ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด28%

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด ผู้เขียน:
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 130

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 130 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 78979 / ดาวน์โหลด: 4979
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

เขาจะทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความสันติ และยุติธรรม หลังจากที่มันได้เคยเต็มไปด้วยความอธรรม และการกดขี่ และในเวลานั้น ตำแหน่งแห่ง

อิมามัตจะถึงจุดสมบูรณ์ของมัน และตำแหน่งคอลีฟะฮ์ที่แท้จริงก็จะปรากฏขึ้น และอัลลอฮ์จะทำให้ผู้ที่อยู่ในหลุมฝังศพฟื้นขึ้น พวกเขาจะฟื้นขึ้นมาในตอนเช้า และพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในหลุมฝังศพ จากการปรากฏตัวของ

มะฮ์ดี แผ่นดินจะสดใส และเจริญงอกงาม น้ำอันใส บริสุทธิ์จะไหลไป

ทุกลำธาร ความวุ่นวาย การแย่งชิง และกดขี่จะถูกขจัดออกไป

 ความประเสริฐและสิริมงคล (บะรอกัต) จะถูกประทานลงมา และไม่มีความจำเป็นใดๆ อีกที่ฉันจะบรรยายถึงสิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นอีกเพียงแต่ฝากสลามจากฉันไปยังโลกนั้นด้วยเถิด

(จากหนังสือ “ยะนาบีอุล มะวัดดะฮ์”)

ตัวอย่างจากฮะดีษของชาวชีอะฮ์

๑.อิมามศอดิก (อ) ได้กล่าวว่า: ประชาชาติจะสูญหายอิมามของพวกเขา แต่ อิมามของพวกเขาจะปรากฏตัวในฮัจญ์ทุกปี อิมามจะมองเห็นพวกเขาแต่พวกเขามองไม่เห็นอิมาม

(จากอุศุลอัลกาฟี)

๒๑

๒.อัศบัฆ บิน นะบาตะฮ์ ได้รายงานว่า วันหนึ่งฉันได้ไปเยี่ยมท่าน

อะมีรุ้ลมุอ์มินีน อะลี อะลัยฮิสลาม และพบว่าท่านอะลี กำลังนั่งครุ่นคิดถึงสิ่งหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่นิ้วของท่านได้คุ้ยเขี่ยไปบนดิน ฉันจึงได้ถามขึ้นว่า: ทำไมท่านจึงอยู่สภาพครุ่นคิดเช่นนี้? หรือว่าท่านกำลังจะมีความประสงค์สิ่งหนึ่งในแผ่นดิน ? ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ตอบว่า:

ไม่ สาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ฉันไม่เคยมีความต้องการอะไรในแผ่นดิน และดุนยานี้เลย แต่ฉันกาลังครุ่นคิดถึงผู้หนึ่งที่จะถือกำเนิดมา จากเชื้อสายของฉัน และเป็นลูกหลานคนที่สิบเอ็ดของฉัน และเขา

(มะฮ์ดี) จะทำโลกนี้เต็มไปด้วยความสันติ และยุติธรรม หลังจากที่มันเคยเต็มไปด้วยความอยุติธรรม และการกดขี่ จะมีการเร้นหาย และความสับสนในตัวของเขา จนกุล่มหนึ่งจะได้รับทางนำ และอีกกลุ่มหนึ่งถูกทำให้หลงทาง (จากอุศูล อัลกาฟี)

 ๓. ท่านอิมามศอดิก (อ.) ได้กล่าวว่า: ถ้าข่าวแห่งการเร้นหายของอิมามประจำยุคของเจ้า (มะฮ์ดี) มาถึงเจ้า จงอย่าปฏิเสธ

 (จากอุศูล อัลกาฟี)

๔. ท่านอิมามศอดิก (อ.) ได้กล่าวว่า: มีการเร้นหาย ๒ ครั้งสาหรับกออิม ครั้งที่หนึ่งเป็นระยะเวลาอันสั้น ครั้งที่สองเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ในการเร้นหายครั้งแรกนั้น เฉพาะชีอะฮ์ผู้ใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ที่อยู่ของเขา และในการเร้นหายครั้งที่สองนั้น นอกจากสาวกและมิตรสหาย ผู้ใกล้ชิด แล้วจะไม่มีใครรู้ที่อยู่ของเขา (จากอุศูลอัลกาฟี)

๒๒

 ๕. ท่านอิมามศอดิก (อ.) ได้กล่าวว่า: กออิมจะทำการกิยาม (ลุกขึ้นปฏิวัติ) ในขณะที่ยังไม่มีใครได้ทำการบัยอัต (การให้สัตยาบัน) หรือ สนธิสัญญาใดๆ กับเขา

๖. ท่านรอซุลุลลอฮ (ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ : กออิม มาจากลูกหลานของฉัน ชื่อของเขาเหมือนชื่อของฉัน ฉายาของเขาเหมือนฉายาของฉันบุคลิกของเขาเหมือนกับบุคลิกแบบของฉัน ฉายาของเขาเหมือนฉายาของฉันบุคคลิกของเขาเหมือนกับบุคลิกแบบของฉัน แบบฉบับ (สุนนะฮ์) ของเขาเหมือนกับแบบฉัน เขาจะเรียกประชาชาติกลับมาเข้าสู่ชะรีอัต และศาสนา ของฉันอีกครั้งหนึ่ง และจะเชิญชวนมนุษย์เข้าสู่คัมภีร์แห่งพระผู้อภิบาล ของฉัน ใครก็ตามที่ภักดีต่อเขา ก็เท่ากับได้ภักดีต่อฉัน ใครก็ตามที่เป็นปรปักษ์ต่อเขาก็เท่ากับเป็นปรปักษ์ต่อฉัน และใครก็ตามที่ปฏิเสธการเร้นหายของเขาก็เท่ากับได้ปฏิเสธศาสนาของฉันทั้งหมด

(จากหนังสือ อะอ์ลามุลวะรออ์)

๗. ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน ได้กล่าวว่า: ในเรื่องราวของกออิมนั้นมีหลายสิ่งที่เหมือนกับบรรดาศาสดาต่างๆ เหมือนกับนูห์, เหมือนกับอิบรอฮีม, เหมือนกับมูซา, เหมือนกับอีซา ,เหมือนกับอัยยูบ และเหมือนกับมุฮัมมัด (ศ็อล) อายุของเขายืนยาวเหมือนกับนูฮ์ การถือกำเนิดของเขาถูกปกปิด และการใช้ชีวิตของเขาห่างไกลจากประชาชนเหมือนกับอิบรอฮีมเขาอยู่ในความกังวลและเร้นหายเหมือนกับมูซา

๒๓

 ประชาชาติมีความคิดแตกแยกกันในเรื่องของเขาเหมือนกับมูซาประชาชาติมีความคิดแตกแยกกันในเรื่องของเขาเหมือนกับอีซา เขาจะถึงจุดแห่งความเจริญ และรุ่งโรจน์หลังจากผ่านการทดสอบ และทุกข์ทรมานเหมือนกับอัยยูบซึ่งเขาจะลุกขึ้นปฏิวัติด้วยคมดาบเหมือนมุฮัมมัด (ศ็อล)

(จากหนังสือ กะมากุลดีน)

๘. ท่านอิมามศอดิก (อ.) ได้กล่าวว่า: สาหรับกออิมมีการเร้นหาย และสาหรับบ่าวของอัลลอฮ์ในช่วงเวลานั้น เขาจะต้องเสริมสร้างตักวาและยึดมั่นในศาสดาของพระองค์ให้มั่นคง

๙. ท่านอิมามศอติก (อ.) ได้กล่าวว่า: สาหรับประชาชาติ วันหนึ่งจะมาถึงที่อิมามของพวกเขาจะเร้นหาย

ท่านซุรอเราะฮ์ (สาวกผู้ทรงเกียรติ ท่านหนึ่งของอิมามศอติก) ได้ถามขึ้นว่า : หน้าที่ประชาชาติในยุคนั้นคืออะไร ?

ท่านอิมามได้ตอบว่า : เขายึดมั่นในศรัทธา และปฏิบัติหน้าที่ตามที่ศาสนาได้กำหนดอย่างเคร่งครัด จนกว่าอิมามของพวกเขาจะปรากฏ

(จากหนังสือ กะมาลุคดีน)

๒๔

๑๐. ท่านอิมามศอดิก (อ.) ได้กล่าวว่า: ปรากฏและกิยามของมะฮ์ดีจะไม่เกิดขึ้น จนกว่าทุกอารยธรรม และอุดมการณ์ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาปกครองประชาชาติ จนหมดสิ้นแล้วเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่มี โอกาสที่จะพูดได้อีกว่า ถ้าให้เราปกครองเราก็จะปกครองด้วยความยุติธรรม และหลังจากนั้น (หลังจากที่ทุกอารยธรรมได้ขึ้นมาปกครองแล้ว) กออิม ก็จะทาการกิยามด้วยสัจธรรมและความยุติธรรม

(จากหนังสือ อิษบาตุลฮุดา)

กำเนิดอิมาม

ผู้นาจากฟากฟ้า คนที่สิบสองอิมามมะฮ์ดี (อ) ได้ถือกำเนิดมาในรุ่งอรุณของวันศุกร์ที่ ๑๕ เดือนชะอฺบาน ฮิจเราะฮ์ที่ ๒๕๕ ตรงกับปีคริสตศักราชที่ ๘๖๘ ที่เมืองซามัรรอ ในบ้านของ ฮะซัน อัล-อัสการี (อ) อิมามคนที่สิบเอ็ด ผู้เป็นบิดา และมารดาของท่านคือ ท่านหญิง “นัรญิส” และบางครั้งเรียกว่า

“ซูซัน” หรือ “ไศกัล” ซึ่งเป็นธิดาของ “ยูซอา” ซึ่งเป็นราชกุมารีของ

ไกเซอร์ แห่งโรม ผู้สืบเชื้อสายมาจาก “ชัมอูน” ผู้เป็นสาวกคนหนึ่งของศาสดาอีซา (เยซู)

๒๕

ท่านหญิง นัรญิส เป็นหญิงที่มีบุคคลิกภาพที่ประเสริฐ และสมบูรณ์ผู้หนึ่ง ซึ่งท่านหญิง “ฮะกีมะฮ์” น้องสาวของท่านอิมามฮาดี (อิมามคนที่สิบ) ซึ่งนางเองเป็นบุคคลที่สาคัญของครอบครัวแห่งอะห์ลุลบัยต์แต่นางจะเรียกท่านหญิง “นัรญิส” ว่า นายหญิงของฉัน นายหญิงแห่งครอบครัวเราหรือแทนตัวเองว่าบ่าว เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านหญิงนัรญิส

เมื่อตอนที่ท่านหญิง นัรญิส ยังอยู่ในโรม ฝันอันแปลกประหลาดหลายครั้งได้เกิดขึ้นกับนาง ครั้งหนึ่งนางได้ฝันว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด และศาสดาอีซา ได้ทำการสมรสตัวนางกับท่านอิมามฮาซัน อัลลอัสการี (อ) อีกครั้งหนึ่งนางได้ฝันว่า นาได้รับอิสลามตามคำเชิญชวนของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) และนางได้ปกปิดการรับอิสลามของนางจากครอบครัว และคนรอบข้าง จนกระทั่งมาถึงสมัยหนึ่งได้เกิดสงครามขึ้นระหว่างโรมกับมุสลิม

กษัตริย์ไกเซอร์ ได้นำทัพเข้าสู่สมรภูมิด้วยตัวเอง ส่วนท่านหญิงนัรญิสได้รับคำสั่งจากความฝันว่าให้นางปลอมเป็นคนธรรมดาปะปนให้เข้าร่วมกับกลุ่มทาส และผู้รับใช้ที่ติดตามกองทัพของโรม คำสั่งในความฝันบอกให้นางติดตามกองทัพไปให้ถึงชายแดน และในการเดินทางครั้งนี้นางได้ถูกกองทัพมุสลิมจับตัวเป็นเชลย โดยได้ถูกจับตัวร่วมกับเชลยศึกอื่นๆ นำไปกรุงแบกแดด โดยที่กองทัพมุสลิมไม่รู้ว่านางคือ หลานสาวของไกเซอร์แห่งโรม

๒๖

เหตุการณ์นี้เกิดในสมัยของท่านอิมามฮาดี (อิมามที่สิบ)

ท่านอิมามฮาดี (อ) ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งเป็นภาษาโรมัน และให้ผู้รับใช้ของทำาการซื้อตัวท่านหญิงนัรญิส จากตลาดค้าทาส และให้นำนางมาหาอิมามที่เมืองซามัรรอ

 หลังจากนั้นท่านอิมามฮาดี ได้ทบทวนความฝันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับนางให้นางฟัง และได้แจ้งข่าวดีให้นางทราบว่า นางจะได้เป็นภรรยาของอิมามคนที่สิบเอ็ด และจะได้เป็นมารดาของทารกหนึ่งซึ่งจะเป็นผู้ปกครองโลกทั้งหมด และจะทำให้เต็มไปด้วยความสันติ และยุติธรรม

หลังจากนั้นท่านอิมามฮาดี (อ) ก็ได้ส่งท่านหญิงนัรญิสไปฝึกอบรมมารยาท และบทบัญญัติต่าง ๆ ของอิสลามกับท่านหญิงฮะกีมะฮ์ และหลังจากนั้นไม่นาน ท่านอิมามฮาดีก็ได้ทำการแต่งงานท่านหญิงนัรญิสกับท่านอิมามฮาซัน อัล-อัสการี อิมามคนที่สิบเอ็ดของวงศ์วานแห่งอะหฺลุลบัยต์

ทุกครั้งที่ท่านหญิงฮะกีมะฮ์ ไปเยี่ยมท่านอิมามฮะซัน อัล-อัสการีนางจะขอดุอาอ์ ว่า “โอ้อัลลฮ์โปรดให้บุตรกับเขาสักคนหนึ่ง”

๒๗

 

และวันหนึ่งก็ได้มาถึง เมื่อท่านหญิงฮะกีมะฮ์ ได้ไปเยี่ยมท่านอิมาม

อัสการี ตามปกติ และได้ทำการขอดุอาอ์เหมือนเดิมที่เคยขอให้ท่าน

อิมามอัสการี ท่านอิมามจึงได้ตอบนางว่า “บุตรที่ท่านขอดุอาอ์ให้กับฉันนั้น อัลลอฮ์ได้ประทานให้ฉันแล้ว คืนนี้เขาจะลืมตามาดูโลก”

ท่านหญิงฮะกีมะฮ์ได้เล่าว่า “หลังจากนั้น นัรญิส ได้เดินเข้ามาหาฉันเพื่อที่จะถอดรองเท้าของฉันไปเก็บ และนัรญิสได้กล่าวว่า

“ส่งรองเท้าของท่านให้ฉันเถิดนายหญิง”

 ท่านฮะกีมะฮ์ ได้ตอบว่า : “ท่านต่างหากที่เป็นนายหญิงของฉัน

 ขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ ฉันจะไม่อนุญาตให้ท่านถอดรองเท้าของฉันหรอก และจะไม่ยอมให้ท่านรับใช้ฉันหรอก ฉันต่างหากที่จะต้องเป็นผู้ที่รับใช้ท่าน”

เมื่อท่านอิมามอัสการี (อ) ได้ยินดังนั้นจึงได้กล่าวขึ้นว่า

 “โอ้ ท่านน้า ขอให้อัลลอฮทรงตอบแทนรางวัลที่มีให้กับท่านด้วยเถิด”

ท่านหญิงหะกีมะฮ์ ได้ถามขึ้นว่า “โอ้อิมามของฉัน เขากำเนิดมาจากใครล่ะ? ฉันยังไม่เห็นวี่แววการตั้งครรภ์ของนัรญิสเลย”

อิมามตอบ : จากนัรญิส ไม่ใช่จากผู้อื่น

ฉันจึงได้ลุกขึ้นไปยังนัรญิส และทำการตรวจสอบอย่างละเอียดแต่ไม่พบวี่แววแห่งการตั้งครรภ์จากนางเลย

๒๘

ฉันจึงได้กลับไปบอกท่านอิมามอัสการี ท่านได้ยิ้ม และกล่าวขึ้นว่า :

ในยามรุ่งอรุณของวันนี้การมีบุตรของนางจะเปิดเผยสาหรับท่าน เพราะว่านาง (นัรญิส) ก็เหมือนแม่ของมูซา

ซึ่งการตั้งครรภ์ของนางไม่เป็นที่เปิดเผย และไม่มีใครรู้ได้จนกว่านางจะคลอด เพราะฟิรอูนกาลังตามล่าทารกคนนี้อยู่ เพื่อที่จะไม่ใช้ทารกเช่นนี้เกิดขึ้นมาบนโลก และพวกมันก็ทำการผ่าท้องหญิงที่มีครรภ์ทุกคน และทารกที่จะเกิดมาในคืนนี้ก็เช่นกัน เขาเหมือนกับมูซา เพราะเขาจะทำการทำลายแบบฉบับการปกครองแบบฟิรอูนและพวกมัน (ผู้เลียนแบบฟิรอูน) ก็กาลังตามล่าเขาอยู่

ท่านหญิงฮะกีมะฮ์ได้เล่าว่า : ฉันได้ระมัดระวังท่านหญิงนัรญิสจนเกือบจะรุ่งสาง ฉันได้ให้นางนอนข้างฉันทั้งคืนอย่างสงบ โดยที่ฉันไม่พลิกตัวเลย จนกระทั่งเช้าฉันได้ตื่นขึ้นด้วยความตกใจ และได้ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดของฉัน และฉันได้อ่านพระนามของอัลลฮฺให้กับนาง

เสียงของท่านอิมามอัสการี ได้ดังมาจากอีกห้องหนึ่งว่า : สิ่งที่นายของฉันก็ได้ถามอาการของนาง ท่านหญิงนัรญิส ได้ตอบว่า : สิ่งที่นายของฉันได้แจ้งข่าวกับท่านนั้นได้เป็นจริงแล้ว

๒๙

ท่านหญิงฮะกีมะฮ์ ได้เล่าต่อไปอีกว่า ฉันได้ปฏิบัติตามที่อิมามได้สั่งเอาไว้ คือการอ่านซุเราะฮ์อัลก็อดร์ตลอดเวลาที่ท่านนัรญิสปวดท้อง และในขณะเดียวกันกับเสียงทารกในครรภ์ก็ได้เริ่มอ่านซูเราะฮ์อัลก็อดร์ประสานกัเสียงของฉัน ทารกในครรภ์ได้ให้สลามกับฉัน ฉันได้เกิดความกลัวเป็นอย่างมาก

 อิมามอัสการีได้กล่าวขึ้นว่า

 

“จงอย่างแปลกใจในกิจการของอัลลอฮ พระองค์ทรงประทาน

วิทยปัญญาให้กับเรา (บรรดาอิมาม) ตั้งแต่วัยเด็ก และเมื่อเราโตขึ้นก็ทรงทาให้เราเป็นข้อพิสูจน์ (ฮุจญัต) ของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน”

 คำพูดของอิมามยังไม่ทันจะสิ้นสุด นัรญิสก็ได้หายไปจากสายตาฉัน เหมือนกับได้มีม่านอันหนึ่งกั้นระหว่างฉันกับนาง จึงทำให้ฉันไม่เห็นนาง ฉันได้ร้องตะโกนด้วยความตกใจ และรีบวิ่งไปหาอิมามาอัสการี

อิมามได้กล่าววว่า “ท่านน้า จงกลับไปเถิด ท่านจะพานางตรงที่เดิม”

 ฉันบังตาได้ถูกขจัดออกไป ฉันได้พบท่านหญิงนัรญิสอยู่ในท่ามกลางแสงอันเจิดจ้าด้วยรัศมี และแสงอันแรงกล้านั้นจะทำให้ฉันมองนางเกือบไม่เห็น แล้วฉันก็ได้เห็นทารก คนหนึ่งซึ่งอยู่ในท่าสูญูด ในขณะที่นิ้วชี้ของเขาได้ชี้ขึ้น

๓๐

 และเขาได้กล่าวว่า

“ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และไม่มีภาคีใด ๆ สาหรับพระองค์ และขอปฏิญาณว่า ปู่ของฉัน คือ  มุฮัมมัด เป็นรอซูลของอัลลอฮ์ ขอการสรรเสริญจากพระองค์จงมีแด่เขา และวงศ์วานของเขา และขอปฏิญาณว่าบิดาของฉันคือ นายแห่งบรรดามุอฺมิน”

 และหลังจากนั้นเขา (มะฮ์ดี) ได้ยืนยันในการเป็นอิมามอย่างแท้จริงของ

อิมามทั้งสิบเอ็ดท่านจนกระทั่งถึงตัวของเขาเอง และทารกน้อยได้กล่าวขอพรขึ้นว่า

“โอ้พระเจ้าเป็นเจ้า ขอให้การกลับมาของฉันเป็นจริงเถิด และขอให้การงานของฉันไปถึงจุดสุดท้ายเถิด ขอให้ทุกย่างก้าวของฉันมั่นคง และด้วยน้ำมือของฉันขอให้โลกนี้เต็มไปด้วยความยุติธรรมด้วยเถิด”

๓๑

การปกปิดการถือกำเนิดของอิมาม

ประวัติศาสตร์อิสลามในช่วงสมัยราชวงศ์อุมัยยะฮ์ และอับบาซียะฮ์ และโดยเฉพาะตั้งแต่สมัยของอิมามท่านที่หก (ท่านอิมามญะอฺฟัร (อ)) จนถึง

อิมามท่านอื่น ๆ นั้น คอลีฟะฮ์ของทั้งสองราชวงศ์มีความหวาดกลัว และหวาดระแวงต่อบรรดาอิมามมะอฺศูมเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เพราะว่าบรรดา

อิมามในยุคนั้นได้รับการยอมรับ และการให้เกียรติเป็นอย่างมากจากประชาชาติในยุคนั้น กาลเวลายิ่งผ่านไปมากเท่าใด การยอมรับ และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน กับบรรดาอิมามก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งคอลีฟะฮ์แห่งราชวงศ์อับบาซียะฮ์มีความรู้สึกว่า อำนาจรัฐของตนอาจจะตกอยู่อันตราย และจากสาเหตุที่มีการเรื่องลือกันว่ามะฮ์ดีผู้ถูกสัญญาจะเป็นผู้ที่มาจากเชื้อสายของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล) จากลูกหลานของบรรดา

อิมามมะฮฺศูม และจากท่านอิมามฮะซัน อัลอัสการี (อ) และเขา (มะฮ์ดี) จะทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความยุติธรรม

๓๒

ดังนั้นจึงทำให้ท่านอิมามฮะซัน อัล-อัสการีตกอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มแข็งจากคอลีฟะฮ์ อับบาซียะฮ์ และไม่เฉพาะตัวท่านอิมามเท่านั้นที่ถูกควบคุมแต่รวมไปถึงบิดา และปู่ของท่านอิมามอัสการี (อ) ก็ถูกควบคุมตัวด้วย โดยผู้บริสุทธิ์ทั้งหมดได้ถูกควบคุมไว้ที่เมืองซามัรรอซึ่งป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์อับบาซียะฮ์ใยยุคนั้น ซึ่งการกระทำครั้งนี้

พวกอับบาซียะฮ์ มีจุดประสงค์ที่จะขัดขวางการกำเนิดของทารกน้อยผู้ถูกสัญญาไว้ แต่ด้วยความประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าการขัดขวางของพวกเขาจึงไร้ผล ทารกน้อยจึงถูกทำให้เกิดขึ้นมาอย่างเป็นความลับ และซ่อนเร้นเหมือนกับการถือกำเนิดของมูซา (อ)

และในเวลาเดียวกัน บรรดาสาวกผู้ใกล้ชิดของอิมามอัสการี ก็ได้มีการพบปะกับอิมามผู้ถูกสัญญาไว้ ในยุคที่อิมามอัสการียังมีชีวิตอยู่บ่อยครั้ง และหลังจากการเป็นชะฮีดของท่านอิมามอัสการี (อ)

ท่านอิมามมะฮ์ดีก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าฝูงชนเพื่อทำการนมาซญะนาญะฮ์ให้กับบิดาของท่าน คนจำนวนมากได้พบเห็นท่านในวันนั้น และหลังจากนั้นก็ได้เร้นหายไป

๓๓

ตั้งแต่วันเกิดของท่านอิมามกออิม (อ) จนถึงวันแห่งการเป็นชะฮีดของบิดาของท่าน บรรดาญาติสนิท และสาวกผู้ใกล้ชิดของอิมามคนที่สิบเอ็ด ประสบความสำเร็จหลายครั้งในการพบเจอกับอมามมะฮ์ดี หรือรับรู้ว่าอิมามมะฮ์ดียังคงอยู่ในบ้านของท่านอิมามอัสการี (อ)

จุดประสงค์ของท่านอิมามอัสการีในการที่ให้บรรดาสาวกผู้ใกล้ชิดได้พบเจอกันอิมามมะฮ์ดี ในโอกาสต่างๆทั้งที่อยู่ในช่วงการเร้นหายครั้งแรก (ฆ็อยบะตุศศุฆรอ) ก็เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับสาวกของท่านในเรื่องนี้ และเพื่อที่จะให้พวกเขารับรู้เรื่องราวเหล่านี้ เพื่อที่จะได้นำสิ่งเหล่านั้นไปเผยแพร่ให้ชีอะฮ์คนอื่น ๆ ได้รับทราบ ซึ่งเป็นการป้องกันบรรดาชีอะฮ์ จากการหลงทาง

 ต่อไปนี้คือตัวอย่างการพบเจอกับอิมามมะฮ์ดี ในช่วงฆ็อยบะตุศศุฆรอ

๓๔

๑. อะฮ์มัด บิน อิสฮาก ซึ่งเป็นสาวกอาวุโสคนสำคัญของท่านอิมาม

อัสการี ได้รายงานว่า

 “วันหนึ่งฉันได้รับเกียรติไปเยี่ยมอิมามอัสการี และฉันประสงค์ที่จะถามท่านถึงเรื่องผู้นำหลังจากท่าน แต่ท่านอิมามอัสการีพูดขึ้น โดยที่ฉันไม่ทันที่จะตั้งคำถาม

“โอ้ อะฮ์มัด ตั้งแต่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้สร้างอาดัมขึ้นมา และตั้งแต่นั้นมาแผ่นดินก็ไม่เคยว่าง จากฮุจญัตของพระองค์ ดังนั้นตราบจนถึงวันกิยามะฮ์ พระองค์ก็จะไม่ปล่อยให้แผ่นดินของพระองค์ว่างจากฮุจญัตของพระองค์ และจากสาเหตุของการมีฮุจญัตนี้จึงทำให้การลงโทษ (บะลาอ์) ต่าง ๆ ได้ถูกยกไปจากชาวโลก ทำให้ฝนได้ตกลงมา และทำให้บารอกะฮ์ (ความเป็นสิริมงคล) ต่าง ๆ งอกเงยจากแผ่นดิน”

 ฉันได้ถามขึ้นว่า “โอ้ลูกแห่งรอซูล อิมาม และตัวแทนหลังจากท่านคือใคร?

ท่านอิมามอัสการี ได้วิ่งเข้าห้องอย่างรีบเร่ง และท่านได้ออกมาพร้อมกับทารกด้วย วัยสามขวบที่มีรัศมีเหมือนพระจันทร์เต็มดวง อยู่ในอ้อมแขนของท่าน

๓๕

 และท่านอิมามได้กล่าวขึ้นว่า

 “โอ้ อะห์มัด บินอิสฮาก ถ้าหากว่าเด็กคนนี้ไม่มีเกียรติ ณ อัลลอฮ์ และบรรดาฮุจญัตของพระองค์แล้วไซร้ ฉันก็จะไม่นำลูกชายคนนี้มาให้เจ้าดูหรอก เขาคือผู้ที่มีชื่อ และฉายาเหมือนกับรอซูลุลลอฮ์

 เขาคือผู้ที่ทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยสันติ และยุติธรรม หลังจากที่มันได้เคยเต็มไปด้วยความอยุติธรรม และการกดขี่ โอ้ อะห์มัด บินอิสฮาก อุปมาของเขาในประชาชาตินี้เหมือนกับนบีคิฎิร และซุลก็อรนัยนฺ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฮ์ เขาจะถูกทำให้เร้นหาย และในช่วงของการเร้นหาย และในช่วงของการเร้นหายของเขาจะไม่มีใครได้รับความปลอดภัย (ในศาสนา) นอกจากผู้ที่อัลลอฮ์ทรงประทานความสำเร็จให้แก่เขาในในยืนหยัดในการยอมรับเขา (มะฮ์ดี) เป็นผู้นำ และประสบความสำเร็จในการดุอาเร่งการปรากฏตัวของเขา (มะฮ์ดี) อีกครั้งหนึ่ง”

๓๖

ฉันได้ถามขึ้นว่า “โอ้อิมามของฉัน มีสัญลักษณ์อะไรอีกในตัวเขาเพื่อฉันจะได้เพิ่มความมั่นใจในตัวฉัน?”

และในทันทีทันใด ทารกน้อยก็ได้พูดขึ้นด้วยภาษาอาหรับชั้นสูง (ฟะศี้หฺ) “ฉันคือบะกียะตุลลอฮบนหน้าแผ่นดินนี้ และศัตรูของอัลลอฮจะถูกแก้แค้นโดยฉัน โอ้ อะฮ์มัด บินอิสฮาก สิ่งใดที่ตัวตนของมันได้ประจักษ์กับเจ้าแล้ว ดังนั้น จงอย่าถามหาสัญลักษณ์ของมัน”

๒. ท่านอะฮ์มัด บิน ฮะซัน บินอิสฮาก กุมมี ได้รายงานว่า

 “เมื่อตอนที่อิมามมะฮ์ดีได้ถือกำเนิดมานั้น ปู่ของฉัน (อะห์มัด บิน อิสฮาก) ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากท่านอิมามฮะซัน อัล-อัสการีที่เขียนด้วยลายมือของท่านเอง ซึ่งเป็นลายมือเดียวกับที่ท่านใช้เขียนในการเขียนจดหมาย และส่งสาส์นต่าง ๆ ของท่าน ในจดหมายนั้นได้เขียนว่า

“ทารกหนึ่งกำเนิดขึ้นสาหรับเรา และจำเป็นที่ท่านจะต้องเก็บไว้เป็นความลับห้ามเปิดเผยให้ใครฟัง และข่าวการกำเนิดในครั้งนี้ฉันก็ไม่ได้ให้ใครรู้ นอกจากบรรดาญาติที่สนิทด้วยสาเหตุทางเครือญาติ (จึงบอกให้พวกเขารู้) และแก่บรรดาสหาย และสาวกผู้ใกล้ชิดด้วยสาเหตุแห่งวิลายะฮ์

(อำนาจการปกครอง) ของเขา (มะฮ์ดี) และฉันพอใจที่จะแจ้งข่าวการกำเนิดนี้ให้แก่ท่าน ด้วยประสงค์ที่จะทำให้ท่านมีความสุขจากอัลลอฮฺในการรับทราบข่าวนี้ เหมือนกับที่เราได้รับความสุขมาแล้ว

วัสสลาม”

๓๗

 

๓. ท่านหญิงผู้ทรงเกียรติ และตักวา “ฮะกีมะฮ์” น้าของอิมามอัสการี (อ) “นาสีม” ผู้รับใช้อิมามอัสการี “อะบูญะอฺฟัร บิน มุฮัมมัด บิน

อุษมาน อัมรี”, ฮูเซน บิน ฮะซัน อัลอาลาวี, อัมร์ อัล-อะฮ์วาซี, อะบูนัศร์ คอดิม, กามิล บิน อิบรอฮีม, อะลี บิน อาศิม กูฟี,

อับดุลลอฮฺ บิน อัลอับบาส อาลาวี, อิสมาอิล บิน อะลี, ยะอฺกูบ บิน ยูซุฟ ฎ็อรร็อบ, อิสมาอีล บิน มูชา บิน ญะอฺฟัร, อะลี บิน มุเฏาะฮ์ฮัร, อิบรอฮีม บิน อิดริส, เฏาะรีฟ คอดิม, อะบู บะฮัร นูบัคตี, เหล่านี้ คือรายชื่อของผู้ที่รู้ข่าวการกำเนิดของอิมามผู้ถูกสัญญา และเป็นผู้รายงานเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี (อ)

๔. ญะอ์ฟัร บิน มุฮัมัด บิน มาลิก ได้รายงานจากกลุ่มหนึ่งของสาวกผู้ใกล้ชิดของอิมามอัสการีว่า

อิมามอัสการีได้กล่าวกับสาวกกลุ่มนี้ว่า

“พร้อมหรือยังที่จะถามฉันเกี่ยวกับฮุจญัตหลังจากฉัน”

พวกเขาได้กล่าวขึ้นว่า “แน่นอน เราพร้อมแล้ว”

ทันทีทันใดนั้น ทารกน้อยที่มีรัศมีเหมือนดวงจันทร์ และเป็นเด็กที่มีความเหมือนอิมามอัสการีมากที่สุด ได้ถูกนำมาให้ดู

๓๘

และอิมามอัสการี ได้กล่าวขึ้นว่า

“นี่คืออิมาม และตัวแทนของฉันสำหรับพวกท่านจะปฏิบัติตามคำสั่งของเขา และจงอย่าแตกแยกกัน มิฉะนั้นพวกท่านอาจจะต้องพินาศ จงรู้ไว้เถิดว่าหลังจากนี้พวกท่านจะไม่ได้เห็นเขาอีกจนกว่าอายุของเขาจะสมบูรณ์

ดังนั้นจงปฏิบัติตามคำสั่ง และยอมรับ “อุษมาน บิน สะอีด”

เพราะเขาคือตัวแทน (นาอิบ) ของอิมามมะฮ์ดีของพวกท่าน และกิจการทั้งหมดอยู่ในมือของเขา”

๕. อีซา บิน มุฮัมมัด เญาฮะรี ได้รายงานว่า

“ฉันกับพรรคพวกกลุ่มหนึ่งได้ไปแสดงความยินดีกับอิมามอัสการีเนื่องในวันเกิดของอิมามมะฮ์ดี (อ) ซึ่งพรรคพวกเราได้เล่าว่า

ท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) ได้ถือกำเนิดมาในตอนรุ่งเช้าของวันศุกร์ที่

๑๕ ชะอฺบาน และเมื่อเราได้เข้ามาพบอิมามอัสการี เราได้ให้สลาม และแสดงความยินดีกับท่าน และก่อนที่เราจะพูดหรือถามอะไร ท่านอิมามได้กล่าวขึ้นว่า

“ในหมู่พวกท่านไม่มีคำถามในหัวใจของผู้ใดดอกหรือว่า บุตรของฉันมะฮ์ดี (อ) อยู่ที่ไหน? ฉันได้มอบหมายเขา (มะฮ์ดี) ให้กับอัลลอฮ์แล้ว เหมือนมารดาของมูซาได้มอบหมายมูซาให้กับพระองค์ในตอนที่นางได้นำเอามูซาใส่ลงในตระกร้า และปล่อยเขาไปในแม่น้ำ

แล้วสุดท้าย อัลลอฮ์ก็ได้นำมูซากลับมาหานางอีกครั้งหนึ่ง

๓๙

ปัญหาเกี่ยวกับการเร้นหาย (ฆ็อยบะฮ์)

 

รากฐานของศาสนา บทบัญญัติ(ฟิกฮ์) การเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม วิชาการต่าง ๆ ของอิสลามได้รับการปกป้องรักษาให้อยู่คู่กับสังคมมุสลิมมาตลอดตั้งแต่ยุคของท่านศาสดา และบรรดาอิมามมะฮ์ศูมด้วยวิธีการเผยแพร่อธิบายจนได้รับการรวบรวม และบันทึก จนถึงปีที่ ๒๖๐ ของฮิจเราะฮ์ ถึงแม้ว่าในขณะนั้นบรรดาอิมามมะฮ์ศูมจะได้รับแรงกดดันอย่างมากมายจากบรรดาฏอฆูต (บรรดาผู้นำที่ไม่ชอบธรรม) แห่งยุคสมัย

แต่บรรดาอิมามก็ไม่ละโอกาสที่จะทำการอธิบายเผยแพร่ และชี้ชัดให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของอิสลามที่จะเป็นศาสนาแห่งมนุษยชาติ และพร้อมในการที่จะจัดตั้งรัฐบาลแห่งโลก ซึ่งเป็นรัฐที่สมบูรณ์แบบที่สุดเพียงรัฐเดียวเท่านั้น สาหรับชาวโลก ซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยใด ๆ เลยในสิ่งนี้

จากตัวอย่าง การปกครองของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล) และ

ท่านอิมามอะลี บิน อะบีฏอลิบ (อ) เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีที่แสดงให้มนุษย์ได้เห็นถึงความสมบูรณ์ของรัฐอิสลาม

ดังนั้นเมื่อถึงยุคของท่านอิมามมะฮ์ดี พื้นฐานต่าง ๆ ในการตั้งรัฐอิสลามขึ้นมาบนโลกนี้นั้นได้มีความพร้อม และสมบูรณ์สูงสุด

เพราะบทบัญญัติต่าง ๆ จากพระเจ้านั้นสมบูรณ์และเพียงพอ พร้อมกับตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของรัฐอิสลามพื้นฐานของความยุติธรรมก็ได้ถูกแสดงให้เห็นแล้ว

๔๐

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

ดุอาอ์

บทที่ ๔

ดุอาอ์อีกบทหนึ่งที่ท่านอิมามญะวาด(อฺ)ได้เขียนไปยังชายคนหนึ่งมีใจความว่า

“โอ้พระผู้ซึ่งดำรงอยู่ก่อนทุกสรรพสิ่ง หลังจากนั้นทางสร้างทุกสรรพสิ่ง จากนั้นทรงให้การคงอยู่และให้การสูญสลายแก่ทุกสรรพสิ่ง

โอ้พระผู้ซึ่งไม่มีสิ่งใดในชั้นฟ้าจะสูงส่ง และไม่มีสิ่งใดในผืนแผ่นดินจะอยู่ต่ำ และที่อยู่สูงไปกว่านั้นและไม่มีสิ่งใดอยู่ระหว่างนั้น และเบื้องล่างของสิ่งนั้นอันจะเป็นพระเจ้าอื่นนอกเหนือจาก

พระองค์”

(อัต-เตาฮีด หน้า ๔๘)

๑๐๑

การตอบสนองต่อดุอาอ์ของอิมามมุฮัมมัด อัต-ตะกี(อฺ)

บรรดานักประวัติศาสตร์ต่างพากันกล่าวถึงดุอาอ์ของบรรดานักปราชญ์และผู้มีคุณธรรม

ส่วนมากที่ได้รับการตอบสนอง แต่ส่วนเรานั้นมิได้ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเขามากนักเพราะมันยังเป็นเรื่องที่เล็กน้อยกว่าสิ่งที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ได้ทรงประทานให้แก่บรรดาผู้ที่สวามิภักดิ์

ต่อพระองค์และแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์

เรื่องนี้ที่ถูกพาดพิงมายังบรรดาอิมาม(อฺ)นั้นได้ถูกนำมาเปิดเผยไว้ในตำราต่างๆ ของนักปราชญ์ทั้งสองฝ่าย ในบทก่อนๆ ของหนังสือเล่มนี้ ท่านได้อ่านพบการกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้โดยบรรดานักประวัติศาสตร์ไปแล้ว ในกรณีของบรรดาอิมามแต่ละท่าน

ณ บัดนี้ เราจะหยิบยกเรื่องราวที่เกี่ยวกับท่านอิมามอะบุ้ลญะอฺฟัรมุฮัมมัด อัต-ตะกี(อฺ)มา

นำเสนอเพียงบางส่วน

เหตุการณ์ที่ ๑

ท่านมุฮัมมัด บินซะนาน ได้เล่าว่า :

ข้าพเจ้าได้เข้าพบท่านอิมามอะบุ้ลฮะซันอัลฮาดี(อฺ)โดยท่าน(อฺ)ได้กล่าวว่า

“โอ้มุฮัมมัด ได้เกิดเหตุการณ์อันใดกับลูกหลานของฟะร็อจญ์หรือไม่ ?”

๑๐๒

ข้าพเจ้าตอบว่า

“อุมัรได้เสียชีวิตแล้ว”

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวว่า

“อัลฮัมดุลิ้ลลาฮฺ(มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ)”

ข้าพเจ้านับถ้อยคำเหล่านี้ได้ ๒๔ ครั้ง ข้าพเจ้ากล่าวต่อไปว่า

“โอ้ประมุขของข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่าเรื่องนี้จะยังความชื่นชมยินดีให้แก่ท่าน”

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวต่อไปว่า

“โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย ท่านไม่ทราบดอกหรือว่า บุคคลที่ได้รับการสาปแช่งจากอัลลอฮฺผู้นี้ได้อะไรไว้บ้างกับท่านมุฮัมมัด บินอะลี บิดาของฉัน”

ข้าพเจ้าตอบว่า

“ไม่ทราบขอรับ”

ท่านอิมาม(อฺ)ตอบว่า

“บิดาของฉันได้สอนเขาในเรื่อง ๆหนึ่ง แต่เขากลับกล่าวว่า –ฉันสงสัยว่าท่านมึนเมา-บิดาของฉันกล่าวว่า-ข้าแต่อัลลอฮฺ

หากพระองค์ทรงรู้ว่าข้าพระองค์คือผู้ถือศีลอดอยู่เป็นประจำเพื่อ

พระองค์แล้วไซร้ขอได้โปรดบันดาลให้เขาคนนี้ได้ลิ้มรสของภัยสงครามเถิด ขอให้เขาตกเป็นเชลยผู้ต่ำต้อย

๑๐๓

-ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ กาลเวลาผ่านพ้นไปไม่นานนักเขาได้เข้าทำสงคราม

ทรัพย์สินและสิ่งของต่าง ๆของเขาถูกริบหมด จากนั้นเขาก็ถูกจับตัวเป็นเชลย บัดนี้เขาได้ตายแล้ว

ขออัลลอฮฺทรงงดเมตตาต่อเขาและแน่นอนที่สุด อัลลอฮฺได้ทรงแสดงหลักฐานในเรื่องนี้และในเรื่องอื่นตลอดไปว่า พระองค์ทรงสนับสนุนบรรดาผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์ให้อยู่เหนือบรรดาศัตรูของพระองค์เสมอ”

(อิษบาตุ้ลฮุดาฮ์ เล่ม๖ หน้า ๑๗๗

, อุศูลุ้ลกาฟี เล่ม ๑ หน้า ๔๖๙ )

๑๐๔

เหตุการณ์ที่ ๒

ภรรยาของท่านอิมามตะกี(อฺ)คือ อุมมุ้ลฟัฏลฺ บุตรสาวของคอลีฟะฮฺมะอ์มูนเป็นผู้วางยาพิษท่านอิมาม(อฺ)

 ครั้นเมื่อท่าน(อฺ)ทราบถึงเรื่องนี้

ท่าน(อฺ)ได้พูดกับนางว่า

“ขอให้อัลลอฮฺทรงบันดาลความพินาศให้แก่เจ้าด้วยโรคร้ายชนิดที่ไม่อาจรักษาได้”

จากนั้นไม่นานนัก นางก็ประสบโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งคนทั้งหลายต่างก็เฝ้ามองดูนางและแนะนำยารักษาชนิดต่างๆ ให้แก่นาง

 แต่ตัวยาเหล่านั้นก็ไม่มีผลแต่ประการใด จนกระทั่งนางถึงแก่

ความตายด้วยโรคร้ายนั้น

( อัลมะนากิบ เล่ม ๒ หน้า ๔๓๕)

๑๐๕

อิมามตะกี(อฺ)กับคอลีฟะฮฺมะอ์มูนแห่งราชวงศ์อับบาซียะฮฺ

อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงคัดเลือกให้บรรดาอิมาม(อฺ)ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ปกครองของมวลมนุษย์

และเป็นประมุขในการบังคับใช้บทบัญญัติตามคำสอนของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)และเป็นผู้ทำหน้าที่ดำรงรักษากิจการงานเหล่านั้น แต่ทว่าประชาชนนั่นเองที่ได้ยับยั้งท่านเหล่านั้นมิให้ทำหน้าที่

เผยแพร่สาส์นของพวกเขา พวกเขาได้สลับปรับเปลี่ยนระหว่างพวกเขาเอง เช่นเดียวกับประชาชาติในยุคอดีตที่ได้กระทำกับบรรดานบีของตน

บรรดาอิมาม(อฺ)ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ปกครองจอมปลอม ซึ่งได้กระทำการต่างๆต่อพวกท่านตามที่พวกเขาประสงค์

บางครั้งพวกเขาจับกุมพวกท่านเหล่านั้น และบางครั้งก็อุปโลกน์

แต่งตั้งพวกท่านบางคนให้เป็นรัชทายาท ทั้งที่มิใช่เป็นความปรารถนาส่วนตัวของท่าน(อฺ)

สำหรับท่านอิมามตะกี(อฺ)นั้นก็ได้ประสบกับอีกลักษณะหนึ่งกล่าวคือ คอลีฟะฮฺมะอ์มูนได้

จัดการนำท่าน(อฺ)ไปยังเมืองแบกแดด และตกลงใจที่จะให้ท่าน(อฺ)แต่งงานกับลูกสาวของตนเองนั่นก็คือ อุมมุ้ลฟัฏลฺ

๑๐๖

 หลังจากที่ได้ประจักษ์ถึงความรู้และเกียรติยศของท่าน(อฺ)โดยที่วงศาคณาญาติของพวกเขาต่างก็ไม่เห็นด้วย บางคนได้พยายามทำให้เขาเปลี่ยนความคิด แต่มะอ์มูนก็ยังเดินหน้าจัดการเรื่องดังกล่าว

พวกเขาต่างก็พูดกับคอลีฟะฮฺมะอ์มูนว่า

“เด็กชายคนนี้ยังเล็กเกินไป ไม่มีความรู้และความเข้าใจในศาสนาดังนั้น ขอให้ท่านประวิงเวลาไว้ก่อนเพื่อให้เขาได้มีโอกาสฝึกฝนตนเอง จากนั้นก็ค่อยดำเนินการต่อไป”

คอลีฟะฮฺมะอ์มูนกล่าวกับพวกเขาว่า

“ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้จักเด็กคนนี้ดีกว่าพวกท่าน

แท้จริงเด็กน้อยคนนี้มาจากอะฮฺลุลบัยตฺซึ่งวิชาความรู้ของพวกเขาได้มาจากการดลบันดาลของอัลลอฮฺ วิชาการทางศาสนาและจริยธรรมขั้นสูงของพวกเขานั้นไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากท่านทั้งหลายต้องการทดสอบก็เชิญทดสอบอะบูญะอฺฟัรได้ เพื่อที่เขาจะได้แสดงให้พวกท่านได้ประจักษ์อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนั้นเป็นอย่างไร”

(อัล-เอียะฮฺติญาญ์ เล่ม ๒ หน้าท ๓๔๑ )

พวกตระกูลอับบาซียะฮฺต่างก็ไม่พอใจต่อคำพูดของคอลีฟะฮฺ

มะอ์มูน ทั้งหมดได้จัดประชุมเพื่อจะทดสอบภูมิความรู้ของท่าน

อิมาม(อฺ)ดังที่เราได้นำเสนอแก่ท่านผู้อ่านไปบ้างแล้ว

๑๐๗

นั่นก็คือ บทสนทนาของยะฮฺยา บินอักษัม ซึ่งได้โต้ตอบกับท่าน

อิมามตะกี(อฺ)

คอลีฟะฮฺมะอ์มูนเคยมีเจตนาในการจัดประชุมเชิงวิชาการศาสนาก็เพื่อที่จะเบี่ยงเบนสถานภาพของท่านอิมามริฏอ(อฺ)ให้ลดลง แต่ในขณะที่เจตนาที่เขาจัดให้มีการโต้เถียงปัญหาศาสนากับท่าน

อิมามอะบูญะอฺฟัร(อฺ)นั้นกลับทำไปก็เพื่อให้ประจักษ์ถึงวิชาความรู้และเกียรติยศของท่าน(อฺ)

แน่นอนที่สุด ยะฮฺยาได้ประสบกับความพ่ายแพ้ในการโต้กับท่าน

อิมาม(อฺ)อย่างอัปยศที่สุด

เขาได้แสดงให้คนทั้งหลายเห็นถึงความอ่อนแอความพ่ายแพ้ของเขาทั้ง ๆที่มีการสนับสนุนส่งเสริม

จากพวกตระกูลอับบาซียะฮฺแล้วก็ตาม ฐานะของเขาจึงตกต่ำลงในที่สุด

มะอ์มูนมีความพอใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ครั้งนั้น

เขาถึงกับกล่าวว่า

“อัลฮัมดุลิ้ลลาฮฺในฐานะที่พระองค์ทรงให้ความเมตตาแก่ข้าพเจ้าเพื่อดำเนินงานให้บรรลุสู่ความสำเร็จ”

๑๐๘

เขาหันกลับไปมองท่านอิมามอะบูญะอฺฟัร(อฺ)แล้วกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าตกลงใจที่จะให้อุมมุ้ลฟัฏลฺบุตรสาวของข้าพเจ้าแต่งงานกับท่าน ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะสร้างความไม่พอใจแก่คนกลุ่มนั้นก็ตามที ดังนั้น ท่านจงมาเจรจาสู่ขอเถิด แน่นนอนที่สุดข้าพเจ้า

และบุตรสาวได้ตกลงปลงใจ”

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวตอบว่า

“มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ผู้ทรงบันดาลความมั่นคงโดยความโปรดปรานของพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺอันเป็นความบริสุทธิ์แด่ฐานะแห่งเอกานุภาพ

ของพระองค์ ขออัลลอฮฺทรงประทานพรแด่ท่านศาสดามุฮัมมัด ประมุขแห่งบรรดาผู้มีคุณธรรมของพระองค์และแด่บรรดาผู้ทรงเกียรติแห่งเชื้อสายของเขา แน่นอนที่สุดเกียรติยศส่วนหนึ่งของอัลลอฮฺ

ที่มีต่อมวลมนุษย์ได้แก่การที่พระองค์ทรงบันดาลให้พวกเขาได้รับสิ่งที่เป็นที่ฮะล้าลอย่างเพียงพอ ไม่แตะต้องสิ่งที่เป็นฮะรอม

(สิ่งต้องห้าม)

ดังที่อัลลอฮฺทรงมีโองการว่า

“และจงแต่งงานกับบุรุษหรือสตรีที่เป็นโสด และคนดีในหมู่ปวงบ่าวที่เป็นบุรุษและสตรีของพวกเจ้า ถึงแม้ว่าเหล่านั้นจะยากจน แต่อัลลอฮฺจะทรงบันดาลให้เขามั่งคั่งจากความเกื้อกูลของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺทรงเผื่อแผ่ทรงรอบรู้ ( อัน - นูร : ๓๒)

๑๐๙

แท้จริงมุฮัมมัด บุตรของอะลี บินมูซา ได้สู่ขออุมมุ้ลฟัฏลฺ บุตรสาวของอับดุลลอฮฺ อัลมะอ์มูน และแน่นอนที่สุดเขาได้มอบเงินมะฮัรเท่ากับจำนวนมะฮัรของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ บุตรีของท่าน

ศาสดามุฮัมมัด(ศ) ผู้เป็นย่าทวด นั่นคือ ๕๐๐ ดิรฮัม ท่านจะแต่งงานให้เขาตามจำนวนเงินมะฮัรดังกล่าวหรือไม่?”

คอลีฟะฮฺมะอ์มูนกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าตกลงยอมรับ”

แล้วมะอ์มูนได้สั่งให้คนรับใช้นำสิ่งของหนึ่งมา คล้ายกับสำเภาที่บรรจุเงิน ซึ่งห่อหุ้มด้วยทองคำ และบรรจุไปด้วยสิ่งมีค่าหลายชนิด มีทั้งน้ำบริสุทธิ์ อันได้แก่น้ำดอกไม้หอมที่สร้างความประทับใจให้แก่บรรดาแขกเหรื่ออย่างถ้วนทั่ว ต่อจากนั้นสำรับของหวานก็ถูกจัดวางลง พวกเขาได้รับการแจกจ่ายไปตามสถานภาพของพวกเขา จากนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับไป

( นูรุ้ลอับศอร ของชิบลันญี หน้า ๑๔๗ )

๑๑๐

ครั้นเมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ประชาชนได้เข้ามาร่วมชุมนุมกัน ท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)ก็มาร่วมงานด้วย มีการติดตั้งผ้าม่านทั้งชนิดพิเศษและชนิดทั่วไป เพื่อเป็นการต้อนรับคอลีฟะฮฺมะอ์มูนกับ

ท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)แล้วได้มีการนำสำรับ ๓ ชนิดที่ทำด้วยเงินออกมา ซึ่งในนั้นมีของหอมชนิดพิเศษตรงกึ่งกลางกล่องมีลายสลักเขียนด้วยตัวอักษาหนึ่งอันเป็นทรัพย์ที่มีค่ายิ่งค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนได้

สั่งให้แจกจ่ายสิ่งนั้นแก่ผู้ใกล้ชิด จากนั้นคนทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับไป โดยที่พวกเขาได้รับของมีค่าเป็นของขวัญติดมือไปอีกทั้งค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนยังได้บริจาคอีกส่วนหนึ่งแก่คนยากจนทั่วไปด้วย

(ตารีคอิมามมัยนฺ อัลกาซิมัยนฺ หน้า ๔๓)

ค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนมีความภูมิใจในตัวของท่านอิมามอะบูญะอฺฟัร(อฺ)เป็นอย่างมาก เขาได้ใหการยกย่องวิชาความรู้และคุณลักษณะพิเศษอันดีงามของท่านอิมาม(อฺ)

เชคมุฟีด(ร.ฮ)กล่าวว่า : คอลีฟะฮฺมะอ์มูนนั้นมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งต่อท่านอิมาม(อฺ)

เมื่อเขาได้เห็นความดีเด่นของท่านทั้งๆ ที่ท่านยังมีอายุน้อยอยู่ แต่มีความสูงส่งทางด้านวิชาการ วิทยปัญญาและจริยธรรมอีกทั้งมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งทางสติปัญญาอย่างชนิดที่ไม่รู้ผู้รู้คนใดในสมัย

นั้นเสมอเหมือนแม้แต่คนเดียว

( อัลอิรชาด หน้า ๓๔๒ )

๑๑๑

เชคฏ็อบร่อซี(ร.ฮ)กล่าวว่า : ท่านอิมามญะวาด(อฺ)เป็นผู้มีความสมบูรณ์พร้อมทางสติปัญญา เกียรติยศอันดีงาม วิชาความรู้

วิทยปัญญาและจริยธรรม อีกทั้งสถานภาพอันสูงส่งอย่างชนิดที่ไม่มี

ผู้ใดเสมอเหมือนในคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ว่าจากตระกูลซัยยิด หรือตระกูลอื่นๆ

 ด้วยเหตุนี้คอลีฟะฮฺมะอ์มูนมีความภาคภูมิใจกับท่านเป็นยิ่งนักเมื่อได้พบเห็นสถานภาพอันสูงส่งของท่าน และความยิ่งใหญ่ในเกียรติคุณอย่างครบถ้วนทุกๆ ด้าน

(อะอ์ลามุ้ลวะรอ หน้า ๒๐๒)

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)ได้พำนักอยู่ในกรุงแบกแดด ในฐานะผู้มีเกียรติยิ่ง แต่ทว่าสถานภาพที่เป็นอยู่ในเวลานั้น มิได้เป็นความปรารถนาของท่านเลย ท่านรู้สึกเหมือนกับอยู่อย่างโดดเดี่ยว

เนื่องจากห่างไกลเมืองมะดีนะฮฺ อันเป็นเมืองของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ผู้เป็นบรรพบุรุษ

ท่านเคยกล่าวกับท่านฮุเซน อัล-มะการี ว่า

“โอ้ฮุเซนเอ๋ย ขนมปังข้าวสาลี และเกลือเค็มในดินแดนฮะร็อมของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)นั้น เป็นที่ชื่นชอบสำหรับข้าพเจ้ามากกว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ามองเห็นอยู่ที่นี่”

(บิฮารุ้ลอันวาร เล่ม ๑๒ หน้า ๑๑๐)

๑๑๒

อาจจะเป็นเพราะว่าผู้ปกครองทำตัวเหินห่างจากคำสอนของอิสลามมากมายนั่นเอง ที่ท่านอิมามญะวาด(อ)มีความรู้สึกโดดเดี่ยวกับประชาชนชาวเมืองแบกแดด กล่าวคือคอลีฟะฮฺมะอ์มูนนั้น

ทั้ง ๆที่มีตำแหน่งเป็นอะมีรุลมุอ์มินีน แต่เขาก็ยังดื่มสุรา แน่นอนที่สุดเขาให้เกียรติต่อท่านอิมามญะวาด(อฺ)เมื่อท่านอิมามเห็นเขาเป็นเช่นนั้น โดยท่านอิมาม(อฺ)ได้เคยกล่าวกับเขาว่า

“ข้าพเจ้ามีคำเตือนสำหรับท่านอยู่ข้อหนึ่ง ขอได้โปรดรับฟัง”

คอลีฟะฮฺมะอ์มูนกล่าวว่า

“โปรดบอกมาเถิด”

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าขอร้องท่านว่า โปรดเลิกดื่มสุราเถิด”

คอลีฟะฮฺมะอ์มูนกล่าวว่า

“แน่นอนที่สุด ข้าพเจ้าขอยอมรับคำตักเตือนของท่าน”

( นูรุ้ลอับศอร ของอัลฮาอิรีย หน้า ๒๕๘)

๑๑๓

นับเป็นโอกาสแรกที่ทำให้ท่านอิมามญะวาด(อ)ได้พบกับ

กองคาราวานที่นำท่านคืนกลับสู่นครมะดีนะฮฺอันเป็นเมืองของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ผู้เป็นบรรพบุรุษของท่าน

ในเรื่องนี้ ถ้าหากผู้อ่านศึกษาอย่างถ่องแท้จะมองเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของท่านอิมามญะวาด(อฺ) ในขณะที่ท่านเป็นถึงลูกเขยของคอลีฟะฮฺและเป็นลูกชายของรัชทายาท

โลกนี้ทั้งโลกถ้าหากท่านต้องการจะได้มันก็จะต้องตกอยู่ในอุ้งมือของท่าน แต่ตลอดชั่วชีวิตในวัยหนุ่มของท่านไม่เคยแสดง

ความต้องการเช่นนั้นแม้แต่น้อย ท่านหันหลังให้จากความสุขทางโลก และสลัดทิ้งการที่จะเป็นผู้แสวงหาผลประโยชน์

“แน่นอนที่สุดในประวัติของบุคคลเหล่านั้นเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้มีปัญญาอันล้ำลึก มันมิได้เป็นเรื่องเท็จที่พูดกันมา แต่เป็นความจริงที่ยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับเขา เป็นการให้รายละเอียดกับทุกสิ่งและเป็นทางนำ และเป็นความเมตตาสำหรับหมู่ชนผู้ศรัทธา”

 (ยูซุฟ: ๑๑๑)

๑๑๔

คำสดุดีของนักปราชญ์ต่ออิมามที่ ๙

บรรดานักปราชญ์และเจ้าของตำราต่าง ๆ ต่างให้ความสำคัญกับบรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยต์(อฺ) ดังนั้นพวกเขาจึงได้เรียบเรียงหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องราวของบรรดาอิมามเป็นจำนวนมาก

และได้เขียนถึงท่านเหล่านั้นในรายละเอียดอย่างยืดยาวเขาเหล่านั้นได้ให้การคารวะต่อบรรดาอิมาม

โดยตัวอักษรที่เรียงร้อยลงไป ปัจจุบันนี้ประวัติศาสตร์ของอิสลามได้บอกเล่าถึงเรื่องราวของบรรดาอิมามและคำสอนอีกทั้งวิถีทางการดำเนินชีวิตของพวกท่าน ห้องสมุดของสถาบันต่างๆ ในแวดวงของศาสนาอิสลามเต็มไปด้วยข้อเขียนต่าง ๆ ที่บรรจุเรื่องราวของท่านเหล่านั้น(อฺ)

นอกจากนี้แล้วยังมีตำราต่างๆ อีกเป็นจำนวนหลายพันเล่มที่แปลเรื่องราวที่เกี่ยวกับพวกท่านหรือที่ได้นำเอาเรื่องราวที่เกี่ยวกับพวกท่านหรือที่ได้นำเอาเรื่องของท่านมากล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มิได้เป็นเรื่องที่มากมายอะไรสำหรับท่านทั้งหลาย(อฺ)เป็นทายาทของ

ศาสนา เป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ได้ทิ้งไว้ในท่ามกลางมวลหมู่ประชาชาติอิสลาม

๑๑๕

ในบทนี้เราจะกล่าวถึงคำสดุดีบางประการที่เหล่าบรรดานักปราชญ์และบุคคลสำคัญได้กล่าวถึงท่านอิมามอบูญะอฺฟัร อัล-ญะวาด(อ)ดังต่อไปนี้

คำสดุดีจาก

ท่านอะลี บินญะอฺฟัร

ท่านมุฮัมมัด บินญะซัน บินอัมมารฺ ได้กล่าวว่า :

ข้าพเจ้าเคยได้นั่งร่วมกับท่านอะลี บินญะอฺฟัร บินมุฮัมมัด ครั้งหนึ่งที่เมืองมะดีนะฮฺ ซึ่งข้าพเจ้าได้พำนักอยู่ร่วมกับเขานานถึงสองปี ข้าพเจ้าได้บันทึกเรื่องราวที่เขาได้รับฟังมาจากหลานของเขา

(อะบุลฮะซัน(อ)) ในขณะนั้น ท่านอะบูญะอฺฟัร มุฮัมมัด บินอะลี(อฺ) ได้เขามาหาเขาในมัสญิด นั้นคือมัสญิดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ครั้นแล้วท่านอะลี บินญะอฺฟัร ได้ปราดเข้าไปหาท่าน(อฺ)ทั้ง ๆ ที่มิได้ใส่รองเท้าและมิได้สวมเสื้อคลุม

เขาได้จูบมือของท่าน(อฺ)และแสดงความให้เกียรติอย่างสูง ท่านอะบูญะอฺฟัรได้กล่าวกับเขาว่า

“โอ้ท่านปู่ โปรดนั่นลงเถิด ขอให้อัลลอฮฺทรงเมตตาต่อท่าน”

๑๑๖

ท่านอะลี บินญะอฺฟัรกล่าวว่า

“โอ้ท่านประมุขเอ๋ย ข้าพเจ้าจะนั่งได้อย่างไร ในขณะที่ท่านยังยืนอยู่”

ครั้นเมื่อท่านอะลี บินญะอฺฟัร ได้กลับไปยังที่นั่งของท่านแล้วบรรดามิตรสหายของท่านอะลี บินญะอฺฟัร ได้พากันตำหนิและต่อว่าด้วยถ้อยคำต่าง ๆ ว่า

“ท่านเป็นถึงลุงแห่งบิดาของเขาทำไมท่านถึงกับต้องแสดงอาการกับเขาขนาดนี้”

ท่านอะลี บินญะอฺฟัร กล่าวว่า

“ท่านทั้งหลายจงเงียบเสียเถิด ในเมื่ออัลลอฮฺมิได้มอบหมายเกียรติยศให้แก่เคราเหล่านี้ (ว่าพรางท่านเอามือไปจับที่เคราของท่าน)แต่พระองค์ทรงประทานเกียรติให้แก่เด็กคนนี้และมอบ

เกียรติให้อยู่ในที่ของมัน จะให้ข้าพเจ้าปฏิเสธเกียรติของพระองค์ได้อย่างไร ? เราขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากสิ่งที่พวกท่านกล่าวถึง ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพเจ้ายังถือว่าตัวเองเป็นคนรับใช้ของเขาอีกด้วย”

( มะดีนะตุ้ลมะอาญิซ หน้า ๔๕๐)

๑๑๗

คำสดุดีจาก

คอลีฟะฮฺมะอ์มูน

ค่อลีฟะฮฺมะอ์มูน ได้กล่าวกับลูกหลานบะนีอับบาซ เมื่อเขาเหล่านั้น ขอร้องให้เขาเลิกล้มการจัดพิธีแต่งงานของอิมามญะวาด(อฺ) ว่า

“แน่นอน ข้าพเจ้าได้คัดเลือกเขาก็เพราะความดีเด่นเป็นพิเศษเหนือนักปราชญ์ทั้งปวงในด้านความรู้และเกียรติยศ ทั้งที่เขายังอายุน้อยและข้าพเจ้าหวังว่าเขาคงจะแสดงให้ประชาชนได้เห็น

ในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รู้จากตัวของเขา แล้วคนเหล่านั้นก็จะได้เห็นคล้อยตามที่ข้าพเจ้าเห็น”

( อะอฺยานุชชีอะฮฺ ก็อฟ ๓/๒๓๑)

เขายังได้กล่าวหลังจากที่ได้ถามท่านอิมามญะวาด(อฺ)แล้วอีกด้วยว่า

“ท่านเป็นบุตรของอัล-ริฏออย่างแท้จริง ท่านเป็นคนในตระกูลของศาสดาอัล-มุศฏ่อฟาอย่างแท้จริง”

()อัลฟุศูลุ้ลมุฮิมมะฮฺ หน้า ๒๕๓

๑๑๘

คำสดุดีจาก

อะบุ้ลอีนาอ์

 

อะบุลอีนาอ์ ได้กล่าวกับอิมามญะวาด(อฺ) ในตอนกล่าวคำเสียใจต่อการจากไปของบิดาของท่าน(อฺ)ว่า

“ท่านมีความประเสริฐยิ่งกว่าที่เรากล่าวถึง พวกเราได้ถ่ายทอดคำตักเตือนของท่าน ในเรื่องของความรู้แห่งอัลลอฮฺนั้นท่านมีมากมายแล้วและในเรื่องรางวัลจากอัลลอฮฺนั้นท่านก็ยังอย่างท่วมทัน”

(อัลมะนากิบ เล่ม ๒ หน้า ๔๑๓ )

คำสดุดีจาก

บาทหลวงคริสต์

บาทหลวงคริสเตียนได้กล่าวหลังจากได้ยินกิตติศัพท์แห่งเกียรติยศอันสูงส่งของอิมามญะ

วาด(อฺ)ว่า

“คนผู้นี้น่าจะเป็นศาสดาหรือไม่ก็จะต้องเป็นลูกหลานของท่านศาสดา”

( อัลมะนากิบ เล่ม ๒ หน้า ๔๓๔ )

๑๑๙

คำสดุดีจาก

ท่านยูซุฟ บินฟะซาฆ่อลี

ท่านยูซุฟ บินฟะซาฆ่อลี (ซิบฏฺ อิบนิลเญาซี) ได้กล่าวว่า :

มุฮัมมัดญะวาด คือท่านมุฮัมมัด บินอะลี บินมูซา บินญะอฺฟัร บินมุฮัมมัด บินละอี บินฮะซัน บินอะลี บินอะบีฏอลิบ สมญานามของ

ท่านคือ อะบู อับดุลลอฮฺมีการเรียกขานกันอีกว่า อะบูญะอฺฟัร ท่านเกิดเมื่อปี ๑๙๕ เสียชีวิตเมื่อปี๒๒๐ มีอายุได้ ๒๕ ปี เป็นผู้มีแบบแผนทางด้านวิชาความรู้ การสำรวมตนและความมักน้อยจาก

บิดา

( ตัซกิร่อตุล-ค่อวาศ หน้า ๒๐๒ )

คำสดุดีจาก

ท่านศ่อลาฮุดดี อัศ-ศ็อฟดี(ร.ฮฺ)

ท่านซอลาฮุดดีน อัศ-ศ็อฟดี(ร.ฮฺ) ได้กล่าวว่า “มุฮัมมัด บินอะลี นั้นคือท่านญะวาด บุตรของอัร-ริฏอ บุตรของอัล-กาซิม บุตรของ

อัศ-ศอดิก(ขอให้อัลลอฮฺประทานความปิติชื่นชมแก่เขา

ทั้งหลาย) ท่านมีฉายานามว่าอัล-ญะวาด, อัลกอเนียะอฺ และ

อัล-มุรตะฏอ ท่านเป็นคนเก่งที่สุดคนหนึ่งแห่งตระกูลของท่านนบี

๑๒๐

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130