ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด28%

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด ผู้เขียน:
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 130

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 130 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 78950 / ดาวน์โหลด: 4977
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด

ชีวประวัติอิมามมุฮัมมัดญะวาด

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

สุภาษิตที่ ๑๑

ความผิดของบุคคลที่พึงพอใจกับการกดขี่นั้นไม่อาจทำอันตรายต่อท่านได้

สุภาษิตที่ ๑๒

แน่นอน คนที่ซ่อนเร้นคำแนะนำที่ดีต่อท่านนั้นคือ

‘ศัตรู’ผู้ซึ่งจะนำแต่ความหลงผิด

สุภาษิตที่ ๑๓

การมั่นคงต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)มีราคาที่แพงลิบลิ่ว และยังความสันติสุขแก่ทุกสภาพการณ์

สุภาษิตที่ ๑๔

อวัยวะทุกส่วนนั้นต้องการความหวัง และนั่นคือสิ่งที่จะถูกประทานมาโดยการตัดสินและการได้รับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในบั้นปลาย

สุภาษิตที่ ๑๕

การรักษาตัวนั้นขึ้นอยู่กับขีดความกลัว

๔๑

สุภาษิตที่ ๑๖

ผู้ใดที่พึงพอใจกับพี่น้องของตนด้วยเจตนาอันดีงามก็จะไม่พึงพอใจในอันที่จะได้รับสิ่งของใด ๆจากเขา

สุภาษิตที่ ๑๗

กาลเวลาจะเปิดเผยแก่ท่านซึ่งเรื่องราวที่ซ่อนเร้น(๒๒)

สุภาษิตที่ ๑๘

บุคคลใดทำประโยชน์ให้แก่พี่น้องในวิถีทางของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)เขาจะได้รับบ้านหนึ่งหลังในสวนสวรรค์(๒๓)

สุภาษิตที่ ๑๙

หลักสามประการอันจะทำให้ปวงบ่วงบรรลุซึ่งความโปรดปรานของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ได้นั่นคือ

􀂙 การขออภัยโทษอันมากมาย

􀂙 ความมีใจอ่อนโยนต่อคนข้างเคียง

􀂙 การบริจาคทานมากๆ (๒๔)

(๒๒) บิฮารุ้ลอันวาร เล่ม ๑๗ หน้า ๒๑๔

(๒๓ ตารีคบัฆดาด เล่ม ๓ หน้า ๕๕

(๒๔) อัล-ฟุศูลุ้ลมุฮิมมะฮฺ หน้า ๒๖๐-๒๖๑

๔๒

สุภาษิตที่ ๒๐

สำหรับอัลลอฮฺ(ซ.บ.)นั้นมีบรรดาปวงบ่าวที่พระองค์ทรงประทานความโปรดปรานให้แก่พวกเขาโดยเฉพาะอยู่เป็นเนืองนิตย์ ดังนั้นพวกเขาไม่เคยหยุดยั้งการเสียสละ เพราะถ้าหากพวกเขาหยุดซึ่งการเสียสละแล้วไซร้ อัลลอฮฺ(ซ.บ.)จะทรงถอดถอนความโปรดปรานอันนั้นออกจากพวกเขาแล้วจะเปลี่ยนผันไปสู่บุคคลอื่น

สุภาษิตที่ ๒๑

ความโปรดปรานของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ที่มีต่อบุคคลหนึ่ง ๆ นั้นจะไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ นอกเสียจากว่า ความจำเป็นทั้งหลายมนุษย์ที่มีต่อเขามีความจำเป็นอันยิ่งใหญ่ เพราะถ้าหากบุคคลใดมิได้นำพากับเครื่องบริโภคเหล่านั้น ก็แสดงว่าความโปรดปรานอันนั้นก็เป็นสิ่งสูญสลาย

สุภาษิตที่ ๒๒

เจ้าของความดีนั้นจำเป็นจะต้องกระทำความดียิ่งกว่าผู้เป็นเจ้าของความต้องการ เพราะว่าสำหรับพวกเขาจะได้รับรางวัลจะได้รับเกียรติ และจะได้รับการยกย่อง เพราะฉะนั้นบุคคลใดที่ประกอบคุณงามความดีก็จำเป็นจะต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน

๔๓

สุภาษิตที่ ๒๓

􀂙 ความละอายคือเครื่องประดับสำหรับคนจน

􀂙 การขอบพระคุณคือเครื่องประดับสำหรับคนที่ได้รับการทดสอบ

􀂙 การถ่อมตนเป็นเครื่องประดับสำหรับตระกูล

􀂙 การพูดจาอย่างกระจ่างเป็นเครื่องประดับของการสนทนา

􀂙 การจดจำเป็นเครื่องประดับของการถ่ายทอด

􀂙 การไม่ถือยศถือศักดิ์เป็นเครื่องประดับของความรู้

􀂙 มารยาทอันดีงามเป็นเครื่องประดับสำหรับผู้ไม่สนใจใยดีต่อความเย้ายวนของโลก

􀂙 ความเป็นอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลายเป็นเครื่องประดับสำหรับผู้ที่เพียงพอแล้ว

สุภาษิตที่ ๒๔

คนที่สร้างความอธรรม คนที่ช่วยเหลือผู้อธรรม คนที่มีความพอใจกับผู้อธรรมล้วนเป็นหุ้นส่วนกัน(๒๕)

(๒๕) นุรุ้ลอับศอรฺ หน้า ๑๔๘

๔๔

สุภาษิตที่ ๒๕

􀂙 ผู้ใดที่เห็นกิจการงานอย่างหนึ่งแล้วบังเกิดความรังเกียจเสมือนดังบุคคลที่ไม่ได้อยู่ร่วมกับกิจการงานนั้น

􀂙 ส่วนบุคคลที่ไม่ได้อยู่ร่วมในกิจการงานหนึ่ง แล้วเขาบังเกิดความพอใจต่อเรื่องนั้น ก็เสมือนดังบุคคลที่อยู่ร่วมกับเรื่องนั้น

สุภาษิตที่ ๒๖

การเปิดเผยสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อนที่จะดำเนินการสอบสวนให้ชัดเจนจะนำไปสู่ความเสียหาย(๒๖)

(๒๖) ตะฮัฟฟุลอุกูล หน้า ๓๓๖.

สุภาษิตที่ ๒๗

ผู้ใดยึดมั่นและไว้วางใจต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) อัลลอฮฺ(ซ.บ.)จะทำให้เขาคลาดแคล้วจากความชั่วทุกประการและจะช่วยให้เขาชนะศัตรูทุกรูปแบบ ถึงแม้นว่าฟากฟ้าจะลงมาทับสนิทบ่าวคนหนึ่ง และแล้วเขาคนนั้นมีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)แน่นอนพระองค์จะทรงบันดาลให้เขาคลาดแคล้วจากสิ่งนั้นได้

(๒๗) วะฟาตุลญะวาด หน้า ๓๗-๔๓

๔๕

สุภาษิตที่ ๒๘

บุคคลใดไม่ตั้งความหวังกับผู้อื่นนอกเหนือจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.)

อัลลอฮฺ(ซ.บ.)จะทรงให้การรับรองต่อเขา

สุภาษิตที่ ๒๙

􀂙 การสำรวมตนนั้นคือเกียรติยศ

􀂙 ความรู้นั้นคือทรัพย์สมบัติ

􀂙 การวางเฉยคือแสงสว่าง

สุภาษิตที่ ๓๐

ไม่มีอะไรที่ทำลายศาสนาได้มากเท่ากับการกระทำในสิ่งอุตริ

สุภาษิตที่ ๓๑

สารบัญแห่งโฉมหน้าของผู้ศรัทธาอยู่ที่จริยธรรมของเขา

สุภาษิตที่ ๓๒

ผู้ใดลอกเลียนคำพูดของคนใด ก็เท่ากับเป็นบ่าวของคนนั้น

ดังนั้นถ้าหากเขาเป็นผู้ที่ใช้คำพูดที่มาจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ก็เท่ากับเขาเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) แต่ถ้าหากเขาใช้คำพูดที่มาจากปลายลิ้นของอิบลีซก็เท่ากับเขาเป็นบ่าวของอิบลิซ (๒๘)

(๒๘) ตะฮัฟฟุลอุกุล หน้า ๓๓๖

๔๖

ถกปัญหาทางวิชาการจากแหล่งความรู้อันอมตะของอิมามที่ ๙

เรื่องราวต่างๆ ที่ได้ประสบกับบรรดาอิมามแต่ละคนนั้นมีทั้งความรุนแรงและนุ่มนวล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของวิถีชีวิตแห่งบรรดาผู้ปกครองในแต่ละยุคแต่ละสมัย

สำหรับท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)นั้นได้ใช้ชีวิตของท่าน(อฺ)ช่วงหนึ่งอยู่ในคุกของคอลีฟะฮฺฮารูน อัรรอชีด และท่านอิมามริฏอ(อฺ)

นั้นได้กลายเป็นรัชทายาทของค่อลีฟะฮฺมะอ์มูน

ในขณะที่วิถีทางการดำเนินชีวิตของบรรดาผู้ปกครองมีความแตกต่างกันนั้น วิถีชีวิตขอประชาชนก็มีความแตกต่างกันไปด้วย เช่นเดียวกัน เนื้อหาสาระของคำถามและการให้ทัศนะในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับบรรดาอิมามแต่ละท่านก็ล้วนแต่มีความแตกต่างไปด้วย

สำหรับท่านอิมามศอดิก(อฺ)นั้นได้ประจักษ์กระแสคลื่นของการปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าอย่างรุนแรง แต่ท่านอิมาม(อฺ)ก็ได้ใช้หลักการตอบโต้จนได้รับความสำเร็จ จนถึงกับว่าบุคคลเหล่านั้นได้

ร่วมกันมาหาท่านอย่างเปิดเผยครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งท่าน(อฺ)ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้นำให้แก่พวกเขา

ท่าน(อฺ) มอบหมายให้ท่านมุฟัฏฏ็อล บินอุมัร ลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านเป็นผู้อธิบายในสาขาวิชาเตาฮีด

๔๗

จนกระทั่งบรรดานักปราชญ์ต่างก็ได้รับความรู้ ตั้งแต่นั้นจนถึงยุคปัจจุบันด้วยการมุ่งมั่นและให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ท่านอิมามริฏอ(อฺ)นั้น ได้ทำหน้าที่โต้แย้งปัญหาศาสนากับบรรดานักปราชญ์ของศาสนาต่างๆ และเจ้าของลัทธินิกายต่างๆ อย่างมากมายจนกระทั่งพวกเขาบางคนได้ให้การยอมรับต่อหลัก

สัจธรรม และยอมรับนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งในบทที่ผ่านไปเราได้นำเรื่องราวต่าง ๆเหล่านั้นบางประการมาเสนอให้ท่าน(อฺ)ผ่านไปแล้ว

สำหรับท่านอิมามญะวาด(อฺ)นั้น ท่าน(อฺ)ได้มีบทบาทอีกด้านหนึ่งนั่นคือพวกพ้องของคอลีฟะฮฺในราชวงศ์อับบาซียะฮฺได้ให้การยกย่องสถานภาพของท่าน(อฺ) ทั้งนี้ได้มีการแต่งงานระหว่าง

ท่าน(อฺ)กับบุตรสาวของมะอ์มูนอีกด้วย ขณะเดียวกันปรากฏว่า บรรดานักปราชญ์และผู้ทำหน้าที่ควบคุมงานการปกครองในสมัยนั้นมีความอิจฉาริษยาท่าน(อฺ) ในขณะที่อายุของท่าน(อฺ)ยังอยู่ในวัย

เยาว์

คนทั้งหลายต่างรวมตัวกันมาแสดงทัศนะโต้แย้งทางวิชาการรับท่าน(อฺ)ในปัญหาวิชาฟิกฮฺ

วิชาฮะดีษ และอื่นๆ โดยมุ่งหวังที่จะให้ท่าน(อฺ)ประสบกับความยุ่งยากในการโต้ตอบ เพื่อที่จะให้กษัตริย์มะอ์มูนและบรรดาชาวเมืองถอดถอนท่านออกไปเสียจากตำแหน่ง

๔๘

และเพื่อที่จะทำให้บรรดามุสลิมไม่มั่นใจในความรู้ของท่านอีกด้วย

คนเหล่านั้นต่างพบกับความผิดหวัง เพราะว่าทานอิมามญะวาด(อฺ)สามารถผ่านพ้นการทดสอบเหล่านี้ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ การให้ทัศนะในด้านต่าง ๆ ของท่าน(อฺ)จึงยังคงอยู่เป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อมาเป็นเวลานานหลายศตวรรษ และเป็นความประทับใจในการที่จะหยิบยกนำเรื่องราวเหล่านั้นมากล่าวถึงในที่ชุมนุมอยู่ตลอดเวลา

ในบทนี้เราจะขอนำเรื่องราวบางส่วนเกี่ยวกับการโต้แย้งทางวิชาการในด้านต่างๆ ของอิมามญะวาด(อฺ)

อิมามที่ ๙ ถกปัญหาฟิกฮฺกับยะฮฺยา บินอักษัม

เมื่อค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนได้แสดงความมั่นใจในการจัดแต่งงานท่านอะบูญะอฺฟัร มุฮัมมัด บินอฺะลี ริฏอ(อฺ)กับอุมมุลฟัฏลฺ บุตรสาวของตนนั้นบรรดาสมาชิกในตระกูลของมะอ์มูนต่างได้มา

รวมตัวกันคัดค้านแล้วกล่าวว่า

“ข้าแด่ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน เราขอแสดงความเห็นต่อท่านว่า ท่านกำลังกระทำการล่วงเกินในกิจการบางอย่างที่พวกเราเป็นเจ้าของอยู่ท่านกำลังถอดถอนเกียรติยศที่เราได้สวมใส่มันอยู่ใน

ขณะที่ท่านเองก็ทราบดีอยู่แล้วถึงเรื่องราวที่มีอยู่ระหว่างเรากับพวกที่อยู่ในตระกูลของอฺะลีมาตั้งแต่เดิม”

๔๙

ค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนได้กล่าวว่า

“พวกท่านทั้งหลายจงระงับอารมณ์ไว้เถิด ขอสาบานต่อพระนามของอัลลอฮฺ แน่นอนข้าจะทำให้คนใดคนหนึ่งในหมู่พวกท่านยอมรับเรื่องนี้”

พวกเขากล่าวว่า

“ข้าแต่อะมีรุลมุอ์มินีน ท่านจะทำการจัดแต่งงานบุตรสาวของท่านผู้เป็นแก้วตาดวงใจของท่านให้กับเด็กผู้ชายที่ไม่มีความรู้ใดๆ ในศาสนาของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)และไม่รู้ในสิ่งฮะลัาล-สิ่งฮะรอม

และไม่รู้ทั้งในเรื่องฟัรฏเรื่องซุนนะฮฺ(ขณะนั้นท่านอะบูญะอฺฟันมีอายุเพียง ๙ ขวบ) ท่านน่าจะอดทนสักนิดเพื่อให้เขาฝึกฝนในด้านมารยาทและอ่านอัล-กุรอาน และให้เขารู้จักในสิ่งสะล้าลและ

สิ่งฮะรอมเสียก่อน”

ค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนได้กล่าวว่า

“แท้จริงเขามีความรู้ความเข้าใจในด้านศาสนบัญญัติมากกว่าพวกท่าน เขามีความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับอัลลอฮฺ(ซ.บ.) เกี่ยวกับศาสนทูต เกี่ยวกับซุนนะฮฺ และบทบัญญัติต่าง ๆเขาอ่านพระคัมภีร์

ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ได้ดีกว่าพวกท่าน เขามีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในเรื่องของโองการต่างๆ อันชัดแจ้ง

๕๐

 และโองการต่าง ๆ ที่มีความหมายเป็นนัย โองการต่าง ๆที่มายกเลิกและที่ถูกยกเลิก โองการต่างๆ ที่มีความหมายอย่างเปิดเผยและที่มีความหมายอย่างซ่อนเร้น โองการต่างๆ ที่มีความหมายเฉพาะ

และที่มีความหมายครอบคลุมทั่วไป โองการที่มีความหมายตรงตามตัวอักษรและโองการที่มีความหมายซ่อนอยู่ภายใต้ตัวอักษรหนึ่ง ดังนั้นขอให้พวกท่านซักถามเขาได้ ซึ่งถ้าหากเรื่องราว

ทั้งหมดเป็นไปเสมือนอย่างที่พวกท่านได้กล่าว ข้าก็จะยอมรับฟังความเห็นของพวกท่าน แต่ถ้าหากเรื่องราวเป็นไปตามที่ข้าได้กล่าว นั้นแสดงว่าข้ารู้ดีว่าชายคนนั้นย่อมขัดแย้งต่อพวกท่าน”

คนเหล่านั้นได้ออกจากที่ชุมนุมต่อหน้ามะอ์มูน แล้วส่งคนไปหายะฮฺยา บินอักษัม ซึ่งในขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าผู้พิพากษา พวกเขาได้นำเรื่องมาอุทธรณ์และมอบของกำนัลให้แก่เขา

จำนวนหนึ่งเพื่อให้เขาได้เตรียมคำถามในปัญหาฟิกฮฺ(ศาสนบัญญัติ) ที่ท่านอะบูญะอฺฟัร(อิมามญะวาด)ไม่รู้คำตอบ

แล้วคนเหล่านั้นก็ได้นำยะฮฺยา บินอักษัมเข้ามาในที่ประชุม และท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)ก็ได้

เข้ามาด้วย เขาเหล่านั้นกล่าวว่า

“โอ้ ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน นี่คือหัวหน้าผู้พิพากษา ขอให้ท่านอนุญาต เพื่อเขาจะได้ซักถามเถิด”

มะอ์มูนกล่าวว่า

“โอ้ยะฮฺยาเอ๋ย จงถามอะบูญะอฺฟัร ในปัญหาเกี่ยวกับวิชาฟิกฮฺเถิดเพื่อที่ท่านจะได้พิจารณาดูว่าวิชาฟิกฮฺของเราเป็นอย่างไร ?”

ยะฮฺยา กล่าวว่า

“โอ้ ท่านอะบูญะอฺฟัร ขอให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ประทานความดีงามแก่ท่านเถิด ท่านมีทัศนะอย่างไรบ้างในเรื่องที่ผู้ครองเฮียะฮฺรอมฆ่าสัตว์โดบการล่า”

ท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)กล่าวว่า

“เขาได้ฆ่าสัตว์นั้นในดินแดนที่อนุญาต ให้ฆ่าหรือต้องห้าม เป็นผู้รู้ว่าการกระทำนั้นผิดหรือว่าไม่รู้ เขาตั้งใจหรือว่าทำแบบผิดพลาดเป็นทาส หรือเป็นอิสรชน เป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ ถูกทำให้ตายในทันทีหรือถูกซ้ำจนตาย เป็นสัตว์ประเภทนกหรือมิใช่ ถ้าเป็นประเภทนกเป็นลูกนกหรือเป็นนกตัวใหญ่แล้ว เป็นนกที่อาศัยอยู่กับที่หรือถูกขังไว้ในกรงของมันในยามกลางคืนหรือในยามกลางวันอย่างเปิดเผย เขาครองเอียะฮฺรอมฮัจญ์หรืออุมเราะฮฺ”

ยะฮฺยาถึงกับชะงักงันจนไม่สามารถปิดบังความรู้สึกต่อคนใดในที่ประชุมได้ ประชาชนทั้งหลายต่างมีความประทับใจอย่างคาดคิดไม่ถึงกับคำตอบของท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)

ค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนได้กล่าวว่า

“โอ้ท่านอะบูญะอฺฟัร โปรดกล่าวคำปราศรัยด้วยเถิด”

๕๑

ท่าน(อฺ)ได้กล่าวว่า

“ได้ซิ ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน”

แล้วท่าน(อฺ)ได้กล่าวสรรเสริญต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)เป็นการเริ่มต้นคำปราศรัยจนจบ

ครั้นเมื่อประชาชนส่วนมากพากัยโยกย้ายกลับไปบ้างแล้วค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนได้กล่าวว่า

“โอ้ ท่านอะบูญะอฺฟัร ถ้าท่านเห็นด้วยสักประการหนึ่งก็ได้โปรดแนะนำให้เราได้รู้ในสิ่งที่จำเป็นเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆเหล่านั้นที่มีอยู่ในเรื่องการฆ่าสัตว์โดยการฆ่า ?”

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)ได้กล่าวว่า

“ได้ซิ ผู้ครองเฮียะฮฺรอมนั้นหากเขาฆ่าสัตว์โดยการล่านอกบริเวณเขต ‘ฮะร็อม’ แล้วสัตว์นั้นเป็นนกที่โตแล้ว หน้าที่ของผู้ล่าจะต้องชดใช้แพะหรือแกะหนึ่งตัว แต่ถ้าหากเหตุเกิดในบริเวณเขต ‘ฮะร็อม’ เขาจะต้องชดใช้เป็นสองเท่า

ถ้าหากสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเป็นลูกอ่อนนอกเขตบริเวณ ‘ฮะร็อม’ ชดใช้ด้วยลูกแกะที่หย่านมแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องตีราคา เพราะไม่ได้เกิดเหตุในบริเวณเขต ‘ฮะร็อม’ แต่หากสัตว์ตัวนั้นถูกฆ่า

ในบริเวณเขต ‘ฮะร็อม’

๕๒

 เขาจะต้องชดใช้ด้วยลูกแกะที่หน่านมแล้วพร้อมกับชดใช้ด้วยราคาของลูกอ่อนตัวนั้น

หากสัตว์ที่ถูกฆ่าเป็นสัตว์ป่า กล่าวคือถ้าเป็นจำพวกลาป่า เขาจะต้องชดใช้ด้วยวัวหนึ่งตัว

และถ้าหากเป็นสัตว์จำพวกอูฐ เขาจะต้องชดใช้ด้วยลูกอูฐประเภทบุดนะฮฺหนึ่งตัว ครั้นหากไม่มีความสามารถ ก็ให้บริจาคอาหารแค่คนยากจน ๖๐ คน หากไม่มีความสามารถอีก ก็ให้ถือศีลอด ๑๘

วัน แต่ถ้าสัตว์ที่ถูกฆ่าเป็นวัวป่า เขาจะต้องชดใช้ด้วยวัว ๑ ตัว ครั้นถ้าหากไม่มีความสามารถก็ให้บริจาคอาหารแก่คนยากจน ๓๐ คน หากไม่มีความสามารถอีกก็ให้ถือศีลอด ๙ วัน หากสัตว์ที่ถูกฆ่า

เป็นกวาง เขาจะต้องชดใช้ด้วยแพะ ๑ ตัว หากไม่มีความสามารถก็จะต้องบริจาคอาหารแก่คนยากจน๑๐ คน หากไม่มีความสามารถก็ต้องถือศีลอด ๓ วัน

และถ้าหากกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นบริเวณเขต‘ฮะร็อม’

เขาจะต้องชดใช้เป็น ๒ เท่า โดยการเชือดพลีชีพมอบแด่อัลกะอฺบะฮฺตามหลักการที่เป็นวาญิบ ถ้าหากอยู่ในเทศกาลฮัจญ์ก็ให้เชือดในวันอีด ถ้าหากอยู่ในช่วงการทำอุมเราะฮฺก็ให้เชือดในมักกะฮฺบริเวณสถานอัล-กะบะฮฺและจะต้องบริจาคเท่ากับราคาของสัตว์ตัวนั้น

๕๓

จนกระทั่งได้จำนวนครบเป็นสองเท่า และทำนองเดียวกันถ้าหากได้ฆ่าสัตว์จำพวกกระต่ายหรือสุนัขจิ้งจอก

เขาจะต้องชดใช้ด้วยแพะ ๑ ตัว และจะบริจาคเงินในจำนวน

เท่ากับราคาของแพะตัวนั้น และถ้าหากสัตว์ที่ถูกฆ่าเป็นนกพิรายที่อยู่ประจำบริเวณบัยตุ้ลฮะรอม

เขาจะต้องชดใช้ด้วยการบริจาคเงินจำนวน ๑ดิรฮัม และอีก ๑ ดิรฮัมนั้นให้เขาซื้ออาหารสำหรับนกพิราบในบริเวณบัยตุ้ลฮะรอม แต่ถ้าเป็นลูกอ่อน ก็ให้ชดใช้เพียงครึ่งดิรฮัม ถ้ายังเป็นไข่ก็ให้ชดใช้

 ๑ ใน ๔ ดิรฮัม แต่ในทุกประการเหล่านี้ผู้กระทำคือ

ผู้ครองเอียะฮฺรอมกระทำไปด้วยความไม่รู้หรือพลั้งพลาดก็ไม่ต้องรับผิดชอบแต่ประการใด เว้นแต่ในกรณีของการล่า เพราะในกรณีนี้จำเป็นจะต้องชดใช้ ไม่ว่ากระทำไปโดยโง่เขลา หรือมีความรู้ดีอยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะโดยความพลั้งพลาดหรือโดยเจตนา และทุกประการเหล่านี้หากกระทำขึ้นโดยผู้เป็นทาสหน้าที่การชดใช้จะต้องตกแก่ผู้เป็นนาย ดุจดังว่าผู้เป็นนายนั่นเองที่กระทำความผิด และทุกประการเหล่านี้หากกระทำขึ้นโดยผู้เยาว์ที่ยังไม่บรรลุสู่วัยบังคับทางศาสนาก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบแต่ประการใด หากว่าเขากระทำซ้ำจนตาย

ก็เท่ากับเป็นผู้ที่ต้องได้รับโทษจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ถ้าหากเขาเป็นผู้แนะนำให้ทำการล่าในขณะที่เขาครองเอียะฮฺรอม

๕๔

แล้วสัตว์ที่ถูกล่านั้นถูกฆ่าตายเขาจำเป็นจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย และความบาปอันนี้จะต้องติดตัวเขาไปจนถึงวันปรโลก แต่ถ้ามีความเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไปแล้ว หลังจากได้ชดใช้ค่าเสียหาย

 เขาจะไม่ต้องรับโทษในวันปรโลกอีกและถ้าหากการกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นในยามกลางคืน หรือโดยการบังคับที่พลั้งพลาด ก็ไม่ต้องรับผิดชอบแต่ประการใด เว้นแต่เขาตั้งใจจะทำการล่า กล่าวคือ ถ้าหากเขาทำการล่าในยามกลางคืนหรือกลางวันเขาจะต้องชดใช้ค่าเสียหายอันนั้น

สำหรับผู้ครองเอียะฮฺรอมเพื่อทำฮัจญ์จะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้เสร็จสิ้นที่มักกะฮฺ”

ค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนได้สั่งให้บันทึกข้อความเหล่านี้จากท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)หลังจากนั้นก็ได้

หันหน้าไปยังบรรดาเครือญาติที่ปฏิเสธพิธีการแต่งงานที่เขาจะจัดขึ้น พลางกล่าวว่า

“ในหมูพวกท่านยังจะมีใครสามารถตอบได้อย่างนี้กระนั้นหรือ ?”

คนเหล่านั้นกล่าวว่า

“ไม่มี ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ โอ้ท่านอะมีรุลมุอ์มินีนหัวหน้าผู้พิพากษาก็ไม่มีความสามารถด้วย ท่านมีความรู้มากกว่าเรา”

๕๕

ค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนได้กล่าวว่า

“โอ้ท่านทั้งหลาย......

พวกท่านไม่รู้หรือว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ได้ยอมรับการให้สัตยาบันของฮะซันและฮุเซนในขณะที่คนทั้งสองยังเป็นเด็ก แต่ไม่เคยยอมรับการให้สัตยาบันของบุคคลอื่นในขณะที่ยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่เฉย?”

พวกท่านไม่รู้ดอกหรือว่า บรรพบุรุษของพวกเขาคืออฺะลีนั้น ศรัทธาต่อท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ในขณะที่มีอายุเพียง ๙ ปีเท่านั้น ซึ่งอัลลอฮฺ(ซ.บ.)และศาสนทูตของพระองค์ได้ให้การยอมรับต่อความศรัทธาของเขาในขณะที่ไม่เคยให้การยอมรับความศรัทธาจากเด็กเล็กๆ คนอื่น

และท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ไม่เคยเรียกร้องเชิญชวนสู่ศาสนาแก่เด็กเล็กๆ คนใดนอกเหนือจากเขา ?

พวกท่านไม่รู้ดอกหรือว่า พวกอะฮฺลุลบัยนั้นเชื้อสายของคนหนึ่งนั้นจะต้องสืบทอดซึ่งกันและกัน คนรุ่นหลังในหมู่พวกเขาจะต้องดำเนินชีวิตไปตามแนวทางของคนรุ่นแรก?”

๕๖

ต่อจากนั้นท่านอิมามญะวาด(อฺ)ได้ถามยะฮฺยาว่า

“โอ้ท่านอะบูมุฮัมมัด ท่านจะกล่าวอย่างไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ว่าในยามเช้าสตรีผู้หนึ่งอยู่ในฐานะเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขาแต่ในยามตอนเที่ยงนางมีฐานะเป็นที่อนุญาต

สำหรับเขาแต่ในยามกลางวันนางเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา หลังจากนั้นในยามตอนบ่ายนางเป็นที่อนุญาตสำหรับเขา ต่อจากนั้นในเวลาตอนเย็นนางเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา หลังจากนั้นในยามหัวค่ำนางเป็นอนุญาตสำหรับเขา จากนั้นในยามกลางคืนนางเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา ต่อมาในยามรุ่งอรุณนางเป็นที่อนุญาตสำหรับเขา ต่อจากนั้นในยามก่อนเที่ยงนางกลับไปเป็นที่ต้องห้ามสำหรับ

เขา หลังจากนั้นในยามกลางวันนางเป็นที่อนุญาตสำหรับเขา”

ปรากฏว่ายะฮฺยาและบรรดาผู้รู้ในวิชาฟิกฮฺถึงกับตะลึง เงียบเหมือนคนใบ้

ค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนได้กล่าวว่า

“โอ้ท่านอะบูญะอฺฟัร ขอให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงประทานเกียรติให้แก่ท่านในเรื่องนี้โปรดให้ความรู้แก่พวกเราด้วยเถิด”

๕๗

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)กล่าวว่า

“ชายผู้นี้หมายถึงคนที่มองไปยังหญิงผู้เป็นทาสในขณะที่ยังไม่ได้เป็นที่อนุญาตสำหรับเขา

ครั้นเมื่อเขาซื้อนางมาแล้ว นางก็ได้เป็นที่อนุญาต เมื่อเขาปล่อยนางให้เป็นไทนางก็เป็นที่ต้องห้าม

ครั้นต่อมาถ้าเขาแต่งงานกับนาง นางก็จะเป็นที่อนุญาตแก่เขา ครั้นเมื่อเขาทำการซิฮาร (การกล่าวว่า ทวารหนักของภรรยาเหมือนกับของมารดาของนาง) กับนาง นางก็จะตกเป็นที่ต้องห้ามแก่เขา ครั้นเมื่อเขาทำการชดใช้(กัฟฟาเราะฮฺ)แก่การซิฮาร นางก็จะเป็นที่อนุญาตแก่เขา หลังจากนั้นเขาหย่ากับนางอีกหนึ่งครั้ง นางก็จะเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา ต่อมาถ้าเขาคืนดีกับนาง นางก็จะเป็นที่อนุญาตสำหรับเขา ครั้นถ้าเขาตกจากศาสนาอิสลาม นางก็จะเป็นที่ต้องห้ามแกเขา ครั้นถ้าเขาขออภัยโทษและกลับเข้าสู่ศาสนาอิสลาม นางก็จะเป็นที่อนุญาตสำหรับเขาด้วยการนิกาฮฺครั้งแรกเช่นเดียวกับที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺได้ทำการนิการฮฺท่านหญิงซัยหนับกับอะบุลอาศ บินรอบิอฺ ตามหลักการนิกาฮฺครั้งแรก”(๑)

(๑) ตะฮัฟฟุลอุกูล หน้า ๓๓๕.

๕๘

อิมามที่ ๙ถกปัญหาคิลาฟิยะฮฺกับยะฮฺยา บินอักษัมและพรรคพวก

มีรายงานว่าค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนนั้น หลังจากที่ทำพิธีแต่งงานบุตรสาวของตน คือ อุมมุลฟัฏลฺ

เสร็จแล้วก็นั่งอยู่ในที่ประชุม โดยมีท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ) ยะฮฺยา บินอักษัมและบรรดานักปราชญ์จำนวนมากกลุ่มหนึ่ง

ยะฮฺยา บินอักษัม ได้กล่าวกับท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)ว่า

“โอ้บุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ ท่านจะมีคำพูดอย่างไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องราวที่บอกเล่ากันมาว่า ครั้งหนึ่งมะลาอิกะฮฺญิบรออีล(อฺ)ได้เสด็จลงมาหาท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)แล้ว

กล่าวว่า

“โอ้มุฮัมมัด แท้จริงอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ฝากสลามมายังท่าน แล้วฝากคำพูดมายังท่านด้วยว่าโปรดถาม ‘อะบูบักร’ด้วยเถิดว่าเขาพอใจกับฉันหรือไม่ เพราะแท้จริงแล้วฉันเป็นผู้พอใจต่อเขา?”

ท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)ได้กล่าวว่า

“ฉันมิได้ปฏิเสธในเกียรติยศของ ‘อะบูบักร’ แต่สำหรับเจ้าของเรื่องเล่าอันนี้จำเป็นจะต้อง

๕๙

ขอหยิบยกตัวอย่างรายงานฮะดีษที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)กล่าวไว้ในเทศกาลฮัจญ์อำลาเพื่อเป็นอุทาหรณ์ที่ว่า

 “แน่นอนที่สุดได้มีคนกล่าวเท็จให้แก่ฉันมากมาย และหลังจากฉันไปแล้ว ก็จะมีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ดังนั้นผู้ใดที่กล่าวเท็จต่อฉันโดยเจตนา ก็ขอให้เตรียมที่นั่งสำหรับตนไว้ในไฟนรก ครั้นถ้า

หากมีคำพูดของฉัน(ฮะดีษ) บทหนึ่งมายังพวกท่าน พวกท่านก็จงนำมันไปพิสูจน์กับกพระคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)และซุนนะฮฺของฉัน ถ้าคำพูดอันนั้นสอดคล้องกับพระคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)

และซุนนะฮฺของฉันก็ขอให้พวกท่านยึดถือไว้ แต่ถ้าหากคำพูดนั้นขัดแย้งกับพระคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) และซุนนะฮฺของฉัน

พวกท่านก็จงอย่าได้ยึดถือมันเลย”

อีกทั้งคำบอกเล่าในเรื่องนี้มิได้สอดคล้องกับพระคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ดังที่พระองค์ทรงมีโองการไว้ว่า

“และแน่นอนที่สุด เราได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา

และเราล่วงรู้ในสิ่งที่กระซิบกระซาบอยู่ในใจของเขา

และเราใกล้ชิดกับเขายิ่งกว่าเส้นเลือดฝอยที่คอหอย”

(บทก็อฟ: ๑๖)

๖๐

เป็นไปได้อย่างไรที่อัลลอฮฺ(ซ.บ. จะไม่รู้ว่า ‘อะบูบักร’ พอใจหรือไม่พอใจต่อพระองค์ จนถึงกับต้องถามเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับอันนั้น? เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้โดยสติปัญญา”

หลังจากนั้น ยะฮฺยา บินอักษัม ได้กล่าวอีกว่า

“มีรายงานบทหนึ่งว่า :

อุปมาของอะบูกักรฺกับอุมัรในหน้าแผ่นดินนั้น มีฐานะเสมอเหมือนกับญิบรออีลและมีกาอีลในชั้นฟ้า”

ท่านอิมามญะวาด(อฺ) กล่าวว่า

“นี่ก็อีกเช่นกันที่จำเป็นจะต้องพิจารณา เพราะว่าญิบรออีลและ

มีกาอีลนั้น เป็นมะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดสำหรับอัลลอฮฺ(ซ.บ.)

ทั้งสององค์จะไม่ละเมิดต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)เลย และจะไม่ฝ่าฝืนคำสั่ง

แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวแต่สำหรับคนทั้งสองนั้นเคยตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)มาก่อน ถึงแม้ว่าจะรับอิสลามภายหลังจากนั้นก็ตาม วันเวลาอันยาวนานของบุคคลทั้งสองคือช่วงเวลาแห่งการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)

๖๑

จึงเป็นไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบว่าคนทั้งสองเสมอเสมือนกับมะลาอิกะฮฺสององค์นั้น”

ยะฮฺยากล่าวอีกว่า

“มีรายงานอีกบทหนึ่งระบุว่า :

บุคคลทั้งสองเป็นประมุขสูงสุดของบรรดาคนชราสำหรับชาสวรรค์ ในข้อนี้ท่านจะว่าอย่างไร ?”

อิมามญะวาด(อฺ)กล่าวว่า

“เรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะว่าบรรดาชาวสวรรค์นั้นล้วนเป็นคนหนุ่มทั้งหมด ในบรรดาคนเหล่านั้นไม่มีคนชราเลย รายงานเหล่านี้คือสิ่งที่พวกลูกหลานของอุมัยยะฮฺแต่งขึ้นมาเอง เพื่อให้ได้เรื่องราวที่ตรงข้ามกับคำพูดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ที่ได้กล่าวไว้ในเรื่องของท่านฮะซันและท่านฮุเซน(อฺ) ว่าบุคคลทั้งสองนั้นเป็นหัวหน้าของชายหนุ่มชาวสวรรค์”

ยะฮฺยา บินอักษัม ได้กล่าวอีกว่า

“มีรายงานบทหนึ่งกล่าวว่า :

แท้จริงท่านอุมัร บินค็อฏฏอบนั้นอยู่ในฐานะเป็นดวงประทีปสำหรับชาวสวรรค์”

๖๒

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)กล่าวว่า

“นี่ก็คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะในสวนสวรรค์นั้นมีบรรดามะลาอิกะฮฺที่ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ(ซ.บ.) มีท่านนบีอาดัม

ท่านนบีมุฮัมมัด และบรรดานบีตลอดทั้งบรรดาศาสนทูต

ทั้งมวล สวนสวรรค์ไม่มีรัศมีสว่างไสวด้วยกับรัศมีของบุคคลเหล่านั้นเลย นอกเสียจากด้วยรัศมีของอุมัรเท่านั้นหรือ ?”

ยะฮฺยา ได้กล่าวอีกว่า

“มีรายงานบทหนึ่งกล่าวว่า :

แท้จริงท่านหญิงซะกีนะฮฺมีวาทศิลป์เช่นเดียวกับวาทศิลป์ของอุมัร”

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)กล่าวว่า

“ฉันมิได้ปฏิเสธเกียรติยศของท่านอุมัร แต่ทว่าท่านอะบูบักรนั้นย่อมมีเกียรติเหนือกว่าท่านอุมัร แต่ท่านยังกล่าวไว้บนมินบัรในครั้งหนึ่งว่า

“แท้จริงสำหรับตัวของข้าพเจ้านี้มีชัยฏอนที่คอยหลอกลวงข้าพเจ้าอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าหากข้าพเจ้าหันเหไป พวกท่านก็จงช่วยประคับประคองข้าพเจ้าด้วย”

ยะฮฺยาได้กล่าวอีกว่า

“มีรายงานบทหนึ่งกล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ได้กล่าวว่า :

ถ้าหากข้าพเจ้ามิได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดาแล้วไซร้แน่นอนอุมัรนั่นแหละคือผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้ง”

๖๓

ท่านอิมามญะวาด(อฺ) กล่าวว่า

“พระคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ย่อมมีความสัจจริงยิ่งกว่าฮะดีษบทนี้ อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีโองการไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า :

“และในเมื่อเราได้ทำสัญญาต่อบรรดานบีและทำสัญญากับเจ้า

 อีกทั้งกับนูฮฺ......”

(อัล-อะฮฺซาบ: ๗)

แน่นอนจะเห็นได้ว่าอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีพันธสัญญากับบรรดานบีจะเป็นไปได้อย่างที่พระองค์จะเปลี่ยนพันธสัญญาอันนี้ นั่นคือบรรดานบีทั้งหมดไม่เคยตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)เลย

อย่างแน่นอน จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระองค์จะแต่งตั้งผู้ที่เคยตั้งภาคีมาเป็นนบี ในเมื่อท่านอุมัรนั้นตลอดระยะเวลาอันยาวนาน

 ท่านเป็นผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)? และท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)นั้นได้เคยกล่าวไว้ว่า :

“ฉันถูกแต่งตั้งให้เป็นนบีในขณะที่อาดัมยังอยู่ในสภาวะระหว่างวิญญาณและเรือนร่าง”

ยะฮฺยา บินอักษัม ได้กล่าวว่า

“มีรายงานอีกบทหนึ่งกล่าวว่า : แท้จริงท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ได้กล่าวว่า

๖๔

“ยามใดที่วะฮฺยูมิได้ถูกประทานลงมายังฉัน ทำให้ฉันนึกเสมอว่า มันได้ถูกประทานลงมายังอิบนุค็อฏฏอบ(อุมัร)”

อิมามญะวาด(อฺ)ได้กล่าวว่า

“นี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่คู่ควรแก่ท่านที่ท่านนบี(ศ)จะตั้งข้อสงสัยในเรื่องตำแหน่งการเป็นนบีของตัวท่านเอง เพราะอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีโองการไว้ว่า :

“อัลลอฮ์ทรงคัดเลือกส่วนหนึ่งจากบรรดามะลาอิกะฮฺให้

เป็นทูตและส่วนหนึ่งจากบรรดามนุษย์ขึ้นมาให้เป็นศาสนทูต...”

(อัล-ฮัจญ์: ๗๕)

แล้วเป็นไปได้อย่างที่พระองค์จะทรงเปลี่ยนย้ายตำแหน่งนบีจากบุคคลที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงเลือกสรรไปยังบุคคลที่เคยตั้งภาคีต่อพระองค์”

ยะฮฺยากล่าวอีกว่า

“มีรายงานบอกว่า : ท่านศาสนทูตกล่าวว่า

“ถ้าหากโทษทัณฑ์ได้ถูกประทานลงมาแล้วไซร้ แน่นอนที่สุดจะไม่มีใครรอดปลอดภัยได้นอกจากอุมัร”

๖๕

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)ได้กล่าวว่า

“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีโองการว่า

“อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขาเหล่านั้นอย่างแน่นอนในขณะที่เจ้ายังอยู่ท่ามกลางพวกเขา และอัลลอฮฺจะไม่เป็นผู้ลงโทษทัณฑ์เขาเหล่านั้น ในขณะที่พวกเขาขอการอภัยโทษอยู่”

(อัล-อันฟาล: ๓๓)

หมายความว่า อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงแจ้งให้ทราบว่า พระองค์จะไม่ลงโทษบุคคลใดตราบเท่าที่ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ยังอยู่กับพวกเขาและตราบเท่าที่พวกเขายังอภัยโทษอยู่”(๑)

(๑) อัล-เอียะฮฺติญาจญ์ เล่ม ๒ หน้า ๒๔๙

๖๖

อิมามที่ เก้า

ถกปัญหาอะฮฺกาม

กับยะฮฺยา บินอักษัม

ค่อลีฟะฮฺมะอ์มูน ได้กล่าวกับยะฮฺยา บินอักษัมว่า

“ท่านจะเสนอคำถามแก่อะบูญะอฺฟัร มุฮัมมัด บินริฏอ เพื่อเอาชนะเขาให้ได้สักครั้งเถิด”

ยะฮฺยากล่าวว่า

“โอ้ ท่านอะบูญะอฺฟัร ท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องของชายคนหนึ่งที่นิกาฮฺกับหญิงคนหนึ่งที่ผิดประเวณีจะอนุญาตให้เขาแต่งงานกับนางหรือไม่”

อิมามญะวาด(อฺ)กล่าวว่า

“ให้เขาออกห่างจากนางจนกว่าอสุจิของเขาและอสุจิของชายอื่นจะพ้นวาระไปจากนาง

หากเขาไม่หลีกเลี่ยงให้พ้นจากนางแล้ว อาจเป็นไปได้ที่ว่านางจะมีบุตรกับคนอื่น เช่นเดียวกับที่นางจะมีบุตรกับเขา หลังจากนั้นผ่านไปแล้ว ให้เขาแต่งงานกับนางได้ถ้าหากเขาต้องการ อันที่จริงแล้ว

นางเปรียบได้เสมือนลูกอินทผาลัมที่ชายคนหนึ่งรับประทานไปในขณะที่ยังเป็นของต้องห้าม

๖๗

ต่อจากนั้นถ้าเขาได้ซื้อมันเสียให้ถูกต้อง แล้วเขารับประทานมันไป มันก็จะเป็นของที่อนุญาต”

ปรากฏว่ายะฮฺยาถึงกับนิ่งเงียบ

(ตะฮัฟฟุลอุกูล หน้า ๓๓๕)

คำตอบอันลุ่มลึกของอิมามญะวาด(อฺ)แห่งอะฮฺลุลบัยตฺ

สภาพแวดล้อมในช่วงสมัยของท่านอิมามอะบูญะอฺฟัร(อฺ)นั้น มีความแตกต่างออกไปจากสมัยอื่นๆ อย่างมากมาย นั่นคือที่สำคัญที่สุดท่าน(อฺ)มีอายุน้อย กล่าวคือท่านขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็น

ท่านอิมาม(อฺ)ในขณะที่อายุได้เพียง ๘ ปี ซึ่งปรากฏว่าเรื่องอายุของท่านได้กลายมาเป็นปัญหาสำหรับการซักถามและข้ออ้างอย่างมากมาย จนกระทั่งในสถานที่ประชุมครั้งหนึ่งท่าน(อฺ)ต้องถูกตั้ง

คำถามมากถึง ๓๐, ๐๐๐ คำถาม (๑)

(๑) อุศูลุลกาฟี เล่ม ๑ หน้า ๔๙๖, มะนากิบ เล่ม ๒ หน้า ๔๓๐

อิษบาตุลฮุดาฮ์ เล่ม ๖ หน้า ๑๗๕, บิฮารุ้ลอันวาร เล่ม ๑๒

หน้า ๑๒๐, อัด-คัมอะตุซซากิบะฮฺ เล่ม ๓ หน้า ๑๑๓

ญะลาอุล-อุยูน เล่ม ๓ หน้า ๑๐๖, ศ่อฮีฟะตุลอับรอรฺ เล่ม ๒

หน้า ๓๐๐, อันวารุ้ลบะฮียะฮฺ หน้า ๑๓๐, อัล-มะญาลิซุซ

ซุนนะฮฺ เล่ม ๕ หน้า ๔๒๓ วะฟาตุลอิมามิลญะวาด หน้า ๕๘

๖๘

ขณะเดียวกันที่ว่าฐานะของท่าน(อฺ)ที่มีต่อมะอ์มูนนั้น ท่าน(อฺ)อยู่ในฐานะที่เป็นคนมีเกียรติ

 ในขณะที่คนใกล้ชิดของค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนแห่งวงศ์อับบาซียะฮฺต่างได้พยายามยกย่องให้เกียรติ ยะฮฺยา บินอักษัม ผู้พิพากษาประจำ

ราชสำนัก และยุให้เขาตั้งคำถามที่มีความยุ่งยากสับสน เพื่อที่ว่า

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)จะหมดปัญญาในการให้คำตอบ แล้วฐานะของท่าน(อฺ)ก็จะหมดความสำคัญไปจากสายตาของมะอ์มูน

ในบทที่ผ่านมาเราได้เสนอเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลักฐานประเภทนั้นบางส่วนไปแล้ว ในบทนี้เราจะมากล่าวถึงประเภทของคำถามอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นเป็นหลักฐานไปถึงเรื่องราวการดำรงตำแหน่งเป็นอิมามของท่าน(อฺ)และเป็นสิ่งที่ยืนยันอีกด้วยว่า ท่าน(อฺ)คือทายาททางด้านวิชาการและความรู้ทางศาสนาของ

บรรพบุรุษของท่าน(อฺ)

๖๙

 

และแสดงให้เห็นว่า ความอ่อนเยาว์ในด้านอายุนั้นมิได้เป็นอุปสรรคอันใดในเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้า เพราะโดยแท้จริงแล้วอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ได้ทรงคัดเลือกท่านนบีอีซา(อฺ)ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนบีในขณะที่ยังเป็นเด็กอยู่

ดังมีโองการว่า :

“ครั้นแล้ว นางก็ได้นำเขาไปหาพรรคพวกของนางโดยที่นางได้อุ้มเขาไป พวกเขากล่าวว่า

โอ้ มัรยัมเอ๋ยเจ้าได้นำสิ่งแปลกประหลาดมาแล้ว

น้องหญิงของฮารูนเอ๋ย พ่อของเธอมิได้เป็นชายชั่ว แม่ของเธอก็มิได้เป็นคนสำส่อน ดังนั้นนางก็ชี้ไปทางเขา(อีซา) พวกเขากล่าวว่า

เราจะพูดกับเด็กในเปลได้อย่างไร ?

เขา(อีซา) กล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ

---------------------------------------------

(เชิงอรรถต่อ)

ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ข้อนี้ได้ถูกนำมากล่าวถึงอย่างเป็นเอกฉันท์โดยที่บรรดานักปราชญ์ได้บันทึกไว้ในตำราของพวกตน ดังเช่นที่ท่านนะศีรุดดีน อัฏ-ฏูซี(ร.ฮ.)ได้นำมาบันทึกไว้ในหนังสือ ‘เราฏ่อตุล-ญันนาต’ หน้า ๕๑๐. เพื่อตอบคำถามของลูกศิษย์คนหนึ่ง

ชื่อ ท่านนัจญ์มุดดีน อฺะลี บินอุมัร เจ้าของหนังสือ ‘มัตนุชซัมซียะฮฺ’ และหนังสือสำคัญอีก๒ เล่ม คือ ‘ฮิกมะตุลอัยนฺ’

๗๐

 และ ‘ญามิอุดดะกออิก’ ความว่า

ในขณะที่ท่าน(อฺ) อยู่ในสมรภูมิ เท้าข้างหนึ่งของท่าน(อฺ)อยู่บนพาหนะ และเท้าอีกข้างหนึ่งของท่าน(อฺ)อยู่บนดิน แต่ท่าน(อฺ)ก็ยังสามารถตอบคำถามได้ถึง ๔๐๐ ปัญหาอันล้วน

แต่เป็นปัญหาที่ลำบากในการให้ตอบ แต่ท่าน(อฺ) ก็ได้ให้คำตอบอย่างครบถ้วน

อันนี้มิใช่เป็นเรื่องราวที่มากมายแต่ประการใดสำหรับท่าน

อิมามอะบูญะอฺฟัร(อฺ)

ในฐานะที่ท่าน(อฺ)เป็นทายาททางวิชาการ และมีความรู้ทางศาสนา จากบรรดาบรรพบุรุษผู้ทรงเกียรติของท่าน(อฺ) ปัญหาในด้านต่างๆ ที่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อซักถามท่านอิมามญะวาด(อฺ) นั้นมีมากมายหลายคำถามซึ่งถ้าหากเราได้พิจารณาการแสดงทัศนะโต้ตอบที่ท่านอิมามญะวาด(อฺ) มีกับยะฮฺยา บินอักษัมแล้ว เราจะพบว่า มันได้แตกออกเป็นปัญหา

ปลีกย่อยมากมาย กล่าวคือในประเด็นที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการที่ผู้ครองเอียฮฺรอมทำการล่าสัตว์ก็มีรายละเอียดต่างๆ หลายแง่มุม เช่นเดียวกับที่ท่านอิมามญะวาด(อฺ)ได้แสดงทัศนะกับ

ปัญหาข้อที่สอง

๗๑

กล่าวคือ มีทั้งปัญหาประเภทที่อิมาม(อฺ)ได้รับมาอย่างนี้ ขณะเดียวกันก็ยังมีประเภทที่สามารถให้คำตอบในทันที่ว่า ‘ใช่หรือไม่ใช่’

ท่านอัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี(ขอความเมตตาจากอัลลอฮฺพึงประสบแด่ท่าน) ได้กล่าวไว้ในหนังสือบิฮารุ้ลอันวารฺ เล่ม ๑๒ หน้า ๑๒๒. คำตอบต่างๆ นั้นสามารถวิเคราะห์ได้หลาย

แง่มุม ดังนี้

๑. คำกล่าวนี้เป็นไปในลักษณะ ‘พูดเกินจริง’ (มุบาละเฆาะฮฺ) ในเรื่องของจำนวนคำถาม

และคำถาม ถ้าเป็นไปตามนั้นก็ยากต่อความเข้าใจ

๒. เป็นไปได้ที่ว่าในหมู่ชนต่างๆ มีคำถามมากมายแต่เนื้อหาตรงกัน ดังนั้นเมื่อท่าน (อฺ) ให้คำตอบข้อซักถามของคนหนึ่งก็เท่ากับให้คำตอบแก่คนทั้งหมดไปด้วย

๓. เป็นคำชี้แจงที่ให้เนื้อหาอย่างมากมาย ทั้งๆ ที่มาจากประโยคคำพูดที่รวบรัดอันรวมไปถึงหลักการตอบบทบัญญัติศาสนา

๗๒

๔. ความหมายที่ว่า ‘การประชุมครั้งหนึ่ง’ นั้น อาจหมายถึง ‘การประชุมในลักษณะเดียวกัน’ หรือ ‘การประชุม’ ณ สถานที่เดียวกันถึงแม้วันเวลาจะต่างกันก็ตาม’

๕. ท่านอิมามญะวาด (อฺ) ได้แสดงความสามารถพิเศษในการให้คำ

ประทานคัมภีร์ให้แก่ฉันและทรงแต่งตั้งให้ฉันเป็นนบีแล้ว”

(มัรยัม: ๒๗-๓๐)

และอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ยังได้ประทานอำนาจ(การเป็นนบี)ให้แก่ท่านนบียะฮฺยา(อฺ)บุตรของนบีซะกะริยา(อฺ)ในขณะที่ยังเป็นเด็กอีกเช่นกัน

ดังมีโองการว่า :

“และเราได้ประทานอำนาจให้แก่เขาในขณะที่ยังเป็นเด็ก”

(มัรยัม: ๑๒)

๖. อันเนื่องมาจากผ่านมาหลายยุคหลายสมัย พวกศูฟีเป็นผู้กระทำขึ้นมาเอง ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่อุตริขึ้น

 ท่านมุฮัมมัด ตะกีฮุจญะตุลอิสลามได้กล่าวไว้ในหนังสือ

 ‘ศ่อฮีฟะตุ้ลอับรอรฺ’ เล่ม ๒ หน้า ๓๐๐. ว่า

ส่วนหนึ่งจากบรรดาคำถามที่ท่านตอบสั้น ๆอย่างรวบรัดมีดังต่อไปนี้ ท่าน(อฺ)ถูกถาม

ว่า

๗๓

ถาม : ความหมายของอักษร ‘กอฟ’ เป็นอย่างไร?

ตอบ : หมายถึงชื่อของภูเขาที่โอบล้อมโลก

ถาม : อักษร ‘ศอด’ หมายความว่าอย่างไร?

ตอบ : หมายถึงตาน้ำที่อยู่เบื้องล่างของบัลลังก์อะรัช

ถาม : ความหมาย ‘นาม’ เป็นอย่างไร?

ตอบ : ลักษณะโดยรวมของสิ่งที่ถูกกล่าวถึง

ถาม : อนุญาตให้เช็ดบนรองเท้าสองข้างได้หรือไม่ ?

ตอบ : ไม่ได้

ถาม : จะตักบีรในนมาซมัยยิตกี่ครั้ง ?

ตอบ : ๕ ครั้ง

ถาม : ในนมาซวาญิบให้อ่านซูเราะฮฺด้วยหรือ ?

ตอบ : ใช่แล้ว

ต่อไปนี้ เราจะนำเรื่องราวเกี่ยวกับการตอบคำถามโดย

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)มาเสนอเพียงบางประการ

๗๔

ถาม-ตอบ

เรื่องที่ ๑

เมื่อผ่านพ้นสมัยของท่านอิมามริฏอ(อฺ)แล้ว ท่านมุฮัมมัด บินญุมฮูร อัล-กุมมี ท่านฮะซันบินรอชิด ท่านอฺะลี บินมัดร็อก

 และท่านอฺะลี บินมะฮฺซียาร รวมทั้งประชาชนในบ้านเมืองต่างๆ อีก

จำนวนหนึ่งเดินทางมายังนครมะดีนะฮฺ คนเหล่านั้นได้ถามเกี่ยวกับบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งสืบต่อหลังจากท่านอิมามริฏอ(อฺ)

พวกเขาได้กล่าวว่า “ต้องเป็นชาวบัศรีย์”

 (เมืองหนึ่งซึ่งอิมามมูซาบินญะอฺฟัรได้ก่อตั้งขึ้น ห่างจากนครมะดีนะฮฺ ๓ ไมล์)

เขาเหล่านั้นได้กล่าวว่า :

ครั้นเมื่อเรามาถึงและได้เข้าสู่วัง ขณะนั้นคนทั้งหลายกำลังอยู่ในสภาพโกลาหลอลหม่าน

เราจึงได้เข้าไปนั่งร่วมกับพวกเขา บัดนั้นเองท่านอับดุลลอฮฺ บินมูซา ซึ่งอยู่ในวัยอาวุโสได้ออกมาพบกับพวกเรา คนทั้งหลายกล่าวขึ้นว่า

“นี่แหละคือประมุขของเรา”

บรรดานักปราชญ์ฟุก่อฮาอ์ได้กล่าวขึ้นว่า

“แน่นอน ! เราได้รับคำสอนจากท่านอะบูญะอฺฟัร และท่านอะบู อับดุลลอฮฺ(อฺ) ว่า ตำแหน่งอิมามนั้นจะต้องไม่บังเกิดแก่พี่น้องสองคนติดต่อกัน นอกจากท่านฮะซัน(อฺ)กับท่านฮุเซน(อฺ) เท่านั้น

๗๕

 ดังนั้นท่านผู้นี้จะเป็นประมุขของเรามิได้”

แล้วท่านอับดุลลอฮฺ บินมูซา ก็ได้มานั่งตรงหน้าที่ประชุม ชายคนหนึ่งได้ลุกขึ้นถามว่า

“ท่านจะกล่าวอย่างไรในเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่กระทำวิตถารทางเพศกับลาตัวเมีย?”

เขาตอบว่า

“ต้องตัดมือของเขา ต้องเฆี่ยนตีเขา และต้องเนรเทศเขาไปจากบ้านเมือง”

มีชายอีกคนกลุ่มลุกขึ้นถามต่อไปว่า

“ท่านจะกล่าวอย่างไรในเรื่องของชายคนหนึ่งที่หย่าร้างกับภรรยาของตนเท่าจำนวนของดวงดาวบนท้องฟ้า?”

เขาตอบว่า

“เขาจะอยู่ท่ามกลางนกเหยี่ยว และอยู่ท่ามกลางนกอินทรีย์”

ปรากฏว่าพวกเราตื่นตะลึงในคำตอบที่ผิดพลาดของเขา ครั้นแล้วท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)ก็ได้ เดินออกมาหาพวกเรา

 ขณะนั้นท่าน(อฺ)มีอายุเพียง ๘ ปี พวกเราลุกขึ้นแสดงความคารวะต่อท่าน(อฺ)

ท่าน(อฺ)ได้ให้สลามกับประชาชน และแล้วท่านอับดุลลอฮฺ บินมูซา ก็ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งของตนแล้ว

๗๖

กลับมานั่ง ณ เบื้องหน้าของท่าน(อฺ) ท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)ได้นั่งต่อหน้าที่ประชุมแล้วกล่าวว่า

“ท่านทั้งหลายจงตั้งคำถามมาเถิด ขอให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงเมตตาต่อพวกท่าน”

ชายคนแรกได้ลุกขึ้นถามท่าน(อฺ)ว่า

“ท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องของชายคนหนึ่งที่กระทำวิตถารทางเพศกับลาตัวเมีย ?”

ท่าน(อฺ)ตอบว่า

“ให้ตีเขา และให้เขาเสียค่าปรับตามราคาของลาตัวนั้น และถือว่าการใช้งานลาตัวนั้น ตลอดทั้งลูกของลาตัวนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม และให้นำมันออกไปให้ไกลจนกระทั่งถึงที่ที่สนัขป่ากัดกินมัน

เสีย”

หลังจากนั้นท่านอิมามญะวาด(อฺ)ได้โต้แย้งคำตอบจาก

ท่านอับดุลลอฮฺ บินมูซา ว่า

“โอ้ท่านเอ๋ย สำหรับชายคนนั้นที่เขาขุดหลุมฝังศพหญิงคนหนึ่งที่ตายไป แล้วเขาขโมยผ้ากะฝั่นชองนาง และกระทำชำเราต่อซากศพนั้นกล่าวคือจำเป็นที่เขาจะต้องถูกตัดมือเพราะเหตุว่าขโมย จำเป็นจะต้องถูกเฆี่ยนตี เพราะเหตุว่าล่วงประเวณี และจะต้องเนรเทศไปให้ไกล ถ้าหากเขาเป็นคนโสด แต่ถ้าหากเขาเป็นคนมีคู่ครองแล้ว จำเป็นจะต้องประหารชีวิตและขว้างจนตาย”

๗๗

ชายคนที่สองกล่าวอีกว่า

“โอ้บุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องของชายคนหนึ่งที่หย่าร้างกับภรรยาของตนหลายครั้งเท่าจำนวนดวงดาวในท้องฟ้า ?”

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)กล่าวว่า

“ท่านเคยอ่านอัล-กุรอานหรือไม่ ?”

ชายคนนั้นตอบว่า

“เคยอ่านครับ”

ท่านอิมามญะวาด(อฺ) กล่าวว่า

“ท่านจงอ่านซูเราะฮฺ อัฏ-ฏ่อลาก ไปจนถึงโองการที่ว่า :

“และสูเจ้าจงดำเนินการตั้งพยานยืนยันเพื่ออัลลอฮฺเถิด”

(อัฏ-ฏ่อลาก: ๒)

โอ้ท่านเอ๋ย การฏ่อลาก (หย่า) จะยังใช้ไม่ได้ นอกจากจะมีองค์ประกอบ ๕ ประการ นั้นคือ

จะต้องมีพยานที่เที่ยงธรรมตามหลักศาสนายืนยัน ๒ คน นางจะต้องอยู่ในสภาพที่สะอาดโดยมิได้ผ่านการร่วมประเวณี(ในช่วงรอบเดือนนั้น ๆ) จะต้องเป็นไปด้วยเจตนารมณ์และความตั้งใจอย่าง

แท้จริง”

๗๘

หลังจากผ่านคำตอบไปแล้ว ท่าน(อฺ)ได้กล่าวอีกว่า

“โอ้ท่านเอ๋ย ท่านเคยพบเห็นว่าในอัล-กุรอานระบุถึงจำนวนดวงดาวในท้องฟ้ากระนั้นหรือ?”

ชายคนนั้นตอบว่า

“ไม่เคยพบ”

( บิฮารุ้ลอันวารฺ เล่ม ๑๒ หน้า ๑๑๙ )

ถาม~ตอบ

เรื่องที่ ๒

ท่านอะฮฺมัด บินอะบีดาวูด หัวหน้าผู้พิพากษาในสมัยของ

ค่อลีฟะฮฺอัล-มุอฺตะศิมได้กล่าวว่า:

แท้จริงมีโจรคนหนึ่งมาสารภาพผิด และขอร้องให้ท่านค่อลีฟะฮฺดำเนินการชำระโทษด้วยการลงโทษเขา

 ครั้นแล้วบรรดานักฟุก่อฮาอ์ก็ได้เข้ามาร่วมด้วย พวกเราได้ซักถามกันถึงเรื่องหลักการตัดมือ ‘ตำแหน่งที่ตัดนั้นอยู่ ณ ตรงไหน’

ข้าพเจ้าให้ความเห็นว่า “จะต้องตัดตรงข้อมือ”

เขากล่าวว่า “หลักฐานในข้อนี้เป็นอย่างไร?”

๗๙

ข้าพเจ้าตอบว่า

“เพราะว่ามือนั้นหมายถึงนิ้วทั้งหมด และรวมถึงฝ่ามือ ไปจนถึงข้อมือ ดังที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีโองการไว้ในเรื่องการทำตะยัมมุมว่า :

“......ดังนั้นจงลูบที่ใบหน้าและมือทั้งสองข้างของสูเจ้า....”

(อัน-นิซาอ์: ๔๓)

ปรากฏว่ามีคนพวกหนึ่งเห็นด้วยกับข้าพเจ้าในข้อนี้ แต่อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า จำเป็นจะต้องตัดที่ข้อศอก เพราะอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีโองการไว้ในเรื่องการทำวุฏูอ์ว่า :

“....และมือของสูเจ้าถึงข้อศอก....”

(อัล-มาอิดะฮฺ: ๖)

แสดงให้เห็นว่า ขอบเขตของมือคือข้อศอกด้วย”

เขาจึงหันไปถามความเห็นของท่านมุฮัมมัด บินอฺะลี(อฺ) ว่า

“โอ้ ท่านอะบูญะอฺฟัร ท่านจะกล่าวอย่างไรในเรื่องนี้”

ท่านอิมามญะวาด(อฺ)กล่าวตอบว่า

“คนเหล่านั้นได้พูดถึงเรื่องนี้ไปแล้ว โอ้ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน”

เขากล่าวว่า

“ฉันไม่สนใจในสิ่งที่คนเหล่านั้นพูด แต่ฉันอยากรู้ว่า ท่านจะกล่าวอย่างไร ?”

๘๐

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130