีต่อการเกิดขึ้นของการกระทำที่เฉพาะ และกอฎออฺและกอดัรอัยนี ยังมีความหมายกว้าง ซึ่งรวมถึงกฏเกณฑ์และหลักการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และสังคม ด้วยเหตุนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิม ในกฏเกณฑ์ต่างๆที่มีอยู่ในสังคมของมนุษย์  เช่น กฏที่ว่าด้วยหลักของเหตุและผล เป็นกฏทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับกอฎออฺและกอดัรของพระองค์

   กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า ในอัล กุรอาน และวจนะ

   ดั่งที่ได้กล่าวไปแล้วว่า มีโองการทั้งหลายและวจนะมากมายกล่าวถึง กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า  เช่น

วจนะจากท่านอิมาม ริฎอ (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

“เกาะดัร หมายถึง การกำหนดขนาดของสิ่งหนึ่งโดยพิจารณาจากการคงอยู่ และสูญสลาย ส่วนกอฏออ์ หมายถึงการเกิดที่แน่นอนของสิ่งหนึ่ง”

(อุศูล อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๕๘)

 “กอดัร หมายถึง การกำหนดขนาดจากด้านยาว,กว้าง และการคงอยู่ของสิ่งหนึ่ง

๔๑๙

หลังจากนั้นกล่าวอีกว่า

“แท้จริงอัลลอฮฺทรงมีความต้องการที่จะให้สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น พระองค์ก็ทรงประสงค์ เมื่อพระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ก็ทรงกำหนด เมื่อพระองค์ทรงกำหนด พระองค์ก็ทำให้สื่งนั้นเกิดขึ้น เมื่อทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น พระองค์ก็อนุมัติ”

(บิฮารุลอันวาร เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๑๒๒ )

อัล กุรอานกล่าวว่า

และมิเคยปรากฏแก่ชีวิตใดที่จะตายนอกจากด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์เท่านั้น ทั้งนี้เป็นลิขิตที่ถูกกำหนดไว้”

(บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๑๔๕)

“และอัลลอฮ์ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากฝุ่นดิน แล้วก็มาจากเชื้ออสุจิ แล้วทรงทำให้พวกเจ้าเป็นคู่สามีภริยา และจะไม่มีหญิงใดตั้งครรภ์และนางจะไม่คลอด เว้นแต่ด้วยความรอบรู้ของพระองค์ และไม่มีผู้สูงอายุคนใดจะถูกยืดอายุออกไป และอายุของเขาก็จะไม่ถูกตัดทอน เว้นแต่อยู่ในบันทึก (ของพระองค์) แท้จริง นั่นเป็นการง่ายดายสำหรับอัลลอฮ์” (บทอัลฟาฏิร โองการที่ ๑๑ )

 “ไม่มีเคราะห์กรรมอันใดเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ และไม่มีแม้แต่ในตัวของพวกเจ้าเอง เว้นแต่ได้มีไว้ในบันทึกก่อนที่เราจะบังเกิดมันขึ้นมา แท้จริงนั่นมันเป็นการง่ายสำหรับอัลลอฮ์”

(บทอัลหะดีด โองการที่ ๒๒)

 “ดังนั้นพระองค์ทรงสร้างมันสำเร็จเป็นชั้นฟ้าทั้งเจ็ดในระยะเวลา ๒ วัน และทรงกำหนดในทุกชั้นฟ้าหน้าที่ของมัน”

(บทอัลฟุศศิลัต โองการที่ ๑๒ )

๔๒๐

421

422

423

424

425

426

427

428

429

430

431

432

433

434

435

436

437

438

439

440

เพราะว่า ด้วยกับการมีพลังอำนาจและความประสงค์ของพระองค์ และอยู่ใต้อำนาจการตัดสินของพระองค์ จึงเป็นการกระทำของพระองค์ และการมีอยู่ของมนุษย์และการกระทำของเขา เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง  และการเข้าใจในทั้งสองความสัมพันธ์นั้นมีความยากลำบาก และเพื่อการเข้าใจง่าย จึงได้นำตัวอย่างมาเปรียบเทียบ เช่น บางทีกล่าวว่า ความสัมพันธ์ของการกระทำของพระเจ้า กับการกระทำของมนุษย์ เหมือนกับความสัมพันธ์ของนักเขียนกับปากกาของเขา ดังนั้นการเขียน เป็นการกระทำของผู้เขียนและเป็นการกระทำของมือที่จับปากกา

แต่การเปรียบเทียบนี้ถือว่า ไม่ถูกต้อง เพราะว่า มือของผู้เขียนมิได้มีความเป็นอิสระ ส่วนประเด็นของเรา เป็นประเด็นที่การกระทำมีความเป็นอิสระ และอีกตัวอย่างหนึ่ง คือ  ชายคนหนึ่งทิ่มือทั้งสองของเขาใช้งานไม่ได้ เขาต้องใช้มือที่แพทย์ได้สร้างมันขึ้นมา และมีความสามารถเคลื่อนไหวมือของเขาไปตามทิศทางที่เขาต้องการ  และสมมุติว่า มีคนหนึ่งถือกุญแจในการเปิดให้เครื่องจักรนั้นทำงาน และถ้าเขาไม่กดสวิทต์นั้น

เครื่องจักรก็ไม่ทำงาน ซึ่งจะเห็นได้ว่า การกระทำนี้มีความสัมพันธ์กับทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นผู้เปิดสวิทต์ และอีกคนมีหน้าที่ในการเคลื่อนไหวมือทั้งสองของเขา ตามความประสงค์ของเขา

๔๔๑

   ทัศนะอัมรุน บัยนะอัมร็อยน์ในอัล กุรอานและวจนะ

   ทัศนะของบรรดานักเทววิทยาในสำนักคิดอิมามียะฮ์ เป็นทัศนะที่สอดคล้องกับโองการทั้งหลายของ

อัล กุรอาน

ซึ่งอัล กุรอานได้กล่าวว่า มนุษย์มีอิสระในการกระทำของตนเอง เช่น ในโองการต่อไปนี้

และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัด สัจธรรมนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้า ดังนั้น ผู้ใดประสงค์ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็จงปฏิเสธ” (บทอัลกะฮฟ์ โองการที่ ๒๙ )

 “และบรรดาผู้ศรัทธา บรรดาลูกหลานของพวกเขาจะดำเนินตามพวกเขาด้วยการศรัทธา เราจะให้ลูกหลานของพวกเขาอยู่ร่วมกับพวกเขา และเราจะไม่ให้การงานของพวกเขาลดหย่อนลงจากพวกเขาแต่อย่างใด แต่ละคนย่อมได้รับการค้ำประกันในสิ่งที่เขาขวนขวายไว้”

 (บทอัฏฏูร โองการที่ ๒๑ )

 “แท้จริงเราได้ชี้แนะแนวทางให้แก่เขาแล้ว บางทีเขาก็เป็นผู้กตัญญู และบางทีเขาก็เป็นผู้เนรคุณ”  (บทอัลอินซาน โองการที่ ๓ )

 “ผู้ใดกระทำความดีก็จะได้แก่ตัวของเขา และผู้ใดกระทำความชั่วก็จะได้แก่ตัวของเขาเอง และพระเจ้าของเจ้านั้นมิทรงอธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์” (บทอัลฟุศศิลัต โองการที่ ๔๖ )

๔๔๒

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีโองการมากมายที่กล่าวถึง ทุกการกระทำของทุกสิ่ง ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากพระเจ้า และความต้องการของมนุษย์ ก็ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากพระองค์ ดั่งโองการเหล่านี้

“และพวกเจ้าจะไม่ประสงค์สิ่งใด เว้นแต่ อัลลอฮ์พระเจ้าแห่งสากลโลกจะทรงประสงค์”

(บทอัตตักวีร โองการที่ ๒๙)

“จงกล่าวเถิดว่า (มุฮัมมัด) ว่าฉันไม่มีอำนาจที่จะครอบครองประโยชน์ใด ๆ และโทษใด ๆ ไว้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ตัวของฉันได้ นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น” (บทอัลอะอฺรอฟ โองการที่ ๑๘๘)

 “และมิเคยปรากฏว่าชีวิตใดจะศรัทธา เว้นแต่ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และพระองค์จะทรงลงโทษแก่บรรดาผู้ไม่ใช้สติปัญญา” (บทยูนุส โองการที่ ๑๐๐ )

จะเห็นได้ว่า อัล กุรอานได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไม่ยอมรับทัศนะญับร์และทัศนะตัฟวีฎ มีเพียงทัศนะเดียวที่ถูกต้อง นั่นคือ ทัศนะของอิมามียะฮ์ ซึ่งได้รวมทั้งการกระทำของมนุษย์และการกระทำของพระเจ้า

นอกเหนือจากนี้ ยังมีโองการอื่นอีกที่กล่าวยืนยันถึงการกระทำหนึ่งที่เป็นทั้งการกระทำของพระเจ้าและของมนุษย์ เช่น โองการนี้ที่กล่าวว่า

“พวกเจ้ามิได้ฆ่าพวกเขา แต่ทว่าอัลลอฮ์ต่างหากที่ทรงฆ่าพวกเขา และเจ้ามิได้ขว้างดอกขณะที่เจ้าขว้าง แต่ทว่าอัลลอฮ์ต่างหากที่ขว้าง” (บทอัลอัมฟาล โองการที่ ๑๗ )

๔๔๓

โองการนี้ใช้คำว่า เจ้ามิได้ขว้างปา ในขณะที่ขว้างปา จะเห็นได้ว่า กริยา เช่น การขว้างปา เป็นทั้งการกระทำของศาสดาและเป็นการกระทำของพระผู้เป็นเจ้า  จากคำกล่าวนี้ซึ่งตรงกับการอธิบายของทัศนะอัมรุน บัยนุลอัมร็อยน์  เพราะทัศนะนี้ได้กล่าวว่า การกระทำที่เป็นอิสระของมนุษย์ เป็นการกระทำของเขา และการกระทำของพระเจ้า

นอกจากโองการเหล่านี้ ยังมีวจนะที่ยืนยันในทัศนะของอิมามียะฮ์อีกด้วย เช่น

วจนะจากท่านอิมามบากิร และท่านอิมามซอดิก (ขอความสันติพึงมีแด่ท่านทั้งสอง)

“แท้จริง อัลลอฮ์ ทรงมีเมตตากว่าที่จะบังคับให้มวลบ่าวของพระองค์กระทำความผิดและบาปทั้งหลาย แล้วก็ทรงลงโทษพวกเขา และพระองค์ทรงมีเกียรติกว่าที่จะประสงค์ในสิ่งหนึ่ง แล้วสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น

หลังจากนั้น ได้ถามอิมามทั้งสองว่า

ในระหว่างการบังคับกับกอดัร(การกำหนดสภาวะและชะตากรรม)ของมนุษย์ ยังมีระดับขั้นอื่นอีกใช่หรือไม่?

อิมามทั้งสองตอบว่า

ใช่ ยังมีอีกระดับขั้นหนึ่ง ที่กว้างกว่าชั้นฟ้าและแผ่นดิน”

(อัตเตาฮีด ศอดูก บาบที่ ๕๙  วจนะที่ ๓ หน้าที่ ๓๖๐ )

๔๔๔

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

ญับร์ หมายถึง การบังคับ: Compulsion

อิคติยาร หมายถึง เจตจำนงเสรี: Free will

กัสบ์   หมายถึง การได้มาด้วยอำนาจ  Acquision

ตัฟวีฎ  หมายถึง การมอบอำนาจในการงานต่อพระเจ้า: Empowerment

อัมรุนบัยนะอัมร็อยน์  หมายถึง แนวทางสายกลาง

   

   สรุปสาระสำคัญ

๑การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ (ญับร์และอิคติยาร) เป็นประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน และเป็นข้อวิพากษ์กันในหมู่ของบรรดานักวิชาการอิสลาม โดยเฉพาะในสำนักคิดทั้งหลายของเทววิทยา จะเห็นได้ว่า มี ๒ ทัศนะที่สำคัญในประเด็นนี้

(๑.)ทัศนะของกลุ่มที่มีความเชื่อในญับร์(การบังคับ)และได้กล่าวว่า ตนไม่มีอิสระเสรีในการกระทำ

(๒.) ทัศนะของกลุ่มที่เชื่อในอิคติยาร (การเป็นอิสระ) กล่าวว่า มนุษย์มีอิสระเสรีในการกระทำ

๒.เรื่องของการบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ มิได้มีจำกัดเฉพาะกับเทววิทยาอิสลามเท่านั้น แต่ในศาสตร์และวิชาการทั้งหลายของอิสลาม ก็มีความสัมพันธ์ในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน บางครั้ง เรื่องของญับร์และอิคติยารเกี่ยวข้องกับเทววิทยา และปรัชญาอิสลาม และบางครั้ง เรื่องนี้ก็มีความสัมพันธ์กับมนุษยศาสตร์ด้วย

๔๔๕

 

๓.เรื่องของการบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ ในมุมมองของประวัติศาสตร์เทววิทยาอิสลาม มีด้วยกัน

๓ ทัศนะที่สำคัญ ดังนี้

๑.ทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์ คือ ญับร์ หมายถึง พวกเขามีความเชื่อว่า มนุษย์ถูกบังคับให้กระทำจากพระเจ้าในทุกการกระทำ

๒.ทัศนะของสำนักคิดมุอฺตะซิละฮฺ คือ ตัฟวีฎ  หมายถึง พวกเขามีความเชื่อว่า พระเจ้าได้มอบหมายกระทำให้กับมนุษย์ และพระองค์มิได้มีบทบาทใดในการกระทำของเขา

๓.ทัศนะของสำนักคิดอิมามียะฮ์ ก็คือ อัมรุน บัยนะอัมร็อยน์ หมายถึง การเชื่อว่ามนุษย์มีอิสระในการกระทำ

ซึ่งทัศนะนี้ได้รับมาจากวจนะของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (ขอความสันติพึงมีแด่พวกท่าน)ที่ได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีการบังคับจากพระเจ้าและการมอบหมายจากพระองค์ นอกจากการมีระหว่างสองสิ่ง (การบังคับกับการมอบหมาย)

๔. มนุษย์ทุกคนมีความรู้สึกว่า ตนเองมีอิสระและเจตนารมณ์เสรีในการกระทำ ด้วยเหตุนี้ เมื่อสามารถตอบข้อสงสัยบางประการที่เกี่ยวกับ การเป็นอิสระในการกระทำของตน จนในที่สุด ก็ยอมรับว่า การกระทำของเขา เป็นการบังคับจากพระเจ้า

๕.พื้นฐานหนึ่งของสำนักคิดอัชอะรีย์ คือ ความรู้ที่มาดั้งเดิมของพระเจ้า และความสัมพันธ์กับการกระทำของมนุษย์  ซึ่งมิได้มีความขัดแย้งกับการกระทำที่เป็นอิสระของมนุษย์

๔๔๖

๖.อีกพื้นฐานหนึ่งของทัศนะญับร์ ก็คือ ความประสงค์อันสมบูรณ์และไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า สำนักคิดอัชอะรีย์มีความเชื่อว่า ทุกการกระทำที่มีอยู่ และการกระทำของมนุษย์ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระองค์ ดังนั้น มนุษย์จึงไม่มีบทบาทในการกระทำของเขา และไม่มีอิสระ ตรงกันข้ามกับทัศนะนี้ คือ ทัศนะของสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์ ที่มีความเชื่อว่า การกระทำของมนุษย์มิได้เป็นความประสงค์ของพระเจ้า

๗.ความเป็นจริงก็คือ ความประสงค์ของพระเจ้า รวมทั้งการกระทำของมนุษย์ด้วย เพราะว่า สิ่งที่สร้างสัมพันธ์กับการกระทำของมนุษย์ คือ ความประสงค์ของพระองค์ แต่การกระทำของมนุษย์ ในสภาพที่มีความเป็นอิสระ

กล่าวอีกนัยก็คือ พระเจ้าทรงประสงค์ในการกระทำที่เป็นอิสระของมวลบ่าวของพระองค์ และให้เขาปฏิบัติการกระทำของพวกเขา และตัดสินใจด้วยตนเอง

๘.ทัศนะของญับร์ เมื่อได้เปรียบเทียบกับมโนธรรมของมนุษย์ จะเห็นได้ว่า มีความขัดแย้งกัน ด้วยเหตุนี้ สำนักคิดอัชอะรีย์จึงได้ให้ทัศนะใหม่ นั่นคือ กัสบ์ เพื่อปกป้องและรักษาความเชื่อของทัศนะญับร์ และมีการอธิบายในทัศนะนี้มากมายและแตกต่างกันในหมู่นักเทววิทยาในสำนักคิดนี้ ซึ่งแต่ละทัศนะมีข้อบกพร่อง

๙.สำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์ เล็งเห็นว่า การรักษาความยุติธรรมของพระเจ้า  จึงมีความเชื่อในการตัฟวีฎ (การมอบหมาย) เพราะว่า การลงโทษของผู้กระทำความผิดและบาปทั้งหลาย ที่เรียกว่า เป็นความยุติธรรมของพระเจ้า ก็ต่อเมื่อมนุษย์มีอำนาจที่เป็นอิสระในการกระทำของตนเอง

และเหตุผลหรือหลักฐาน ถ้าหากว่ามีความถูกต้อง ก็คือ ใช้พิสูจน์ความไม่ถูกต้องของทัศนะญับร์เท่านั้น

๔๔๗

๑๐.ทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์ คือ ญับร์ (การบังคับ) และทัศนะของสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์ คือ ตัฟวีฎ ทั้งสองทัศนะถือว่า ไม่ถูกต้อง และมีทัศนะที่สาม ก็คือ ทัศนะของสำนักคิดอิมามียะฮ์ ที่มีความเชื่อว่า มนุษย์มีอิสระในการกระทำของตนเอง และการกระทำของเขาอยู่ใต้อำนาจ ความรู้ ความประสงค์ของพระเจ้า  นี่คือ ความหมายของทัศนะอัมรุน บัยนุลอัมร็อยน์ กล่าวคือ การกระทำของมนุษย์ ในมุมมองหนึ่งเป็นการกระทำของเขา และอีกมุมหนึ่ง คือการกระทำของพระเจ้า  ซึ่งมิได้มีความหมายว่า มนุษย์ถูกบังคับให้กระทำ

๑๑.โองการทั้งหลายของอัล กุรอานได้กล่าวยืนยันว่า มนุษย์มีอิสระในการกระทำของตนเอง และบางโองการกล่าวว่า ความประสงค์ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระเจ้า  ซึงตรงกันกับทัศนะของอัมรุน บัยนุลอัมร็อยน์

๔๔๘

                            สารบัญ

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม. ๑

การรู้จักพระเจ้า ๑

คำนำ... ๒

คำนิยามของอิลมุลกะลาม (วิชาเทววิทยาอิสลาม) ๔

คำอธิบาย. ๔

วิธีการศึกษาในอิลมุลกะลาม (วิชาเทววิทยาอิสลาม) ๗

สาเหตุที่เรียกวิชาเทววิทยาอิสลามว่า อิลมุลกะลาม. ๙

ขอบเขตของเทววิทยาอิสลาม. ๑๐

ภาคที่หนึ่ง. ๑๒

การรู้จักพระเจ้า ๑๒

บทที่ ๑ การรู้จักพระเจ้า ๑๓

เนื้อหาทั่วไป. ๑๓

ความสำคัญของการรู้จักพระเจ้า ๑๔

ความจำเป็นในการรู้จักพระเจ้า ๑๕

ระดับขั้นของการรู้จักพระเจ้า ๑๘

แนวทางการแสวงหาพระเจ้าและรู้จักพระองค์. ๒๐

วิธีการทั่วไป และวิธีการโดยเฉพาะ. ๒๒

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๒๓

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๔

บทที่ ๒. ๒๖

วิธีการฟิฏรัต(สัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์) ๒๖

บทนำเบื้องต้น. ๒๖

ฟิฏรัต ความหมายด้านภาษา และเชิงวิชาการ. ๒๗

การอธิบายความหมายของการมีอยู่ของพระเจ้าเป็น ฟิฏรัต. ๒๘

คำอธิบาย. ๒๙

การรู้จักพระเจ้า เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ในทัศนะของอัล กุรอาน. ๓๓

การรู้จักพระเจ้า  เป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ในทัศนะของวจนะ. ๓๖

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๗

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๘

บทที่ ๓. ๔๐

ทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก. ๔๐

อะไร คือ ความเป็นระบบและระเบียบ?. ๔๒

เหตุผลที่ง่ายต่อการเข้าใจ. ๔๓

คำอธิบายในข้ออ้างหลัก. ๔๔

คำอธิบายในข้ออ้างรอง. ๔๕

ข้อสรุป. ๔๖

ความเป็นระบบและระเบียบในทัศนะของอัล กุรอาน. ๔๗

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๕๕

สรุปสาระสำคัญ.. ๕๕

บทที่ ๔. ๕๗

เหตุผลทางสติปัญญา : ข้อพิสูจน์วุญูบและอิมกาน. ๕๗

(สิ่งจำเป็นต้องมีอยู่ และสิ่งต้องพึ่งพา) ๕๗

ประโยชน์ของเหตุผลทางสติปัญญา ๕๘

ตัวบทของข้อพิสูจน์วุญูบและอิมกาน (สิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่และสิ่งที่ต้องพึ่งพา) ๕๙

การอธิบายในข้อพิสูจน์วุญูบและอิมกาน (สิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่และสิ่งที่ต้องพึ่งพา) ๖๒

คุณลักษณะลำดับแรกและคุณลักษณะลำดับรอง. ๖๓

อัล กุรอานกับความต้องการของสิ่งมีชีวิตยังพระเจ้า ๖๕

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๖๖

สรุปสาระสำคัญ.. ๖๗

ภาคที่สอง. ๖๙

เตาฮีด (ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้า) ๖๙

บทที่ ๑ ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้า ๗๐

เนื้อหาทั่วไป. ๗๐

ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าที่มีกล่าวไว้ในศาสนาอื่นๆ. ๗๑

ความหมายทางภาษาของ เตาฮีด. ๗๓

ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎี ความศรัทธา และการปฏิบัติ. ๗๓

ความหมายในเชิงวิชาการของ ความเป็นเอกานุภาพ. ๗๔

อีกสองความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพ. ๗๕

ความเป็นเอกานุภาพในมุมมองของเทววิทยาอิสลาม. ๗๖

ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในมุมมองของอัลกุรอาน และวจนะ. ๗๗

ความสำคัญของความเป็นเอกานุภาพในศาสนาอิสลามและศาสนาอื่น. ๗๘

ศัพท์ทางวิชาการท้ายบท. ๘๑

สรุปสาระสำคัญ.. ๘๑

บทที่ ๒. ๘๓

ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน ตัวตนของพระเจ้า ๘๓

ความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน ในมุมมองต่างๆ.. ๘๔

ความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า ๘๖

เหตุผลของความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ๘๘

เหตุผลของการไม่มีส่วนประกอบในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า ๘๘

คำอธิบาย. ๘๙

การพิสูจน์ความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้าและการปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์  ๙๒

เหตุผลที่หนึ่ง  : ความสมบูรณ์แบบที่สุดและความไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า ๙๒

เหตุผลที่สอง  : การปฏิเสธการมีส่วนประกอบทุกชนิด. ๙๔

เหตุผลที่สาม   : การปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์. ๙๕

ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริงและในจำนวนเลข. ๙๖

(วะฮ์ดัตฮะกีกีย์และวะฮ์ดัตอะดาดีย์) ๙๖

ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน(เตาฮีด ซาตีย์) ในอัล กุรอาน. ๙๗

ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน(เตาฮีด ซาตีย์) ในวจนะ. ๙๙

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๐๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๐๒

บทที่ ๓. ๑๐๕

ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้าในคุณลักษณะ. ๑๐๕

(เตาฮีด ซิฟาตีย์) ๑๐๕

บทนำเบื้องต้น. ๑๐๕

ความเป็นหนึ่งเดียวในด้านความหมายและความเป็นจริง. ๑๐๗

ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ. ๑๐๘

เหตุผลของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ. ๑๐๙

เหตุผลที่หนึ่ง. ๑๐๙

เหตุผลที่สอง. ๑๑๑

เหตุผลที่สาม. ๑๑๒

ความแตกต่างทางด้านความหมายของคุณลักษณะ (ซิฟัต) ๑๑๔

ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ในมุมมองทางประวัติศาสตร์. ๑๑๕

ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ในมุมมองของวจนะ. ๑๑๗

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๒๐

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๒๐

บทที่ ๔. ๑๒๒

ความเป็นเอกานุภาพใน กิริยา การกระทำ (เตาฮีด อัฟอาลีย์) ตอนที่หนึ่ง. ๑๒๒

บทนำเบื้องต้น. ๑๒๒

บทบาทของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำในมุมมองของโลกทรรศน์. ๑๒๓

การกระทำของสิ่งถูกสร้างอยู่ภายใต้การกระทำของผู้สร้าง. ๑๒๔

บทบาทของสื่อกลางในการเกิดขึ้นของการกระทำในพระเจ้า ๑๒๗

ความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ และเจตจำนงเสรีของมนุษย์. ๑๒๘

เหตุผลในความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ... ๑๓๐

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๓๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๓๒

บทที่ ๕. ๑๓๔

ความเป็นเอกานุภาพในกริยา การกระทำ (เตาฮีด อัฟอาลีย์) ตอนที่สอง. ๑๓๔

บทนำเบื้องต้น. ๑๓๔

ความเป็นเอกานุภาพในการสร้าง(เตาฮีด ฟีย์คอลิกียะฮ์) ๑๓๔

ความเป็นเอกานุภาพในการอภิบาล. ๑๓๕

เหตุผลการพิสูจน์ความเป็นเอกานุภาพในการอภิบาล. ๑๓๖

ความเป็นเอกานุภาพในกริยา การกระทำ ในอัล กุรอาน และวจนะ. ๑๓๗

ความสำคัญของความเป็นเอกานุภาพในการอภิบาล. ๑๔๐

(เตาฮีด รุบูบีย์) ในทัศนะของอัล กุรอาน. ๑๔๐

ข้อพิพาทของบรรดาศาสดาในความเป็นเอกานุภาพการอภิบาลของพระผู้เป็นเจ้า ๑๔๒

เหตุผลในหลักความเป็นเอกานุภาพการอภิบาลของพระผู้เป็นเจ้า ๑๔๕

การบริหารการงานของสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นอยู่กับการอนุมัติของผู้สร้าง. ๑๔๗

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๔๙

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๔๙

บทที่ ๖. ๑๕๒

ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบและการปกครอง –ความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า ๑๕๒

ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง. ๑๕๒

พื้นฐานทางสติปัญญาของความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบ และการปกครอง  ๑๕๓

ความเป็นเอกานุภาพในการกำหนดกฏระเบียบและการปกครองในทัศนะของอัล กุรอาน  ๑๕๕

ความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้า ๑๕๘

ทำไมต้องมีพระเจ้าองค์เดียว?. ๑๖๐

ความสัมพันธ์ของประเภทต่างๆในความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา ๑๖๑

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๖๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๖๒

บทที่ ๗. ๑๖๓

ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ (เตาฮีด อะมะลีย์) ๑๖๓

การซึมซับของความเป็นเอกานุภาพในด้านความคิด ความเชื่อ และในด้านการปฏิบัติ. ๑๖๓

คุณค่าของความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา ๑๖๕

ความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดี. ๑๖๕

ความหมายที่แท้จริงของการเคารพภักดี. ๑๖๖

ความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดีที่มีอยู่ในหมู่มุสลิม. ๑๖๙

ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นเอกานุภาพในการเป็นพระเจ้ากับการเคารพภักดี. ๑๗๒

ความเป็นเอกานุภาพในด้านการปฏิบัติในอัล กุรอานและวจนะ. ๑๗๓

ชาวคัมภีร์กับการเคารพภักดีในพระเจ้าองค์เดียว. ๑๗๕

ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นเอกานุภาพในการเคารพภักดีกับความเป็นเอกานุภาพในการบริหาร  ๑๗๕

การตั้งภาคีที่ซ่อนในการเคารพภักดี. ๑๗๖

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๗๗

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๗๗

บทที่ ๘. ๑๗๙

ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ ตอนที่ สอง. ๑๗๙

ความเป็นเอกานุภาพในการช่วยเหลือ (เตาฮีด อิสติอานะฮ์) ๑๗๙

ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติตาม(เตาฮีด อิฏออะฮ์) ๑๘๒

ความเป็นเอกานุภาพในการให้ความรัก. ๑๘๓

ความเป็นเอกานุภาพในการมอบหมายกิจการงาน. ๑๘๕

ความเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นเอกานุภาพ. ๑๘๖

ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติตามในทัศนะของอัล กุรอาน. ๑๘๘

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๑๙๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๑๙๒

บทที่ ๙. ๑๙๕

พื้นฐานทางสติปัญญาของความเป็นเอกานุภาพในทัศนะอัลกุรอานและวจนะ. ๑๙๕

อัล กุรอานกับความเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ๑๙๕

สัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นเอกานุภาพในมุมมองของวจนะ. ๑๙๘

เหตุผลทางสติปัญญาของอัลกุรอานในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ๑๙๙

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๐๓

บทที่ ๑๐. ๒๐๔

ความเป็นเอกานุภาพ และการตั้งภาคี (ชิรก์) ตอนที่ หนึ่ง. ๒๐๔

ประเภทของการตั้งภาคี. ๒๐๕

คำอธิบาย. ๒๐๕

การตั้งภาคีในความเป็นพระเจ้าและการเคารพภักดี. ๒๐๘

ระดับขั้นของการตั้งภาคี. ๒๐๙

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๒๑๑

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๑๑

บทที่ ๑๑. ๒๑๓

ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า และการตั้งภาคี ตอนที่ ๒. ๒๑๓

ความเป็นเอกานุภาพ และการตั้งภาคีในประวัติศาสตร์. ๒๑๓

สาเหตุและองค์ประกอบที่ทำให้มนุษย์มีการตั้งภาคี. ๒๑๘

การตั้งภาคีกับความบาป. ๒๒๑

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๒๒

บทที่ ๑๒. ๒๒๔

การตั้งภาคีในทัศนะอัล กุรอานและวจนะ. ๒๒๔

สาเหตุที่ทำให้มีการตั้งภาคีในทัศนะของอัล กุรอาน. ๒๒๖

วิธีการตอบโต้ของอัล กุรอานต่อการตั้งภาคี. ๒๓๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๓๓

ภาคที่ สาม. ๒๓๔

คุณลักษณะของพระเจ้า ๒๓๔

บทที่ ๑ คุณลักษณะของพระเจ้า ๒๓๕

เนื้อหาทั่วไป. ๒๓๕

พระนาม คุณลักษณะ การกระทำของพระเจ้า ๒๓๖

คุณลักษณะของพระเจ้าในเทววิทยาอิสลาม. ๒๓๘

ประเภทของคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๔๐

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๒๔๔

บทที่ ๒. ๒๔๖

การรู้จักคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๔๖

ความเป็นไปได้ต่อการรู้จักถึงคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๔๖

การวิเคราะห์และตรวจสอบในทัศนะของพวกตะอ์ตีล. ๒๔๘

และตัชบิฮ์. ๒๔๘

แนวทางในการรู้จักคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๕๑

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุด. ๒๕๓

การอธิบายคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๕๔

การหยุดนิ่ง(เตากีฟ) ของนามทั้งหลายและคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๕๗

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๒๕๙

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๕๙

บทที่ ๓. ๒๖๑

อัล กุรอานกับการอธิบายคุณลักษณะของพระเจ้า ๒๖๑

คุณลักษณะของพระเจ้าในมุมมองของวจนะ. ๒๖๔

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๖๖

บทที่ ๔. ๒๖๗

ความรู้ของพระเจ้า (อิลม์ อิลาฮีย์) ๒๖๗

ความรู้ คือ อะไร?. ๒๖๗

ความรู้โดยตรงและความรู้โดยผ่านสื่อ. ๒๖๘

ระดับขั้นความรู้ของพระเจ้า ๒๖๙

ความรู้ในอาตมันของพระเจ้า ๒๖๙

เหตุผลของ ความรู้ในอาตมันของพระเจ้า ๒๗๐

ความรู้ในสรรพสิ่งทั้งหลายก่อนการเกิดขึ้น. ๒๗๑

ความรู้ของพระเจ้าหลังการเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง. ๒๗๓

ความรู้ในอาตมัน และความรู้ในการกระทำ... ๒๗๔

ความรู้ของพระเจ้าในรายละเอียดของสรรพสิ่ง. ๒๗๕

ความรู้ของพระเจ้าและเจตจำนงเสรีของมนุษย์. ๒๗๗

ความรู้ของพระเจ้า ในมุมมองของอัล กุรอาน. ๒๗๘

การพิสูจน์ความรู้ของพระเจ้า ๒๗๘

ความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า ๒๗๙

ความรู้ในสิ่งที่เร้นลับของพระเจ้า ๒๘๑

ความรู้ของพระเจ้าในมุมมองของวจนะ. ๒๘๒

ความรู้โดยเฉพาะและทั่วไปของพระเจ้า ๒๘๓

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๒๘๔

สรุปสาระสำคัญ.. ๒๘๔

บทที่ ๕. ๒๘๗

พลังอำนาจของพระเจ้า (กุดรัต อิลาฮีย์) ๒๘๗

ความหมายทางภาษาของ คำว่า กุดรัต (พลังอำนาจ) ๒๘๗

ความหมายของ พลังอำนาจของพระเจ้า (กุดรัต อิลาฮียฺ) ๒๘๙

การพิสูจน์ พลังอำนาจของพระเจ้า ๒๙๐

อานุภาพของพระเจ้า ๒๙๑

สิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้น (มุฮาล) อยู่ภายใต้การมีพลังอำนาจของพระเจ้าใช่หรือไม่?. ๒๙๒

การมีพลังอำนาจของพระเจ้าในการกระทำที่ไม่ดี. ๒๙๖

พลังอำนาจของพระเจ้าในมุมมองของอัล กุรอานและวจนะ. ๒๙๘

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๐๐

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๐๐

บทที่ ๖. ๓๐๒

การมีชีวิตของพระเจ้า ๓๐๒

การมีชีวิตอยู่ของสรรพสิ่ง. ๓๐๒

ความหมายของการมีชีวิตของพระเจ้า ๓๐๔

เหตุผลของการมีชีวิตของพระเจ้า ๓๐๕

การมีมาแต่เดิมและความเป็นอมตะและนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า ๓๐๙

การอธิบาย การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ของพระเจ้า ๓๑๐

เหตุผลของ การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า ๓๑๑

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๑๓

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๑๓

บทที่ ๗. ๓๑๕

ความประสงค์ของพระเจ้า (อิรอดะฮ์ อิลาฮีย์) ๓๑๕

ความหมายความเป็นจริงของความประสงค์ของมนุษย์. ๓๑๖

ทัศนะต่างๆของนักเทววิทยาอิสลามในการอธิบายความหมาย. ๓๑๗

ความประสงค์ของพระเจ้า ๓๑๗

ความประสงค์ในอาตมันของพระเจ้าและในการกระทำของพระองค์. ๓๑๘

การมีมาดั้งเดิมหรือการเพิ่งเกิดขึ้นมาของความประสงค์ในพระเจ้า ๓๒๑

ความแตกต่างกันระหว่างความประสงค์,ความต้องการและการเลือกสรร. ๓๒๒

เหตุผลของบรรดานักเทววิทยาอิสลามในการพิสูจน์ความประสงค์ของพระเจ้า ๓๒๓

ความประสงค์ในการสร้างสรรค์และการกำหนดบทบัญญัติ(อิรอดะฮ์ ตักวีนีย์ และตัชริอีย์) ๓๒๔

ความประสงค์และความต้องการของพระเจ้า ในอัลกุรอานและวจนะ. ๓๒๕

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๓๐

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๓๐

บทที่ ๘. ๓๓๒

คำตรัสกล่าวของพระเจ้า (กะลาม อิลาฮียฺ) ๓๓๒

บทนำเบื้องต้น. ๓๓๒

ความเป็นจริงของคำตรัสกล่าวของพระเจ้าคืออะไร?. ๓๓๓

ความหมายของ คำตรัสกล่าวของพระเจ้า ๓๓๔

ทุกสรรพสิ่งคือ ดำรัส ของพระเจ้า ๓๓๖

กะลาม ลัฟซีย์ กะลาม นัฟซีย์ และ กะลามเฟียะลีย์. ๓๓๗

(ประเภทต่างๆของคำตรัสกล่าวของพระเจ้า) ๓๓๗

การมีมาแต่เดิมและการเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ของ. ๓๓๘

คำตรัสกล่าวของพระเจ้า ๓๓๘

เหตุผลของการเป็นผู้ตรัสกล่าวของพระเจ้า ๓๔๐

คุณลักษณะ การตรัสกล่าว ในอัล กุรอานและวจนะ. ๓๔๑

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๔๕

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๔๕

บทที่ ๙. ๓๔๗

ความสัตย์จริงของพระเจ้า-ความเป็นวิทยปัญญาของพระเจ้า ๓๔๗

บทนำเบื้องต้น. ๓๔๗

ความสัตย์จริง เป็นคุณลักษณะในอาตมันหรือในการกระทำ?. ๓๔๘

เหตุผลของนักเทววิทยาอิสลามในการพิสูจน์ความสัตย์จริงของพระเจ้า ๓๔๙

ความสัตย์จริงของพระเจ้าในอัล กุรอาน. ๓๕๑

ความหมายของ วิทยปัญญา ๓๕๒

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๕๖

บทที่ ๑๐. ๓๕๘

คุณลักษณะที่ไม่มีในพระเจ้า ๓๕๘

บทนำเบื้องต้น. ๓๕๘

เหตุผลในการพิสูจน์คุณลักษณะที่ไม่มีของพระเจ้า ๓๕๙

เหตุผลของการมองไม่เห็นพระเจ้าด้วยกับสายตา ๓๖๕

คุณลักษณะที่ไม่มีในพระเจ้า ในทัศนะอัล กุรอาน. ๓๖๖

พระเจ้าคือ ผู้ที่ไม่ต้องการสถานที่อยู่อาศัย. ๓๖๖

การมองไม่เห็นพระเจ้า ๓๖๘

คุณลักษณะที่ไม่มีในพระเจ้า ในมุมมองของวจนะ. ๓๗๐

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๗๓

ภาคที่สี่. ๓๗๕

การกระทำของพระเจ้า ๓๗๕

บทที่ ๑. ๓๗๖

ความดี และ ความชั่วทางสติปัญญา ๓๗๖

เนื้อหาโดยทั่วไป การกระทำของพระเจ้า ๓๗๖

ความดี และ ความชั่วทางสติปัญญา ๓๗๗

ความแตกต่างระหว่างอัดลียะฮ์กับอัชอะรีย์ในความดี และความชั่วทางสติปัญญา ๓๘๐

เหตุผลของสำนักคิดอัชอะรีย์ในการปฏิเสธความดีและความชั่วทางสติปัญญา ๓๘๒

ผลที่ได้รับของการมีความเชื่อในความดีและความชั่วทางสติปัญญา ๓๘๔

ความดีและความชั่วทางสติปัญญา ในมุมมองของอัล กุรอาน. ๓๘๔

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๓๘๖

สรุปสาระสำคัญ.. ๓๘๖

บทที่ ๒. ๓๘๙

วิทยปัญญาของพระเจ้า คือ เป้าหมายสูงสุดในการกระทำของพระองค์. ๓๘๙

บทนำเบื้องต้น. ๓๘๙

เป้าหมายของผู้กระทำกับการกระทำ... ๓๙๐

เหตุผลของการมีวิทยปัญญาของพระเจ้า ๓๙๒

เหตุผลของสำนักคิดอัชอะรีย์ในการปฏิเสธการมีเป้าหมายในการกระทำของพระเจ้า ๓๙๒

วิทยปัญญาของพระเจ้าในทัศนะของอัล กุรอาน. ๓๙๔

วิทยปัญญาของพระเจ้ากับความชั่วร้าย. ๓๙๖

๑.การมีขอบเขตในความรู้ของมนุษย์. ๓๙๗

๒.เป้าหมายที่สูงสุดในการสร้างมนุษย์. ๓๙๘

๓. ผลประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตัว. ๓๙๘

๔.บทบาทของมนุษย์ที่มีต่อการเกิดขึ้นของความชั่วร้าย. ๓๙๙

ปรัชญาการเกิดขึ้นของความชั่วร้าย. ๔๐๐

๑.การพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณ.. ๔๐๐

๒.การทดสอบจากพระเจ้า ๔๐๑

๓.เป็นคติเตือนใจและเป็นการปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล. ๔๐๒

๔.การไม่รู้คุณค่าในปัจจัยยังชีพของพระเจ้า ๔๐๓

ปรัชญาการทดสอบ ในทัศนะของวจนะ. ๔๐๔

สรุปสาระสำคัญ.. ๔๐๖

บทที่ ๓. ๔๐๘

ความยุติธรรมของพระเจ้า (อัดล์ อิลาฮียฺ) ๔๐๘

บทนำเบื้องต้น. ๔๐๘

ความสัมพันธ์ระหว่างวิทยปัญญากับความยุติธรรม. ๔๑๐

ความยุติธรรมตั้งอยู่บนพื้นฐานของความดีและความชั่วทางสติปัญญา ๔๑๐

ความหมายของความยุติธรรม (อัดล์) ๔๑๑

ประเภทของความยุติธรรมของพระเจ้า ๔๑๒

ความยุติธรรมของพระเจ้า ถูกแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ด้วยกัน มีดังนี้. ๔๑๒

เหตุผลทางสติปัญญาในการพิสูจน์ความยุติธรรมของพระเจ้า ๔๑๓

ความยุติธรรมของพระเจ้าในอัล กุรอาน. ๔๑๔

ข้อสงสัยในความยุติธรรมของพระเจ้า ๔๑๗

ความยุติธรรมของพระเจ้ากับความแตกต่างที่มีอยู่ในสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย. ๔๑๘

ความตายกับการสูญสลาย. ๔๑๙

ความสัมพันธ์ของบาปกับการถูกลงโทษในวันแห่งการตัดสิน. ๔๒๐

ความยุติธรรมของพระเจ้ากับความเจ็บปวดและความยากลำบากของมนุษย์. ๔๒๒

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๔๒๓

สรุปสาระสำคัญ.. ๔๒๓

บทที่ ๔. ๔๒๖

การกำหนดกฏสภาวะและจุดหมายปลายทางของมนุษย์ (กอฎออฺและกอดัร) ๔๒๖

บทนำเบื้องต้น. ๔๒๖

ความหมายของ กอฎออฺ และ กอดัร. ๔๒๗

ประเภทของกอฎออฺ และกอดัร. ๔๒๗

กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ (การกำหนดกฏสภาวะในความรู้) ๔๒๘

กอฎออฺและกอดัร อัยนีย์ (การกำหนดสภาวะในความเป็นจริง) ๔๒๙

ชะตากรรมและการเลือกสรรของมนุษย์. ๔๓๐

กอฎออฺและกอดัรโดยทั่วไป. ๔๓๒

กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า ในอัล กุรอาน และวจนะ. ๔๓๒

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๔๓๖

สรุปสาระสำคัญ.. ๔๓๗

บทที่ ๕. ๔๓๙

การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ (ญับรฺวะอิคติยาร) ๔๓๙

บทนำเบื้องต้น. ๔๓๙

คำอธิบาย. ๔๓๙

ขอบเขตของเรื่อง การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์. ๔๔๐

การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ที่ถูกกล่าวไว้ในประวัติศาสตร์อิสลาม. ๔๔๒

มโนธรรมของมนุษย์บ่งบอกถึงการเป็นอิสระเสรี. ๔๔๓

การวิเคราะห์ในทัศนะญับร์ (การบังคับจากพระเจ้า) ๔๔๔

ทัศนะกัสบ์. ๔๔๙

การตรวจสอบในทัศนะตัฟวีฎ (การมอบอำนาจในกิจการต่อพระเจ้า) ๔๕๑

จุดประสงค์ของพวกมุอฺตะซิละฮ์ ต่อการมีความเชื่อในทัศนะตัฟวีฎ. ๔๕๒

ทัศนะของอัมรุน บัยนะอัมร็อยน์ (แนวทางสายกลาง) ๔๕๓

ทัศนะอัมรุน บัยนะอัมร็อยน์ในอัล กุรอานและวจนะ. ๔๕๕

ศัพท์วิชาการท้ายบท. ๔๕๘

สรุปสาระสำคัญ.. ๔๕๘

๔๔๙

๔๕๐