บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม8%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 339908 / ดาวน์โหลด: 4959
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175

176

177

178

179

180

181

182

183

184

185

186

187

188

189

190

191

192

193

194

195

196

197

198

199

200

201

202

203

204

205

206

207

208

209

210

211

212

213

214

215

216

217

218

219

220

221

222

223

224

225

226

227

228

229

230

231

232

233

234

235

236

237

238

239

240

241

242

243

244

245

246

247

248

249

250

251

252

253

254

255

256

257

258

259

260

261

262

263

264

265

266

267

268

269

270

271

272

273

274

275

276

277

278

279

280

281

282

283

284

285

286

287

288

289

290

291

292

293

294

295

296

297

298

299

300

301

302

303

304

305

306

307

308

309

310

311

312

313

314

315

316

317

318

319

320

321

322

323

324

325

326

327

328

329

330

331

332

333

334

335

336

337

338

339

340

341

342

343

344

345

346

347

348

349

350

351

352

353

354

355

356

357

358

359

360

361

362

363

364

365

366

367

368

369

370

371

372

373

374

375

376

377

378

379

380

381

382

383

384

385

386

387

388

389

390

391

392

393

394

395

396

397

398

399

400

กล่าวคือ พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ดังนั้น พระองค์มิทรงกระทำการกดขี่ และการกระทำของพระองค์ทั้งหมด มีความยุติธรรม

และยังเหตุผลอื่นๆที่ใช้พิสูจน์การมีความยุติธรรมของพระเจ้า ซึ่งเหตุผลทั้งหมดที่ใช้นั้น ถ้าหากว่า ไม่มีหลักการความดีและความชั่ว ถือว่า เหตุผลนั้น ไม่สมบูรณ์ เช่น

สมมุติว่า ถ้าพระเจ้ากระทำการกดขี่ คาดว่า มี  สาม ปัจจัย คือ

๑.การกระทำนี้ เกิดขึ้นจาก ความโง่เขลา

๒.การกระทำนี้ เกิดขึ้นจาก ความต้องการ

๓.การกระทำนี้ เกิดขึ้นจาก วิทยปัญญา

การคาดคะเนทั้งสอง ถือว่า ไม่ถูกต้อง เพราะพระองค์ทรงเป็น วาญิบุลวุญูด(สิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่) และพระองค์ทรงมีความรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุนี้ ความโง่เขลา จะไม่เกิดขึ้นและความต้องการก็ไม่มีในพระองค์ด้วย และการคาดคะเนที่สาม ก็ถือว่า ไม่ถูกต้อง เช่นกัน เพราะการมีวิทยปัญญา หมายถึง การละทิ้งการกระทำที่ไม่ดีและน่ารังเกียจ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะกระทำการกดขี่

ด้วยเหตุนี้ การคาดคะเนทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถือว่า ไม่ถูกต้อง ฉะนั้น การกระทำทั้งหมดของพระเจ้า เป็นการกระทำที่มีความยุติธรรม

   ความยุติธรรมของพระเจ้าในอัล กุรอาน

    ในอัล กุรอาน มืได้ใช้คำว่า อัดล์(ความยุติธรรม) และคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน  แต่ได้อธิบายถึง การไม่มีความกดขี่ของพระเจ้าแทน ตัวอย่างเช่น

๔๐๑

“แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงอธรรมแก่มนุษย์แต่อย่างใด แต่ว่ามนุษย์ต่างหากที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง”

 (บทยูนุส โองการที่ ๔๔)

 “และพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย” (บทอัลกะฮ์ฟ โองการที่ ๔๙)

 “และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงประสงค์ซึ่งการอธรรมใด ๆ แก่ประชาชาติทั้งหลาย”

(บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๑๐๘)

ความหมายของ คำว่า อาละมีน หมายถึง โลกทั้งหลาย มีทั้ง โลกของมนุษย์ ,ญิน และโลกของมวลเทวทูต และยังหมายถึง โลกทั้งหมดหรือสากลจักรวาล จะอย่างไรก็ตาม โองการนี้กล่าวถึง การมีความยุติธรรมของพระเจ้า ที่มีความหมายกว้างกว่า ซึ่งรวมถึง โลกทั้งหลาย

และบางโองการกล่าวถึง การมีความยุติธรรมในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า

“ อัลลอฮ์ทรงยืนยันว่า แท้จริงไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น และมลาอิกะฮ์ และผู้มีความรู้ในฐานะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมนั้น” (บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๑๘)

และบางโองการกล่าวถึง การมีความยุติธรรมในการกำหนดกฏเกณฑ์ของพระเจ้า

“และเรามิได้บังคับผู้ใด เว้นแต่ความสามารถของเขา และ ณ ที่เรานั้นมีบันทึก ที่บันทึกแต่ความจริง โดยที่พวกเขาจะไม่ถูกอยุติธรรม” (บทอัลมุมินูน โองการที่ ๖๒)

๔๐๒

 “ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า พระเจ้าของฉันได้ทรงสั่งให้มีความยุติธรรม

 (บทอัลอะอฺรอฟ โองการ ๒๙ )

เช่นเดียวกัน ในบางโองการได้ยืนยันถึง ความยุติธรรมในการตอบแทนของพระเจ้า

และเราตั้งตราชูที่เที่ยงธรรมสำหรับวันกิยามะฮ์ ดังนั้นจะไม่มีชีวิตใดถูกอธรรมแต่อย่างใดเลย”

(บทอันอัมบิยาอฺ โองการที่ ๔๗)

 “และเรามิเคยลงโทษผู้ใด จนกว่าเราจะแต่งตั้งร่อซู้ลมา” (บทอัลอิสรออฺ โองการที่ ๑๕)

ใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะอธรรมแก่พวกเขาก็หาไม่ แต่ทว่าพวกเขาอธรรมแก่ตัวของพวกเขาเองต่างหาก”

(บทอัตเตาบะฮ์ โองการ ๗๐ และบทอัรรูม โองการ ๙)

โองการนี้อธิบายเกี่ยวกับ พระองค์ทรงลงโทษกลุ่มชนที่ฉ้อฉล ดังนั้น การลงโทษของพระองค์ มิใช่ว่า พระองค์ไม่มีความยุติธรรม แต่คือ ผลตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับจากการกระทำของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาได้กดขี่ตัวของพวกเขา และแน่นอนที่สุด พระองค์มิทรงกดขี่ผู้ใด นอกเหนือจากโองการจากอัล กุรอาน ยังมีวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์

ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า

ด้วยกับความยุติธรรม ชั้นฟ้าและแผ่นดินจึงมีอยู่ได้”

(ตัฟซีรศอฟีย์ เล่มที่ ๒ หน้าที่ ๖๒๘)

๔๐๓

ท่านอิมามอะลี ได้ตอบคำถามชายคนหนึ่งในความหมายของ เตาฮีดและความยุติธรรม ว่า

“เตาฮีด คือ การไม่คิดว่า พระองค์เหมือนกับสิ่งสร้างของพระองค์ และความยุติธรรม คือ การไม่กล่าวในสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงมี”

“พระเจ้าทรงบริสุทธิ์กว่าที่จะกล่าวว่า พระองค์ทรงอธรรมกับมวลบ่าวของพระองค์ และแท้จริง พระองค์ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑๘๕)

   ข้อสงสัยในความยุติธรรมของพระเจ้า

    ในประเด็นวิทยปัญญาของพระเจ้า กลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่า การมีอยู่ของความยากลำบากทั้งหลาย  ,ความเจ็บปวด และการทดสอบจากภัยธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายสำหรับมนุษย์  สิ่งเหล่านี้ไม่เข้ากันกับการมีวิทยปัญญาของพระองค์ และดังที่ๆได้อธิบายไปแล้วถึง การมีอยู่ของวิทยปัญญาที่มนุษย์เข้าไปไม่ถึง  และความเชื่อเช่นนี้ ถือว่าไม่ถูกต้อง

ณ ที่นี้ จะมาตอบข้อสงสัยทั้งหลายที่เกี่ยวกับประเด็นความยุติธรรมของพระเจ้า

ก่อนที่จะตอบคำถาม ก็จะกล่าวว่า บางทีข้อสงสัยเหล่านี้ เกี่ยวกับประเด็นของวิทยปัญญาของพระเจ้า ด้วยเหมือนกัน แต่คำตอบของข้อสงสัยดังกล่าวอยู่ในประเด็นนี้

๔๐๔

   ความยุติธรรมของพระเจ้ากับความแตกต่างที่มีอยู่ในสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย

    ในบางครั้งอาจจะคิดว่า ความแตกต่างที่มีอยู่ในสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย จะเข้ากับความยุติธรรมของพระเจ้าได้อย่างไร  เช่น ความแตกต่างในการสร้างของพระองค์ กล่าวกันว่า เพราะเหตุใดพระเจ้าสร้าง สิ่งหนึ่งเป็นมนุษย์ และสิ่งหนึ่งเป็นสัตว์ และอีกสิ่งหนึ่งเป็น พรรณพืช  และเพราะเหตุใด สัตว์ทั้งหลายและพรรณพืช จึงไม่ถูกสร้างให้เหมือนกับมนุษย์ และบางครั้ง ความแตกต่างมีอยู่ในตัวของมนุษย์เอง เช่น เพราะเหตุใด บางคนจึงตาบอด และอีกคนตาไม่บอด แต่กับมองเห็นได้เป็นอย่างดี และทำไมบางคนมีรูปร่างที่งดงาม และบางคนมีรูปร่างที่น่ารังเกียจ และด้วยเหตุใด บางคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และบางคนไม่มีเช่นนั้น และมีคำถามในทำนองเดียวกันนี้ อีกมากมาย

คำตอบ ด้วยกับหลักการดังต่อไปนี้                    

๑.ระบบของโลกแห่งธรรมชาติ เป็นระบบที่เฉพาะ มีกฏเกณฑ์ที่มั่นคงและไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  หนึ่งในกฏเกณฑ์ทั้งหลาย คือ กฏของเหตุและผล ด้วยกับหลักการนี้ ทุกสิ่งที่มีอยู่ต้องมีเหตุและผลในการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น

๒.ระบบและกฏเกณฑ์ของโลกนี้ เป็นระบบที่คงที่ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง หมายความว่า  ไม่สามารถจะกล่าวว่ามีโลกอยู่ แต่ระบบและกฏเกณฑ์นั้นมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำนองเดียวกัน จะไม่มีน้ำตาลใดที่ไม่มีความหวาน และน้ำใดที่ไม่มีความเปียกชื้น

๔๐๕

๓.สิ่งจำเป็นของการมีระบบและกฏเกณฑ์ดังกล่าว คือ การมีความแตกต่างและความหลากหลายในสรรพสิ่งที่มีอยู่ เช่น กฏของเหตุและผล บ่งบอกถึง ผลของเหตุของสิ่งทั้งหลายนั้น มีความสมบูรณ์น้อยกว่า เหตุของสิ่งนั้น และเช่นเดียวกัน การมีความสามัคคีกันระหว่างเหตุและผล ดังนั้น เมื่อมีเหตุในการเกิดขึ้นของทารกที่ตาบอด จึงทำให้ทารกนั้นเกิดขึ้นมา มีตาที่บอด

สรุปได้ว่า การมีความแตกต่างในสรรพสิ่งที่มีอยู่เป็นสิ่งจำเป็นของระบบและกฏเกณฑ์ของโลกนี้ ซึ่งไม่มีการแยกออกจากกันได้

ด้วยเหตุนี้ เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่า การใช้คำว่า การแบ่งแยกในความแตกต่างในสิ่งทั้งหลายนั้น ไม่ถือว่า ถูกต้อง เพราะการแบ่งแยกมีอยู่ในที่ๆ มีสองสิ่ง ที่มีผลประโยชน์เหมือนกัน แต่อีกสิ่งหนึ่งมีความสามารถเหนือกว่า

ดังนั้น ความแตกต่างที่มีอยู่ในสรรพสิ่งทั้งหลาย จึงไม่ขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่ทรงมีการกดขี่และการแบ่งแยก และพระองค์มิกระทำการงานที่ไม่ดีและไร้สาระ

   ความตายกับการสูญสลาย

    อีกข้อสงสัยหนึ่งที่เกี่ยวกับความยุติธรรมของพระเจ้า คือ เรื่องของความตาย บางคนคิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังความตาย เป็นการสูญสลายและการทำลาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

คำตอบ ประการแรก ความตายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโลกแห่งธรรมชาติ ที่มีความสำคัญในการดำเนินชีวิต และสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งธรรมชาตินั้น ไม่มีความเป็นถาวร

๔๐๖

ประการที่สอง ข้อสงสัยนี้ บ่งบอกถึง ความตาย คือ การสูญสลาย แต่ความเป็นจริง มิได้เป็นเช่นนั้น ความตายคือ การเคลื่อนย้ายจากโลกนี้ไปสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งความหมายนี้มิได้มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้าแต่อย่างใด

  ความสัมพันธ์ของบาปกับการถูกลงโทษในวันแห่งการตัดสิน

    ได้อธิบายไปแล้วถึง ทั้งสองข้อสงสัย  ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า  แต่เรื่องการลงโทษในวันแห่งการตัดสิน เกี่ยวกับความยุติธรรมในการตอบแทนของพระองค์

พื้นฐานของข้อสงสัยนี้  คือ สติปัญญาเป็นตัวกำหนดถึง ความสัมพันธ์ของความบาปกับการถูกลงโทษ ดังนั้น สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฏจราจร ไม่สมควรที่จะถูกลงโทษเหมือนผู้ที่ทำความผิดร้ายแรง

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในกฏหมายอิสลามได้กำหนดว่าการลงโทษในความบาปทั้งหลายนั้น มีความรุนแรงมากทีเดียว เช่น  อัล กุรอานกล่าวว่า ผู้ที่ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา เขาจะถูกลงโทษโดยการให้อยู่ในนรกตลอดกาล ด้วยเหตุนี้ การถูกลงโทษในวันแห่งการตัดสิน ไม่มีความเหมาะสมกับบ่าวและบาปที่เขากระทำ ซึ่งเหล่านี้ มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

คำตอบ ก็คือ มีความแตกต่างกันระหว่างการลงโทษที่มนุษย์เป็นผู้กำหนดขึ้นมากับการลงโทษของพระเจ้าในวันแห่งการตัดสิน เพราะว่า การลงโทษของมนุษย์ เป็นกฏหมายที่ถูกกำหนด ด้วยเหตุนี้ ในระบอบสิทธิมนุษยชน บางที การลงโทษมีมากมายในความผิดเดียว

๔๐๗

 และเช่นเดียวกัน เป้าหมายของการลงโทษในโลกนี้ เพื่อเป็นข้อเตือนใจในความผิดของตนเองและเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ครอบครัวและชนรุ่นหลังด้วย  แต่การลงโทษของพระเจ้า มิใช่การกำหนดดังกล่าว แต่เป็นผลของการกระทำที่มนุษย์ได้กระทำในโลกนี้  เช่น การดื่มยาพิษ ผลของมัน คือ การหลีกเลี่ยงจากการกระทำนั้น มิใช่ว่า การดิ่มยาพิษ มีโทษถึงตาย

บางโองการจากอัล กุรอาน กล่าวถึง ความสัมพันธ์ของการถูกลงโทษกับความบาปทั้งหลาย

และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ปรากฏอยู่ต่อหน้าและพระผู้เป็นเจ้าของเจ้ามิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย”

(บทอัลกะฮ์ฟ โองการที่ ๔๙ )

“วันที่แต่ละชีวิตจะพบความดีที่ตนได้ประกอบไว้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้า และความชั่วที่ตนได้ประกอบไว้ด้วย แต่ละชีวิตนั้นชอบ หากว่าระหว่างตนกับความชั่วนั้นจะมีระยะทางที่ห่างไกล และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์ และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีต่อปวงบ่าวทั้งหลาย” (บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๓๐ )

ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ของการลงโทษในวันแห่งการตัดสินกับการกระทำของมนุษย์ มืได ้เหมือนกับการลงโทษที่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเอง เพื่อที่จะกล่าวว่า การลงโทษของพระเจ้านั้น มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า แต่การลงโทษของพระเจ้า คือ ผลตอบแทนในการกระทำที่ไม่ดีของมนุษย์

๔๐๘

   ความยุติธรรมของพระเจ้ากับความเจ็บปวดและความยากลำบากของมนุษย์

   การมีความเจ็บปวดและความยากลำบากทั้งหลาย ความป่วยไข้ การทดสอบจากภัยธรรมชาติและภัยทางสังคม เป็นอีกข้อสงสัยหนึ่งในความยุติธรรมของพระเจ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เข้ากันกับความยุติธรรมของพระเจ้า

สำหรับคำตอบ ก็คือ นอกเหนือจากที่ได้ตอบไปแล้วนั้น สามารถกล่าวได้ว่า ความเจ็บปวดและความยากลำบาก เกิดขึ้นจาก สองสภาพต่อไปนี้

๑.บางส่วนของความเจ็บปวด เกิดจากการกระทำของมนุษย์และผลของการกระทำบาปของเขา ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งถูกสร้างที่มีเจตนารมณ์เสรีในการกระทำ และบางคนเลือกที่จะปฏิบัติความชั่ว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้รับการตอบแทนในการกระทำของเขา

ดังนั้น ผลของความเจ็บปวดและความยากลำบาก เกิดขึ้นมาจากการกระทำของมนุษย์เอง ซึ่งก็มิได้มีความขัดแย้งกันกับความยุติธรรมของพระเจ้า

อัล กุรอานได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในหลายโองการ โดยกล่าวว่า ส่วนมากความยากลำบาก เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์เอง

๔๐๙

๒.บางส่วนของความข่มขืนไม่มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์และไม่มีการลงโทษในวันแห่งการตัดสินด้วย เช่น ความเจ็บปวดของเด็กที่มิได้กระทำบาปใดเลย เขาจะไม่ถูกลงโทษจากพระเจ้า  ในเรื่องนี้ บรรดานักเทววิทยาอิสลามอิมามียะฮ์ เชื่อว่า ความยุติธรรมของพระเจ้า บ่งบอกถึง การทดแทนพวกเขาทั้งหลายด้วยความเจ็บปวดนี้ หมายความว่า พระองค์ทรงประทานรางวัลที่ดีงามให้กับเขา ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกหน้า เพื่อเป็นการทดแทนความเจ็บปวดที่เขาทุกข์ทรมาน  ด้วยเหตุนี้ การมีความเจ็บปวดและความยากลำบาก มิใช่สิ่งที่ขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

ความยุติธรรมอัดล์     :justice

ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์อัดล์ ตักวีนีย์

ความยุติธรรมในการกำหนดบทบัญญัติอัดล์ตัชรีอีย์

ความยุติธรรมในการตอบแทนผลรางวัลและลงโทษอัดล์ ญะซาอีย์

   สรุปสาระสำคัญ

๑.ประเด็นความยุติธรรมของพระเจ้า เป็นหนึ่งในรากฐานของหลักศรัทธาอิสลาม และเป็นหนึ่งในหลักศรัทธาทั้งห้าของศาสนาหรือสำนักคิด ความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า นอกจากมีผลในโลกทรรศน์และการรู้จักพระเจ้า ยังมีผลในการอบรมสั่งสอน สำหรับมนุษย์และสังคมด้วย

๒.บรรดานักเทววิทยาอิสลามอิมามียะฮ์และมุอฺตะซิละฮ์ ที่รู้จักกันใน อัดลียะฮ์ มีความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า ในทางตรงกันข้าม สำนักคิดอัขอะรีย์ ไม่เชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า

๔๑๐

๓.รากฐานหนึ่งของความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า คือการยอมรับในหลักความดีและความชั่วทางสติปัญญา เพราะว่า ด้วยหลักการนี้ ความยุติธรรม คือ การกระทำที่ดี ความกดขี่ คือ การกระทำที่ไม่ดีและพระเจ้ามิกระทำการกระทำที่ไม่ดี และเหตุผลของฝ่ายที่ปฏิเสธความยุติธรรมของพระองค์ ถือว่า เหตุผลดังกล่าวไม่สมบูรณ์และไม่ถูกต้อง

๔.ความยุติธรรมมีหลายความหมาย ดังนี้

(๑) การรักษาความเท่าเทียมกันและความเสมอภาค

(๒)การรักษาไว้ซึ่งสิทธิของผู้อื่นและการออกห่างจากการแบ่งแยก

และความหมายที่ถูกต้องและสมบูรณ์คือ การวางสิ่งหนึ่งในที่ๆของมัน ในสถานที่เหมาะสมกับมัน พื้นฐานของนิยามนี้ คือ ในโลกแห่งการสร้างสรรค์และกำหนดบทบัญญัติของพระเจ้า มีทุกสิ่งที่ต้องอยุ่ในที่ๆของสิ่งนั้น และความยุติธรรมก็คือ การักษาสิ่งนั้นให้อยู่ในที่ๆของสิ่งนั้น

๕.ความยุติธรรมของพระเจ้ามี สามประเภท ดังนี้

(๑) ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์

(๒) ความยุติธรรมในการกำหนดบทบัญญัติ

(๓) ความยุติธรรมในการตอบแทนผลรางวัลและการลงโทษ

ความยุติธรรมในการสร้างสรรค์ หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานปัจจัยยังชีพและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมให้กับสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์

๖.ความหมายของความยุติธรรมในการกำหนดบทบัญญัติ มี สอง ความหมาย ดังนี้

(๑) พระเจ้าทรงกำหนดบทบัญญัติและกฏต่างๆเพื่อทำให้มนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์และความผาสุก

(๒) และพระองค์มิได้รับสั่งให้มนุษย์ปฏิบัติในสิ่งที่เขาไม่มีความสามารถ

๔๑๑

๗.ความยุติธรรมในการตอบแทนผลรางวัลและการลงโทษ หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าทรงให้รางวัลที่เหมาะสมกับการกระทำของมวลบ่าวของพระองค์ ผู้ที่กระทำความดี จะได้รับรางวัลที่ดี และผู้ที่กระทำความชั่ว จะถูกลงโทษในความผิดของเขา

๘.เหตุผลของบรรดานักเทววิทยาอิสลามที่ใช้ในการพิสูจน์ความยุติธรรมของพระเจ้า มีความเกี่ยวข้องกับหลักความดีและความชั่วทางสติปัญญา

๙.โองการทั้งหลายของอัล กุรอานได้อธิบายถึง ความยุติธรรมของพระเจ้า และวจนะทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน

๑๐.บางกลุ่มชนมีความคิดว่า การมีความแตกต่างในสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า  สำหรับคำตอบก็คือ ความแตกต่างเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโลกแห่งธรรมชาติ ที่ไม่มีวันแยกออกจากกันได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความแตกต่างในโลกใบนี้

๑๑.ความตายของมนุษย์ มิได้หมายถึง การไม่มีและการสูญสลาย แต่มีความหมายว่า คือ การเคลื่อนย้ายจากโลกนี้ไปสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งมิได้มีความขัดแย้งกับความยุติธรรมของพระเจ้า

๑๒.การลงโทษในวันแห่งการตัดสิน คือ ผลของการกระทำของมนุษย์ และมิใช่การลงโทษที่เหมือนกับการลงโทษของมนุษย์ที่เขากำหนดกฏและระเบียบขึ้นมาเอง และไม่มีความเหมาะสมกับความผิดของผู้ที่ฝ่าฝืนสักเท่าไร

๑๓.ความยุติธรรมของพระเจ้า บ่งบอกว่า ความเจ็บปวดและความยากลำบากที่ผู้มิได้กระทำความผิดต้องทนทุกข์ทรมาน เขาจะได้รับการทดแทนจากพระองค์

๔๑๒

บทที่ ๔

   การกำหนดกฏสภาวะและจุดหมายปลายทางของมนุษย์ (กอฎออฺและกอดัร)

 บทนำเบื้องต้น

  เรื่องการกำหนดกฏสภาวะและจุดหมายปลายทาง (กอฎออฺและกอดัร) เป็นประเด็นที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในเทววิทยาอิสลาม และที่รู้จักกันในประเด็นนี้ ก็คือ เรื่องของชะตาชีวิตหรือชะตากรรม ซึ่งมีความสัมพันธ์กับมนุษย์และการดำเนินชีวิตของเขาโดยตรง และมิใช่ประเด็นทีเกี่ยวกับการใช้สติปัญญาของบรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลามเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เรื่องของชะตากรรม จึงเป็นเรื่องที่ความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ และในสังคมของมนุษย์ จนกระทั่ง บรรดานักกวีและนักประพันธ์ได้เรียบเรียงเรื่องราวที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้มากมาย และในทัศนะของนักปราชญ์และผู้ที่มีศรัทธาต่อพระเจ้า มีความเห็นว่า ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความรู้และความประสงค์ของพระองค์  ส่วนความเห็นของผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า กล่าวว่า ชะตากรรม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากเหตุผลของวัตถุและธรรมชาติ

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่า เรื่องของกอฎออฺและกอดัร จึงเป็นหลักศรัทธาหนึ่งของอิสลาม และได้มีหนังสือและตำรามากมายที่เขียนเกี่ยวกับประเด็นนี้ และก็ไม่มีความแตกต่างอันใดเหลืออยู่ และจะขออธิบายถึงหลักการนี้ในมุมมองของสำนักคิดทั้งหลายในอิสลาม เป็นลำดับต่อไป

๔๑๓

    ความหมายของ กอฎออฺ และ กอดัร

   กอดัร ในทางภาษาหมายถึง ขนาด และจำนวนของสิ่งหนึ่ง ส่วนกอฏออ์ มีหลายความหมาย คือ การตัดสิน และภาวะที่แน่นอนตายตัว  ทั้งสองคำ มีคำที่มีความคล้ายคลึงกัน ถูกกล่าวในโองการและวจนะทั้งหลาย และจากนี้ไปจะอธิบายบางส่วนต่อไป

   ประเภทของกอฎออฺ และกอดัร

   เพื่อการเข้าใจให้กระจ่างชัดในประเด็นนี้ สามารถแบ่งประเภทของกอฎออฺและกอดัร ได้ สอง ประเภท ด้วยกัน

๑.กอฎออฺและกอดัร อิลมีย์ (การกำหนดสภาวะในความรู้)

๒.กอฎออฺและกอดัร อัยนีย์ (การกำหนดสภาวะในความเป็นจริง)

เช่นเดียวกันการแบ่งประเภทของกอฎออฺและกอดัรอีกประเภท คือ ถูกแบ่งออกเป็น สอง ประเภท ดังนี้

กอฎออฺและกอดัรโดยเฉพาะ และกอฎออฺและกอดัรโดยทั่วไป

และจะเริ่มต้นด้วยกับประเภทแรก นั่นคือ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ (การกำหนดสภาวะทางความรู้) หลังจากนั้น จะอธิบายประเภทอื่น เป็นลำดับต่อไป

๔๑๔

   กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ (การกำหนดกฏสภาวะในความรู้)

   ความหมายของกอดัรอิลมีย์ คือ พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความรู้ในลักษณะ ,ขนาด และขอบเขตของสิ่งหนึ่งก่อนการสร้างของสิ่งนั้น ลักษณะของสิ่งที่มิใช่วัตถุ คือ ลักษณะที่มีอยู่ในตัวของสิ่งนั้น และลักษณะของสิ่งที่เป็นวัตถุ คือ นอกเหนือจากมีลักษณะที่เฉพาะตัวแล้ว ยังมีลักษณะความต้องการ เวลา ,สถานที่ ,มิติต่างๆ และขนาดและอื่นๆ ดังนั้น พระเจ้าทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า สิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ มีลักษณะเป็นเช่นไร

ส่วนกอฎออฺอิลมีย์ หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้ว่ามีความจำเป็นที่สิ่งหนึ่งต้องมีอยู่และเกิดขึ้น เมื่อมีปัจจัยและองค์ประกอบสมบูรณ์ หมายความว่า พระเจ้าทรงรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า ทุกสิ่งที่มีอยู่จะเกิดขึ้นในสภาพใดและมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ทำให้สิ่งนั้นมีอยู่ ดังนั้น จะกล่าวได้ว่า ความรู้ที่มีมาดั้งเดิมของพระองค์ ในสิ่งที่มีอยู่ คือ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ จึงย้อนกลับไปหายัง ความรู้ของพระเจ้า และเป็นหนึ่งในสาขาของคุณลักษณะนี้ ด้วยกับหลักการนี้ สามารถกล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงมีความรู้ในทุกสิ่งที่มีอยู่ และรู้ว่าสิ่งนั้นมีลักษณะเป็นเช่นไรและเกิดขึ้นในสภาพใด สิ่งเหล่านี้ ที่เรียกกันว่า ชะตากรรม

๔๑๕

กอฎออฺและกอดัร อัยนีย์ (การกำหนดสภาวะในความเป็นจริง)

   ความหมายของกอดัรอัยนีย์ คือ การกำหนดลักษณะและคุณลักษณะที่มีอยู่ในตัวของสิ่งหนึ่ง จากพระผู้เป็นเจ้า 

ส่วนความหมายของกอฎออฺอัยนีย์ คือ พระเจ้าทรงให้ความจำเป็นกับสิ่งที่มีอยู่และทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ทุกสิ่งที่มีอยู่ มี สอง สภาพ ดังนี้

สภาพแรก คือ การมีอยู่ของสิ่งหนึ่ง บนพื้นฐานของหลักเหตุและผล 

สภาพที่สอง คือ การมีลักษณะที่เฉพาะของสิ่งนั้น

ดังนั้น ทั้งสองสภาพ คือ ความหมายของกอฏออฺและกอดัรอัยนีย์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ความประสงค์ของพระเจ้า

การสังเกตุในความหมายของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ มีหลายประเด็นที่ควรรู้ ดังนี้

๑.ความแตกต่างของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์กับกอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ก็คือ กอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ มิได้มีมาก่อนสิ่งที่มีอยู่ แต่ได้เกิดขึ้นมาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น

๒.กอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ เป็นลักษณะหนึ่งในการสร้างของพระเจ้า และสามารถกล่าวว่า กอฎออฺและกอดัรนั้น ย้อนกลับไปหา คุณลักษณะการเป็นผู้สร้างของพระองค์

๔๑๖

๓.การกำหนดของแต่ละสิ่ง มีระดับขั้นการมีอยู่ที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ การกำหนดของสิ่งที่มิได้เป็นวัตถุ คือ การกำหนดที่มีอยู่เฉพาะตัวของสิ่งนั้น แต่การกำหนดของสิ่งที่เป็นวัตถุ คือ การกำหนดในสภาวะการมีอยู่ในเวลา ,สถานที่ และคุณลักษณะอื่นๆ เช่น ความสวยงาม ,ความสมบูรณ์ และฯลฯ

   ชะตากรรมและการเลือกสรรของมนุษย์

   หนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่เกี่ยวกับกอฎออฺและกอดัร คือ ประเด็นที่มีความสัมพันธ์กับการเลือกสรรและการเป็นอิสระในการกระทำของมนุษย์ ซึ่งจากความหมายของกอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ บ่งบอกว่า พระเจ้าทรงมีความรู้มาก่อนที่การกระทำทั้งหลายของมนุษย์จะเกิดขึ้น และพระองค์ทรงทราบดีว่า มีลักษณะเป็นเช่นไร และเช่นเดียวกัน กอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ ก็บ่งบอกถึง ความประสงค์ของพระองค์ว่า แน่นอน ย่อมมีบทบาทต่อการเกิดขึ้นของการกระทำของมนุษย์  ด้วยสาเหตุนี้ บางคนก็คิดว่า กอฎออฺและกอดัรนั้นไม่เข้ากันกับการเลือกสรรของมนุษย์ และแทนที่มนุษย์จะเป็นผู้ที่แสดงบทบาท กลายเป็นผู้ชมการแสดงที่ถูกกำหนดไว้ ซึ่งเขาไม่มีอิสระในการกระทำ ดังนั้น กอฎออฺและกอดัร จึงเป็นความเชื่อของกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่า ทุกการกระทำของมนุษย์ เป็นการบังคับจากพระเจ้า ในขณะที่อัล กุรอานได้เน้นย้ำในการเลือกสรรของมนุษย์ และได้ตอบข้อสงสัยของพวกผู้ตั้งภาคีที่มีความเชื่อในการบังคับ และบางทีเรียกกลุ่มหนึ่งในอิสลามว่า กอดะรียะฮ์ โดยที่พวกเขากล่าวว่า ความเชื่อในกอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า มีความขัดแย้งกับการเลือกสรรของมนุษย์

๔๑๗

คำตอบ ที่สรุปได้ก็คือ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ของพระเจ้าที่มีต่อการกระทำของมนุษย์นั้น มิได้เป็นสภาพที่ไร้ขอบเขต แต่เป็นกอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ต่อการกระทำที่มีคุณสมบัติครบสมบูรณ์และพร้อมที่จะเกิดขึ้น และหนึ่งในคุณสมบัติก็คือ การเลือกสรร และความประสงค์ของมนุษย์ที่มีผลทำให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น ดังนั้น พระเจ้าทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า มนุษย์ได้กระทำการกระทำของตนเองด้วยการเลือกสรรของเขาเอง  และในสภาพเช่นนี้ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ของพระองค์ ก็มิได้มีความขัดแย้งกับการเลือกสรรของมนุษย์เลย แต่ทว่า เป็นการเน้นย้ำอีกครั้ง และด้วยเหตุนี้ ความรู้ของพระเจ้า จึงครอบคลุมในการเกิดขึ้นการกระทำ(ผล)ของผู้กระทำ (เหตุ) ที่มีคุณสมบัติครบสมบูรณ์ และถ้าหากว่า ผู้กระทำที่ไม่มีอิสระในการกระทำ เช่น ไฟที่ทำให้ความร้อนเกิดขึ้นมานั้น ความรู้ของพระเจ้าจึงมีต่อการเกิดขึ้นในการกระทำที่ไม่มีการเลือกสรร หมายความว่า พระองค์ทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิมว่า การกระทำที่ไม่มีอิสระการเลือกสรร เช่น ไฟนั้น จะทำให้เกิดความร้อนในเวลาและสถานที่ได้เฉพาะ แต่ถ้าหากว่า ผู้กระทำมีการเลือกสรร เช่น การกระทำของมนุษย์ และสิ่งที่กำหนดจาก พระเจ้า คือ การเกิดขึ้นของการกระทำที่มนุษย์เป็นผู้กระทำด้วยกับการเลือกสรรของเขา

สำหรับในเรื่องของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ ก็มีคำตอบเช่นเดียวกัน ดังนั้น การเกิดขึ้นของกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ มิได้มีสภาพโดยตรงจากพระเจ้า แต่เป็นการเกิดขึ้นของการกระทำที่มีเหตุและผลในระบบหลักด้วยเหตุและผล และความประสงค์ของมนุษย์ เป็นหนึ่งในพื้นฐานของการกระทำที่มีความเป็นอิสระในตัวเอง

๔๑๘

 กอฎออฺและกอดัรก็มีผลต่อการเกิดขึ้นของการกระทำนั้น ด้วยเหตุนี้ การกำหนดจากพระเจ้าและการเกิดขึ้นของการกระทำที่มีอิสระ มิได้มีความขัดแย้งกับการเป็นอิสระและการเลือกสรรของมนุษย์เลย

   กอฎออฺและกอดัรโดยทั่วไป

    สิ่งที่กล่าวไปแล้ว คือ กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า ที่มีต่อการเกิดขึ้นของการกระทำที่เฉพาะ และกอฎออฺและกอดัรอัยนี ยังมีความหมายกว้าง ซึ่งรวมถึงกฏเกณฑ์และหลักการต่างๆที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และสังคม ด้วยเหตุนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิม ในกฏเกณฑ์ต่างๆที่มีอยู่ในสังคมของมนุษย์  เช่น กฏที่ว่าด้วยหลักของเหตุและผล เป็นกฏทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับกอฎออฺและกอดัรของพระองค์

   กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า ในอัล กุรอาน และวจนะ

   ดั่งที่ได้กล่าวไปแล้วว่า มีโองการทั้งหลายและวจนะมากมายกล่าวถึง กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า  เช่น

วจนะจากท่านอิมาม ริฎอ (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

“เกาะดัร หมายถึง การกำหนดขนาดของสิ่งหนึ่งโดยพิจารณาจากการคงอยู่ และสูญสลาย ส่วนกอฏออ์ หมายถึงการเกิดที่แน่นอนของสิ่งหนึ่ง”

(อุศูล อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๕๘)

 “กอดัร หมายถึง การกำหนดขนาดจากด้านยาว,กว้าง และการคงอยู่ของสิ่งหนึ่ง

๔๑๙

หลังจากนั้นกล่าวอีกว่า

“แท้จริงอัลลอฮฺทรงมีความต้องการที่จะให้สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น พระองค์ก็ทรงประสงค์ เมื่อพระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ก็ทรงกำหนด เมื่อพระองค์ทรงกำหนด พระองค์ก็ทำให้สื่งนั้นเกิดขึ้น เมื่อทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น พระองค์ก็อนุมัติ”

(บิฮารุลอันวาร เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๑๒๒ )

อัล กุรอานกล่าวว่า

และมิเคยปรากฏแก่ชีวิตใดที่จะตายนอกจากด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์เท่านั้น ทั้งนี้เป็นลิขิตที่ถูกกำหนดไว้”

(บทอาลิอิมรอน โองการที่ ๑๔๕)

“และอัลลอฮ์ทรงบังเกิดพวกเจ้ามาจากฝุ่นดิน แล้วก็มาจากเชื้ออสุจิ แล้วทรงทำให้พวกเจ้าเป็นคู่สามีภริยา และจะไม่มีหญิงใดตั้งครรภ์และนางจะไม่คลอด เว้นแต่ด้วยความรอบรู้ของพระองค์ และไม่มีผู้สูงอายุคนใดจะถูกยืดอายุออกไป และอายุของเขาก็จะไม่ถูกตัดทอน เว้นแต่อยู่ในบันทึก (ของพระองค์) แท้จริง นั่นเป็นการง่ายดายสำหรับอัลลอฮ์” (บทอัลฟาฏิร โองการที่ ๑๑ )

 “ไม่มีเคราะห์กรรมอันใดเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ และไม่มีแม้แต่ในตัวของพวกเจ้าเอง เว้นแต่ได้มีไว้ในบันทึกก่อนที่เราจะบังเกิดมันขึ้นมา แท้จริงนั่นมันเป็นการง่ายสำหรับอัลลอฮ์”

(บทอัลหะดีด โองการที่ ๒๒)

 “ดังนั้นพระองค์ทรงสร้างมันสำเร็จเป็นชั้นฟ้าทั้งเจ็ดในระยะเวลา ๒ วัน และทรงกำหนดในทุกชั้นฟ้าหน้าที่ของมัน”

(บทอัลฟุศศิลัต โองการที่ ๑๒ )

๔๒๐

“พระองค์คือ ผู้ที่ทรงสร้างพวกเจ้าจากดิน แล้วทรงกำหนดวาระแห่งความตายไว้”

 (บทอัลอันอาม โองการที่ ๒)

และเมื่อพระองค์ทรงกำหนดกิจการใด พระองค์เพียงแต่ตรัสแก่มันว่า จงเป็นแล้วมันก็เป็นขึ้น”

(บทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ ๑๑๗)

ผู้ทรงสร้างแล้วทรงทำให้สมบูรณ์”
“และผู้ทรงกำหนดสภาวะแล้วทรงชี้แนะทาง” ( บทอัลอะอฺลา โองการที่ ๒-๓ )

 “จากเชื้ออสุจิหยดหนึ่งพระองค์ทรงบังเกิดเขา แล้วก็กำหนดสภาวะแก่เขา

 (บทอะบะซะ โองการที่ ๑๙ )

“แท้จริงทุก ๆ สิ่งเราสร้างมันตามสัดส่วน” (บทอัลกอมัร โองการที่ ๔๙)

 “แท้จริงอัลลอฮ์จะมิทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขาเอง”

(บทอัรเราะด์ โองการที่ ๑๑ )

“และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของพวกเจ้าได้ประกาศว่า หากพวกเจ้าขอบคุณ ข้าก็จะเพิ่มพูนให้แก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้าเนรคุณ แท้จริงการลงโทษของข้านั้นสาหัสยิ่ง” ( บทอิบรอฮีม โองการที่ ๗ )

 “ และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮ์ พระองค์ก็จะทรงหาทางออกให้แก่เขา”
“และจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขาจากที่ที่เขามิได้คาดคิด (บทอัฏเฏาะลาก โองการที่ ๒-๓ )

๔๒๑

วจนะจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล) ได้กล่าวว่า“ไม่มีผู้ศรัทธาคนใดนอกจากเขาจะต้องศรัทธาใน สี่ อย่าง เขาจะต้องกล่าวปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น พระเจ้าองค์เดียว และไม่มีการตั้งภาคีใดต่อพระองค์ และเขากล่าวว่า ฉันเป็นศาสนทูตของพระองค์ ที่ถูกแต่งตั้งด้วยสัจธรรม และเขาต้องศรัทธาวันแห่งการตัดสิน และศรัทธาในกอฎออฺและกอดัรของพระองค์ด้วย”

(บิฮารุลอันวาร เล่มที่ ๕ วจนะที่ ๒ )

บางส่วนของวจนะของบรรดาอะฮฺลุลบัยต์ กล่าวถึง การเข้าใจที่ยากลำบากและมีความละเอียดอ่อนในเรื่องราวของกอฎออฺและกอดัร ดั่งเช่น

วจนะจากท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ที่ได้กล่าวตอบกับผู้ที่ถามถึง กอฏออฺและกอดัร ว่า

ท่านอย่าเดินไปในหนทางที่มืดมน และอย่าเข้าสู่ทะเลที่มีความลึก และอย่าหมกมุ่นอยู่กับการค้นหาความเร้นลับของอัลลอฮ์”

(นะญุลบะลาเฆาะฮ์ ฮิกมะฮ์ที่ ๒๘๗ )

วจนะจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล)ได้กล่าวว่า

“เวลาหนึ่งจะมาสู่ประชาชาติของฉัน พวกเขาได้กล่าวว่า การกระทำบาปของพวกเรา ขึ้นอยู่กับกอฎออฺของพระเจ้า ดังนั้น พวกเขามิใช่พวกของฉัน และฉันมิใช่พวกเขา”

(ศิรอฏ็อลมุสตะกีม อิลา มุสตะฮิกอัตตักดีม หน้าที่ ๓๒)

๔๒๒

และอีกวจนะหนึ่งจากท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) กล่าวตอบเกี่ยวกับกอฎออฺและกอดัรของพระเจ้าว่า

“เจ้าอย่าได้พูดว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ละทิ้งสูเจ้าไปตามยถากรรมโดยที่มิได้ดูแล  คำพูดเป็นการดูถูกต่อพระองค์ และอย่าได้พูดว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงบังคับในกระทำความบาปทั้งหลาย แต่จงกล่าวเถิดว่า ความดีมาจากความประสงค์ของพระองค์ และความชั่วมาจากการไม่ยอมรับพระองค์ และทุกสิ่งเป็นสิ่งที่รับรู้ ณ พระองค์”

(บิฮารุลอันวาร เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๙๕ วจนะที่ ๑๖ )

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

 

 กอฎออฺ หมายถึง การกำหนดกฏสภาวะ : Decision

 กอดัร หมายถึง จุดหมายปลายทาง : Destiny

 กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์

 กอฎออฺและกอดัรอัยนีย์

 กอฏออฺและกอดัรโดยทั่วไป

๔๒๓

   สรุปสาระสำคัญ

๑.ประเด็นของกอฎอและกอดัร เป็นประเด็นที่มีความสำคัญในหลักศรัทธาของอิสลาม ซึ่งถูกกล่าวไว้ในโองการทั้งหลายและวจนะของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ และประเด็นมีความสัมพันธ์กับเรื่องของชะตากรรม ด้วยเหตุนี้ เรื่องกอฎออฺและกอดัร จึงเป็นเรื่องทั่วไป

๒.คำว่า กอดัร หมายถึง ขนาด และจำนวนของสิ่งหนึ่ง ส่วนกอฎออฺ หมายถึง การตัดสินและการกำหนดสภาวะที่แน่นอน

๓.กอฎออฺและกอดัร ถูกแบ่งออกเป็น สอง ประเภท คือ กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ และกอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ และยังถูกแบ่งออกอีก สอง ประเภท นั่นคือ กอฎออฺและกอดัรโดยเฉพาะ และกอฎออฺและกอดัรโดยทั่วไป

๔. ความหมายของกอดัรอิลมีย์ คือ พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความรู้ในลักษณะ ,ขนาด และขอบเขตของสิ่งหนึ่งก่อนการสร้างของสิ่งนั้น  ส่วนกอฎออฺอิลมีย์ หมายถึง พระองค์ทรงมีความรู้ว่าสิ่งหนึ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่และเกิดขึ้น

๕. ความหมายของกอดัรอัยนีย์ คือ พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นผู้กำหนดลักษณะและคุณลักษณะทั้งหลายและขอบเขตของสิ่งหนึ่ง  ส่วนความหมายของกอฎออฺอัยนีย์ คือ พระองค์ทรงกำหนดให้มีความจำเป็นของสิ่งหนึ่งที่ต้องเกิดขึ้น

๔๒๔

๖.กอฎออฺและกอดัรอิลมีย์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกสรรในการกระทำของมนุษย์และมีผลในการกระทำนั้นด้วย ดังนั้น จึงมิได้มีความขัดแย้งกับการเลือกสรรของมนุษย์ และเช่นเดียวกัน กอฎออฺและกอดัรอัยนีย์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับความประสงค์ของมนุษย์ด้วยเหมือนกัน  ซึ่งเกิดจากระบบของหลักเหตุและผล ด้วยเหตุนี้ การมีความเชื่อในกอฎออฺและกอดัร จึงมิได้มีความขัดแย้งกับการเป็นอิสระและเป็นผู้เลือกสรรในการกระทำของมนุษย์เอง

๗.กอฎออฺและกอดัรของพระเจ้า นอกจากจะครอบคลุมต่อบุคคลและสิ่งต่างๆโดยเฉพาะ ยังได้รวมถึงกฏเกณฑ์ต่างของพระผู้เป็นเจ้าด้วย ดังนั้น ความหมายของกอฎออฺและกอดัรโดยทั่วไป หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความรู้มาแต่ดั้งเดิม ในการกำหนดกฏเกณฑ์และหลักการต่างๆในสังคมของมนุษย์

๘.วจนะทั้งหลายได้กล่าวไว้ การไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างการมีความเชื่อในกอฎออฺและกอดัรของพระเจ้ากับการเลือกสรรในการกระทำของมนุษย์

๔๒๕

   บทที่ ๕

   การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ (ญับรฺวะอิคติยาร)

   บทนำเบื้องต้น

    การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ (ญับร์และอิคติยาร) เป็นประเด็นหนึ่งที่มีความสำคัญทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน และเป็นข้อวิพากษ์กันในหมู่ของบรรดานักวิชาการอิสลาม โดยเฉพาะในสำนักคิดทั้งหลายของเทววิทยา ซึ่งคำถามที่เกิดขึ้นในประเด็นนี้ ก็คือ มนุษย์คิดว่า ตนเองมีอิสระเสรีในการกระทำของตนเอง หรือว่า ไม่มีอิสระใดและการกระทำของเขา เป็นการบังคับจากพระผู้เป็นเจ้า

   คำอธิบาย

  การบังคับจากพระเจ้าให้มนุษย์ได้กระทำการงานหนึ่ง ความหมายว่า เขาไม่มีอิสระเสรีในตนเองในการกระทำอันนั้น ส่วนการมีอิสระของมนุษย์ในการกระทำ มีความหมายว่า มนุษย์มีอิสระและการเลือกสรรที่กระทำการงานนั้นหรือไม่กระทำก็ได้ และเขามีความเข้าใจและมีความสามารถที่จะไม่กระทำการงานนั้นได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การกระทำที่เป็นอิสระขึ้นอยู่กับการเลือกสรรของผู้กระทำและจากการตัดสินใจของเขา

๔๒๖

 เพราะฉะนั้น การกระทำใดก็ตามที่เป็นอิสระ มิได้หมายความว่า การกระทำอันนั้นต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเสมอไปด้วย เช่น ผู้ป่วยและด้วยกับการรับประทานยาที่รสขม เพื่อที่จะรักษาอาการป่วยของเขาให้หายขาด แต่เนื่องจากเขาไม่ต้องการที่จะรับประทานยานั้น และการรับประทานยา เป็นการฝ่าฝืนกับการตัดสินใจของเขา

สำหรับคำตอบของคำถามข้างต้นนี้ มีทัศนะความคิดเห็นที่สำคัญ ๒  ทัศนะ ดังนี้

๑.ทัศนะของกลุ่มที่มีความเชื่อในญับร์(การบังคับ)และได้กล่าวว่า ตนไม่มีอิสระเสรีในการกระทำ

๒. ทัศนะของกลุ่มที่เชื่อในอิคติยาร (เจตนารมณ์เสรี) กล่าวว่า มนุษย์มีอิสระเสรีในการกระทำ

   ขอบเขตของเรื่อง การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์

    เรื่องของการบังคับและเจตจำนงเสรี มิได้มีจำกัดเฉพาะกับเทววิทยาอิสลามเท่านั้น แต่ในศาสตร์และวิชาการทั้งหลายของอิสลาม ก็มีความสัมพันธ์ในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน บางครั้ง เรื่องของการบังคับและเจตจำนงเสรี เกี่ยวข้องกับเทววิทยา และปรัชญาอิสลาม และในบางครั้ง เรื่องนี้ก็มีความสัมพันธ์กับมนุษยศาสตร์ด้วย ดังนั้น กล่าวได้ว่า วิชาการทั้งหลายของอิสลามและศาสตร์แขนงต่างๆที่มีความสัมพันธ์กับเรื่องของการบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์)

๔๒๗

สามารถแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ดังนี้

๑.เทววิทยาอิสลาม กล่าวคือ ศาสตร์และวิชาการสาขานี้ มีความสัมพันธ์กับญับร์และอิคติยาร เป็นอย่างมาก ในหัวข้อคุณลักษณะที่มีอยู่บางประการของพระผู้เป็นเจ้า เช่น หลักเตาฮีดในการเป็นพระผู้ทรงสร้าง ,ความปรารถนา, ความรอบรู้ และ ฯลฯ

๒.ปรัชญาอิสลาม กล่าวคือ ศาสตร์และวิชาการสาขานี้ มีความสัมพันธ์จากการใช้กฏและหลักการของตรรกและปรัชญาในการพิสูจน์การมีของญับร์และอิคติยาร และเกี่ยวกับประเด็นการรู้จักพระเจ้าและคุณลักษณะของพระองค์โดยตรง

๓.สังคมวิทยาและจิตวิทยา ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า เรื่องของพันธุกรรม, การอบรมสั่งสอนและสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อมนุษย์ในการกระทำของเขา ดังนั้น เรื่องของญับร์และอิคติยารในวิชาการและศาสตร์ คือ การพิจารณาจากปัจจัยที่กล่าวไปแล้ว ทำให้เห็นว่า ไม่สามารถที่จะปฏิเสธการมีอิสระเสรีในการกระทำของมนุษย์ได้ และจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์มีความเชื่อในญับร์ (การบังคับ)ในการกระทำของเขาใช่หรือไม่

ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายของหนังสิอนี้เกี่ยวกับวิชาการประเภทแรก คือ เทววิทยา จึงจำเป็นที่จะมาอธิบายกันในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ ก่อน นั่นก็คือ ในมุมมองและทัศนะทั้งหลายของเทววิทยาอิสลาม

๔๒๘

   การบังคับและเจตจำนงเสรีของมนุษย์ที่ถูกกล่าวไว้ในประวัติศาสตร์อิสลาม

        ความคิดเห็นในเรื่องของการบังคับและเจตจำนงเสรี ได้เกิดขึ้นในช่วงแรกของอิสลาม ก็คือประมาณ ศตวรรษแรกของอิสลาม และสาเหตุการเกิดขึ้นของความคิดนี้มาจากผลประโยชน์ของบรรดาผู้ปกครองในสมัยนั้น บรรดานักวิชาการจึงถูกแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย กลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า อะฮ์ลุลฮะดีษหรือ กลุ่มที่มีความสันทัดในการรายงานวจนะทั้งหลาย(ฮะดีษ) และพวกเขาได้ยอมรับในความเชื่อในญับร์ เช่น ท่านญะฮ์ม์ บิน ศอฟวาน (เสียชีวิตในฮ.จ.ที่ ๑๒๔)ผู้ก่อตั้งสำนักคิดญะฮ์มียะฮ์ โดยมีความเชื่อว่า มนุษย์ทั้งหลายไม่มีอิสระในการกระทำของตนเอง และพระเจ้า เพียงพระองค์เดียวที่ทรงสร้างการกระทำทั้งหลายให้กับมนุษย์ และในพืชพรรณต่าง ก็เช่นกัน และในสรรพสิ่งทั้งหลายก็ด้วยเช่นกัน  ดังนั้น ทัศนะนี้ มีความเชื่อในการบังคับที่เกินขอบเขตที่ถูกกำหนด หลังจากที่ความเชื่อในการบังคับมีมากขึ้น จากการเกิดขึ้นของสำนักคิดอัชอะรียฺ และพวกเขามีทัศนะเป็นของตัวเอง ก็คือ ทัศนะกัสบ์ ซึ่งมีความเชื่อว่า มนุษย์มีขอบเขตในการกระทำของเขาและในทางตรงกันข้ามกับทัศนะนี้ มะอ์บัด ญะฮะนี และสานุศิษย์ของเขาคือ ฆอยลาน ดะมิชกี กับมีความเชื่อใน การมีอิสระในการกระทำของมนุษย์ ดังนั้น เรื่องของการบังคับและเจตจำนงเสรี ในมุมมองของประวัติศาสตร์เทววิทยาอิสลาม จึงมีด้วยกัน ๓ ทัศนะที่สำคัญ ดังนี้

๑.ทัศนะญับร์ (ทัศนะที่เชื่อว่า มนุษย์ถูกบังคับให้กระทำ)

๔๒๙

ทัศนะนี้ ในช่วงแรก เป็นทัศนะของอะฮฺลุลฮะดีษ ที่มีความเชื่ออย่างรุนแรง หลังจากนั้น  ก็เป็นทัศนะของสำนักคิดอัชอะรียฺ แต่มีความแตกต่างกับทัศนะของอะฮฺลุลฮะดีษ คือ มีทัศนะที่ใหม่เกิดขึ้น ก็คือ ทัศนะกัสบฺ ซึ่งมีความเป็นกลางกว่าทัศนะของอะฮฺลุลฮะดีษ

๒.ทัศนะตัฟวีฎ

ทัศนะนี้ เป็นทัศนะของสำนักคิดมุอฺตะซิละฮฺ

๓.ทัศนะอิคติยารหรืออัมรุน บัยนะอัมร์(ทัศนะที่เชื่อว่ามีอิสระในการกระทำ)

ทัศนะนี้ เป็นทัศนะของสำนักคิดอิมามียะฮ์ และจากวจนะของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (ขอความสันติ พึงมีแด่พวกท่าน)ที่ได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีการบังคับและการมอบหมายจากพระเจ้า นอกจากการมีระหว่างสองสิ่ง

หลังจากที่มีความเข้าใจในทัศนะทั้งหลายของบรรดานักเทววิทยาอิสลามแล้ว จะขออธิบายในเหตุผลของแต่ละทัศนะ เป็นลำดับต่อไป และก่อนที่จะอธิบาย มีประเด็นที่สำคัญในเรื่องนี้ นั่นก็คือ มนุษย์กับการมีอิสระในการกระทำของเขา

   มโนธรรมของมนุษย์บ่งบอกถึงการเป็นอิสระเสรี

     ทัศนะของอิคติยาร (เชื่อในการมีอิสระเสรีในการกระทำ) มีความเชื่อว่า ทัศนะของพวกเขามีหลักฐานและเหตุผลที่เพียงพอ และไม่มีผู้ใดที่ไม่ยอมรับเหตุผลของพวกเขา

๔๓๐

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ มนุษย์ทุกคนมีความรู้สึกว่า ตนเองมีอิสระและเจตนารมณ์เสรีในการกระทำ ความรู้สึกนี้เกิดจากการรับรู้โดยตรง และไม่มีการผิดพลาดอย่างแน่นอน และอีกด้านหนึ่ง คือ การรู้สึกเสียใจที่ได้กระทำบางอย่างไป มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองและสามารถมอบหมายหน้าที่ให้กับผู้อื่น การลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืน สิ่งเหล่านี้ เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากการเป็นอิสระและเจตนารมณ์เสรีของมนุษย์ทั้งสิ้น

ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำไมบรรดานักคิดบางคน จึงมีความเชื่อในการบังคับจากพระเจ้าและปฏิเสธเจตนารมณ์เสรีของมนุษย์?

คำตอบ ก็คือ ที่มาของความเชื่อในการบังคับ นอกเหนือจากเหตุผลทางจิตใจและเป้าหมายส่วนบุคคลแล้ว ยังมีคำถามอีกมากมายที่ถูกถามและเขาไม่สามารถหาคำตอบได้ จนในที่สุดพวกเขาก็ต้องเชื่อในการบังคับ ดังนั้นสิ่งนี้ มิใช่เป็นสิ่งแปลกประหลาดอะไร เพราะในประวัติศาสตร์บันทึกไว้ได้ชัดเจนว่า แม้แต่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ยังไม่สามารถหาคำตอบในบางข้อสงสัยได้ เช่น การมีอยู่ของความเป็นจริง และท้ายที่สุด เขาก็กลายเป็นผู้สงสัยในการมีอยู่ของความเป็นจริง  

   การวิเคราะห์ในทัศนะญับร์ (การบังคับจากพระเจ้า)

   ในการวิเคราะห์และตรวจสอบทัศนะญับร์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พื้นฐานและเหตุผลของสำนักคิดอัชอะรีย์

 และพื้นฐานที่สำคัญของสำนักคิดอัชอะรีย์ ในการยอมรับญับร์ ซึ่งมีดังนี้

๔๓๑

๑.ความเป็นเอกานุภาพในการสร้างสรรค์ (เตาฮีดในการสร้าง) เป็นพื้นฐานหนึ่งที่สำคัญของอัชอะรีย์  พวกเขากล่าวว่า ด้วยกับความเป็นเอกานุภาพในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า หมายความว่า พระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง และทุกสรรพสิ่งซึ่งได้รวมถึง การกระทำของมนุษย์ด้วย ดังนั้น พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างการกระทำของมนุษย์เพียงพระองค์เดียว และมนุษย์มิได้มีบทบาทใดในการเกิดขึ้นของการกระทำของเขา และเขาก็ไม่มีความเป็นอิสระและมีเจตนารมณ์เสรีอีกด้วย

ดังนั้น สิ่งที่ได้กล่าวไปในประเด็นของความเป็นเอกานุภาพในการกระทำ และประเภทต่างๆของมัน เป็นคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในการสร้างสรรค์ ก็คือ พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ที่มีอำนาจสร้างทุกสรรพสิ่งโดยมิต้องได้รับอนุญาตจากสิ่งอื่นใด และความหมายนี้ ก็มิได้ขัดแย้งกับการกระทำของมนุษย์ที่เขาเป็นผู้เลือกสรรในการกระทำของเขา แต่การกระทำของเขานั้นจะต้องได้รับการอนุมัติจากพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว ดั่งที่ได้กล่าวแล้วว่า ในโองการมากมายของอัล กุรอานได้กล่าวถึง การเป็นผู้กระทำของมัคลูก (สิ่งถูกสร้าง) ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ ความเป็นเอกานุภาพในการสร้างสรรค์ ก็มิได้ขัดแย้งกับการเป็นอิสระและการมีเจตนารมณ์เสรีของมนุษย์ และการกระทำของเขาเกิดได้ด้วยการอนุมัติจากพระองค์ และการกระทำนั้นอยู่ในด้านยาวของการกระทำของพระองค์ โดยมิได้อยู่ด้านกว้างของการกระทำของพระองค์

๔๓๒

๒.ความรู้ที่มีมาดั้งเดิมของพระเจ้า อีกพื้นฐานหนึ่งของอัชอะรีย์ คือ เรื่องของความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์ เหตุผลนี้มีความสัมพันธ์กับประเด็นของกอฎออฺและกอดัรของพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นตัวเชื่อมระหว่างกอฎออฺและกอดัรกับการบังคับและเจตจำนงเสรี

เหตุผลของพื้นฐานความรู้ที่มีมาดั้งเดิมของพระเจ้า คือ พระองค์ทรงมีความรู้ก่อนการเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นของการกระทำของมนุษย์ จะกล่าวอีกนัยหนึ่งกืคือ เป็นไปไม่ได้ที่ความรู้ของพระองค์ จะไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือพระองค์ไม่มีความรู้ในการกระทำของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่มีการเกิดขึ้นของการกระทำ แต่ทว่าพระองค์มิทรงมีความรู้ในการกระทำนั้น และการเกิดขึ้นของการกระทำ พระองค์จำเป็นที่จะต้องมีความรู้ และไม่มีสภาพที่สามเกิดชึ้น ดังนั้น การกระทำของมนุษย์เกิดจาก สอง สภาพ เป็นไปไม่ได่ และความจำเป็น กล่าวได้ว่า พลังอำนาจมีกับสิ่งที่เป็นไปได้ และการกระทำของมนุษย์อยู่ในอำนาจของพระองค์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า การกระทำของมนุษย์นั้น มิได้มีความเป็นอิสระเสรี

คำตอบ จากที่ได้อธิบายไปแล้วในประเด็นกอฎออฺและกอดัรว่า ความรู้ของพระเจ้ามีต่อการกระทำของมนุษย์ในสภาพที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์ และความหมายของความรู้ดั้งเดิมของพระองค์ คือ  พระองค์ทรงมีความรู้ก่อนการกระทำที่เป็นอิสระของมนุษย์ เช่น การยืน การเดิน การนั่ง และอื่นๆ  ซึ่งพระองค์ทรงรู้ว่าการกระทำที่เป็นอิสระของมนุษย์คนนั้น จะเกิดขึ้นในเวลาและสถานที่ใด  ดังนั้น ในสภาพนี้

๔๓๓

จึงมีความจำเป็นที่การกระทำนั้นต้องเกิดขึ้น และการกระทำนั้นมิได้มีความขัดแย้งกับการเลิอกสรรของมนุษย์ เพราะว่าความหมายของ ความจำเป็นคือ การกระทำที่มีเหตุผลสมบูรณ์และมีผู้กระทำที่มีอิสระ ดั่งเช่น ทุกๆผลของเหตุที่มีความจำเป็นและมีเหตุผลสมบูรณ์

ส่วนมากของบรรดานักปรัชญาอิสลามได้ตอบข้อสงสัย ด้วยกับคำตอบเช่นนี้ เช่น

ท่านอัลลามะฮฺ ตอบาตอบาอีย์ ได้กล่าวว่า

“ความรู้ที่มีดั้งเดิมและไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า มีต่อทุกสรรพสิ่งที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่มีความสัมพันธ์กับความรู้ของพระองค์ คือ การกระทำที่มีการเลือกสรรและมีอิสระในสภาพที่มีการเลือกสรร ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่การกระทำนั้น จะไม่มีอิสระอยู่เลย กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับกอฎออฺของพระเจ้า ก็คือ การกระทำของผู้กระทำที่มีอิสระ และถ้าหากว่า กอฎออฺของพระองค์มีต่อการกระทำที่ไม่มีอิสระ เท่ากับว่าเป็นการปฏิเสธกอฎออฺของพระองค์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้”

(นิฮายะตุลฮิกมะฮ์ ตอนที่ ๑๒ ภาคที่ ๑๔ )

๓.ความประสงค์อันสมบูรณ์และไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า นี่คือพื้นฐานที่สามของอัชอะรีย์ ในการยอมรับทัศนะญับร์

เหตุผลของอัชอะรีย์ ก็คือ ความประสงค์ของพระเจ้า ได้รวมถึงการกระทำของมนุษย์เข้าไปด้วย ดังนั้น ทุกการกระทำของมนุษย์ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระองค์ และผลที่ได้รับก็คือ การกระทำของมนุษย์มิได้มีความเป็นอิสระเสรี  เพราะการเกิดขึ้นของการกระทำขึ้นอยูกับความประสงค์ของพระองค์ มิใช่ความประสงค์ของมนุษย์

๔๓๔

ก่อนที่จะตอบข้อสงสัยข้างต้น เล็งเห็นว่า มีความสำคัญที่จะกล่าวว่า มีความแตกต่างกันในความรู้ที่มีมาดั้งเดิมของพระเจ้า ต่อการกระทำของมนุษย์ กับเกิดความแตกต่างในความประสงค์ของพระองค์  ซึ่งอัชอะรีย์ยอมรับว่า ความประสงค์ของพระเจ้ามีต่อการกระทำของมนุษย์ด้วย แต่มุอฺตะซิละฮ์ได้คัดค้านทัศนะนี้ และกล่าวว่า เราเชื่อในการเป็นอิสระและมีเจตนารมณ์ในการกระทำของมนุษย์  ด้วยเหตุนี้ ประเด็นนี้จึงเกิดคำถามอยู่ สอง คำถาม ดังนี้

๑.ความประสงค์ของพระเจ้า มีต่อการกระทำของมนุษย์ใช่หรือไม่

๒.ถ้าตอบว่า ใช่ จะเป็นสาเหตุให้เกิดทัศนะญับร์และการไม่มีอิสระในการกระทำของมนุษย์ด้วยใช่หรือไม่

คำตอบ ก็คือ ในคำตอบแรก ตอบว่า ใช่ ส่วนคำตอบที่สอง ไม่ เพราะว่า อิรอดะฮ์ของพระเจ้า รวมถึงการกระทำของมนุษย์อยู่ด้วย และไม่มีเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ใดที่อยู่เหนือความประสงค์ของพระองค์ และสิ่งนี้มิได้เป็นสาเหตุให้เข้าใจว่า การกระทำของมนุษย์ เป็นการบังคับจากพระองค์ เพราะว่าในที่นี้ อิรอดะฮ์ (ความประสงค์) ของพระเจ้า มิได้มีสภาพที่ไม่มีขอบเขต แต่อิรอดะฮ์ของพระองค์มีต่อการกระทำที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์ เหมือนกับเรื่องของความรู้ของพระองค์

ด้วยเหตุนี้ ถ้าอิรอดะฮ์ของพระเจ้า มีผลต่อไฟที่มีความร้อน ที่ไม่มีความรู้และความประสงค์ แต่อิรอดะฮ์ของพระองค์ในการกระทำที่เป็นอิสระ ต้องมีทั้งความรู้และความประสงค์ควบคู่กัน

๔๓๕

   ทัศนะกัสบ์

    กล่าวไปแล้วในเหตุผลของการเป็นอิสระของมนุษย์ในการกระทำ ซึ่งกลุ่มที่มีความเชื่อในการบังคับได้ปฏิเสธการเป็นอิสระของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ พวกอัชอะรีย์จึงมีความพยายามที่จะรักษาพื้นฐานและหลักการของตน เพื่อที่จะทำให้มนุษย์มีบทบาทในการกระทำของเขา จึงได้มีทัศนะใหม่เกิดขึ้น นั่นคือ ทัศนะกัสบ์ เมื่อย้อนกลับไปหาคำกล่าวของบรรดานักวิชาการของอัชอะรีย์ จะเห็นได้ว่า มีการอธิบายในทัศนะนี้ที่แตกต่างกัน  ซึ่งมีดังต่อไปนี้

๑.ในการอธิบายหนึ่งกล่าวว่า กัสบ์ หมายถึง การมีอำนาจที่เกิดขึ้นในการกระทำของมนุษย์ ดังนั้น ในเวลาที่มนุษย์กระทำ ตัวของเขามิได้เป็นผู้กระทำ แต่พระเจ้าทรงสร้างพลังอำนาจหนึ่งให้มีอยู่ในการกระทำของเขา และพลังนี้มีผลต่อการเกิดขึ้นของการกระทำนั้น

คำตอบ ก็คือ ถ้าหากพลังอำนาจที่เป็นตัวทำให้การกระทำของมนุษย์เกิดขึ้น และพระเจ้าก็มีพลังอำนาจด้วย ดังนั้น การเกิดขึ้นของการกระทำหนึ่ง มี สองพลังอำนาจ ซึ่งเป็นไปไม่ได้

และถ้าการมีพลังอำนาจของมนุษย์อยู่ใต้อำนาจของพระเจ้า ดังนั้น มนุษย์ มีผลต่อการเกิดขึ้นของการกระทำของตนเอง ซึ่งก็คือ การยอมรับในทัศนะของการเป็นอิสระในการกระทำนั่นเอง

๔๓๖

๒.ทุกการกระทำมีอยู่ สอง สภาพ คือ

(๑).การมีอยู่ของการกระทำ

(๒).การตั้งชื่อ นอกจากการมีอยู่ของการกระทำแล้ว ยังมีสิ่งอื่นอีก ซึ่งพลังอำนาจของมนุษย์มีในสิ่งนี้ ดังนั้น การมีอยู่ของการกระทำ เป็นการกระทำของพระเจ้า แต่การตั้งชื่อ เช่น การนมาซ การกิน การพูดโกหก และอื่นๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังอำนาจที่มีอยู่ในพระองค์ ด้วยเหตุนี้ ความหมายของกัสบ์ คือ การมีพลังอำนาจของมนุษย์ในการตั้งชื่อของการกระทำของตน

การวิเคราะห์และตรวจสอบในทัศนะนี้  จะกล่าวได้ว่า ถ้าหากว่า การตั้งชื่อหรือเรียกชื่อ เป็นการกระทำที่มีอยู่จริง และตรงกับทัศนะของอัชอะรีย์ ในหลักเตาฮีดในการสร้าง และการตั้งชื่อนั้น เป็นการกระทำของพระเจ้า และมนุษย์ไม่มีผลในการกระทำอันใดเลย

และถ้าหากว่า การตั้งชื่อ มิได้มีอยู่ในความเป็นจริง ทัศนะกัสบ์ถือว่า ไม่ถูกต้อง

๓.บางครั้ง ความหมายของกัสบ์ คือ พระเจ้าในเวลาเดียวกัน ที่มีความประสงค์ และมนุษย์ก็มีความสามารถในการกระทำ  และทำให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น ซึ่งการเกิดขึ้นของการกระทำนั้น มิได้มีผลต่อการมีพลังอำยาจของมนุษย์เลย

การตรวจสอบในทัศนะนี้ กล่าวได้ว่า การเกิดขึ้นของความประสงค์ของมนุษย์พร้อมกันกับการเกิดขึ้นของการกระทำที่เป็นการกระทำของพระเจ้า ไม่ถูกต้องที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ของการกระทำไปยังมนุษย์

๔๓๗

นอกเหนือจากนี้ ความประสงค์ดั่งกล่าว เป็นความประสงค์ที่มิได้เป็นจริง เพราะว่า ความประสงค์ที่เป็นจริง เกิดขึ้นกับมุรอด(สิ่งที่ถูกประสงค์) และเกิดขึ้นจากการเป็นลูกโซ่ของเหตุผลทั้งหลาย

จากสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น คือ ทัศนะหนึ่งของอัชอะรีย์เกี่ยวกับการกระทำของมนุษย์ เป้าหมายและจุดประสงค์ของพวกเขาก็คือ ต้องการที่จะรักษาในหลักเตาฮีด การมีพลังอำนาจ ความรู้ กรรมสิทธิของพระเจ้า และด้วยกับการไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง จึงเป็นสาเหตุให้พวกเขามีความเชื่อในการบังคับ เพื่อให้ความเชื่อนี้คงอยู่ จึงเกิดทัศนะใหม่ขึ้นมา นั่นคือ ทัศนะกัสบ์ (ด้วยกับการอธิบายในความหมายที่แตกต่างกัน) และทัศนะนี้ถือว่า ไม่ถูกต้องและขัดแย้งกับโองการทั้งหลายของอัล กุรอาน ซึ่งจะอธิบายในภายหลัง เป็นลำดับต่อไป

   การตรวจสอบในทัศนะตัฟวีฎ (การมอบอำนาจในกิจการต่อพระเจ้า)

   หลังจากที่อธิบายในทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์และได้วิเคราะห์และตรวจสอบผ่านไปแล้ว  ที่นี้ จะมาอธิบายในทัศนะของสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์ ต่อไป และทัศนะของสำนักคิดนี้ที่เป็นที่รู้จักกันว่า ตัฟวีฎ

พวกมุอฺตะซิละฮ์มีทัศนะที่แตกต่างกันอัชอะรีย์ คือ พวกเขาเชื่อว่า การกระทำที่เป็นอิสระของมนุษย์เกิดขึ้นจากความประสงค์ของเขาเอง และมนุษย์คือ ผู้ตัดสินใจในการกระทำของตนเอง และพระเจ้าไม่มีบทบาทหรือมีผลในการกระทำของเขาเลย

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า พระเจ้าได้มอบหมายการกระทำที่เป็นอิสระให้กับมนุษย์และให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจ

๔๓๘

พวกมุอฺตะซิละฮ์ก็เหมือนกับอัชอะรีย์มีเหตุผลมากมายทางสติปัญญาและโองการจากอัล กุรอาน และวจนะ และพวกเขากล่าวว่า ถ้าหากว่า มนุษย์ไม่มีอิสระในการกระทำของตน การกำหนดบทบัญญัติและหน้าที่ก็ไม่มีความหมาย เพราะในสภาพนี้ มนุษย์ไม่มีบทบาทใดในการกระทำ และไม่มีการยกย่องและการลงโทษ

ในการตรวจสอบทัศนะของพวกมุอฺตะซิละฮ์  กล่าวได้ว่า ถ้าหากเหตุผลของพวกมุอ์ตะซิละฮ์ถูกต้อง ดังนั้น ทัศนะของพวกอัชอะรีย์ ในการบังคับถือว่า ไม่ถูกต้อง แต่ไม่ถือว่า ทัศนะตัฟวีฎ มีความถูกต้อง  เพราะว่า เหตุผลของทัศนะนี้ จะถูกต้องได้ ต้องตรงกันกับทัศนะที่สาม นั่นคือ ทัศนะอัมรุน บัยนัลอัมร์

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ถ้ายอมรับในทัศนะตัฟวีฎ  เหตุผลของสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์  นอกจากใช้พิสูจน์ว่า ทัศนะญับร์ไม่ถูกต้อง  ก็ต้องพิสูจน์ในทัศนะของบรรดานักเทววิทยาในสำนักคิดอิมามียะฮ์ด้วย ซึ่งความเป็นจริง มิได้เป็นเช่นนั้น

   จุดประสงค์ของพวกมุอฺตะซิละฮ์ ต่อการมีความเชื่อในทัศนะตัฟวีฎ

    ความเป็นจริง ก็คือ พวกมุอฺตะซิละฮ์ต้องการรักษาความยุติธรรมของพระเจ้า และอีกด้านหนึ่ง พวกเขาคาดคะเนที่ผิดพลาดว่า  การลงโทษจากพระเจ้าต่อมนุษย์ในสภาพที่การกระทำของเขาเป็นอิสระเท่านั้น ถึงเรียกว่า มีความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงหาหนทางในการหลีกเลี่ยงกับทัศนะของญับร์ จึงเลือกเอาทัศนะตัฟวีฎ เป็นทัศนะของตน

๔๓๙

จากทัศนะนี้แสดงให้เห็นว่า พระเจ้ามิได้มีบทบาทในการกระทำของมนุษย์เลย ซึ่งในความเป็นจริง ถ้าหากพวกเขาได้ครุ่นคิด ก็จะเห็นว่า การกระทำของมนุษย์และความสัมพันธ์กับการกระทำของพระเจ้า นั้นคือ หลักเตาฮีดในการกระทำ และการมีความยุติธรรม ซึ่งอยู่คู่กัน

   ทัศนะของอัมรุน บัยนะอัมร็อยน์ (แนวทางสายกลาง)

    ได้กล่าวไปแล้วในทัศนะของอัชอะรีย์และมุอฺตะซิละฮ์ จะยังคงเหลือเพียงทัศนะเดียว นั่นคือ ทัศนะของสำนักคิดอิมามียะฮ์ ที่เรียกกันว่า ทัศนะอัมรุน บัยนุลอัมร็อยน์ เป็นแนวทางสายกลางต่อการอธิบายในการกระทำของมนุษย์ แต่การที่จะมีความเข้าใจในทัศนะนี้ได้นั้น มีความยากลำบากและมีความละเอียดอ่อน ซึ่งมีการอธิบายที่มีความแตกต่างกันในหมู่นักเทววิทยาอิมามียะฮ์เอง

บรรดานักปรัชญาอิสลามได้กล่าวในการอธิบายทัศนะนี้ โดยยึดเอาหลักการและกฏตรรกที่มีความเข้าใจยากและมีความต้องการคำอธิบายที่ลึกซึ้ง โดยต้องอาศัยหลักการหนึ่ง นั่นก็คือ หลักวะฮฺดะฮฺ ตัชกีกียฺ (ความเป็นหนึ่งเดียวในระดับขั้นทั้งหลาย)(เป็นหลักการหนึ่งของปรัชญาอิสลาม)  กล่าวคือ การอธิบายถึงความสัมพันธ์ของพระเจ้า ในสภาพที่พระองค์ เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่ และสิ่งอื่นเป็นสิ่งที่จะมีอยู่ก็ได้ ไม่มีก็ได้ และสิ่งที่จะกล่าวในทัศนะนี้ นั่นก็คือ การกระทำของมนุษย์ เป็นการกระทำที่มีอิสระในความเป็นจริง และเป็นการกระทำที่เขากระทำเองโดยตรงและเป็นทั้งการกระทำของพระเจ้าด้วย  และจากการกล่าวว่า การกระทำของมนุษย์ เป็นการกระทำของมนุษย์ และเป็นการกระทำของพระเจ้า

๔๔๐

441

442

443

444

445

446

447

448

449

450