ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด28%

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด ผู้เขียน:
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 130

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 130 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 78956 / ดาวน์โหลด: 4977
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

 การที่ท่านหญิงคอดีญะฮ์ให้ความช่วยเหลือท่านศาสดาในการเผยแผ่คุณธรรม ในทำนองเดียวกัน ท่านหญิงซัยนับก็ช่วยเหลืออิมามฮูเซน ในการพิทักษ์รักษาอิสลาม หลังจากที่มันได้เสื่อมลงไปตามแนวทางของยะซีด

และนี่คือเหตุผลที่ท่านศาสดาได้กล่าวว่า “ฮูเซนนุมมินนี วะอะนะ มินฮูเซน” (ฮูเซนมาจากฉันและฉันมาจากฮูเซน) ถ้าท่านหญิงซัยนับมีชีวิตอยู่ในช่วงที่ท่านหญิงคอดีญะฮ์ยังอยู่ ก็อาจจะเป็นไปได้ที่

ท่านหญิงคอดีญะฮ์จะกล่าวว่า “ซัยนะบุมินนี วะอะนามินซัยนับ”

(ซัยนับมาจากฉันและฉันมาจากซัยนับ)

เมื่อท่านหญิงฮาญัร ภรรยาของศาสดาอิบรอฮีม มองเห็นมีดที่อยู่บนต้นคอของอิสมาอีล ลูกชายของท่าน ท่านถึงกับทรุดลงและหมดสติ

ความกล้าหาญของท่านหญิงซัยนับ มากมายเพียงใดที่ทุ่งกัรบะลา? ท่านไม่เพียงแต่เห็นภาพพี่ชายของท่าน แต่ยังเห็นลูกชายทั้งสองของท่าน ถูกเชือดคออย่างเลือดเย็นอีกด้วย.

๔๑

บทที่ ๔

การเดินทางออกจากมะดีนะฮ์

ในข้อตกลงสงบศึกระหว่างอิมามฮาซันกับมุอาวิยะฮ์ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า สิทธิในการเป็นคอลีฟะฮ์จะต้องเป็นของอิมามฮูเซน เท่านั้น

อิมามไม่เคยยอมลดเกียรติลงไปยอมรับทรราชจากดามัสกัส ซึ่งแนวคิดและการปฏิบัติตนของเขา ต่อต้านหลักการอันสูงส่งและการดำเนินชีวิตอันสง่างามของครอบครัวของท่านศาสดา

ทันทีที่ยะซีดขึ้นเถลิงอำนาจ ก็เริ่มวางแนวทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับบุคลิกภาพที่ชั่วช้าของตน ด้วยการแทรกแซงรากฐานความเคร่งครัดของศาสนา ประกอบกรรมทำความชั่วอย่างเปิดเผยโจ๋งครึ่ม

โดยไม่เกรงกลัวต่อการลงโทษ และประกาศตนเองเป็นผู้สืบทอดของท่านศาสดา เรียกร้องให้อิมามฮูเซนยอมสวามิภักดิ์โดยไม่มีข้อต่อรองใดๆ

๔๒

แสงสว่าง (ศาสนา) ที่ท่านศาสดานำมาให้กับประชาชาติ กำลังตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกทำให้สูญสิ้นไป หน้าที่ที่จะต้องพิทักษ์ให้ดำรงอยู่ในวิถีทางที่บริสุทธิ์เหมือนเดิม ตกอยู่ที่อิมามฮูเซน ครอบครัวของท่าน และบรรดาสาวกที่ซื่อสัตย์ของท่าน ท่านจึงตัดสินใจออกเดินทางจากมะดีนะฮ์ไปยังนครมักกะฮ์

เมื่อท่านหญิงซัยนับ ทราบข่าวท่านจึงร่ำไห้ อับดุลลอฮ์สามีของท่านสังเกตเห็น จึงอยากทราบถึงสาเหตุว่า เกิดอะไรขึ้น พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าได้ให้เธอต้องร่ำไห้เลย เธอมีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือ?” ท่านหญิงได้ตอบว่า “ท่านทราบดีใช่ไหมว่า ฉันรักฮูเซนมากเพียงใด ตอนนี้ท่านได้ตัดสินใจที่จะออกเดินทาง และเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากฮูเซน ฉันขอทวงสัญญาที่ท่านได้ให้ไว้เพื่อที่จะติดตามฮูเซนไป” แม้ว่าท่านทั้งสองจะไม่เคยแยกจากกัน แต่ท่านหญิงก็ทราบดีถึงภาระหน้าที่ต่ออิสลาม อับดุลลอฮ์รู้สึกเศร้าใจและได้กล่าวว่า ท่านจะไม่นำมาปะปนกันระหว่างหน้าที่ของท่านหญิงที่มีต่ออิมามฮูเซนกับความสุขส่วนตัวของท่าน แม้ว่าหัวใจของท่านจะโศกเศร้าจากการนี้ แต่ท่านก็จะไม่ขัดขวางท่านหญิงด้วยการยินยอมของอับดุลลอฮ์

๔๓

ท่านหญิงจึงตัดสินใจร่วมเดินทางไปกับอิมามจากมะดีนะฮ์สู่หนทางที่ถูกกำหนดไว้ ท่านหญิงพาอูนและมุฮัมมัด บุตรชายทั้งสองของท่านไปด้วย

ตามปกติผู้หญิงจะต้องอยู่แต่ในบ้านเรือนของนาง แต่นี่เป็นข้อแตกต่าง เพราะท่านต้องกลายเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบในขบวนเชลย และเป็นผู้คุ้มกัน

แม้ท่านจะเป็นผู้นอบน้อมถ่อมตน แต่ท่านเป็นบุตรสาวของราชสีห์แห่งพระเจ้า แม้จะตกอยู่ในภยันตรายก็ยังสามารถลุกขึ้นยืนหยัดด้วยความอดทน ในการเผชิญหน้ากับความหิวกระหายซึ่งล้อมรอบไปด้วยบรรดาผู้สละชีพและผู้บาดเจ็บ ในสมรภูมิเลือดที่กัรบะลา

วันที่ ๒๘ รอญับ ฮ.ศ. ๖๐ (๗ พฤษภาคม ค.ศ.๖๘๐)

 เมื่อกองคาราวานของท่านอิมามออกเดินทางจากมะดีนะฮ์สู่นครมักกะฮ์ ลูกหลานตระกูลฮาชิม อะลี อักบัร อับบาส กอซิม อูนและมุฮัมมัด ทำหน้าที่ช่วยส่งบรรดาสตรีขึ้นบนหลังอูฐ แต่ท่านหญิงซัยนับนั้นไม่มีใครส่งท่านให้ขึ้นบนหลักอูฐ นอกจากอิมามฮูเซน เท่านั้น

๔๔

เมื่อตะวันเริ่มทอแสง ขบวนก็เริ่มออกเดินทางรอนแรมไปยังนครมักกะฮ์ ความมืดได้เข้ามาปกคลุมมะดีนะฮ์ พร้อมๆ กับการเคลื่อนตัวเข้ามาของความหม่นหมอง ความโศกเศร้า ซึ่งการจากไปของอิมามและครอบครัวของท่านในครั้งนี้ ทำให้ประชาชนเกิดความอาลัยรัก ซึ่งจะประทับอยู่ในความทรงจำตลอดไป

ขบวนของท่านอิมามหยุดพักที่มักกะฮ์ประมาณ ๔ เดือน ในช่วงนี้เอง อับดุลลอฮ์ได้ตัดสินใจร่วมเดินทางไปด้วย แรงกดดันจากพวกอุมัยยะฮ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น พวกเขาบังคับให้อิมามฮูเซนยอมรับบัยอะฮ์ (สัตยาบัน) กับยะซีด แต่เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็เริ่มวางแผนการว่า จะใช้วิธีใดที่จะกำจัดอิมามได้ดีที่สุด?

ในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะสังหารท่าน ในบริเวณกะอ์บะฮ์

อิมามคอยติดตามข่าวอยู่ตลอดเวลา ในที่สุด ท่านก็ตัดสินใจออกเดินทางไปยังอิรัก แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลฮาชิมจะขอให้ท่านเปลี่ยนความตั้งใจ อย่างไรก็ดี ท่านได้แย้มให้ทราบถึงเรื่องราวที่ท่านเคยรับฟังมาจากท่านศาสดา

๔๕

 เมื่ออับดุลลอฮ์บุตรของอับบาส แน่ใจว่าอิมามจะไม่ยอมคล้อยตามคำแนะนำของท่าน จึงกล่าวว่า

“ด้วยเหตุอันใด ท่านจึงประสงค์ที่จะนำบรรดาสตรีและเด็กๆ ไปกับท่านในการพลีครั้งนี้ด้วยเล่า!?”

เมื่อท่านหญิงซัยนับได้ยินเช่นนั้น จึงรู้สึกไม่พอใจ พร้อมกับกล่าวว่า

“ท่านอับดุลลอฮ์ ท่านต้องการที่จะให้อิมามของพวกเราเดินทาง

ไปโดยลำพัง และทิ้งพวกเราไว้ข้างหลังกระนั้นหรือ?

 ฉันขอสาบานด้วยนามของพระเจ้าว่า มันเป็นไปไม่ได้! เราจะไม่ยอมปล่อยให้ท่านไปโดยลำพัง เราจะมีชีวิตอยู่พร้อมกับท่าน และจะตายพร้อมกับท่าน

เพราะท่านเป็นพี่ชายคนเดียวที่เหลืออยู่สำหรับเรา”

๔๖

ขณะนั้นท่านหญิงซัยนับ รู้สึกกังวลใจกับการรอคอยคำสั่งจากพี่ชายของท่าน ในการเตรียมพร้อมที่จะไปยังกูฟะฮ์ อิมามฮูเซนทราบข่าวว่า มีแผนการที่จะลอบสังหารท่านในขณะกำลังประกอบพิธีฮัจญ์ เพื่อเป็นการป้องกันการหลั่งเลือดลงบนสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ท่านจึงตัดสินใจเดินทางออกจากมักกะฮ์ไปยังกูฟะฮ์เพียงหนึ่งวันก่อนพิธีการทำฮัจญ์ เมื่อถูกถามถึงเหตุผลในการออกจากมักกะฮ์ก่อนวันประกอบพิธีซึ่งจะมีในวันรุ่งขึ้น ท่านกล่าวตอบว่า

 “ท่านจะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่ทุ่งกัรบะลาอ์”

จึงมีคำสั่งให้ออกเดินทาง ขบวนจึงมุ่งหน้าไปยังกูฟะฮ์

การเดินทางได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน

และเมื่อขบวนเดินทางมาถึงคูวัยริยะฮ์ อิมามจึงตัดสินใจหยุดพักค้างคืนพร้อมกับบรรดาเด็กๆ

วันรุ่งขึ้นท่านหญิงบอกกับพี่ชายของท่านว่า ท่านได้ยินเสียงหนึ่งบอกกับท่านว่า “อิมามฮูเซนจะถูกสังหาร”

 อิมามตอบว่า “สิ่งนี้ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว”

๔๗

เมื่อขบวนมาถึงตาฮิม อับดุลลอฮ์ บุตรของญะอ์ฟัร (ซึ่งเดินทางจากมะดีนะฮ์มาสมทบกับอิมามที่มักกะฮ์) เดินทางมาถึงแล้ว ได้แสดงความคาราวะและปรึกษาหารือเรื่องสำคัญบางอย่าง พร้อมกับย้ำเตือนบุตรชายทั้งสองของท่าน คืออูนและมุฮัมมัด ให้พลีชีพเพื่ออิมามผู้เป็นลุงของเขาทั้งสอง หลังจากนั้น

เขาได้เดินทางกลับไปยังมักกะฮ์ ขบวนของอิมามจึงมุ่งหน้าไปยังอิรัก.

๔๘

บทที่ ๕

กัรบะลา

หลังจากรอนแรมมากลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง กองคาราวานก็ได้มาถึงจุดหมายปลายทาง นั่นคือ ‘กัรบะลา’ ดินแดนซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ ณ ที่นี่เอง การเดินทางของอิมามฮูเซน และมิตรสหายของท่านในโลกนี้จบสิ้นลง แต่นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นสำหรับการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงอย่างนิรันดร์

วันนั้นตรงกับวันที่ ๒ เดือนมุฮัรรอม ฮ.ศ. ๖๑ (๑ ตุลาคม ค.ศ.๖๘๐)

ท่านหญิงซัยนับมีความเศร้าสลดใจอย่างที่สุด อิมามออกคำสั่งให้ตั้งกระโจมค่ายพัก ท่านได้อ่านบางโองการจากคัมภีร์อัล กุรอาน ซึ่ง

เป็นเหตุให้ท่านหญิงทราบในทันทีว่า นี่เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า การพลีชีพกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว

๔๙

ท่านหญิงจึงร่ำไห้อย่างมากและกล่าวกับพี่ชายของท่านว่า

 “โอ้ ผู้เป็นแสงสว่างแห่งดวงตาของฉัน! น้องไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่จนได้พบกับวันนี้เลย ท่านคือผู้ช่วยเหลือ และเป็นเพียงผู้เดียวที่เหลือยู่ในจำนวนผู้บริสุทธิ์ทั้งห้า

(ปันญ์จตาน) โอ้ พี่ชายที่รัก! ท่านกำลังจะบอกให้เราทราบถึงข่าวการพลีชีพของท่านใช่ไหม?”

ด้วยคำถามนี้ อิมามตอบว่า “โอ้ น้องสาวที่รักของพี่! จงอดทนต่อความเจ็บปวด นี่เป็นการทดสอบจากพระผู้เป็นเจ้า จงจำไว้เสมอว่า ทุกชีวิตต้องลิ้มรสแห่งความตาย และต้องคืนกลับไปยังพระผู้สร้าง เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับการงานของพวกเขา โอ้ น้องรัก! ท่านศาสนทูตของพระเจ้าและบิดาของเราอยู่ที่ไหนกันเล่า? มันช่างดูไกลแสนไกลสำหรับพี่ การดำเนินรอยตามแบบฉบับของท่านนั้นเป็นหน้าที่

ของมุสลิมที่มีความเกรงกลัวในพระเจ้าทุกคน” เมื่อท่านหญิงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของท่านก็เอ่อนองไปด้วยน้ำตาแห่งความเศร้าสลด

๕๐

ท่านอิมาม ได้บอกถึงข่าวการพลีชีพที่ยิ่งใหญ่ และย้ำว่า หลังจากที่ท่านจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านหญิงจะต้องพยายามควบคุมตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในค่ำวันที่ ๙ เดือนมุฮัรรอม (๘ ตุลาคม ค.ศ.๖๘๐) ศัตรูเริ่มบุกเข้าโจมตียังค่ายพักของอิมามฮูเซน

ในขณะนั้นท่านกำลังอยู่ในที่พักของท่าน ท่านหญิงได้มาบอกว่า การโจมตีได้เริ่มขึ้นแล้ว ขณะนั้นอิมามกำลังอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ท่านเล่าให้ท่านหญิงฟังว่า ท่านได้เห็นท่านตา คือ ท่านศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า บิดาของท่านอิมามอะลี ผู้นำแห่งผ้ศรัทธา มารดาท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ และอิมามฮาซัน พี่ชายของท่าน ซึ่งท่านเหล่านั้นได้เชิญชวนให้อิมามไปอยู่กับพวกท่าน เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านหญิงซัยนับรู้สึกเศร้าสลดและสั่นสะท้าน อิมามจึงขอร้องให้ท่านหญิงพยายามควบคุมตนเอง ให้มีความอดทน

มิเช่นนั้นจะทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างเสียกำลังใจ และทำให้ศัตรูเกิดความยินดีปรีดา

๕๑

ด้วยการยินยอมของอิมามฮูเซน ท่านอับบาสผู้เป็นน้องชายได้ขอร้องพวกศัตรูให้เริ่มโจมตีในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น เพื่อว่าอิมามจะได้มีเวลานมาซและขอพรในค่ำคืนสุดท้ายนี้อย่างเต็มที่

ในวัน ‘อาชูรอ’ ภารกิจที่ท่านหญิงได้รับและต้องปฏิบัตินั้น ไม่มีมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนใดจะสามารถปฏิบัติได้เลย

ภาระทั้งหมดตกอยู่ในความรับผิดชอบของท่าน ที่จะต้องดูแลครอบครัวของบรรดาผู้สละชีพในวันนั้น ทีละคนๆ

อิมามฮูเซนมีความเชื่อมั่นในตัวน้องสาวของท่าน ว่าจะสามารถดูแลรับผิดชอบทุกๆ คน

หลังจากท่านจากไปแล้ว และจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถในสถานการณ์เช่นนั้น โดยจะไม่ยอมให้ความเศร้าโศกเสียใจมาทำให้หน้าที่ของท่านต้องบกพร่องเลยแม้แต่น้อย

๕๒

อิมามฮูเซน เป็นท่านสุดท้ายที่พลีชีพในวันนั้น ท่านได้ตรงไปยังร่างของบรรดาผู้ช่วยเหลือของท่านที่สละชีวิตไปแล้วทีละคน ทุกๆ ร่างจะถูกนำกลับมายังค่ายพัก ซึ่งจะมีท่านหญิงคอยปลอบโยนสมาชิกในครอบครัวของบรรดาผู้สละชีวิตเหล่านั้น

ท่านหญิงพยายมปลอบขวัญให้พวกเขาเกิดความกล้าหาญ และย้ำว่าการเสียสละชีวิตเป็นความจำเป็นในการพิทักษ์รักษาอิสลามตามแนวทางของท่านศาสดามุฮัมมัดไว้

ท่านหญิงยอมพลีชีวิตบุตรชายทั้งสองของท่าน คืออูนและมุฮัมมัด เพื่อช่วยเหลือพี่ชาย ด้วย

หัวใจที่เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ โดยท่านพยายามกระตุ้นให้อิมามอนุญาตให้บุตรทั้งสองของท่านทำตามความปรารถนา

ท่านรู้สึกสะเทือนใจราวกับหัวใจได้แตกสลายลงไป บรรดาผู้สละชีพแต่ละท่าน ไม่ว่าจะเป็นลูกชายทั้งสองของท่านหรือ

ลูกชายของอิมามฮูเซน อิมามฮาซันหรือแม้แต่ท่านอับบาส ก็ได้สละชีพไปจนหมด

๕๓

 เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ทำให้ท่านเจ็บปวดทุกข์ทรมานใจจนไม่อาจบรรยายได้

การทดสอบที่ยิ่งใหญ่ของท่านได้เริ่มต้นขึ้น เมื่ออิมามฮูเซน ได้พลีชีพครั้งยิ่งใหญ่ที่โลกทั้งโลกได้ประจักษ์.

บทที่ ๖

การพลีของท่านอูนและมุฮัมมัด

ท่านหญิงซัยนับ มีบุตรชายสองคนที่ได้พลีชีพ คืออูนและมุฮัมมัด ทั้งสองคนเกิดจากอับดุลลอฮ์

บุตรของญะอ์ฟัร ฏอยยัร

ท่านหญิงเป็นสตรีที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว บุตรชายทั้งสองของท่านก็เช่นเดียวกัน ท่านญะอ์ฟัร ฏอยยัร เป็นพี่ชายของอิมามอะลี เป็นผู้ถือธงรบแห่งอิสลามในหลายๆ สมรภูมิร่วมกับท่านศาสดา

มุฮัมมัด ท่านเป็นผู้ถือธงรบในสงครามมูตะฮ์ ในการรบครั้งนั้นแขนทั้งสองของท่านถูกตัดขาด ร่างกายถูกฟันจนมีบาดแผลไปทั้งตัวและเสียชีวิตในที่สุด

๕๔

อิมามอะลี ก็เป็นผู้ถือธงรบของท่านศาสดาในสงครามหลายต่อหลายครั้งเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ อูนและมุฮัมมัด จึงขอร้องให้มารดาของท่านช่วยข้อร้องให้อิมามฮูเซนยินยอมให้เขาทั้งสองได้เป็นผู้ถือธงของอิสลามในสมรภูมิกัรบะลา แต่ ท่านหญิงทราบดีว่า ผู้ที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ถือธงรบในครั้งนี้คือท่านอับบาส

ท่านหญิงเห็นว่าไม่เป็นการสมควรที่จะขอในสิ่งนั้น แม้จะทำให้บุตรทั้งสองของท่านพอใจก็ตาม

ท่านจึงอธิบายเหตุผลให้ทั้งอูนและมุฮัมมัดฟัง ซึ่งทั้งสองก็เข้าใจและเชื่อฟัง โดยไม่ปรารถนาจะขอเป็นผู้ถือธงรบอีก

เช้าของวันที่ ๑๐ มุฮัรรอม (๙ ตุลาคม ค.ศ.๖๘๐)

หลังจากที่ญาติสนิทมิตรสหายของอิมามมุ่งหน้าออกไปยังสนามรบเพื่อปกป้องอิสลาม คนแล้วคนเล่า! ทุกคนก็ได้เป็นผู้พลีชีพเพื่ออิสลาม อูนและมุฮัมมัด จึงตัดสินใจออกไปยัง สนามรบ ทั้งสองขอร้องอิมามเพื่อออกไปสู้รบ และตรงไปยังมารดาเพื่อขออนุญาต

๕๕

ท่านหญิงทราบดีว่า นั่นเป็นหน้าที่ของผู้ศรัทธาทุกคนที่จะต้องช่วยปกป้องท่านอิมาม ในยามที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้ ท่านจึงอนุญาต บุตรทั้งสองด้วยความดีใจที่จะได้ออกไปต่อสู้และเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องอิสลาม

อิมามฮูเซน ได้โอบกอดหลานทั้งสอง หลังจากนั้นกล่าวคำอำลาด้วยความสะเทือนใจแล้ว อูนและมุฮัมมัดได้ควบม้าทะยานสู่สนามรบด้วยความปลื้มปีติ ถาโถมเข้าสู่สมรภูมิ กวัดแกว่งดาบฆ่าฟัน

ศัตรูลงได้อย่างมากมาย

ด้วยร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลและความอ่อนเพลียจากการกระหายน้ำ ทั้งสองถูกห้อมล้อมด้วยศัตรูที่เข้ามาโรมรัน ในที่สุด ก็ตกลงจากหลังม้า ทันใดนั้น! ศัตรูก็โถมเข้ามาอีกระลอก ทั้งสองร้องเรียกท่าน

ลุงผู้เป็นที่รักเพื่อขอความช่วยเหลือ อิมามฮูเซนขับไล่ศัตรูแตกกระเจิงออกไป แต่โอ้พระผู้เป็นเจ้า! มันสายเกินไปสำหรับอูนและมุฮัมมัด ซึ่งทั่วร่างกายมีบาดแผลฉกรรจ์เต็มไปหมด อิมามได้นำร่างของทั้งสองไปยังสถานที่ซึ่งบรรดาผู้ที่สละชีพไปก่อนหน้านี้รวมกันอยู่

๕๖

และวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า

 “โอ้ อัลลอฮ์!โปรดรับการพลีของข้าพระองค์ด้วยเถิด…นี่คือหลานชายของญะอ์ฟัร ฏอยยัร ผู้ถือธงรบแห่งอิสลาม ที่ได้พลีชีพเพื่อศาสนาในวันอาชูรอที่ได้ถูกกำหนดไว้ ตามแบบฉบับของบรรดาบรรพบุรุษของท่าน”.

บทที่ ๗

การอำลาของท่านอิมามฮูเซน

การลาจากกันเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างพี่ชายกับน้องสาว เต็มไปด้วยความเศร้าสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง อิมามก้าวออกจากค่ายพักของท่านด้วยความยากลำบาก เพื่อที่จะมากล่าวอำลาน้องสาว

บุตรสาวสุดที่รัก และบรรดาสตรีในครอบครัวอันเป็นที่รักของท่าน ท่านได้กล่าวกับพวกเธอว่า

 “โอ้ ซัยนับน้องรัก! อุมมุกุลซูม อุมมุลัยลา อุมมุรุบาบ และลูกรักกุบรอ

๕๗

รุกอยยะฮ์และสะกีนะฮ์ และพิฏซะฮ์ คนรับใช้ที่จงรักภักดีต่อฉัน เข้ามาใกล้ๆ และจงฟังฉันกล่าวคำอำลาและสั่งเสียครั้งสุดท้ายแด่พวกท่าน”

ด้วยคำพูดดังกล่าว ทำให้บรรดาสตรีในครอบครัวของท่านรีบพากันเข้ามาห้อมล้อมท่าน

ท่านหญิงซัยนับ น้องสาวสุดที่รักของท่าน ได้โอบแขนไว้รอบต้นคอของอิมาม และเพ่งมองลึกลงไปในดวงตาทั้งสองของท่านพร้อมกับกล่าวว่า

 “พี่ชายที่รัก! มันเป็นความจริงใช่ไหม ที่ท่านกำลังจะจากไปแล้ว และจะไม่มีชีวิตกลับมาอีก? โอ้ พี่ชายของฉัน! เวลานั้นมาถึงแล้วใช่ไหม? เวลาที่น้องกำลังจะหมดสิ้นทุกอย่างด้วยการจากไปของท่าน ท่านกำลังทิ้งพวกเราไว้ในสภาพที่หัวใจแตกสลาย”

๕๘

อิมามก้มศีรษะลงพร้อมกับพึมพำว่า

 “ใช่แล้ว ซัยนับน้องรัก! เวลานั้นได้มาถึงแล้ว เวลาที่ท่านแม่ของเราได้เตรียมเธอไว้ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กเล็กๆ เรื่องราวที่บิดาของเราบอกเธอในขณะที่ท่านกำลังจะสิ้นใจ สำหรับตัวพี่นั้น การจากไปครั้งนี้เป็นความสะเทือนใจอย่างที่สุด เพราะพี่ทราบดีว่า การทดสอบ

อย่างแท้จริงของเธอยังไม่สิ้นสุด แต่มันกำลังจะเริ่มต้นในวันนี้”

“โอ้ พี่ชายของฉัน! ฉันได้แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การพลีชีพของอูนและมุฮัมมัดบุตรทั้งสองของน้อง น้องอับบาส กอซิมและอะลี อักบัร แล้วชีวิตของท่านจะปลอดภัย ไม่มีท่านแล้วจะมีอะไรเหลือสำหรับฉัน ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในโลกนี้

โอ้พี่ชาย! เมื่อท่านไปยังสวนสวรรค์ โปรดวอนขอต่อท่านตาของเรา ได้เรียกฉันกลับไปยังสวนสวรรค์โดยเร็วเถิด เพื่อช่วยให้ฉันรอดพ้นจากการถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และต้องพบกับความอัปยศที่กำลังรอคอยฉันอยู่”

๕๙

อิมาม ไม่อาจตอบคำวอนขอของท่านหญิงได้ เพราะท่านทราบดีว่า สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง ท่านพยายามควบคุมอารมณ์อย่างที่สุด แล้วจึงกล่าวว่า

“ซัยนับ ถ้าเธอต้องการจะจากโลกนี้ไปโดยเร็ว แล้วใครเล่า! จะเป็นผู้แบกรับภาระหน้าที่? ใครเล่า! จะเป็นผู้สานต่อการงานของพี่ที่ยังไม่สำเร็จลุล่วง พี่กำลังจะมอบหมายให้เธอดูแลลูกๆ ที่กำพร้าและภรรยาหม้ายของพี่ ลูกๆ กำพร้าและภรรยาหม้ายของบรรดาผู้กล้าหาญของพี่ และญาติพี่น้องของเรา มันถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเป็นผู้ชี้นำ ดูแลและปลอบโยนพวกเขา พี่จะจากไปอย่างสงบถ้าเธอจะให้สัญญากับพี่ว่า จะทำหน้าที่แทนบรรดาผู้ที่ได้จากไปในวันนี้”

ท่านหยุดนิ่งชั่วครู่และกล่าวต่อว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซัยนับ! เธอจะต้องดูแล ‘อะลี ซัยนุลอาบิดีน’ ซึ่งกำลังป่วยหนัก

๖๐

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

ดุอาอ์

บทที่ ๔

ดุอาอ์อีกบทหนึ่งที่ท่านอิมามญะวาด(อฺ)ได้เขียนไปยังชายคนหนึ่งมีใจความว่า

“โอ้พระผู้ซึ่งดำรงอยู่ก่อนทุกสรรพสิ่ง หลังจากนั้นทางสร้างทุกสรรพสิ่ง จากนั้นทรงให้การคงอยู่และให้การสูญสลายแก่ทุกสรรพสิ่ง

โอ้พระผู้ซึ่งไม่มีสิ่งใดในชั้นฟ้าจะสูงส่ง และไม่มีสิ่งใดในผืนแผ่นดินจะอยู่ต่ำ และที่อยู่สูงไปกว่านั้นและไม่มีสิ่งใดอยู่ระหว่างนั้น และเบื้องล่างของสิ่งนั้นอันจะเป็นพระเจ้าอื่นนอกเหนือจาก

พระองค์”

(อัต-เตาฮีด หน้า ๔๘)

๑๐๑

การตอบสนองต่อดุอาอ์ของอิมามมุฮัมมัด อัต-ตะกี(อฺ)

บรรดานักประวัติศาสตร์ต่างพากันกล่าวถึงดุอาอ์ของบรรดานักปราชญ์และผู้มีคุณธรรม

ส่วนมากที่ได้รับการตอบสนอง แต่ส่วนเรานั้นมิได้ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเขามากนักเพราะมันยังเป็นเรื่องที่เล็กน้อยกว่าสิ่งที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ได้ทรงประทานให้แก่บรรดาผู้ที่สวามิภักดิ์

ต่อพระองค์และแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์

เรื่องนี้ที่ถูกพาดพิงมายังบรรดาอิมาม(อฺ)นั้นได้ถูกนำมาเปิดเผยไว้ในตำราต่างๆ ของนักปราชญ์ทั้งสองฝ่าย ในบทก่อนๆ ของหนังสือเล่มนี้ ท่านได้อ่านพบการกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้โดยบรรดานักประวัติศาสตร์ไปแล้ว ในกรณีของบรรดาอิมามแต่ละท่าน

ณ บัดนี้ เราจะหยิบยกเรื่องราวที่เกี่ยวกับท่านอิมามอะบุ้ลญะอฺฟัรมุฮัมมัด อัต-ตะกี(อฺ)มา

นำเสนอเพียงบางส่วน

เหตุการณ์ที่ ๑

ท่านมุฮัมมัด บินซะนาน ได้เล่าว่า :

ข้าพเจ้าได้เข้าพบท่านอิมามอะบุ้ลฮะซันอัลฮาดี(อฺ)โดยท่าน(อฺ)ได้กล่าวว่า

“โอ้มุฮัมมัด ได้เกิดเหตุการณ์อันใดกับลูกหลานของฟะร็อจญ์หรือไม่ ?”

๑๐๒

ข้าพเจ้าตอบว่า

“อุมัรได้เสียชีวิตแล้ว”

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวว่า

“อัลฮัมดุลิ้ลลาฮฺ(มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ)”

ข้าพเจ้านับถ้อยคำเหล่านี้ได้ ๒๔ ครั้ง ข้าพเจ้ากล่าวต่อไปว่า

“โอ้ประมุขของข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่าเรื่องนี้จะยังความชื่นชมยินดีให้แก่ท่าน”

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวต่อไปว่า

“โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย ท่านไม่ทราบดอกหรือว่า บุคคลที่ได้รับการสาปแช่งจากอัลลอฮฺผู้นี้ได้อะไรไว้บ้างกับท่านมุฮัมมัด บินอะลี บิดาของฉัน”

ข้าพเจ้าตอบว่า

“ไม่ทราบขอรับ”

ท่านอิมาม(อฺ)ตอบว่า

“บิดาของฉันได้สอนเขาในเรื่อง ๆหนึ่ง แต่เขากลับกล่าวว่า –ฉันสงสัยว่าท่านมึนเมา-บิดาของฉันกล่าวว่า-ข้าแต่อัลลอฮฺ

หากพระองค์ทรงรู้ว่าข้าพระองค์คือผู้ถือศีลอดอยู่เป็นประจำเพื่อ

พระองค์แล้วไซร้ขอได้โปรดบันดาลให้เขาคนนี้ได้ลิ้มรสของภัยสงครามเถิด ขอให้เขาตกเป็นเชลยผู้ต่ำต้อย

๑๐๓

-ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ กาลเวลาผ่านพ้นไปไม่นานนักเขาได้เข้าทำสงคราม

ทรัพย์สินและสิ่งของต่าง ๆของเขาถูกริบหมด จากนั้นเขาก็ถูกจับตัวเป็นเชลย บัดนี้เขาได้ตายแล้ว

ขออัลลอฮฺทรงงดเมตตาต่อเขาและแน่นอนที่สุด อัลลอฮฺได้ทรงแสดงหลักฐานในเรื่องนี้และในเรื่องอื่นตลอดไปว่า พระองค์ทรงสนับสนุนบรรดาผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์ให้อยู่เหนือบรรดาศัตรูของพระองค์เสมอ”

(อิษบาตุ้ลฮุดาฮ์ เล่ม๖ หน้า ๑๗๗

, อุศูลุ้ลกาฟี เล่ม ๑ หน้า ๔๖๙ )

๑๐๔

เหตุการณ์ที่ ๒

ภรรยาของท่านอิมามตะกี(อฺ)คือ อุมมุ้ลฟัฏลฺ บุตรสาวของคอลีฟะฮฺมะอ์มูนเป็นผู้วางยาพิษท่านอิมาม(อฺ)

 ครั้นเมื่อท่าน(อฺ)ทราบถึงเรื่องนี้

ท่าน(อฺ)ได้พูดกับนางว่า

“ขอให้อัลลอฮฺทรงบันดาลความพินาศให้แก่เจ้าด้วยโรคร้ายชนิดที่ไม่อาจรักษาได้”

จากนั้นไม่นานนัก นางก็ประสบโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งคนทั้งหลายต่างก็เฝ้ามองดูนางและแนะนำยารักษาชนิดต่างๆ ให้แก่นาง

 แต่ตัวยาเหล่านั้นก็ไม่มีผลแต่ประการใด จนกระทั่งนางถึงแก่

ความตายด้วยโรคร้ายนั้น

( อัลมะนากิบ เล่ม ๒ หน้า ๔๓๕)

๑๐๕

อิมามตะกี(อฺ)กับคอลีฟะฮฺมะอ์มูนแห่งราชวงศ์อับบาซียะฮฺ

อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงคัดเลือกให้บรรดาอิมาม(อฺ)ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ปกครองของมวลมนุษย์

และเป็นประมุขในการบังคับใช้บทบัญญัติตามคำสอนของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)และเป็นผู้ทำหน้าที่ดำรงรักษากิจการงานเหล่านั้น แต่ทว่าประชาชนนั่นเองที่ได้ยับยั้งท่านเหล่านั้นมิให้ทำหน้าที่

เผยแพร่สาส์นของพวกเขา พวกเขาได้สลับปรับเปลี่ยนระหว่างพวกเขาเอง เช่นเดียวกับประชาชาติในยุคอดีตที่ได้กระทำกับบรรดานบีของตน

บรรดาอิมาม(อฺ)ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ปกครองจอมปลอม ซึ่งได้กระทำการต่างๆต่อพวกท่านตามที่พวกเขาประสงค์

บางครั้งพวกเขาจับกุมพวกท่านเหล่านั้น และบางครั้งก็อุปโลกน์

แต่งตั้งพวกท่านบางคนให้เป็นรัชทายาท ทั้งที่มิใช่เป็นความปรารถนาส่วนตัวของท่าน(อฺ)

สำหรับท่านอิมามตะกี(อฺ)นั้นก็ได้ประสบกับอีกลักษณะหนึ่งกล่าวคือ คอลีฟะฮฺมะอ์มูนได้

จัดการนำท่าน(อฺ)ไปยังเมืองแบกแดด และตกลงใจที่จะให้ท่าน(อฺ)แต่งงานกับลูกสาวของตนเองนั่นก็คือ อุมมุ้ลฟัฏลฺ

๑๐๖

 หลังจากที่ได้ประจักษ์ถึงความรู้และเกียรติยศของท่าน(อฺ)โดยที่วงศาคณาญาติของพวกเขาต่างก็ไม่เห็นด้วย บางคนได้พยายามทำให้เขาเปลี่ยนความคิด แต่มะอ์มูนก็ยังเดินหน้าจัดการเรื่องดังกล่าว

พวกเขาต่างก็พูดกับคอลีฟะฮฺมะอ์มูนว่า

“เด็กชายคนนี้ยังเล็กเกินไป ไม่มีความรู้และความเข้าใจในศาสนาดังนั้น ขอให้ท่านประวิงเวลาไว้ก่อนเพื่อให้เขาได้มีโอกาสฝึกฝนตนเอง จากนั้นก็ค่อยดำเนินการต่อไป”

คอลีฟะฮฺมะอ์มูนกล่าวกับพวกเขาว่า

“ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้จักเด็กคนนี้ดีกว่าพวกท่าน

แท้จริงเด็กน้อยคนนี้มาจากอะฮฺลุลบัยตฺซึ่งวิชาความรู้ของพวกเขาได้มาจากการดลบันดาลของอัลลอฮฺ วิชาการทางศาสนาและจริยธรรมขั้นสูงของพวกเขานั้นไม่เคยขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากท่านทั้งหลายต้องการทดสอบก็เชิญทดสอบอะบูญะอฺฟัรได้ เพื่อที่เขาจะได้แสดงให้พวกท่านได้ประจักษ์อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนั้นเป็นอย่างไร”

(อัล-เอียะฮฺติญาญ์ เล่ม ๒ หน้าท ๓๔๑ )

พวกตระกูลอับบาซียะฮฺต่างก็ไม่พอใจต่อคำพูดของคอลีฟะฮฺ

มะอ์มูน ทั้งหมดได้จัดประชุมเพื่อจะทดสอบภูมิความรู้ของท่าน

อิมาม(อฺ)ดังที่เราได้นำเสนอแก่ท่านผู้อ่านไปบ้างแล้ว

๑๐๗

นั่นก็คือ บทสนทนาของยะฮฺยา บินอักษัม ซึ่งได้โต้ตอบกับท่าน

อิมามตะกี(อฺ)

คอลีฟะฮฺมะอ์มูนเคยมีเจตนาในการจัดประชุมเชิงวิชาการศาสนาก็เพื่อที่จะเบี่ยงเบนสถานภาพของท่านอิมามริฏอ(อฺ)ให้ลดลง แต่ในขณะที่เจตนาที่เขาจัดให้มีการโต้เถียงปัญหาศาสนากับท่าน

อิมามอะบูญะอฺฟัร(อฺ)นั้นกลับทำไปก็เพื่อให้ประจักษ์ถึงวิชาความรู้และเกียรติยศของท่าน(อฺ)

แน่นอนที่สุด ยะฮฺยาได้ประสบกับความพ่ายแพ้ในการโต้กับท่าน

อิมาม(อฺ)อย่างอัปยศที่สุด

เขาได้แสดงให้คนทั้งหลายเห็นถึงความอ่อนแอความพ่ายแพ้ของเขาทั้ง ๆที่มีการสนับสนุนส่งเสริม

จากพวกตระกูลอับบาซียะฮฺแล้วก็ตาม ฐานะของเขาจึงตกต่ำลงในที่สุด

มะอ์มูนมีความพอใจอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ครั้งนั้น

เขาถึงกับกล่าวว่า

“อัลฮัมดุลิ้ลลาฮฺในฐานะที่พระองค์ทรงให้ความเมตตาแก่ข้าพเจ้าเพื่อดำเนินงานให้บรรลุสู่ความสำเร็จ”

๑๐๘

เขาหันกลับไปมองท่านอิมามอะบูญะอฺฟัร(อฺ)แล้วกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าตกลงใจที่จะให้อุมมุ้ลฟัฏลฺบุตรสาวของข้าพเจ้าแต่งงานกับท่าน ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะสร้างความไม่พอใจแก่คนกลุ่มนั้นก็ตามที ดังนั้น ท่านจงมาเจรจาสู่ขอเถิด แน่นนอนที่สุดข้าพเจ้า

และบุตรสาวได้ตกลงปลงใจ”

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวตอบว่า

“มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ผู้ทรงบันดาลความมั่นคงโดยความโปรดปรานของพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺอันเป็นความบริสุทธิ์แด่ฐานะแห่งเอกานุภาพ

ของพระองค์ ขออัลลอฮฺทรงประทานพรแด่ท่านศาสดามุฮัมมัด ประมุขแห่งบรรดาผู้มีคุณธรรมของพระองค์และแด่บรรดาผู้ทรงเกียรติแห่งเชื้อสายของเขา แน่นอนที่สุดเกียรติยศส่วนหนึ่งของอัลลอฮฺ

ที่มีต่อมวลมนุษย์ได้แก่การที่พระองค์ทรงบันดาลให้พวกเขาได้รับสิ่งที่เป็นที่ฮะล้าลอย่างเพียงพอ ไม่แตะต้องสิ่งที่เป็นฮะรอม

(สิ่งต้องห้าม)

ดังที่อัลลอฮฺทรงมีโองการว่า

“และจงแต่งงานกับบุรุษหรือสตรีที่เป็นโสด และคนดีในหมู่ปวงบ่าวที่เป็นบุรุษและสตรีของพวกเจ้า ถึงแม้ว่าเหล่านั้นจะยากจน แต่อัลลอฮฺจะทรงบันดาลให้เขามั่งคั่งจากความเกื้อกูลของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺทรงเผื่อแผ่ทรงรอบรู้ ( อัน - นูร : ๓๒)

๑๐๙

แท้จริงมุฮัมมัด บุตรของอะลี บินมูซา ได้สู่ขออุมมุ้ลฟัฏลฺ บุตรสาวของอับดุลลอฮฺ อัลมะอ์มูน และแน่นอนที่สุดเขาได้มอบเงินมะฮัรเท่ากับจำนวนมะฮัรของท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ บุตรีของท่าน

ศาสดามุฮัมมัด(ศ) ผู้เป็นย่าทวด นั่นคือ ๕๐๐ ดิรฮัม ท่านจะแต่งงานให้เขาตามจำนวนเงินมะฮัรดังกล่าวหรือไม่?”

คอลีฟะฮฺมะอ์มูนกล่าวตอบว่า

“ข้าพเจ้าตกลงยอมรับ”

แล้วมะอ์มูนได้สั่งให้คนรับใช้นำสิ่งของหนึ่งมา คล้ายกับสำเภาที่บรรจุเงิน ซึ่งห่อหุ้มด้วยทองคำ และบรรจุไปด้วยสิ่งมีค่าหลายชนิด มีทั้งน้ำบริสุทธิ์ อันได้แก่น้ำดอกไม้หอมที่สร้างความประทับใจให้แก่บรรดาแขกเหรื่ออย่างถ้วนทั่ว ต่อจากนั้นสำรับของหวานก็ถูกจัดวางลง พวกเขาได้รับการแจกจ่ายไปตามสถานภาพของพวกเขา จากนั้นทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับไป

( นูรุ้ลอับศอร ของชิบลันญี หน้า ๑๔๗ )

๑๑๐

ครั้นเมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ประชาชนได้เข้ามาร่วมชุมนุมกัน ท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)ก็มาร่วมงานด้วย มีการติดตั้งผ้าม่านทั้งชนิดพิเศษและชนิดทั่วไป เพื่อเป็นการต้อนรับคอลีฟะฮฺมะอ์มูนกับ

ท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)แล้วได้มีการนำสำรับ ๓ ชนิดที่ทำด้วยเงินออกมา ซึ่งในนั้นมีของหอมชนิดพิเศษตรงกึ่งกลางกล่องมีลายสลักเขียนด้วยตัวอักษาหนึ่งอันเป็นทรัพย์ที่มีค่ายิ่งค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนได้

สั่งให้แจกจ่ายสิ่งนั้นแก่ผู้ใกล้ชิด จากนั้นคนทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับไป โดยที่พวกเขาได้รับของมีค่าเป็นของขวัญติดมือไปอีกทั้งค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนยังได้บริจาคอีกส่วนหนึ่งแก่คนยากจนทั่วไปด้วย

(ตารีคอิมามมัยนฺ อัลกาซิมัยนฺ หน้า ๔๓)

ค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนมีความภูมิใจในตัวของท่านอิมามอะบูญะอฺฟัร(อฺ)เป็นอย่างมาก เขาได้ใหการยกย่องวิชาความรู้และคุณลักษณะพิเศษอันดีงามของท่านอิมาม(อฺ)

เชคมุฟีด(ร.ฮ)กล่าวว่า : คอลีฟะฮฺมะอ์มูนนั้นมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งต่อท่านอิมาม(อฺ)

เมื่อเขาได้เห็นความดีเด่นของท่านทั้งๆ ที่ท่านยังมีอายุน้อยอยู่ แต่มีความสูงส่งทางด้านวิชาการ วิทยปัญญาและจริยธรรมอีกทั้งมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งทางสติปัญญาอย่างชนิดที่ไม่รู้ผู้รู้คนใดในสมัย

นั้นเสมอเหมือนแม้แต่คนเดียว

( อัลอิรชาด หน้า ๓๔๒ )

๑๑๑

เชคฏ็อบร่อซี(ร.ฮ)กล่าวว่า : ท่านอิมามญะวาด(อฺ)เป็นผู้มีความสมบูรณ์พร้อมทางสติปัญญา เกียรติยศอันดีงาม วิชาความรู้

วิทยปัญญาและจริยธรรม อีกทั้งสถานภาพอันสูงส่งอย่างชนิดที่ไม่มี

ผู้ใดเสมอเหมือนในคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ว่าจากตระกูลซัยยิด หรือตระกูลอื่นๆ

 ด้วยเหตุนี้คอลีฟะฮฺมะอ์มูนมีความภาคภูมิใจกับท่านเป็นยิ่งนักเมื่อได้พบเห็นสถานภาพอันสูงส่งของท่าน และความยิ่งใหญ่ในเกียรติคุณอย่างครบถ้วนทุกๆ ด้าน

(อะอ์ลามุ้ลวะรอ หน้า ๒๐๒)

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)ได้พำนักอยู่ในกรุงแบกแดด ในฐานะผู้มีเกียรติยิ่ง แต่ทว่าสถานภาพที่เป็นอยู่ในเวลานั้น มิได้เป็นความปรารถนาของท่านเลย ท่านรู้สึกเหมือนกับอยู่อย่างโดดเดี่ยว

เนื่องจากห่างไกลเมืองมะดีนะฮฺ อันเป็นเมืองของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ผู้เป็นบรรพบุรุษ

ท่านเคยกล่าวกับท่านฮุเซน อัล-มะการี ว่า

“โอ้ฮุเซนเอ๋ย ขนมปังข้าวสาลี และเกลือเค็มในดินแดนฮะร็อมของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)นั้น เป็นที่ชื่นชอบสำหรับข้าพเจ้ามากกว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ามองเห็นอยู่ที่นี่”

(บิฮารุ้ลอันวาร เล่ม ๑๒ หน้า ๑๑๐)

๑๑๒

อาจจะเป็นเพราะว่าผู้ปกครองทำตัวเหินห่างจากคำสอนของอิสลามมากมายนั่นเอง ที่ท่านอิมามญะวาด(อ)มีความรู้สึกโดดเดี่ยวกับประชาชนชาวเมืองแบกแดด กล่าวคือคอลีฟะฮฺมะอ์มูนนั้น

ทั้ง ๆที่มีตำแหน่งเป็นอะมีรุลมุอ์มินีน แต่เขาก็ยังดื่มสุรา แน่นอนที่สุดเขาให้เกียรติต่อท่านอิมามญะวาด(อฺ)เมื่อท่านอิมามเห็นเขาเป็นเช่นนั้น โดยท่านอิมาม(อฺ)ได้เคยกล่าวกับเขาว่า

“ข้าพเจ้ามีคำเตือนสำหรับท่านอยู่ข้อหนึ่ง ขอได้โปรดรับฟัง”

คอลีฟะฮฺมะอ์มูนกล่าวว่า

“โปรดบอกมาเถิด”

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าขอร้องท่านว่า โปรดเลิกดื่มสุราเถิด”

คอลีฟะฮฺมะอ์มูนกล่าวว่า

“แน่นอนที่สุด ข้าพเจ้าขอยอมรับคำตักเตือนของท่าน”

( นูรุ้ลอับศอร ของอัลฮาอิรีย หน้า ๒๕๘)

๑๑๓

นับเป็นโอกาสแรกที่ทำให้ท่านอิมามญะวาด(อ)ได้พบกับ

กองคาราวานที่นำท่านคืนกลับสู่นครมะดีนะฮฺอันเป็นเมืองของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ผู้เป็นบรรพบุรุษของท่าน

ในเรื่องนี้ ถ้าหากผู้อ่านศึกษาอย่างถ่องแท้จะมองเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของท่านอิมามญะวาด(อฺ) ในขณะที่ท่านเป็นถึงลูกเขยของคอลีฟะฮฺและเป็นลูกชายของรัชทายาท

โลกนี้ทั้งโลกถ้าหากท่านต้องการจะได้มันก็จะต้องตกอยู่ในอุ้งมือของท่าน แต่ตลอดชั่วชีวิตในวัยหนุ่มของท่านไม่เคยแสดง

ความต้องการเช่นนั้นแม้แต่น้อย ท่านหันหลังให้จากความสุขทางโลก และสลัดทิ้งการที่จะเป็นผู้แสวงหาผลประโยชน์

“แน่นอนที่สุดในประวัติของบุคคลเหล่านั้นเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้มีปัญญาอันล้ำลึก มันมิได้เป็นเรื่องเท็จที่พูดกันมา แต่เป็นความจริงที่ยืนยันสิ่งที่มีอยู่กับเขา เป็นการให้รายละเอียดกับทุกสิ่งและเป็นทางนำ และเป็นความเมตตาสำหรับหมู่ชนผู้ศรัทธา”

 (ยูซุฟ: ๑๑๑)

๑๑๔

คำสดุดีของนักปราชญ์ต่ออิมามที่ ๙

บรรดานักปราชญ์และเจ้าของตำราต่าง ๆ ต่างให้ความสำคัญกับบรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยต์(อฺ) ดังนั้นพวกเขาจึงได้เรียบเรียงหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องราวของบรรดาอิมามเป็นจำนวนมาก

และได้เขียนถึงท่านเหล่านั้นในรายละเอียดอย่างยืดยาวเขาเหล่านั้นได้ให้การคารวะต่อบรรดาอิมาม

โดยตัวอักษรที่เรียงร้อยลงไป ปัจจุบันนี้ประวัติศาสตร์ของอิสลามได้บอกเล่าถึงเรื่องราวของบรรดาอิมามและคำสอนอีกทั้งวิถีทางการดำเนินชีวิตของพวกท่าน ห้องสมุดของสถาบันต่างๆ ในแวดวงของศาสนาอิสลามเต็มไปด้วยข้อเขียนต่าง ๆ ที่บรรจุเรื่องราวของท่านเหล่านั้น(อฺ)

นอกจากนี้แล้วยังมีตำราต่างๆ อีกเป็นจำนวนหลายพันเล่มที่แปลเรื่องราวที่เกี่ยวกับพวกท่านหรือที่ได้นำเอาเรื่องราวที่เกี่ยวกับพวกท่านหรือที่ได้นำเอาเรื่องของท่านมากล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มิได้เป็นเรื่องที่มากมายอะไรสำหรับท่านทั้งหลาย(อฺ)เป็นทายาทของ

ศาสนา เป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ได้ทิ้งไว้ในท่ามกลางมวลหมู่ประชาชาติอิสลาม

๑๑๕

ในบทนี้เราจะกล่าวถึงคำสดุดีบางประการที่เหล่าบรรดานักปราชญ์และบุคคลสำคัญได้กล่าวถึงท่านอิมามอบูญะอฺฟัร อัล-ญะวาด(อ)ดังต่อไปนี้

คำสดุดีจาก

ท่านอะลี บินญะอฺฟัร

ท่านมุฮัมมัด บินญะซัน บินอัมมารฺ ได้กล่าวว่า :

ข้าพเจ้าเคยได้นั่งร่วมกับท่านอะลี บินญะอฺฟัร บินมุฮัมมัด ครั้งหนึ่งที่เมืองมะดีนะฮฺ ซึ่งข้าพเจ้าได้พำนักอยู่ร่วมกับเขานานถึงสองปี ข้าพเจ้าได้บันทึกเรื่องราวที่เขาได้รับฟังมาจากหลานของเขา

(อะบุลฮะซัน(อ)) ในขณะนั้น ท่านอะบูญะอฺฟัร มุฮัมมัด บินอะลี(อฺ) ได้เขามาหาเขาในมัสญิด นั้นคือมัสญิดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ครั้นแล้วท่านอะลี บินญะอฺฟัร ได้ปราดเข้าไปหาท่าน(อฺ)ทั้ง ๆ ที่มิได้ใส่รองเท้าและมิได้สวมเสื้อคลุม

เขาได้จูบมือของท่าน(อฺ)และแสดงความให้เกียรติอย่างสูง ท่านอะบูญะอฺฟัรได้กล่าวกับเขาว่า

“โอ้ท่านปู่ โปรดนั่นลงเถิด ขอให้อัลลอฮฺทรงเมตตาต่อท่าน”

๑๑๖

ท่านอะลี บินญะอฺฟัรกล่าวว่า

“โอ้ท่านประมุขเอ๋ย ข้าพเจ้าจะนั่งได้อย่างไร ในขณะที่ท่านยังยืนอยู่”

ครั้นเมื่อท่านอะลี บินญะอฺฟัร ได้กลับไปยังที่นั่งของท่านแล้วบรรดามิตรสหายของท่านอะลี บินญะอฺฟัร ได้พากันตำหนิและต่อว่าด้วยถ้อยคำต่าง ๆ ว่า

“ท่านเป็นถึงลุงแห่งบิดาของเขาทำไมท่านถึงกับต้องแสดงอาการกับเขาขนาดนี้”

ท่านอะลี บินญะอฺฟัร กล่าวว่า

“ท่านทั้งหลายจงเงียบเสียเถิด ในเมื่ออัลลอฮฺมิได้มอบหมายเกียรติยศให้แก่เคราเหล่านี้ (ว่าพรางท่านเอามือไปจับที่เคราของท่าน)แต่พระองค์ทรงประทานเกียรติให้แก่เด็กคนนี้และมอบ

เกียรติให้อยู่ในที่ของมัน จะให้ข้าพเจ้าปฏิเสธเกียรติของพระองค์ได้อย่างไร ? เราขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากสิ่งที่พวกท่านกล่าวถึง ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพเจ้ายังถือว่าตัวเองเป็นคนรับใช้ของเขาอีกด้วย”

( มะดีนะตุ้ลมะอาญิซ หน้า ๔๕๐)

๑๑๗

คำสดุดีจาก

คอลีฟะฮฺมะอ์มูน

ค่อลีฟะฮฺมะอ์มูน ได้กล่าวกับลูกหลานบะนีอับบาซ เมื่อเขาเหล่านั้น ขอร้องให้เขาเลิกล้มการจัดพิธีแต่งงานของอิมามญะวาด(อฺ) ว่า

“แน่นอน ข้าพเจ้าได้คัดเลือกเขาก็เพราะความดีเด่นเป็นพิเศษเหนือนักปราชญ์ทั้งปวงในด้านความรู้และเกียรติยศ ทั้งที่เขายังอายุน้อยและข้าพเจ้าหวังว่าเขาคงจะแสดงให้ประชาชนได้เห็น

ในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รู้จากตัวของเขา แล้วคนเหล่านั้นก็จะได้เห็นคล้อยตามที่ข้าพเจ้าเห็น”

( อะอฺยานุชชีอะฮฺ ก็อฟ ๓/๒๓๑)

เขายังได้กล่าวหลังจากที่ได้ถามท่านอิมามญะวาด(อฺ)แล้วอีกด้วยว่า

“ท่านเป็นบุตรของอัล-ริฏออย่างแท้จริง ท่านเป็นคนในตระกูลของศาสดาอัล-มุศฏ่อฟาอย่างแท้จริง”

()อัลฟุศูลุ้ลมุฮิมมะฮฺ หน้า ๒๕๓

๑๑๘

คำสดุดีจาก

อะบุ้ลอีนาอ์

 

อะบุลอีนาอ์ ได้กล่าวกับอิมามญะวาด(อฺ) ในตอนกล่าวคำเสียใจต่อการจากไปของบิดาของท่าน(อฺ)ว่า

“ท่านมีความประเสริฐยิ่งกว่าที่เรากล่าวถึง พวกเราได้ถ่ายทอดคำตักเตือนของท่าน ในเรื่องของความรู้แห่งอัลลอฮฺนั้นท่านมีมากมายแล้วและในเรื่องรางวัลจากอัลลอฮฺนั้นท่านก็ยังอย่างท่วมทัน”

(อัลมะนากิบ เล่ม ๒ หน้า ๔๑๓ )

คำสดุดีจาก

บาทหลวงคริสต์

บาทหลวงคริสเตียนได้กล่าวหลังจากได้ยินกิตติศัพท์แห่งเกียรติยศอันสูงส่งของอิมามญะ

วาด(อฺ)ว่า

“คนผู้นี้น่าจะเป็นศาสดาหรือไม่ก็จะต้องเป็นลูกหลานของท่านศาสดา”

( อัลมะนากิบ เล่ม ๒ หน้า ๔๓๔ )

๑๑๙

คำสดุดีจาก

ท่านยูซุฟ บินฟะซาฆ่อลี

ท่านยูซุฟ บินฟะซาฆ่อลี (ซิบฏฺ อิบนิลเญาซี) ได้กล่าวว่า :

มุฮัมมัดญะวาด คือท่านมุฮัมมัด บินอะลี บินมูซา บินญะอฺฟัร บินมุฮัมมัด บินละอี บินฮะซัน บินอะลี บินอะบีฏอลิบ สมญานามของ

ท่านคือ อะบู อับดุลลอฮฺมีการเรียกขานกันอีกว่า อะบูญะอฺฟัร ท่านเกิดเมื่อปี ๑๙๕ เสียชีวิตเมื่อปี๒๒๐ มีอายุได้ ๒๕ ปี เป็นผู้มีแบบแผนทางด้านวิชาความรู้ การสำรวมตนและความมักน้อยจาก

บิดา

( ตัซกิร่อตุล-ค่อวาศ หน้า ๒๐๒ )

คำสดุดีจาก

ท่านศ่อลาฮุดดี อัศ-ศ็อฟดี(ร.ฮฺ)

ท่านซอลาฮุดดีน อัศ-ศ็อฟดี(ร.ฮฺ) ได้กล่าวว่า “มุฮัมมัด บินอะลี นั้นคือท่านญะวาด บุตรของอัร-ริฏอ บุตรของอัล-กาซิม บุตรของ

อัศ-ศอดิก(ขอให้อัลลอฮฺประทานความปิติชื่นชมแก่เขา

ทั้งหลาย) ท่านมีฉายานามว่าอัล-ญะวาด, อัลกอเนียะอฺ และ

อัล-มุรตะฏอ ท่านเป็นคนเก่งที่สุดคนหนึ่งแห่งตระกูลของท่านนบี

๑๒๐

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130