บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม13%

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา
หน้าต่างๆ: 450

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 450 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 339927 / ดาวน์โหลด: 4959
ขนาด ขนาด ขนาด
บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

บทเรียนเทววิทยาอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

และเช่นเดียวกัน ด้วยกับทฤษฎีกฏและระเบียบของโลก ได้อธิบายไปแล้วว่า

 การมีอยู่ของพระเจ้า ในสภาพที่พระองค์เป็นผู้ทรงดูแล และเป็นผู้ทรงจัดระบบและระเบียบให้กับโลก ดังนั้น จุดมุ่งหมายหลักของข้อพิสูจน์นี้ ก็คือ การพิสูจน์ว่า พระเจ้านั้นมีอยู่จริงใช่หรือไม่ มิได้หมายความว่า การพิสูจน์ว่า พระเจ้ามีคุณลักษณะบางประการอยู่ในพระองค์ สมมุติว่าคุณลักษณะเหล่านั้นเกิดขึ้นมาก่อนที่จะพิสูจน์ด้วยกับเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง และการสร้างมโนภาพถึง อาตมันของพระองค์ ที่มีคุณลักษณะดังกล่าว หลังจากนั้น จึงทำการพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของพระองค์ ในสภาพที่เป็น สิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่ และเป็นผู้ทรงดูแลและจัดระบบและระเบียบให้กับโลกใบนี้ เป็นอันดับแรก  แล้วจะมาพิสูจน์ในคุณลักษณะประการอื่นๆ เป็นอันดับต่อไป

การพิสูจน์ในคุณลักษณะประการแรก ถูกเรียกว่า “คุณลักษณะในลำดับแรก”

การพิสูจน์ในคุณลักษณะประการอื่นๆ ถูกเรียกว่า “คุณลักษณะในลำดับรอง”

ในบทที่เกี่ยวกับคุณลักษณะของพระเจ้า จะมาอธิบายกันต่อไป ถึงคุณลักษณะในลำดับแรก นั่นก็คือ สิ่งจำเป็นต้องมีอยู่ของพระองค์ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานต่อการพิสูจน์ในการมีอยู่ของคุณลักษณะประการอื่นๆ

๖๑

   อัล กุรอานกับความต้องการของสิ่งมีชีวิตยังพระเจ้า

  ข้อพิสูจน์วุญูบและอิมกาน มิได้ถูกกล่าวไว้ในอัล กุรอาน แต่บางโองการของอัล กุรอานได้กล่าวถึง ความต้องการของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายยังพระเจ้า ซึ่งมีความหมายคล้ายคลึงกับข้อพิสูจน์นี้

อัล กุรอานกล่าวว่า

“โอ้มนุษย์เอ๋ย สูเจ้าเป็นผู้ขัดสนต้องการพึ่งอัลลอฮ์ (พระเจ้า) และอัลลอฮ์ทรงไม่ต้องการสิ่งใดเลย พระองค์ควรค่าแด่การสรรเสริญยิ่ง” (บทอัลฟาฏิร โองการที่ ๑๕)

ดังนั้น ความหมายของ “ความต้องการ” ในโองการนี้บ่งบอกว่า มนุษย์มีความต้องการพึ่งยังพระเจ้า และในบางโองการได้กล่าวถึงสิ่งถูกสร้างอื่น และรวมทั้งมนุษย์ด้วย ในขณะที่พระเจ้า เป็นพระผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง

อัล กุรอานกล่าวอีกว่า

“หรือว่าพวกเขาถูกสร้างมาโดยไม่มีผู้สร้าง หรือว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างเสียเอง?”

 ( บทอัฏฏูร โองการที่ ๓๕ )

โองการนี้ได้กล่าวถึง มนุษย์ทุกคน เป็นสิ่งถูกสร้างของพระเจ้า เพราะว่า มนุษย์นั้นไม่มีอยู่มาดั้งเดิม หลังจากนั้นมนุษย์ก็เกิดขึ้นมา

การเกิดขึ้นของมนุษย์ จึงมีด้วยกัน ๒ สภาพ

๑.มนุษย์เกิดขึ้นเองโดยที่ไม่มีสาเหตุ

๒.มนุษย์เกิดขึ้นได้ด้วยตัวของเขาเอง

๖๒

ดังนั้น ทั้งสองสภาพนี้ ถือว่าไม่ถูกต้อง จะคงเหลือเพียงสมมุติฐานหรือสภาพเดียว นั่นก็คือ มนุษย์เกิดขึ้นมาจากพระผู้ทรงสร้างเพียงพระองค์เดียว ดังนั้น โองการนี้ได้กล่าวว่า พระเจ้า เป็นผู้ทรงสร้างมนุษย์ทั้งหลายขึ้นมา

   ศัพท์วิชาการท้ายบทที่ ๔

    

วาญิบุลวุญูด หมายถึง สิ่งจำเป็นต้องมีอยู่         : Necessary existence

                                                      มุมกินุลวุญูด หมายถึง สิ่งที่ต้องพึ่งพาสิ่งอื่น   : Possible existence

 : Cause and effect   กฏที่ว่าด้วยเหตุและผล

  ตะซัลซุล หมายถึง กฏลูกโซ่ : Endless regress

กฏวัฏจักรที่เปิดเผย : Period of concealment

  กฏวัฏจักรที่ซ่อนอยู่ : Cycle of unveiling

 คุณลักษณะลำดับแรก 

 คุณลักษณะลำดับรอง

๖๓

   สรุปสาระสำคัญ

๑.การรู้จักพระเจ้าด้วยเหตุผลทางสติปัญญา หมายถึง การรู้จักพระองค์โดยการอาศัยหลักปรัชญาและกฏต่างๆของตรรกศาสตร์  ดังนั้น การเข้าใจในข้อพิสูจน์ที่เกิดขึ้นจากเหตุผลทางสติปัญญานี้ มีความยุ่งยากสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจในหลักของปรัชญา ซึ่งต้องผ่านการศึกษาในวิชาปรัชญาก่อน จึงจะมีความเข้าใจได้

๒.เหตุผลทางสติปัญญาการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าและการรู้จักพระองค์ เมื่อได้เปรียบเทียบกับเหตุผลอื่นๆ ถือว่ามีประโยชน์มากกว่า เพราะว่าสามารถใช้ในการโต้ตอบกับผู้ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า และยังมีผลในการเสริมสร้างความศรัทธาให้กับผู้ศรัทธาอีกด้วย ในเวลาที่พวกเขาประสบกับปัญหาต่างๆในการดำเนินชีวิต      

๓.มุมกินุลวุญูด คือ สิ่งที่สามารถจะมีอยู่ก็ได้หรือไม่มีอยู่ก็ได้ หมายความว่า การมีอยู่ของสิ่งนั้นไม่มีความจำเป็นและสามารถที่จะแยกออกจากกันได้

วาญิบุลวุญูด คือ สิ่งที่มีความจำเป็นที่จะต้องมีอยู่ และไม่สามารถที่จะแยกมันจากการมีได้

๔.ความหมายของกฏแห่งปฐมเหตุ หมายถึง ทุกสรรพสิ่งเป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพา และในการเกิดขึ้นของสิ่งนั้นมีความต้องการไปยังสิ่งอื่น ดังนั้น ตามหลักของกฏแห่งปฐมเหตุ คือ ทุกสรรพสิ่งเป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพา ซึ่งมีความต้องการเหตุในการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น

๖๔

๕.การเกิดขึ้นของกฏของลูกโซ่ หมายความว่า การที่ไม่มีที่สิ้นสุดของลูกโซ่ในเหตุและผลต่างๆ และเช่นเดียวกัน กฏแห่งวัฏจักร มีความหมายว่า สิ่งหนึ่งด้วยการที่ต้องพึ่งพาสื่อหรือไม่ต้องพึ่งพาสื่อ เป็นสาเหตุให้กับสิ่งนั้น ดังนั้น ทั้งสองกฏ กล่าวคือ กฏของลูกโซ่และกฏแห่งวัฏจักร จะเกิดขึ้นไม่ได้ ในความเป็นจริง

๖.บทสรุปของข้อพิสูจน์วุญูบและอิมกาน คือ สิ่งที่อยู่ในโลกนี้ มีสองอย่าง คือ สิ่งที่เป็นมุมกินุลวุญูด(สิ่งสามารถมีอยู่ได้) หรือเป็นวาญิบุลวุญูด(สิ่งจำเป็นต้องมีอยู่) และการมีอยู่ของพระเจ้า เป็น วาญิบุลวุญูด หมายความ พระองค์เป็นสิ่งจำเป็นต้องมีอยู่

๖๕

ภาคที่สอง

เตาฮีด (ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้า)

     บทที่ ๑ ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้า

     เนื้อหาทั่วไป

    ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งเอกะเทวนิยม ที่มีคำสอนหลักในเตาฮีด (ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้า) และ การเคารพภักดีต่อพระเจ้าเพียงองค์เดียว  ดังนั้น เตาฮีดในทัศนะของอิสลาม  จึงถือว่า มีความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะว่าพระมหาคัมภีร์อัล กุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นอมตะนิรันดร์ ได้กล่าวย้ำถึงหลักศรัทธานี้ และจะเห็นได้ว่า ความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้านั้นอยู่ควบคู่กับการยอมรับในสภาวะความเป็นศาสดาของท่านศาสดามุฮัมหมัด  (ซ็อล)  นั่นคือ หนึ่งในเงื่อนไขของการที่จะเข้ารับอิสลาม ศาสนาแห่งความสันติ และความผาสุก ดังนั้น การรู้จักถึงพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว และการเคารพภักดีต่อพระองค์ ก็คือ ความหมายของความเป็นเอกานุภาพ และหลักการนี้ก็มิได้ถูกจำกัดในหลักศรัทธาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังได้ครอบคลุมถึงคำสอนอื่นๆอีกด้วย เช่น ในหลักปฏิบัติ ,หลักศีลธรรมและจริยธรรม ซึ่งจะเห็นได้ว่า ระบบของจริยธรรมอิสลามนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเอกานุภาพ และส่วนมากของหลักปฏิบัติ ก็เกิดขึ้นมาจากหลักความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ยังมีผลต่อมนุษย์ทั้งในด้านความคิด ,ความศรัทธาและในการปฏิบัติ  และจากความเชื่อในหลักการนี้ สามารถที่จะบอกถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์ผู้ที่มีความศรัทธาต่อพระเจ้ากับมนุษย์ผู้ที่ได้ปฏิเสธพระองค์ได้อย่างชัดเจน

๖๖

 

และในตอนท้าย สามารถสรุปได้ว่า หลักเตาฮีด(ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า) คือ รากฐานของต้นไม้แห่งอัล-อิสลาม ส่วนหลักการอื่น ไม่ว่าจะเป็น หลักการศรัทธา ,หลักการปฏิบัติ และหลักศีลธรรม ,จริยธรรมทั้งหมดเหล่านั้น เป็นดั่งกิ่งก้านสาขา อีกทั้งยังเป็นดั่งผลผลิตของต้นไม้ต้นนั้นอย่างแน่นอน

    ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าที่มีกล่าวไว้ในศาสนาอื่นๆ          

    โองการต่างๆของอัล กุรอานและหลักฐานจากประวัติศาสตร์ได้บันทึก และยืนยันอย่างชัดเจนว่า ความเชื่อในเอกานุภาพมิได้ถูกจำกัดหรือเฉพาะเจาะจงกับศาสนาอิสลามเท่านั้น แต่ทว่าบรรดาศาสดา ต่างได้เชิญชวนมนุษยชาติสู่ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น และในคำสอนของทุกศาสนา ก็มีคำสอนในหลักการนี้ ด้วยเช่นเดียวกัน

อัล กุรอาน กล่าวว่า

“เรามิได้ส่งศาสนทูตใดมาก่อนเจ้า (มุฮัมมัด) นอกจาก เราได้ประทานวะฮ์ยู (การวิวรณ์) ว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากฉัน เจ้าจงทำการเคารพภักดีต่อฉัน” (บทอัลอัมบิยา โองการที่ ๒๕ )

และสาเหตุของการเกิดการสู้รบของบรรดาศาสดา ก็มาจากความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า และการให้ทัศนะที่แตกต่างกัน เช่น การเป็นประกาศการเป็นศัตรูของนัมรูดกับศาสดาอิบรอฮีม เพราะว่า ศาสดาอิบรอฮีมได้เชิญชวนให้มาสู่ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ในขณะที่เขาได้ปฏิเสธ และไม่เชื่อในหลักการศรัทธานี้

    ความหมายที่ลึกซึ้งของความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในทัศนะของอิสลาม

    ได้กล่าวไปแล้วว่า ความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า มิได้ถูกจำกัดหรือเฉพาะเจาะจงกับศาสนาอิสลาม เพียงศาสนาเดียวเท่านั้น แต่ทว่าบรรดาศาสดาทุกท่านได้เชิญชวนประชาชาติมาสู่ความเป็นเอกานุภาพของพระองค์ และการเชิญชวนไปสู่ความเป็นเอกานุภาพในคำสอนของบรรดาศาสดานั้น ก็มิได้มีความแตกต่างกับอิสลามมากสักเท่าใด แต่เพียงเป็นการเน้นย้ำอีกครั้ง ในหลักศรัทธา ที่ได้นำมาจาก อัล กุรอาน และวจนะ ของบรรดาผู้นำ ผู้บริสุทธิ์ (ขอความสันติพึงมีแด่พวกท่าน) ซึ่งมีความหมายที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ของอิสลาม เป็นหลักการที่มนุษย์ธรรมดาเข้าใจได้ว่า  คือ บทเรียนแห่งการดำเนินชีวิตของพวกเขา และยังมีประโยชน์อีกมากมาย อีกทั้งบรรดานักปรัชญา,

นักเทววิทยาและนักรหัสยวิทยาอิสลามต่างก็ได้เชิญชวนมนุษย์ให้ใช้สติปัญญาและหาเหตุผลมาพิสูจน์ถึงหลักการนี้ ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น ความเชื่อหลักการนี้ในอิสลาม มีการอธิบายที่มีความหมายลึกซึ้ง และมีลักษณะที่พิเศษ เพราะว่า ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาสุดท้าย หลังจากศาสนาอิสลาม ไม่มีศาสนาอื่นเกิดขึ้นมาอีก ซึ่งศาสนาอิสลามก็ยังสามารถตอบปัญหาได้ทุกปัญหาอีกด้วย

๖๗

    ความหมายทางภาษาของ เตาฮีด

    คำว่า “เตาฮีด” ในภาษาอาหรับ มาจากรากศัพท์ของคำว่า วะฮะดะ เป็นคุณศัพท์ มาจากบาบตัฟอีล ความหมายหนึ่งของบาบนี้  คือ การมีอยู่ของคุณลักษณะประการหนึ่งในสิ่งหนึ่ง เหมือนกับคำว่า ตะอฺซีม หมายถึง การมีความสูงส่ง และคำว่า ตักฟีร หมายถึง การมีความปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ เตาฮีด จึงมีความหมายว่า  การมีความเป็นหนึ่งเดียว

พึงสังเกตุไว้เถิดว่า อัลกุรอานได้กล่าวถึง คำที่มีความหมายว่า เตาฮีด(ความเป็นหนึ่งเดียว) ไว้มากมาย ในขณะเดียวกันก็มิได้ใช้คำว่า เตาฮีด และคำที่คล้ายคลึงกัน แต่กลับใช้คำที่อธิบายในความหมายของเตาฮีดแทน ในขณะที่วจนะทั้งหลาย ได้กล่าวคำว่า เตาฮีด และคำที่คล้ายคลึงกันไว้อยู่มาก

    ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎี ความศรัทธา และการปฏิบัติ

    เตาฮีด(ความเป็นเอกานุภาพ) สามารถที่จะแบ่งได้ ๒ ประเภท มีดังนี้

๑.ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎี ความศรัทธา หมายถึง ความเชื่อในความเป็นหนึ่งเดียวและความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าในอาตมัน, คุณลักษณะ และในกริยา การกระทำ

๖๘

๒.ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ หมายถึง การปฏิบัติและการกระทำที่ตรงกับความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพ ซึ่งหมายความว่า มนุษย์จะต้องปฏิบัติตามความเชื่อในความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า เช่น ในการเคารพภักดี ก็เป็นประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ หมายถึง การเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว และไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์เท่านั้น

    ความหมายในเชิงวิชาการของ ความเป็นเอกานุภาพ

    การให้คำนิยามของความเป็นเอกานุภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุดนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า การให้คำนิยามที่ครอบคลุมในทุกประเภทนั้นมีความยากลำบาก แต่หลังจากที่เราได้แบ่งประเภทของความเป็นเอกานุภาพออกเป็น  ๒ ประเภท ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา และการปฏิบัติ ก็สามารถที่จะให้คำนิยามตามความหมายในเชิงวิชาการได้ ดังนี้

ความเป็นเอกานุภาพในเชิงวิชาการ  หมายถึง  “ความเชื่อในความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า ในอาตมัน ,คุณลักษณะ และรวมถึง กริยา การกระทำของพระองค์ด้วย อีกทั้งยังมีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามความเชื่อนี้”

หลังจากที่ยอมรับว่า การให้คำนิยามของหลักเอกภาพนั้นไม่ค่อยจะสมบูรณ์แบบมากเท่าไร แต่การให้คำนิยาม ก็เพื่อที่จะทำให้มีความเข้าใจในความหมายของความเป็นเอกานุภาพได้มากยิ่งขึ้น

๖๙

    อีกสองความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพ

    บางครั้งความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพ ที่ถูกกล่าวไว้ในหลักศรัทธา มีความหมายกว้าง ซึ่งได้ครอบคลุมความหมายของ

ความเป็นเอกานุภาพในเชิงวิชาการด้วย และได้รวมถึงประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะเป็น การรู้จักพระองค์, เหตุผลการมีอยู่ของพระองค์ ,การพิสูจน์คุณลักษณะของพระองค์ และอื่นๆ เป็นต้นฯ

นักเทววิทยาอิสลามบางคน ได้ให้คำนิยามของ ความเป็นเอกานุภาพ อีกสองความหมาย ก็คือ ความหมายโดยทั่วไป และความหมายที่เฉพาะเจาะจง มีดังนี้

“พึงรู้ไว้เถิดว่า ความหมายที่แท้จริงของความเป็นเอกานุภาพ หมายถึง ความเชื่อที่ไม่มีข้อคลางแคลงใดๆในพระผู้เป็นเจ้าและไม่มีการตั้งภาคีใดๆในอาตมัน, พระนามและคุณลักษณะของพระองค์”.........

ส่วนอีกความหมายหนึ่งของ ความเป็นเอกานุภาพ เป็นหนึ่งในรากฐานห้าประการของศาสนา คือ การรู้จักถึงพระจ้าในอาตมันและคุณลักษณะของพระองค์.......( อันนิซอมียะฮ์ ฟียฺ มัศฮับ อัลอิมามียะฮ์ หน้าที่ ๗๗ )

จากความหมายข้างต้นนี้ บ่งบอกถึงความหมายที่เฉพาะเจาะจงของความเป็นเอกานุภาพ นั่นคือ  ความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า และการปฏิเสธการตั้งภาคีทั้งหลาย และความหมายทั่วไปของความเป็นเอกานุภาพ ก็คือ การพิสูจน์ว่าพระเจ้า และคุณลักษณะของพระองค์มีอยู่จริง นอกเหนือจากที่ได้กล่าวไปแล้ว

๗๐

 ยังมีอีกสอง ประเด็นที่สำคัญ คือ

๑.ความเป็นเอกานุภาพ เป็นหนึ่งในห้าประการของหลักศรัทธา ต่อจาก หลักศรัทธาต่อความยุติธรรมของพระเจ้า ,หลักศรัทธาต่อสภาวะความเป็นศาสดา ,หลักศรัทธาต่อวันแห่งการตัดสิน และหลักศรัทธาต่อสภาวะความเป็นผู้นำของวงศ์วานผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายสืบต่อจากศาสดามุฮัมมัด

 ด้วยเหตุนี้ ความหมายทั่วไปของความเป็นเอกานุภาพ  หมายถึง การรู้จักถึงพระเจ้า

๒.สาเหตุการเรียกชื่อ การรู้จักถึงพระเจ้า ว่า ความเป็นเอกานุภาพ ถือว่าเป็นการตั้งชื่อที่สมบูรณ์แบบ เพราะว่า มีความหมายครอบคลุมในทุกประเด็นที่เกี่ยวกับการรู้จักพระองค์ และยังถือว่า ความเป็นเอกานุภาพ เป็นหนึ่งในหลักศรัทธาที่สำคัญของอิสลามอีกด้วย

    ความเป็นเอกานุภาพในมุมมองของเทววิทยาอิสลาม

    ก่อนที่จะอธิบายในความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้า มีคำถามเกิดขึ้นว่า ความเป็นเอกานุภาพ เป็นประเด็นที่ถูกกล่าว  ไว้ในห้วข้อใดของเทววิทยาอิสลาม?

คำตอบ จากการสังเกตในความหมายของความเป็นเอกานุภาพ จะเห็นได้ว่า ความเป็นจริงและสารัตถะของความเป็น เอกานุภาพ ก็คือ เป็นส่วนหนึ่งของคุณลักษณะบางประการของพระผู้เป็นเจ้า นั่นคือ ความเป็นเอกะและเป็นความเป็นหนึ่งเดียวของพระองค์

ด้วยเหตุนี้ บรรดานักเทววิทยาอิสลาม จึงมีสองวิธีการที่ใช้ในการอธิบายถึง ความเป็นเอกานุภาพของพระเจ้า ซึ่งมีดังนี้

๗๑

๑.ความเป็นเอกานุภาพ เป็นส่วนหนึ่งของคุณลักษณะของพระเจ้าบางประการของพระเจ้า ซึ่งรวมถึงคุณลักษณะประการอื่นๆ ของพระองค์ด้วย

๒.ความเป็นเอกานุภาพ เป็นประเด็นอิสระ เนื่องจากเป็นประเด็นที่มีความสำคัญต่อในการรู้จักถึงพระเจ้า

และ จะมาอธิบายกันในวิธีการทั้งสองของ ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ในบทต่อไป

ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในมุมมองของอัลกุรอาน และวจนะ

    หลังจากที่อธิบายไปแล้วว่า ความเป็นเอกานุภาพ เป็นหนึ่งในหลักศรัทธาที่สำคัญของอิสลาม นอกเหนือจาก เป็นประเด็นหนึ่งของการรู้จักพระเจ้า และได้รวมถึงประเด็นต่างๆในหลักจริยธรรม และในหลักการปฏิบัติก็มีความสำคัญต่อหลักการนี้ด้วย

และด้วยเหตุนี้ อัล กุรอานและวจนะของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และวจนะของบรรดาอิมาม ผู้นำ ผู้บริสุทธิ์ (ขอความสันติพึงมีแด่พวกท่าน) ซึ่งเป็นคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า ก็ได้ให้ความสำคัญในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า เช่นเดียวกัน

๗๒

 ณ ที่นี้ ได้ขอนำเอาบางส่วนของโองการจากอัล กุรอาน และวจนะที่กล่าวถึง เตาฮีด แต่สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติม สามารถศึกษา และค้นคว้าได้จากตำราที่เกี่ยวกับการอรรถาธิบายอัลกุรอาน เป็นอันดับต่อไป

    ความสำคัญของความเป็นเอกานุภาพในศาสนาอิสลามและศาสนาอื่น

   ได้กล่าวไปแล้วว่าความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า มิได้ถูกจำกัดหรือเฉพาะเจาะจงกับศาสนาอิสลามเท่านั้น แต่ทว่าบรรดาศาสดาทุกคนต่างก็ได้เชิญชวนมนุษย์มาสู่ความเป็นเอกานุภาพด้วยเหมือนกัน

  อัล กุรอานกล่าวว่า

“เรามิได้ส่งศาสนทูตใดมาก่อนเจ้า (มุฮัมมัด) นอกจากเราได้ลงการวิวรณ์ ว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากฉัน เจ้าจงทำการเคารพภักดีต่อฉัน” (บทอัลอัมบิยา โองการที่๒๕)

   และอัล กุรอานกล่าวอีกว่า

“และแน่นอนที่สุด เราได้ส่งศาสนทูตมาในทุกประชาชาติ ดังนั้น พวกเจ้าจงเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์(พระเจ้า) และออกห่างจากการบูชาเจว็ด(การตั้งภาคี)”  (บทอัลนะฮ์ลฺ โองการที่๓๖)

๗๓

และวจนะหนึ่ง เป็นคำกล่าวของ ท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวไว้ในสุนทรโรวาทเกี่ยวกับสาเหตุของการแต่งตั้งศาสนทูต ว่า

“เมื่อส่วนมากของประชาชาติได้เปลี่ยนแปลงพันธสัญญาที่ให้ไว้กับอัลลอฮ์ (พระเจ้า) แล้วพวกเขาไม่รู้จักในสิทธิของพระองค์ และได้ยึดถือสิ่งอื่นเคียงข้างพระองค์ เมื่อนั้น พระองค์จะทรงแต่งตั้งศาสนทูตมาเพื่อตอกย้ำในพันธสัญญาอันนั้น”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑ )

จากวจนะนี้ แสดงให้เห็นว่า ในช่วงแรกของประวัติศาสตร์การถือกำเนิดของมนุษย์ พวกเขาได้ให้พันธสัญญากับพระเจ้า แต่พวกเขาก็มิได้รักษาพันธสัญญาที่ให้ไว้กับพระองค์ และได้ยึดถือสิ่งอื่นคียงข้างพระองค์

ด้วยเหตุนี้ พระผู้เป็นเจ้า มีความจำเป็นที่จะต้องแต่งตั้งศาสนทูตมา เพื่อทำให้มนุษยชาติได้สำนึกในพันธสัญญาที่ให้ไว้กับพระองค์ และให้พวกเขาออกห่างจากการตั้งภาคีทั้งหลาย

อัล กุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์สุดท้าย ได้กล่าวเน้นย้ำในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า มีดังนี้

ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ หมายถึง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์

ลาอิลาฮะ อิลลาฮุวะ หมายถึง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์

ลาอิลาฮะ อิลลาอะนา หมายถึง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากฉัน

ลาอิลาฮะ อิลลาอันตะ หมายถึง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากท่าน

อิลาฮุกุม อิลาฮุน วาฮิด หมายถึง พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า มีเพียงพระองค์เดียว

มามิน อิลาฮิน อิลลัลลอฮฺ หมายถึง ไม่มีจากพระเจ้าอื่นใดเลย นอกจากอัลลอฮ์

มามิน อิลาฮิน อิลลา อิลาฮุนวาฮิด หมายถึง ไม่มีจากพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

มาละกุมมิน อิลาฮิน ฆ็อยรุฮู หมายถึง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์เท่านั้น

ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อลฯ) ก็เช่นกัน ได้ประกาศเชิญชวนประชาชาติของท่านมาสู่ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งถือว่า เป็นหน้าที่หลักและสำคัญของท่าน

ดั่งในโองการที่กล่าวว่า

“จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) อันที่จริง ฉันถูกบัญชารับสั่งให้ทำการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ และฉันจะไม่ตั้งภาคีเท่าเทียมกับพระองค์ และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่ฉันจะเชิญชวนเรียกร้อง และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่ฉันจะหวนกลับ” (บทอัรเราะอ์ด์ โองการที่ ๓๖)

อัล กุรอานกล่าวว่า

“จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด แท้จริงฉันได้รับการวิวรณ์มา ให้ประกาศว่า แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านนั้นคือพระเจ้าองค์เดียว ดังนั้นพวกท่านยังมิยอมนอบน้อมอีกหรือ?” (บทอัลอัมบิยาอ์ โองการที่ ๑๐๘)

และอัล กุรอานกล่าวอีกว่า

 “และโดยแน่นอน เราได้ส่งนูห์ไปยังกลุ่มชนของเขา (โดยกล่าวว่า) แท้จริงฉันเป็นผู้ตักเตือนอันแน่ชัดแก่พวกท่าน แล้วพวกท่านอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น แท้จริงฉันกลัวแทนพวกท่านถึงการลงโทษในวันอันแสนเจ็บปวด”(บทฮูด โองการที่๒๕-๒๖)

นอกเหนือจาก โองการเหล่านี้แล้ว ยังมีโองการอื่นๆอีกมากมาย และมีวจนะทั้งหลายอีกที่กล่าวถึง ความเป็นเอกานุภาพและประเภทต่างๆ และผลประโยชน์ของความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพ ก็คือ การออกห่างจากการตั้งภาคีทั้งหลาย ซึ่งจะมากล่าวเป็นอันดับต่อไป

๗๔

   ศัพท์ทางวิชาการท้ายบท

เตาฮีด หมายถึง ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

   : Oneness of God, Monotheism

ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ   : Monotheism in deeds  

ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา       : Monotheism in belief    

  สรุปสาระสำคัญ

๑.ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาแห่งเอกะเทวนิยมหรือศาสนาที่มีความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า นั่นก็คือความหมายของเตาฮีด(ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า) ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของอิสลาม และความเป็นเอกานุภาพของพระองค์ มิได้ถูกจำกัด และเฉพาะเจาะจงในหลักศรัทธาเพียงเท่านั้น แต่ยังได้รวมถึงในหลักการปฏิบัติ และหลักศีลธรรม จริยธรรมอีกด้วย

๒.ความเป็นเอกานุภาพ มิได้ถูกจำกัด และเฉพาะเจาะจงในอิสลามเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น แต่ในทุกศาสนาก็มีคำสอนในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเช่นเดียวกัน

๓.คำสอนของความเป็นเอกานุภาพของอิสลามนั้น มีคำอธิบายที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อน โดยที่มิได้มีกล่าวในคำสอนของศาสนาใดมาก่อน อีกทั้งมนุษย์ธรรมดาก็มีความสามารถที่จะเข้าใจในความหมายของความเป็นเอกานุภาพได้

๗๕

 ในขณะที่บรรดานักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญนั้น มีความเข้าใจในความหมายได้มากกว่า

๔.คำว่า เตาฮีดในด้านภาษา แปลว่า การมีหนึ่ง ซึ่งในอัล กุรอานมิได้กล่าวถึงคำนี้ แต่ในวจนะของท่านศาสดาและบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ได้กล่าวถึงคำนี้และมีการกล่าวคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน

๕.ความเป็นเอกานุภาพ สามารถแบ่งออกเป็น สอง ประเภทได้ ดังนี้

๑.ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา  หมายถึง ความเชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ในอาตมัน(ตัวตน) ,กริยา การกระทำ และคุณลักษณะของพระองค์

๒.ความเป็นเอกานุภาพในการปฏิบัติ หมายถึง การปฏิบัติตามความเชื่อในการมีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว

๖.ความหมายหนึ่งของ ความเป็นเอกานุภาพ คือ ความเชื่อในความเป็นเอกะของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าในอาตมัน ,กริยา การกระทำ และคุณลักษณะของพระองค์ อีกทั้งความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามความเชื่อนี้

๗.บางครั้งมีความหมายที่กว้างกว่า ซึ่งได้รวมถึงในทุกประเด็นที่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า

๘.ความเป็นเอกานุภาพในมุมมองหนึ่ง เป็นประเด็นของคุณลักษณะบางประการของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นประเด็นย่อย แต่บางครั้ง ก็ถือว่า เป็นประเด็นหลัก

๙.อัล กุรอานและวจนะของอิสลาม ได้กล่าวเน้นย้ำในความเป็นเอกานุภาพไว้อย่างมากมาย

๑๐.ความเป็นเอกานุภาพ คือหน้าที่หลักที่มีความสำคัญมากที่สุดในการเชิญชวนของบรรดาศาสดา และโดยเฉพาะท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ็อล)

๗๖

   บทที่ ๒

   ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน ตัวตนของพระเจ้า

 (เตาฮีด ซาตีย์)

   หลังจากที่ได้แบ่งประเภทของ ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ออกเป็น ๒ ประเภท คือ ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา และในการปฏิบัติ ซึ่งแต่ละประเภทก็สามารถที่จะแบ่งออกเป็นประเภทย่อยๆได้หลายประเภทด้วยกัน   ด้วยเหตุนี้ ความเป็นเอกานุภาพในทฤษฎีความศรัทธา จึงแบ่งออกได้อีก ๓ ประเภท ซึ่งมีดังนี้

๑. ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน ตัวตน

๒. ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

๓. ความเป็นเอกานุภาพในกริยา การกระทำ

อันดับแรก จะขอธิบายในความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน หลังจากนั้นจะมากล่าวถึงประเภทอื่น เป็นอันดับต่อไป

๗๗

   ความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน ในมุมมองต่างๆ

   ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน ในด้านวิชาการ หมายถึง การไม่เหมือนสิ่งใด และไม่มีสิ่งใดเหมือนกับอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า และในบางครั้ง ยังมีความหมายกว้างกว่านี้อีก นอกเหนือจาก ความหมายข้างต้นแล้ว ได้ครอบคลุมถึง ความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า และการปฏิเสธการมีส่วนประกอบในอาตมันของพระองค์

ดังนั้น จากทัศนะนี้ แสดงให้เห็นว่า ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน มีด้วยกันอยู่  ๒ ประเด็น ซึ่งมีดังนี้

๑.ความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้าในทุกสภาวะ และการไม่มีส่วนประกอบใดในอาตมันของพระองค์

ด้วยเหตุนี้ การยอมรับในทัศนะนี้   หมายถึง การปฏิเสธการมีส่วนประกอบในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า

๒.การไม่เหมือนสิ่งใด และไม่มีสิ่งใดเหมือนกับอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า

ด้วยเหตุนี้ การยอมรับในทัศนะนี้ หมายถึง การปฏิเสธการมีอยู่ของสิ่งอื่นที่อยู่เคียงข้างกับอาตมันของพระองค์

๗๘

พึงสังเกตุได้เถิดว่า ในทัศนะที่หนึ่ง กล่าวว่า อาตมันของพระผู้เป็นเจ้ามิได้มีส่วนประกอบ และทัศนะที่สองกล่าวถึง  การไม่มีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์ โดยนักเทววิทยาอิสลามบางคน เรียกทัศนะแรกว่า เตาฮีด อะฮะดีย์ หมายถึง ความเป็นเอกานุภาพในอาตมันโดยที่ไม่มีสิ่งอื่นอยู่เคียงข้าง ส่วนในทัศนะที่สองเรียกว่า เตาฮีด วาฮิดีย์ หมายถึง ความเป็นเอกานุภาพ และความเป็นหนึ่งเดียวของพระผู้เป็นเจ้าที่ไม่มีความเป็นสองหรือสามตามมา

ดังนั้น ความหมายที่ชัดเจนของความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน หมายถึง ได้รวมการปฏิเสธการมีส่วนประกอบทุกชนิดในพระเจ้า และการมีอยู่ของพระเจ้าหลายองค์

และก่อนจะกล่าวถึง มุมมองและทัศนะต่างๆของความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน และการให้เหตุผลของบรรดานักเทววิทยาอิสลาม จะขอกล่าวเน้นย้ำอีกว่า ความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน ที่กล่าวในอัล กุรอาน และวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และบรรดาวงศ์วานผู้บริสุทธิ์ของท่าน (ขอความสันติพึงมีแด่พวกท่าน)  เป็นประเด็นที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีความหมายที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนยากที่จะเข้าใจในรายละเอียดของมันได้ ซึ่งต้องอาศัยการอธิบายในบทนำเบื้องต้น หลังจากนั้น จะขอกล่าวถึงการใช้เหตุผลทางสติปัญญาที่สามารถได้รับจากโองการทั้งหลายของอัล กุรอานที่กล่าวถึงความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน

๗๙

   ความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า

   ทัศนะที่หนึ่งกล่าวว่า มีความเชื่อว่า ความบริสุทธิ์ในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า และการปฏิเสธการมีส่วนประกอบทุกชนิดในอาตมันของพระองค์ ซึ่งก็เป็นอีกประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน  และจากทัศนะนี้ นักเทววิทยาอิสลามบางคน ได้กล่าวว่า ประเด็นหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในอาตมัน คือ ประเด็นที่เกี่ยวกับคุณลักษณะในด้านลบของพระผู้เป็นเจ้า หมายถึงคุณลักษณะที่ไม่มีในพระองค์ มิใช่ประเด็นนี้ เป็นประเด็นหลักของ ความเป็นเอกานุภาพ เพราะว่า การปฏิเสธการมีส่วนประกอบทุกชนิดในพระผู้เป็นเจ้า ก็คือ คุณลักษณะหนึ่งในด้านลบของพระองค์

จะเห็นได้ว่า การมีส่วนประกอบนั้น ถูกแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด 

๑.การมีส่วนประกอบในด้านสติปัญญา หมายถึง การมีส่วนประกอบของสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการจำแนกของสติปัญญา โดยการใช้หลักของปรัชญาในการจำแนก เช่น การแบ่งสิ่งหนึ่งออก เป็นสองส่วน หมายถึง การมีกับการไม่มีของสิ่งนั้น กล่าวคือ ไม่สามารถรวมสิ่งหนึ่งจากการมีและการไม่มี เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ ที่สิ่งหนึ่งจะมีและไม่มีในเวลาเดียวกัน และการมีส่วนของสสาร โดยแบ่งออกเป็น สารัตถะ และการมีของสสาร การมีส่วนของสสารที่ไม่สมบูรณ์ ก็ถูกแบ่งออกเป็น การมีสกุล (ญินซ์)และการมีลักษณะความแตกต่าง (ฟัศล์) และการมีรูปแบบทั้งหมดในการจินตนาการและการสร้างมโนภาพ ก็เป็นตัวอย่างของการมีส่วนประกอบในด้านสติปัญญา

๘๐

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

170

171

172

173

174

175

176

177

178

179

180

181

182

183

184

185

186

187

188

189

190

191

192

193

194

195

196

197

198

199

200

201

202

203

204

205

206

207

208

209

210

211

212

213

214

215

216

217

218

219

220

221

222

223

224

225

226

227

228

229

230

231

232

233

234

235

236

237

238

239

240

241

242

243

244

245

246

247

248

249

250

251

252

253

254

255

256

257

258

259

260

261

262

263

264

265

266

267

268

269

270

271

272

273

274

275

276

277

278

279

280

281

282

283

284

285

286

287

288

289

290

291

292

293

294

295

296

297

298

299

300

นักอรรถาธิบายอัลกุรอานได้กล่าวว่า ความหมายของคำว่า องค์แรกและองค์สุดท้าย ก็คือ ความหมายเดียวกับการมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ และเช่นเดียวกัน ในวจนะหนึ่งได้กล่าวเน้นย้ำ ดั่งบทเทศนาหนึ่งของท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ที่ได้กล่าวว่า

“พระเจ้า เป็นองค์แรกที่ไม่มีสิ่งใดมาก่อนหน้าพระองค์ และเป็นองค์สุดท้ายที่ไม่มีสิ่งใดมาหลังพระองค์”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๙๑ )

และท่านอิมามซอดิก ได้กล่าวว่า

“พระองค์ทรงเป็นองค์แรกที่ไม่มีการเริ่มต้น และเป็นองค์สุดท้ายที่ไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์ทรงมีมาแต่เดิม และพระองค์ทรงมีอยู่เสมอ”

 (อุศูลุลอัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๑๖ )

จากวจนะทั้งหลายที่ได้กล่าวถึง พระผู้เป็นเจ้าว่า เป็นองค์แรกและเป็นองค์สุดท้าย มิได้หมายความว่า พระองค์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรก และเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะต้องสูญสลาย แต่ทว่า ความเป็นองค์แรกและองค์สุดท้ายของพระองค์ หมายถึง พระองค์ไม่มีคำว่า มาก่อนหรือมาหลัง เพราะพระองค์ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด

โองการหนึ่งของอัล กุรอาน กล่าวว่า

ทุก ๆ สิ่งที่อยู่บนแผ่นดินย่อมสูญสลาย”

และพระพักตร์ของพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงโปรดปรานเท่านั้นที่จะคงเหลืออยู่”

( บทอัรเราะห์มาน โองการที่ ๒๖-๒๗)

และอีกโองการหนึ่ง กล่าวว่า

“และอย่าวิงวอนขอต่อพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ทุกสิ่งย่อมพินาศนอกจากพระพักตร์ของพระองค์” ( บทอัลกอศ็อด โองการที่ ๘๘)

๓๐๑

การอธิบายความหมายของคำว่า พระพักตร์ หมายถึง ตัวตนและอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า  ด้วยเหตุนี้ โองการทั้งหลายได้กล่าวถึง การมีมาแต่เดิมและความเป็นนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า

    ศัพท์วิชาการท้ายบท

: Life การมีชีวิต ฮายาต

: Life of God การมีชีวิตของพระเจ้า ฮายาต อิลาฮีย์

: Eternity การมีมาแต่เดิม อะซะลียัต

: Perenniality ความเป็นนิรันดร์

   สรุปสาระสำคัญ

๑.การมีชีวิต เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่สมบูรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า มีความหมายครอบคลุมถึง  ๒ คุณลักษณะ กล่าวคือ ความรู้และความสามารถ

๒.การมีชีวิตอยู่ของสิ่งที่เป็นวัตถุ เช่น มนุษย์และสัตว์ มีความเจริญเติบโต ต้องการอาหารและปัจจัยสี่ และการขยายเผ่าพันธ์ สิ่งมีชีวิต เป็นองค์ประกอบของการมีชีวิตอยู่ของสิ่งที่เป็นวัตถุ และจะไม่มีอยู่ในสิ่งที่มิใช่วัตถุ

๓.ความหมายของการมีชีวิตของพระเจ้า คือ ในอาตมันของพระองค์มีความรู้และความสามารถ และการมีชีวิต เป็นคุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า

๓๐๒

๔.นอกเหนือจาก เหตุผลโดยทั่วไปในการพิสูจน์การมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์แบบ เช่น ความรู้และความสามารถ เหตุผลเหล่านั้นยังใช้พิสูจน์การมีชีวิตของพระเจ้าได้อีกด้วย

๕.อัล กุรอานกล่าวถึงพระเจ้าว่า การมีชีวิตอยู่ของพระองค์นั้น มีมาแต่เดิม และไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีการเปลี่ยนแปลง และในวจนะก็กล่าวไว้เช่นเดียวกัน

๖.และอีกคุณลักษณะหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า ก็คือ การมีมาแต่เดิม และความเป็นนิรันดร์ ความหมายของคุณลักษณะนี้ ก็คือ การมีอยู่ของพระเจ้านั้น อยู่เหนือกาลเวลา ดังนั้น จะกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงมีอยู่และจะมีอยู่ตลอดไป

๗.ความจำเป็นที่ต้องมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นสาเหตุที่ไม่สามารถแยกการมีอยู่ออกจากพระองค์ได้ ดังนั้น พระเจ้า ทรงเป็นองค์แรกและเป็นองค์สุดท้าย และนี่คือ ความหมายของการมีมาดั้งเดิมและความเป็นนิรันดร์

๘.อัล กุรอานกล่าวถึงพระเจ้าว่า พระองค์ทรงเป็นองค์แรกและองค์สุดท้าย ซึ่งแสดงว่า พระเจ้าทรงมีมาแต่เดิมและมีความเป็นนิจนิรันดร์

๓๐๓

   บทที่ ๗

   ความประสงค์ของพระเจ้า (อิรอดะฮ์ อิลาฮีย์)

   ในระหว่างคุณลักษณะในอาตมันของพระเจ้า คือ ความประสงค์ของพระองค์ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ แม้ว่าบรรดานักเทววิทยาอิสลามมีความคิดเห็นที่ตรงกันว่า พระเจ้านั้นมีคุณลักษณะนี้ แต่มีความแตกต่างกันในการอธิบายรายละเอียด

คำถามทั้งหลายเกิดขึ้นในประเด็นนี้ คือ

การให้คำนิยามของ ความประสงค์ของพระเจ้า

๑.ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะที่มีในอาตมันหรือเป็นคุณลักษณะที่มีนการกระทำของพระเจ้า

๒.ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะที่มีมาแต่ดั้งเดิมหรือเพิ่งเกิดขึ้น

๓.ความแตกต่างของความประสงค์กับความต้องการและการเลือกสรร

นอกเหนือจาก ทัศนะต่างๆของบรรดานักเทววิทยาอิสลาม ยังมีทัศนะของบรรดานักปรัชญาอิสลามที่กล่าวถึง ความเป็นจริงของความประสงค์ของพระเจ้า และรายละเอียดในความลึกซึ้ง ซึ่งเราจะกล่าวในประเด็นที่เหมาะสมกับเทววิทยาอิสลาม เป็นลำดับต่อไป

๓๐๔

 

   ความหมายความเป็นจริงของความประสงค์ของมนุษย์

   ในขณะที่มนุษย์ได้กระทำการงานหนึ่งการงานใด และเขาเป็นผู้เลือกสรรในการกระทำของเขา ดังนั้นมีสภาพหนึ่งที่เกิดขึ้นในตัวเขา นั่นคือ สภาพของความประสงค์ของมนุษย์ เป็นสภาพภายในหรือเกิดจากจิตใจของเขา ซึ่งรับรู้ด้วยการรับรู้โดยตรงและไม่ได้ใช้สื่อ และมิได้มีความหมายว่า การอธิบายในความเป็นจริงนั้น มีความง่ายดายยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดการให้คำนิยามต่างๆมากมายในความประสงค์ของมนุษย์ บางสำนักคิดกล่าวว่า ความประสงค์คือ การมีความเชื่อว่า การมีประโยชน์ในการกระทำ หมายถึง ก่อนที่มนุษย์จะกระทำการงานหนึ่งการงานใด มีความเชื่อว่า การงานที่จะกระทำนั้น ต้องมีประโยชน์ดังนั้น นี่คือความหมายของ ความประสงค์ของมนุษย์ และในบางครั้ง ความประสงค์นี้ ถูกเรียกว่า จุดประสงค์ที่มีต่อการกระทำ ด้วยเหตุนี้ ความหมายของความประสงค์ก็คือ จุดประสงค์ของมนุษย์ที่มีต่อการกระทำ และตรงกันข้ามกับทัศนะนี้ ยังมีสำนักคิดหนึ่งที่ได้กล่าวว่า ความประสงค์ มิได้หมายถึง จุดประสงค์ของมนุษย์ และการมีประโยชน์ในการกระทำ ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดทัศนะต่างๆในการให้ความหมายของ ความประสงค์ของมนุษย์ และจากทัศนะที่มีความคิดเห็นว่า ความประสงค์ของมนุษย์ คือ การมีความเชื่อว่า มีประโยชน์ในการกระทำ และมีความรู้สึกอยากที่จะกระทำ ดังนั้น ความรู้สึกอยากนี้ คือ ความประสงค์ของเขา และบางครั้งเรียกความประสงค์ว่า ความต้องการที่จะกระทำการงานหนึ่ง  ซึ่งตรงกันข้ามกับความต้องการที่จะละทิ้งการกระทำอันนั้น

๓๐๕

 และบางทัศนะกล่าวว่า ความประสงค์(ความประสงค์) คือ ความรู้สึกหนึ่งที่อยู่ในตัวของมนุษย์ หลังจากที่เขามีความรู้ในผลประโยชน์ของการกระทำนั้น และก่อนที่จะกระทำการงานนั้นขึ้นมา ซึ่งเป็นสาเหตุให้เขาต้องกระทำมากกว่าที่จะไม่กระทำ

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่า ทัศนะทั้งหลายในการอธิบายความหมายของคำว่า ความประสงค์ นั้น มีเหตุผลและข้อพิสูจน์มากมาย ซึ่งทั้งหมดนั้นอยู่เหนือการเรียบเรียงหนังสือนี้ แต่สิ่งที่ควรรู้และสังเกต ก็คือ การอธิบายความหมายของ ความประสงค์ ในมนุษย์มีขอบเขตจำกัด เพราะว่า การมีอยู่ของมนุษย์นั้น มีขอบเขตจำกัด และความประสงค์ของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีขอบเขต ในขณะที่พระเจ้านั้นไม่มีขอบเขตในการมีอยู่ของพระองค์ ดังนั้นความหมายของ ความประสงค์ ในพระเจ้า จึงมีความหมายทีแตกต่างกับความประสงค์ในมนุษย์

   ทัศนะต่างๆของนักเทววิทยาอิสลามในการอธิบายความหมาย

 ความประสงค์ของพระเจ้า

   กล่าวไปแล้วว่า ความหมายของ ความประสงค์ในพระเจ้า บรรดานักเทววิทยาและปรัชญาอิสลามได้ให้หลายความหมายด้วยกัน ซึ่งมีดังนี้

๑.ความประสงค์ในพระเจ้า คือ พระองค์ทรงกระทำการงานใดการงานหนึ่งโดยที่ไม่มีการบังคับใดๆทั้งสิ้น ดังนั้นความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในด้านลบของพระเจ้า

๒.ความประสงค์ในพระเจ้า คือ การมีพลังอำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระองค์

๓๐๖

๓.ความประสงค์ในพระเจ้า มีอยู่ สอง ความหมาย กล่าวคือ ความประสงค์ในอาตมัน คือ การมีความรักในตนเองและความสมบูรณ์แบบของพระองค์ อีกความหมายของความประสงค์ กล่าวคือ ความประสงค์ในการกระทำ หมายถึง พระเจ้าทรงมีความพึงพอพระทัยในการเกิดขึ้นของการกระทำของพระองค์

๔.ความประสงค์ คือ ความรู้ที่มีมาดั้งเดิมของพระเจ้าในการปกครองที่ประเสริฐที่สุด

ทัศนะนี้ เป็นทัศนะของบรรดานักปรัชญาอิสลาม

๕.ความประสงค์ คือ การเลือกสรรของพระผู้เป็นเจ้า หมายความว่า พระเจ้า เป็นผู้กระทำที่เป็นอิสระในการเลือกสรร และไม่มีการบังคับใดๆในการกระทำของพระองค์ ดังนั้นการอธิบายในความหมายนี้ มิได้ถือว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในด้านลบของพระเจ้า และเช่นเดียวที่อธิบายความหมายของ ความรู้ หมายถึง การไม่รู้ และมิได้ถือว่า ความรู้ เป็นคุณลักษณะในด้านลบของพระเจ้า

   ความประสงค์ในอาตมันของพระเจ้าและในการกระทำของพระองค์

   มีคำถามว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในประเภทใดของพระเจ้า และเป็นคุณลักษณะในอาตมันหรือในการกระทำของพระองค์? ความสำคัญของคำถามทั้งหลายนี้แสดงให้เห็นว่า ทัศนะที่สี่ กล่าวว่า  ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในอาตมัน และทัศนะที่สอง กล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในการกระทำ

๓๐๗

และในทัศนะที่สามยอมรับว่า ความประสงค์ เป็น คุณลักษณะทั้งสองประเภท ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นก่อนทีจะอธิบายรายละเอียดของความหมายทั้งหลาย มากำหนดให้ชัดเจนว่า ความประสงค์ นั้น เป็นคุณลักษณะในอาตมันหรือในการกระทำ

สำหรับคำตอบของคำถามเหล่านี้ จะกล่าวได้ว่า ความประสงค์ มีอยู่ สอง ระดับขั้น

๑.ความประสงค์ในอาตมันของพระเจ้า

๒.ความประสงค์ในการกระทำของพระองค์

ส่วนมากของบรรดานักเทววิทยาและปรัชญา มีความเห็นว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในอาตมันของพระเจ้า หมายถึง ความรู้ที่มีมาดั้งเดิมในการมีระบบระเบียบที่สมบูรณ์แบบในการบริหารและดูแลของพระองค์

สามารถอธิบายได้ว่า ทัศนะนี้กล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความรู้ในความเป็นระบบระเบียบที่สมบูรณ์แบบก่อนการสร้างโลก และความรู้นี้ ยังเป็นสาเหตุทำให้โลกนี้เกิดขึ้นและความประสงค์ ก็คือ ความรู้นี้

ดังนั้น ทัศนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะว่าจากการสังเกตุในความหมายของความประสงค์ มิได้มีความหมายเดียวกับการมีความรู้ อีกทั้งในวจนะได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า การมีความรู้ มิใช่ ความประสงค์

หากว่า เราไม่ยอมรับว่า ความประสงค์ มีความหมายเดียวกับการมีความรู้ดั้งเดิมของพระเจ้า ดังนั้น ความหมายของอิรอดะฮ๋ คือ การเลือกสรรในการกระทำของพระองค์ ซึ่งเป็นความหมายที่ห้า ด้วยเหตุนี้ ความประสงค์ ถือว่าเป็นคุณลักษณะในอาตมันของพระเจ้า และในกรณีที่กล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในการกระทำของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับ การให้ความรักและความพึงพอพระทัย

๓๐๘

 เพราะฉะนั้น ความประสงค์ของพระเจ้า มีความหมายว่า การเกิดขึ้นของการกระทำของพระองค์นั้น มาจากการให้ความรักและความพึงพอพระทัย การกระทำนั้น จึงจะเกิดขึ้นมาได้ และจากความหมายนี้ ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะว่าความหมายของความประสงค์ มิได้มีความหมายเดียวกับการให้ความรักและความพึงพอพระทัย และการให้ความหมายของความประสงค์ในทัศนะหนึ่งกล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในการกระทำที่เกิดจากระดับขั้นของการกระทำของพระเจ้า  หมายถึง การเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย กล่าวได้ว่า สติปัญญายอมรับว่า การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งในสถานที่และเวลาที่ถูกกำหนด บ่งบอกถึง การมีความรู้และการให้ความรัก อีกทั้งยังเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ที่มีต่อการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้ คุณลักษณะความประสงค์ คือ การมีความสัมพันธ์ของพระผู้เป็นเจ้ากับการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย

และในอีกทัศนะหนึ่งกล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในการกระทำของพระเจ้า เพราะว่า เกิดขึ้นมาจากการมีความสัมพันธ์ของพระองค์กับการกระทำที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดก็ตามที่การกระทำของพระเจ้ามีองค์ประกอบที่สมบูรณ์พร้อมที่จะเกิดขึ้น เมื่อนั้นจะกล่าวได้ว่า พระเจ้ามีความประสงค์ กล่าวคือ มีความประสงค์ที่จะทำให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น

๓๐๙

   การมีมาดั้งเดิมหรือการเพิ่งเกิดขึ้นมาของความประสงค์ในพระเจ้า

   หลังจากที่อธิบายความหมายของ ความประสงค์ และเป็นที่กระจ่างชัดสำหรับเราแล้วนั้น จะมากล่าวในคำถามที่เกี่ยวกับความประสงค์ของพระเจ้า ว่า มีมาดั้งเดิมหรือเพิ่งเกิดขึ้นมา จะเห็นได้ว่ามีทัศนะต่างๆมากมายและมีความแตกต่างกันในสำนักคิดของเทววิทยาอิสลาม  โดยสำนักคิดอัชอะรี มีความเชื่อว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่อยู่เหนืออาตมันของพระเจ้า และเป็นคุณลักษณะที่มีมาดั้งเดิม ในทางตรงข้ามกับความเชื่อของสำนักคิดอื่น ที่กล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะที่เพิ่งมีการเกิดขึ้น แต่มีความเห็นที่ไม่ตรงกันในสถานที่การเกิดขึ้นของความประสงค์ เช่น สำนักคิดกะรอมียะฮ์ มีความเห็นว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะในอาตมันของพระเจ้าและเพิ่งเกิดขึ้นในอาตมันของพระองค์ แต่ในทัศนะของอะบูฮาชิม ญุบบาอีย์และกลุ่มหนึ่งของสำนักคิดมุตะซิละฮ์ กล่าวว่า ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะที่เพิ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีสถานที่ จากการอธิบายในประเภทของความประสงค์ทั้งสอง คือ ความประสงค์ในอาตมัน และในการกระทำ ทำให้เข้าใจได้ว่า ความประสงค์ในอาตมัน เป็นคุณลักษณะที่มีในอาตมันและเป็นหนึ่งเดียวกับอาตมันของพระเจ้า ดังนั้น ความประสงค์ เป็นคุณลักษณะที่มีมาดั้งเดิม เหมือนกับอาตมัน และความประสงค์ในการกระทำ เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการมีความสัมพันธ์ของอาตมันและการกระทำของพระเจ้า

๓๑๐

 และการกระทำของพระเจ้านั้น เพิ่งเกิดขึ้น ดังนั้น ความประสงค์ของพระองค์ ก็เป็นคุณลักษณะที่เพิ่งเกิดขึ้นเช่นกัน และได้กล่าวผ่านไปแล้วว่า สาเหตุหรือที่มาของการกระทำของพระเจ้า มิได้เกิดขึ้นมาจากอาตมันของพระเจ้า อย่างเดียว แต่เกิดขึ้นจากสภาวะของการกระทำนั้น

  ความแตกต่างกันระหว่างความประสงค์,ความต้องการและการเลือกสรร

   นอกเหนือจาก การมีคุณลักษณะ ความประสงค์ของพระเจ้า ยังมีคุณลักษณะอื่นๆเช่น ความประสงค์ ความต้องการ และการเลือกสรร

มีคำถามเกิดขึ้นว่า ทั้งสามคุณลักษณะที่กล่าวไปนั้น มีความหมายเดียวกันหรือมีความหมายแตกต่างกัน?

สำหรับคำตอบ ก็คือ มีสองทัศนะด้วยกัน

กลุ่มหนึ่งของนักเทววิทยาอิสลาม กล่าวว่า ความประสงค์และความต้องการ มีความหมายเดียวกัน และไม่มีความแตกต่างกัน และบางกลุ่มมีความเห็นว่า ระหว่างความประสงค์กับความต้องการมีความหมายที่แตกต่างกัน คือ ความประสงค์ หมายถึง การมีความรู้ในผลประโยชน์และผลเสียของการกระทำ ส่วนมะชียะฮ์(ความต้องการ) หมายถึง ความต้องการที่จะกระทำหรือละทิ้งการงานนั้น  ความต้องการที่เกิดขึ้นจากการมีความรู้ในประโยชน์และผลเสียของการงานนั้น และกล่าวเช่นกันว่า การเชื่อมความสัมพันธ์ของความต้องการ คือ ผลของการกระทำหนึ่ง และการเชื่อมความสัมพันธ์ของความประสงค์ คือ การมีอยู่ของความประสงค์

๓๑๑

จะเห็นได้ว่าในการอธิบายความหมายของความประสงค์ ระหว่างความประสงค์กับการเลือกสรรนั้นไม่มีความแตกต่างกัน และความหมายที่แท้จริงของความประสงค์ คือ ความเป็นผู้เลือกสรรของพระเจ้า และบางทัศนะกล่าวว่า การเลือกสรร หมายถึง การกระทำหนึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้และความประสงค์ และความต้องการและการมีอำนาจในการบริหาร ซึ่งจากการมีความสัมพันธ์ของผู้กระทำกับการกระทำ คุณลักษณะการเลือกสรรรได้เกิดขึ้น

เหตุผลของบรรดานักเทววิทยาอิสลามในการพิสูจน์ความประสงค์ของพระเจ้า

    หลังจากที่อธิบายความหมายของ คำว่า ความประสงค์ของพระเจ้า และประเภทต่างๆของความประสงค์ ไปแล้ว บัดนี้ จะมาอธิบายในเหตุผลต่างๆของบรรดานักเทววิทยาอิสลามกัน

เหตุผลหนึ่งที่ถูกรู้จักกันโดยทั่วไป คือ บางการกระทำของพระเจ้านั้น ถูกทำให้เกิดขึ้นในเวลาที่ถูกกำหนด เช่น การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งในเวลาที่ถูกกำหนดและก่อนหน้านี้สิ่งนี้ไม่มีอยู่ กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การมีอยู่ของสิ่งหนึ่งในเวลาดังกล่าวนั้น จะต้องการสิ่งที่เป็นตัวกำหนดให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น และสิ่งที่เป็นตัวกำหนดนั้น คือ สาเหตุของการเกิดขึ้นของการมีสิ่งนั้นในเวลาที่ได้กำหนดไว้ ไม่ช้าและก่อนกำหนด และจะเห็นได้ว่า การมีความสามารถและความรอบบรู้ของพระเจ้านั้น ไม่ต้องการสิ่งที่เป็นตัวกำหนด เพราะว่า ความสัมพันธ์ของความสามารถกับเวลานั้น มีความเท่าเทียมกัน

๓๑๒

จะไม่กล่าวว่า พระเจ้ามีความสามารถในเวลาหนึ่งและไม่มีความสามารถในอีกเวลาหนึ่ง แต่กล่าวได้ว่า พระองค์ทรงมีความสามารถในทุกๆเวลา และในความรู้ของพระองค์ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่เป็นตัวกำหนดให้การกระทำหนึ่งเกิดขึ้นในเวลาที่ได้กำหนดนั้น มิใช่ความรู้และความสามารถ แต่สิ่งนั้น คือ ความประสงค์นั่นเอง

   ความประสงค์ในการสร้างสรรค์และการกำหนดบทบัญญัติ(อิรอดะฮ์ ตักวีนีย์ และตัชริอีย์)

    สิ่งได้กล่าวไปแล้วนั้นคือ ความประสงค์ของพระเจ้า เป็นความประสงค์ในการสร้างสรรค์ และนอกจากความประสงค์ประเภทนี้แล้ว ยังมีความประสงค์อีกประเภทหนึ่งนั่นคือ ความประสงค์ในการกำหนดบทบัญญัติ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำของมนุษย์ และเป็นสาเหตุทำให้การกระทำนั้น เป็นการกระทำที่จำเป็นต้องกระทำ(วาญิบ)หรือเป็นการกระทำที่สมควรกระทำ(มุสตะฮับ)หรือเป็นการกระทำที่ไม่สมควรกระทำ(มักรุฮ์)และในทางตรงกันข้าม การกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตให้กระทำ(ฮะรอม) ดังนั้น ความประสงค์ในการสร้างสรรค์เกิดจากการมีอยู่ของสิ่งทั้งหลาย และส่วนความประสงค์ในการกำหนดบทบัญญัตินั้น เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับการกระทำของมนุษย์

ความแตกต่างอีกอันหนึ่งของความประสงค์ทั้งสองประเภท คือ ในความประสงค์ในการสร้างสรรค์ไม่มีมุรอด(สิ่งที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างความประสงค์กับผู้กระทำ) แต่มีในความประสงค์ในการกำหนดบทบัญญัติ

๓๑๓

   ความประสงค์และความต้องการของพระเจ้า ในอัลกุรอานและวจนะ

    คำว่า อิรอดะฮ์ในภาษาอาหรับ มาจากรากศัพท์ของคำว่า ราวด์ หมายถึง การกลับไปและการกลับมาที่มีความต้องการในสิ่งหนึ่ง ดังนั้น จากความหมายของคำนี้ มีอยู่ สามองค์ประกอบด้วยกัน ดังนี้

๑.ความต้องการในสิ่งหนึ่งที่มีความรักในสิ่งนั้น

๒.การมีความหวังที่จะได้รับในสิ่งนั้น

๓.การกระทำที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นด้วยตนเองหรือผู้อื่น

ส่วนคำว่า มะชียะฮ์ในด้านภาษา ซึ่งจากส่วนมากของนักอักษรศาสตร์อาหรับให้ความหมายเดียวกันกับความประสงค์(อิรอดะฮ์  และบางคนกล่าวว่า มะชียะฮ์ หมายถึง การมีความรักที่เกิดขึ้นหลังการมโนภาพ และการตัดสินใจ และหลังจากนั้น ความประสงค์ จึงจะเกิดขึ้นมาทีหลัง

แม้ว่าอัลกุรอานมิได้กล่าวถึงทั้งสองคุณลักษณะดังกล่าว นั่นก็คือ อิรอดะฮ์และมะชียะฮ์ ในรูปของอิสมุลฟาอิล (นามของผู้กระทำ) หรือศิฟัต มุชับบะฮะ(คุณลักษณะหนึ่ง) ของพระเจ้า แต่ทว่าได้กล่าวในรูปแบบของกริยาในโองการทั้งหลายมากมาย

และโองการหนึ่งได้กล่าวว่า ความประสงค์และความต้องการของพระเจ้านั้น ครอบคลุมถึงทุกสิ่งและทุกอย่าง และการกระทำของพระองค์ได้เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

ดั่งในโองการที่กล่าวว่า

 “ แท้จริงเมื่อเราปรารถนาคำตรัสของเราแก่สิ่งใด เราก็จะกล่าวแก่มันว่า จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้น”

(บทอันนะห์ล์ โองการที่ ๔๐)

๓๑๔

จากโองการนี้ที่ได้กล่าวว่า จงเป็นแล้วมันก็เป็นขึ้น  บ่งบอกถึงความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า มิได้เป็นเพียงคำกล่าวอย่างเดียว

และบางโองการก็กล่าวถึง ความไม่มีขอบเขตจำกัดในความประสงค์ของพระองค์ ความว่า  

“อัลลอฮ์ทรงบังเกิดสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง”

(บทอันนูร โองการที่๔๕)

และเช่นเดียวกัน อัลกุรอานได้กล่าวย้ำถึงไม่มีอำนาจใดจะเท่าเทียมอำนาจและความประสงค์ของพระเจ้าได้
จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)ใครเล่าจะมีอำนาจอันใดที่จะป้องกันพวกเจ้าจากอัลลอฮ์หากพระองค์ทรงประสงค์ให้ความทุกข์แก่พวกเจ้า หรือพระองค์ทรงประสงค์จะให้ประโยชน์แก่พวกเจ้า แต่ทว่า อัลลอฮ์ทรงตระหนักยิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ” (บทอัลฟัตฮ์ โองการที่๑๑)

แน่นอนที่สุด จะกล่าวในประเด็นของ ความเป็นวิทยปัญญาของพระผู้เป็นเจ้าถึง การไม่มีขอบเขตในอำนาจและความประสงค์ของพระองค์ แต่มิได้หมายความว่า พระเจ้า เป็นผู้ที่กระทำการงานที่ไม่ดีหรือไม่มีประโยชน์ได้ แต่ทว่า ด้วยกับการมีวิทยปัญญาของพระองค์ บ่งบอกว่า ทุกการกระทำของพระองค์นั้น มีประโยชน์ต่อสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา

และบางโองการได้กล่าวถึง ความประสงค์ของพระเจ้าในการกำหนดบทบัญญัติไว้เช่นกัน  ในบทอัลบะกอเราะ ดังนี้
“อัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้มีความสะดวก แก่พวกเจ้า และไม่ทรงให้มีความลำบากแก่พวกเจ้า”

(บทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่๑๘๕)

๓๑๕

หลังจากที่อัลลอฮ์ได้กล่าวถึงหลักการถือศีลอดและอนุญาตให้บรรดาผู้ป่วยและผู้เดินทาง ไม่ต้องถือศีลอดได้ และได้กล่าวว่า ความประสงค์ของพระองค์ในการกำหนดบทบัญญัตินั้น ไม่ต้องการความยากลำบาก แต่ต้องการความสะดวกสบาย

และอัลกุรอานได้กล่าวถึง ความประสงค์ของพระองค์ หลังจากที่กล่าวหลักการปฏิบัติ ในบทอัลมาอิดะ ได้กล่าวไว้ดังนี้

“แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงชี้ขาดตามที่พระองค์ทรงประสงค์” (บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ ๑)

นอกเหนือจาก โองการทั้งหลายของอัลกรุอานที่ได้กล่าวถึง ความประสงค์ของพระเจ้า ยังมีพระวจนะต่างๆที่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน  และสิ่งที่ต้องสังเกตในวจนะทั้งหลาย นั่นคือ ส่วนมากของวจนะกล่าวถึง ความประสงค์ในการกระทำของพระเจ้าที่เป็นคุณลักษณะหนึ่งไม่ได้ที่อยู่นอกเหนือจากอาตมันของพระองค์และเป็นคุณลักษณะที่มีมาดั้งเดิม เช่น วจนะหนึ่งที่ผู้รายงานได้ถามท่านอิมามว่า

“พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความประสงค์ที่มีมาดั้งเดิมกระนั้นหรือ?”

ท่านอิมามได้ตอบว่า

“พระเจ้า เป็นผู้ทรงประสงค์ที่ไม่มีสิ่งใดอยู่เคียงข้างพระองค์ และทรงมีความรู้และมีความสามารถที่มีมาแต่ดั้งเดิม หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงมีความประสงค์เกิดขึ้น”

(อุศูลุลกาฟี เล่มที่หนึ่ง หน้าที่ ๑๐๙ วจนะที่ ๑)

๓๑๖

จากวจนะนี้แสดงให้เห็นว่า ความประสงค์ของพระเจ้าในการกระทำนั้น ไม่มีได้มีมาแต่ดั้งเดิม ก็เพราะว่า เมื่อได้เชื่อมความสัมพันธ์ของพระองค์กับสิ่งสร้างของพระองค์ จะกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ การกระทำของสิ่งถูกสร้างเกิดจากการกระทำของพระเจ้า  และการกระทำของพระองค์เพิ่งเกิดขึ้น ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่คุณลักษณะในการกระทำของพระองค์ จะมีมาแต่ดั้งเดิม  และวจนะหนึ่งจากท่านอิมามริฎอ (อ) ได้กล่าวถึง ความประสงค์ของพระเจ้าในการกระทำและความแตกต่างของความประสงค์ของพระองค์กับมนุษย์ ความว่า

“ความประสงค์ (ความประสงค์) ของสิ่งถูกสร้าง หมายถึง การตัดสินใจหลังจากนั้นได้กระทำในสิ่งที่ได้ตัดสินใจไป แต่ความประสงค์ของพระเจ้า หมายถึง  การเกิดขึ้นที่ไม่มีการใช้ความคิดและการตัดสินใจ และทุกๆคุณลักษณะที่เป็นแบบนี้ ไม่มีในพระองค์และเป็นคุณลักษณะของสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ดังนั้น ความประสงค์ (ความประสงค์)ของพระเจ้า คือ การกระทำของพระองค์ และมิใช่สิ่งอื่นใด พระองค์ทรงกล่าว จงเป็น แล้วสิ่งนั้นก็เป็นขึ้นมา โดยที่ปราศจากการพูดและการใช้ลิ้นในการสื่อสาร และไม่มีการตัดสินใจและการใช้ความคิด และไม่ต้องการสิ่งพึ่งพา เพราะพระองค์ก็ไม่ต้องการสิ่งพึ่งพาเช่นกัน”

(อุศูล อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๐๙-๑๑๐ วจนะที่ ๓)

และบางวจนะกล่าวถึง ความประสงค์ของพระเจ้าว่า เป็นสิ่งที่ถูกสร้างและเพิ่งเกิดขึ้น

๓๑๗

ดั่งวจนะของท่านอิมามซอดิก (อ) ได้กล่าวว่า

“อัลลอฮ์ทรงสร้างความประสงค์ด้วยพระองค์เอง หลังจากนั้นทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยความประสงค์ของพระองค์”

(อุศูล อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๑๐ วจนะที่ ๔)

ในวจนะหนึ่งจากท่านอิมามซอดิกได้กล่าวถึง ความแตกต่างของความรู้กับความประสงค์ ดังนี้

“ความรู้ของพระเจ้า มิใช่ความประสงค์ของพระองค์ เจ้ามิได้กล่าวหรือว่า ฉันจะกระทำสิ่งนี้ หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ และเจ้าไม่ได้กล่าวว่า ฉันจะกระทำสิ่งนี้ หากอัลลอฮ์ทรงรู้ ดังนั้น คำกล่าวของเจ้า ที่ว่า หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์ บ่งบอกถึง พระองค์ไม่ทรงประสงค์ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์ การกระทำนั้นก็จะเกิดขึ้น และพระองค์ทรงมีความรู้ในความประสงค์ของพระองค์” (อุศูล อัลกาฟีย์ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๑๐๙ วจนะที่ ๒)

๓๑๘

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

อิรอดะฮ์ หมายถึง ความประสงค์: Act of will

อิรอดะฮ์ อิลาฮีย์ หมายถึง ความประสงค์ของพระเจ้า: Divine will

ความประสงค์ในอาตมัน อิรอดะฮ์ซาตีย์

ความประสงค์ในการกระทำ อิรอดะฮ์ เฟียะลีย์

มะชียะฮ์ หมายถึง ความต้องการ  : Radical will

การเลือกสรร อิคติยาร : Choice

ความประสงค์ในการสร้างสรรค์ อิรอดะฮ์ ตักวีนีย์

ความประสงค์ในการกำหนดบทบัญญัติ อิริดะฮ์ ตัชรีอีย์

   สรุปสาระสำคัญ

๑.บรรดานักเทววิทยาอิสลามมีทัศนะที่แตกต่างกันในความหมายของ ความประสงค์ของพระเจ้า

 (อิรอดะฮ์ อิลาฮีย์)

บางคนกล่าวว่า ความประสงค์ของพระเจ้า หมายถึง การกระทำของพระเจ้าที่ไม่มีการบังคับใดๆเกิดขึ้น และบางคนมีความเชื่อว่า คือ การมีความสามารถและการชี้ขาดของพระเจ้า และบางสำนักคิดกล่าวว่า หมายถึง การเลือกสรรของพระองค์

๓๑๙

๒.ความประสงค์ของพระเจ้า มีอยู่ สองระดับขั้น

(๑).ความประสงค์ในอาตมันที่มีมาแต่ดิม

(๒).ความประสงค์ในการกระทำที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่

๓.เหตุผลของบรรดานักเทววิทยาอิสลามในการพิสูจน์ถึง การมีความประสงค์ของพระเจ้า  คือ การกระทำของพระเจ้านั้นเกิดขึ้นในเวลาที่ได้กำหนดไว้และมีสิ่งที่เป็นตัวกำหนดให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น ก็คือ ความประสงค์ที่เป็นตัวกำหนดให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น

๔.พระเจ้าทรงมีความประสงค์ในการสร้างสรรค์และการกำหนดบทบัญญัติ และความแตกต่างของความประสงค์ทั้งสองของพระองค์ ก็คือ ในประเภทแรก ไม่มีความสัมพันธ์กับการกระทำของมนุษย์ แต่ในประเภทที่สองนั้นมีความสัมพันธ์กับมนุษย์

๕.อัลกุรอานได้กล่าวว่า ความประสงค์ของพระเจ้า คือ เมื่อพระองค์ทรงตรัสว่า จงเป็นสิ่งนั้นก็เป็นขึ้นมาทันที และในวจนะทั้งหลายก็ได้กล่าวถึง ความแตกต่างของความประสงค์ของพระเจ้าและมนุษย์ว่า ความประสงค์ของพระเจ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุดและขอบเขตจำกัด

๓๒๐

321

322

323

324

325

326

327

328

329

330

331

332

333

334

335

336

337

338

339

340

341

342

343

344

345

346

347

348

349

350

351

352

353

354

355

356

357

358

359

360

361

362

363

364

365

366

367

368

369

370

371

372

373

374

375

376

377

378

379

380

381

382

383

384

385

386

387

388

389

390

391

392

393

394

395

396

397

398

399

400

401

402

403

404

405

406

407

408

409

410

411

412

413

414

415

416

417

418

419

420

421

422

423

424

425

426

427

428

429

430

431

432

433

434

435

436

437

438

439

440

441

442

443

444

445

446

447

448

449

450