อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก50%

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 113

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 113 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 29649 / ดาวน์โหลด: 5257
ขนาด ขนาด ขนาด
อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

อิมามมะฮ์ดี

ความหวังใหม่ของโลก

มูลนิธิ ดารฺ รอเฮ ฮัก รวบรวมและเรียบเรียง

ฮุจญตุลอิสลามซัยยิดสุไลมาน ฮุซัยนี ผู้แปล

อัลกุรอาน :

وَعَدَ اللَّـهُ الَّذِينَ آمَنُوا مِنكُمْ وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ لَيَسْتَخْلِفَنَّهُمْ فِي الْأَرْ‌ضِ كَمَااسْتَخْلَفَ الَّذِينَ مِن قَبْلِهِمْ وَلَيُمَكِّنَنَّ لَهُمْ دِينَهُمُ الَّذِي ارْ‌تَضَىٰ لَهُمْ وَلَيُبَدِّلَنَّهُم مِّن بَعْدِ خَوْفِهِمْ أَمْنًا ۚ يَعْبُدُونَنِي لَا يُشْرِ‌كُونَ بِي شَيْئًا ۚ وَمَن كَفَرَ‌ بَعْدَ ذَٰلِكَ فَأُولَـٰئِكَ هُمُ الْفَاسِقُونَ ﴿٥٥﴾

 “และอัลลอฮได้ทรงสัญญาไว้กับบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการดี (อามัลศอและห์) ในหมู่พวกเจ้า โดยจะให้พวกเขาสืบทอดอำนาจบนหน้าแผ่นดินเหมือนกับที่พระองค์ได้ทรงทำให้บุคคลก่อนหน้าเขาสืบทอดมาแล้ว และพระองค์จะเปลี่ยนความหวาดกลัวของพวกเขาให้เป็นความปลอดภัย ดังนั้นจงภักดีต่อพระองค์เพียงองค์เดียว และอย่าได้ตั้งภาคีใด ๆกับพระองค์” (อันนูร: ๕๕)

وَنُرِ‌يدُ أَن نَّمُنَّ عَلَى الَّذِينَ اسْتُضْعِفُوا فِي الْأَرْ‌ضِ وَنَجْعَلَهُمْ أَئِمَّةً وَنَجْعَلَهُمُ الْوَارِ‌ثِينَ ﴿٥﴾

 “และเราได้ประสงค์จะทำให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่ถูกกดขี่ บนหน้าแผ่นดิน โดยทำให้พวกเขาเป็นผู้นำทั้งหลาย (บรรดาอิมาม) และทำให้พวกเขาเป็นทายาทผู้สืบมรดก” (เกาะศอศ: ๕)

คำนำของผู้แปล

ความศรัทธาในเรื่องราวที่เกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี เป็นความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ (อะกีดะตุลกุบรอ) ที่มีอยู่ในอิสลาม ด้วยความศรัทธาอันนี้ก่อให้เกิดพลัง และความหวังให้กับมุสลิมที่รอคอยวันแห่งการปักธงชัยแห่ง

“ลาอิลาฮาอิลลัลลอฮ” เหนือโลกทั้งมวลให้เป็นจริง

ความศรัทธาที่ถูกต้องต่อสิ่งนี้ก่อให้เกิดความกระตือรือล้นที่จะเคลื่อนไหวในการรับใช้ศาสนา และสร้างฐานรองรับต่อการปรากฏของท่านเพื่อที่จะสถาปนารัฐอิสลามขึ้นมาบนโลก ซึ่งเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของมุสลิมทุกคน

การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านได้ประสบความสำเร็จ ก็เกิดมาจากความศรัทธา และเข้าใจถูกต้องโดยเรื่องของอิมามมะฮ์ดีและเป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ช่วยให้การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้

บรรดาศัตรูของอิสลามรู้ดีว่าอะกีดะฮ์ อันนี้เป็นอันตรายต่อแผนการร้ายของพวกเขา และเป็นก้างที่ขวางคอพวกเขาในการคิดที่จะครองโลกเพราะตราบใดที่อะกีดะฮ์อันนี้ยังมีอยู่อย่างถูกต้องในหัวใจของมุสลิม แผนการของพวกเขาก็ไปไม่ถึงเป้าหมาย

   ดังนั้นบรรดาศัตรูของอิสลามจึงได้พยายามหาวิถีทางในการที่จะกำจัดเอาอะกีดะอ์อันนี้ออกไปจากหัวใจของมุสลิมและผู้ที่สนองรับนโยบายอันชั่วช้านี้ได้ดีที่สุด ก็คือบรรดามุสลิมผู้โง่เขลาและไร้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องของอิสลาม โดยวิธีการสร้างมะฮ์ดีตัวปลอมหรือบิดเบือนความจริงที่เกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดีอย่างที่บางพวกได้อุตริขึ้นพวกหนึ่งได้พยามยามที่จะชี้ให้เห็นว่าใครก็เป็นมะฮ์ดีได้ ถ้าเขามาเพื่อปรับปรุงศาสนา และอีกหลายๆ พวกที่จะมีมา ได้พยายามที่จะสร้างมะฮ์ดีตัวปลอมขึ้นมาในขณะที่ความชัดแจ้งของฮะดีษที่มีอยู่ในทุกมัซฮับ (นิกาย) นั้น ทั้งชื่อ และเชื้อสายของอิมามมะฮ์ดีได้รับการยืนยันว่า เขาคือผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากท่านศาสดา (ศ) และเป็นลูกหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ)

หนังสือเล่มนี้ได้ถูกเขียนโดย คณะอุละมาอ์แห่งสถาบันทางแห่งสัจธรรม (ดารฺ รอเฮ ฮัก) ซึ่งเป็นสถาบันศาสนาที่สาคัญอันหนึ่งของเมืองกุม

 มีอุละมาอฺ และนักปรัชญาหลายท่านได้ถูกผลิตออกมาจากสถาบันนี้

ดังนั้นเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้จึงมีความแน่นอนในความถูกต้องของเนื้อหา และหลักฐานด้วยความหวังที่จะเสนอสัจธรรมอันยิ่งใหญ่นี้ให้กับผู้อ่านทุกท่าน ที่ประสงค์จะมีความเข้าใจให้ถูกต้องในเรื่องของอิมามมะฮ์ดีเพื่อจะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากอะกีดะฮ์อันนี้

ด้วยสลามและดุอา

ซัยยิดสุไลมาน ฮุซัยนี

ชีวประวัติ

ชื่อของท่าน : เป็นคำสั่งเสียจากบรรดาอิมามมะอฺศูม ไม่ให้เรียกชื่อเต็มของท่าน ตราบใดที่ท่านยังไม่ปรากฏ และให้เรารู้แต่เพียงว่าชื่อของท่านเหมือนกับชื่อของรอซูลุลลอฮ ฉายาเดียวกันกับรอซูลุลลอฮ

ฉายาต่าง ๆ ของท่าน : ฉายาที่ดัง และป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือ “มะฮ์ดี”,

 “กออิม”, “ฮุจญัต” และบะกียะตุ้ลลอฮ”

บิดาของท่าน : คือท่านอิมามฮะซัน อัสการี (อ.) อิมาม ที่ ๑๑

มารดาของท่าน : ท่านหญิงผู้ทรงเกียรติ หลานสาวของไกเซอร์แห่งโรม มีนามว่า “นัรญิส”

สถานที่กำเนิด : เมืองซามัรรอ ประเทศ อิรัก วันที่ ๑๕ เดือน ชะอฺบาน

ฮิจเราะฮ์ที่ ๒๕๕ (ซี่งจนถึงปัจจุบันอายุหนึ่งพันหนึ่งร้อยหกสิบปี และอายุของท่านจะยืนยาวต่อไปตราบเท่าที่อัลลอฮทรงประสงค์ จนกระทั่งถึงวันแห่งการปรากฏตัวของท่าน เพื่อนำความสันติ และยุติธรรมมาสู่ชาวโลก)

ความเชื่อในมะฮ์ดี ผู้ถูกสัญญาในศาสนาต่าง ๆ

ความเชื่อในอิมามมะฮ์ดีผู้ถูกสัญญาในลักษณะที่ว่าจะมีบุรุษหนึ่งจากพระผู้เป็นเจ้ามาปลดปล่อยชาวโลกให้พ้นทุกข์โศกนั้นเป็นความเชื่อที่มีอยู่ในทุกศาสนา และทุกนิกาย มีได้มีอยู่ในแนวทางของซีอะฮ์เท่านั้น แต่ความเชื่ออันนี้นั้นมีอยู่ในพี่น้องซุนหนี่ และในศาสนาของยะฮูดี คริสเตียนพวกมะยูซี ฮินดู ซึ่งพวกเขาทั้งหมดยอมรับโดยทั่วไปว่า จะมีมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้ามาปลดปล่อยชาวโลกให้พ้นจากทุกข์โศก และพวกเขาทุกคนก็กำลังรอคอยมหาบุรุษผู้นี้อยู่

ในคัมภีร์ “ตี้ด” ของชาวฮินดู ได้กล่าวไว้ว่า “หลังจากที่โลกนี้ได้เข้าสู่ยุคเสื่อมโทรมที่สุด กษัตริย์หนึ่งจะปรากฏขึ้นในยุคสุดท้ายเข้าคือผู้นำแห่งศีลธรรม เขามีชื่อว่า “มันศูร” เขาจะพิชิตโลก และทำให้โลกทั้งหมดอยู่ภายใต้ศาสนาของเขา ทั้งผู้ศรัทธาและไม่ศรัทธาจะรู้จักเขา เขาประสงค์สิ่งใดจากพระเจ้าเขาจะได้รับสิ่งนั้น”

ในคัมภีร์ “ญามาซบ์” ของชาวโซโรอัสเตอร์ ได้กล่าวไว้ว่า “บุรุษหนึ่งจากลูกหลานของฮาชิม จะปรากฏขึ้นบนหน้าแผ่นดิน ผู้มีร่างกายกำยา และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ยืนหยัดอยู่ในศาสนาของตาของเขา จะนำความเจริญมาสู่อิหร่าน และจะทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยระเบียบกฏเกณฑ์จนถึงขั้นที่หมาป่าจะกินน้าเคียงข้างลูกแกะได้”

ในคัมภีร์ “ซันด์” ซึ่งเป็นอีกนิกายหนึ่งของ โซโรอัสเตอร์ ได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อชัยชนะของพระเจ้ามาถึง บรรดามารร้าย และสาวกของมัน จะถูกพันธนาการไว้กับแผ่นดิน และไม่มีทางเข้าสู่สรวงสวรรค์ และหลังจากชัยชนะอันนี้โลกจะเข้าสู่ความสาเร็จอย่างแท้จริง และลูกหลานของอาดัม จะนั่งอยู่บนบังลังก์แห่งความผาสุกตลอดไป”

 ในคัมภีร์ “เตารอด” บทที่ ๒๐:๑๗ ได้กล่าวถึงอิมามสิบสองจากลูกหลานของอิสมาอีลจะปรากฏขึ้น

ในคัมภีร์ “ซะบูร” ของท่านนบีดาวูด ได้กล่าวว่า “ส่วนผู้ที่จะศอและห์เท่านั้นจะเป็นทายาทบนหน้าแผ่นดิน และเขาจะอยู่ในนั้นตลอดไป”

ซึ่งตรงกันกับโองการอัลกุรอานที่ว่า

وَلَقَدْ كَتَبْنَا فِي الزَّبُورِ‌ مِن بَعْدِ الذِّكْرِ‌ أَنَّ الْأَرْ‌ضَ يَرِ‌ثُهَا عِبَادِيَ الصَّالِحُونَ ﴿١٠٥﴾

 “และเราได้บันทึกไว้ใน “ซะบูร” หลังจาก (ที่ได้บันทึกไว้แล้วใน)

 เตารอต ว่าแท้จริงบ่าวผู้ศอและห์ของข้าเท่านั้นที่จะเป็นทายาทบนหน้าแผ่นดิน”

 (อัมบิยาอฺ: ๑๐๕)”

และอีกโองการหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า

وَعَدَ اللَّـهُ الَّذِينَ آمَنُوا مِنكُمْ وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ لَيَسْتَخْلِفَنَّهُمْ فِي الْأَرْ‌ضِ كَمَا اسْتَخْلَفَ الَّذِينَ مِن قَبْلِهِمْ وَلَيُمَكِّنَنَّ لَهُمْ دِينَهُمُ الَّذِي ارْ‌تَضَىٰ لَهُمْ وَلَيُبَدِّلَنَّهُم مِّن بَعْدِ خَوْفِهِمْ أَمْنًا يَعْبُدُونَنِي لَا يُشْرِ‌كُونَ بِي شَيْئًا وَمَن كَفَرَ‌ بَعْدَ ذَٰلِكَ فَأُولَـٰئِكَ هُمُ الْفَاسِقُونَ ﴿٥٥﴾

 “และอัลลอฮฺได้ทรงสัญญาไว้กับบรรดาผู้ศรัทธา และประกอบการดี (อามัสศอและห์) ในหมู่พวกเจ้า โดยจะให้พวกเขาสืบทอดอานาจบนหน้าแผ่นดิน เหมือนกับที่พระองค์ได้ทรงทาให้บุคคลก่อนหน้าเขาสืบทอดมาแล้ว และพระองค์จะเปลี่ยนความหวาดกลัวของพวกเขาให้เป็นความปลอดภัย ดังนั้นจงภักดีต่อพระองค์เพียงพระองค์เดียว และอย่าได้ตั้งภาคีใด ๆ กับพระองค์” (อันนูร: ๕๕)

อีกโองการหนึ่งได้กล่าวว่า

وَنُرِ‌يدُ أَن نَّمُنَّ عَلَى الَّذِينَ اسْتُضْعِفُوا فِي الْأَرْ‌ضِ وَنَجْعَلَهُمْ أَئِمَّةً وَنَجْعَلَهُمُ الْوَارِ‌ثِينَ ﴿٥﴾

 : “และเราได้ประสงค์ที่จะทำให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่ถูกกดขี่บนหน้าแผ่นดิน โดยทำให้พวกเขาเป็นผู้นาทั้งหลาย (บรรดาอิมาม) และทำให้พวกเขาเป็นทายาทผู้สืบมรดก” (เกาะศอศ: ๕)

ซึ่งโองการเหล่านั้นทั้งหมดที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นเป็นข้อพิสูจน์อย่างเพียงพอ ที่จะกล่าวว่า สุดท้ายแล้ว วันหนึ่งโลกจะตกอยู่ในมือผู้เหมาะสมของบ่าวของพระเจ้า และมรดกแห่งอำนาจอันนี้จะกลับไปสู่พวกเขา และจะเป็นวันที่ตำแหน่งผู้นำ และผู้ปลดปล่อยชาวโลก จะมาถึงมือของเขา” มนุษย์ได้เดินหลงจากทางนำแห่งพระเจ้าเข้าสู่จุดเสื่อมสูงสุดของความเป็นมนุษย์และไร้จริยธรรม ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรหลงเหลืออีกแล้วในความเป็นมนุษย์และไร้จริยธรรม ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรหลงเหลืออีกแล้วในความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงที่มีคุณธรรมและศีลธรรม และในไม่ช้ามนุษย์จะพบว่าการใช้กำลังหรืออำนาจ หรือ ความรู้และวิชาการทางด้านวัตถุหรือเทคนิคต่าง ๆ ของมัน จะไม่สามารถทำให้โลกนี้มีระเบียบหรือความยุติธรรม จนไปสู่ความสำเร็จสูงสุดได้

 นอกเสียจากว่าพวกเขาจะต้องเปลี่ยนฟฤติกรรม และการเป็นอยู่ให้เป็นไปตามพื้นฐานของความศรัทธา และยอมรับการชี้นำ และอำนาจของพระเจ้า และยอมรับผู้นำแห่งพระเจ้า เพื่อที่จะนำพวกเขาฝ่าฟันอันตราย

ต่าง ๆ เข้าสู่ทางแห่งความรอดพ้นของมนุษย์ชาติ นำโลก และมนุษยชาติเข้าสู่การปกครองที่สมบูรณ์แบบซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมและสันติภาพ

ความศรัทธาในมะฮ์ดี ผู้ถูกสัญญา (อ.)จากหลักฐานต่างๆ

ในอิสลาม

ท่านรอซูล และบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ ได้รายงานเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับท่านอิมามมะฮ์ดี ทั้งในแง่ที่เกี่ยวกับการหายตัว (ฆ็อยบะฮ์) การปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่ง การต่อสู้ของท่าน และบุคลิกภาพต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี ซึ่งรายงานเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดอย่างแพร่หลายจากบรรดาสาวก และสหายของรอซูล และอิมามผู้บริสุทธิ์

 เจ้าของหนังสือ “อัลอิมามอัล-มะอ์ดี” ได้บันทึกชื่อของศอฮาบะอ์ ๕๐ ท่าน ชื่อของตาบิอีนอีก ๕๐ ท่านที่ได้ทำการรายงานหะดีษที่เกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี

๑๐

บรรดากวีมุสลิมได้เขียนบทกวีไว้อย่างมากมายที่เกี่ยวกับท่านอิมาม และส่วนมากของบทกวีนั้นได้เขียนก่อนประสูติของท่านอีมามมะฮ์ดีนับศตวรรษ

“กูเมต อัลอะซะดีย์” นักกวีเอกคนหนึ่งของชีอะฮ์ ได้แต่งบทกวีบรรยายเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี ต่อหน้าท่านอิมามบากิร (อ) และยังได้ถามท่าน

อิมามบากิร (อ.) เกี่ยวกับเวลาที่อิมามจะปรากฏ

“ดิอ์บัล อัลคุซาอี” กวีเอกอีกท่านหนึ่งที่ได้แต่งบทกวีเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี ต่อหน้าท่านอิมามริฏอ (อ) ซึ่งคุซาอี ได้กล่าวขึ้นว่า

“ถ้าไม่ใช่เพราะความหวังที่ฉันมีในวันนี้หรือพรุ่งนี้ (หมายถึงการมาของท่านอิมามมะฮ์ดี)

หัวใจของฉันก็ต้องสลายไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเขา (หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับอะหฺลุลบัยต์) (ความหวังนั้นก็คือ) การปรากฏของอิมามท่านหนึ่งซึ่งไม่มีข้อสงสัยในการปรากฏขึ้น

เขาจะยืนหยัดด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ และจากบารอกัตของพระองค์ (และเขา) จะเป็นผู้แยกแยะในหมู่พวกเราระหว่างสัจธรรมกับความเท็จ และเขา จะเป็นผู้ตอบแทนรางวัล และบทลงโทษ”

๑๑

หลังจากที่ คุซาอี ได้อ่านกวีบทนี้จบ ท่านอิมามริฏอ (อ) จึงได้กล่าวกับเขาว่า

“โอ้ คุซาอี เอ๋ย บทกวีบทนี้ พระเจ้าเป็นผู้ใส่มันลงไปในปากของเจ้า

 เจ้ารู้ไหมว่าอิมาม คือใคร? คุซาอี ได้ตอบว่า : ฉันไม่รู้ ฉันรู้แต่เพียงว่า จะมีอิมามหนึ่งจากลูกหลานของท่าน ปรากฏขึ้นและเขาจะทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความสันติ และยุติธรรม”

ท่านอิมามริฏอ (อ) จึงกล่าวขึ้นว่า: โอ้ คุซาอี อิมามหลังจากฉันคือมุฮัมมัด

(อิมามญะวาด) บุตรชายของฉัน และหลังจากเขาก็คือบุตรชายของเขา ฮะซัน (อิมาม ฮาตี) และหลังจากเขา (อะลี) ก็คือบุตรชายของเขา ฮะซัน

 (อิมามอัสการี) และหลังจากเขา (ฮะซัน) ก็บุตรชายของเขา ซี่งในการเร้นหายของเขาจะต้องรอคอย และในการปรากฏของเขาจะต้องภักดี และถึงแม้ว่าโลกนี้จะมีเวลาเหลืออยู่อีกเพียงวันเดียว อัลลอฮฺก็จะทำให้วันนั้นยืดยาวจนกระทั่งกออิม (อิมามมะฮ์ดี) ปรากฏและทำให้โลกเต็มไปด้วยความสันติ และยุติธรรมหลังจากที่มันได้เต็มไปด้วยความอธรรม และการกดขี่

และบางครั้งบรรดานักกวี หรือ ลูกศิษย์ของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ได้ถามกับท่านอย่างตรงไปตรงมาว่าท่าน หรือเปล่าที่เป็น “กออิม” หรือท่านหรือเปล่า คือ มะฮ์ดี ผู้ถูกรอคอย (อัลมุนตะซ็อร) ดังนั้นบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ ก็จะทำการตอบชี้แจง สิ่งที่เกี่ยวกับอิมาม กออิม (มะฮ์ดี) ตามความเหมาะสมของเวลาและโอกาส

๑๒

และจากการที่ฮะดีษที่เกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในหมู่สลิม จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดมีการกล่าวอ้างเท็จขึ้นเกี่ยวกับการเป็น อัล-มะฮ์ดี หรือ นาเอาสิ่งนี้ไปใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด ตั้งแต่ในสมัยที่อิมามมะฮ์ดีจริงยังไม่ประสูติ อย่างเช่นพวก “กิซานียะฮ์” แต่ซึ่งพวกนี้นั้นเกิดขึ้นมาก่อนที่ท่านอิมามมะฮ์ดี จะถือกำเนิดถึง ๒๐๐ ปี โดยพวกเขาได้อ้างว่า “มุหัมมัด อัลฮะนาฟียะฮ์” คืออิมามมะฮ์ดี ผู้ถูกรอคอย และได้เชื่อกันว่าได้เร้นหายไป และจะกลับมาปรากฏอีกครั้งหนึ่งโดยได้นำฮะดีษ และหลักฐานต่าง ๆ จากท่านรอซูล(ศ) และอิมามผู้บริสุทธิ์ได้พูดถึงมะฮ์ดีตัวจริง มาเป็นข้อกล่าวอ้าง และพวกราชวงศ์อับบาซียะฮ์ ก็ได้สร้างเรื่องเท็จในทำนองนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในสมัยของเคาะลีฟะห์ “มะฮ์ดี อับบาซี” ซึ่งได้ตั้งชื่อตัวเองว่า “มะฮ์ดี” เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากการที่ประชาชาติ

รอคอยท่านอิมามมะฮ์ดีตัวจริง

อุละมาอ์สุนหนี่ และชีอะห์ได้บันทึกฮะดีษที่เกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดีไว้อย่างมากมาย จาก “มุสนัด อะห์มัด อิบนิ ฮัมบัล” และ “เศาะหี้หฺบุคอรี” เป็นส่วนหนึ่งจากหนังสือฮะดีษที่มาตรฐานของ อะห์ลิซซุนนะห์ ที่ได้เขียนขึ้นก่อนการถือกำเนิดของท่านอิมามมะฮ์ดี และหนังสือ ทั้งสองเล่มนี้ก็ได้รายงานหะดีษต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดีไว้เป็นจำนวนมาก

๑๓

หนังสือ “มะชีเคาะฮ์ เขียนโดย ฮะสัน บิน มะฮ์บูบ ซึ่งเชคฏ็อบริซีย์ ได้กล่าวไว้ว่า “หนังสือเล่มนี้ได้เขียนขึ้น ๑๐๐ ปี ก่อนการเร้นหายครั้งใหญ่

 (ฆ็อยบะตุลกุบรอ) ของท่านอิมามมะฮ์ดี ซี่งในหนังสือเล่มนี้ได้รายงานเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเร้นหายของท่านอิมามมะฮ์ดี”

และเชคฏูซีได้กล่าวต่อไปอีกว่า “หะดีษต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเร้นหายของท่านอิมามมะฮ์ดี ได้ถูกบันทึกไว้อย่างมากมายโดยนักฮะดีษชาวชีอะฮ์ ตั้งแต่สมัยของท่านอิมามบากิร และอิมาม ญะอ์ฟัร (อ)

นักวิชาการชาวชีอะฮ์และสุนหนี่ได้เขียนหนังสือไว้อย่างมากมายเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดีผู้ถูกสัญญา ซึ่งบางเล่มได้เขียนขึ้นก่อนการถือกำเนิดของท่านอิมามะฮ์ดี (อ)

รอวาญานี อุละมาอฺชาวสุนหนี่ มรณะในปีที่ ๒๕๐ ฮิจเราะฮ์ ได้เขียนหนังสือ “อัคบารรุลมะฮ์ดี” ไว้ตั้งแต่ก่อนการถือกำเนิดของท่านอิมาม

มะฮ์ดี ในหมู่อุละมาอฺชีอะฮ์ ก็เช่นกัน ท่านอันมาฏีและ มุฮัมมัด บิน

อัลฮะซัน บิน มะฮ์บูบ ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการถือกำเนิด และการเร้นหายของท่านอิมามมะฮ์ดี ไว้ตั้งแต่ก่อนการถือกำเนิด และเร้นหายของท่านอิมาม

๑๔

ฮะดีษ และเรื่องของท่านอิมามมะฮ์ดีนั้นมีมากมาย และเป็นเรื่องชัดแจ้งที่สุดเรื่องหนึ่งในอิสลาม ซี่งเป็นการยากที่จะหาเรื่องอื่น มาเปรียบเทียบถึงความชัดแจ้งของมัน นอกเหนือจากอุละมาอ์ชีอะฮ์เองแล้ว อุละมาอ์สุนหนี่จำนวนมากยอมรับว่า ฮะดีษที่เกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี นั้นชัดแจ้งถึงขั้น

มุตะวาติร อย่างเช่นท่านบัยฮะกีย์  อุลามะอฺชาวสุนนะห์เจ้าของหนังสือ “มะนากิบุชชาฟิอี” มรณภาพเมื่อปีที่ ๓๖๓ แห่งฮิจเราะฮ์

ท่านได้กล่าวไว้ว่า : ฮะดีษที่เกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี ที่รายงานจากท่านรอซูลแห่งอัลลอฮ์นั้นความชัดแจ้งของมันถึงขั้น “มุตะวาติร”

เจ้าของหนังสือ “อิมามมะฮ์ดี” ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่านว่า:

 ถ้าเรารวบรวมริวายะฮ์ต่างๆ ที่รายงานโดยทั้งชีอะฮ์ และสุนหนี่ที่เกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี เราจะพบว่ามันมีมากกว่าหกพันฮะดีษ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ยิ่งใหญ่อย่างมากตัวหนึ่ง ซึ่งแม้แต่เรื่องสำคัญอื่นๆ ในอิสลามที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปไม่มีข้อแย้ง และสงสัยเลยในการยอมรับมัน ก็ยังไม่มีรายงานถึงหกพันฮะดีษ

ดังนั้น บนพื้นฐานเหล่านี้ มุสลิมตั้งแต่ยุคแรกของอิสลามได้รับรู้ และเข้าใจถึงสัญญาอันยิ่งใหญ่นี้ และโดยเฉพาะชีอะฮ์ ผู้ได้รับการฝึกฝนจากครอบครัวอันบริสุทธิ์ (อะฮ์ลุลบัยต์) มีความเชื่อที่มั่นคง และสมบูรณ์ได้ทำการรอคอยการกำเนิด และการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของท่านอิมามมะฮ์ดี ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา

๑๕

หลักฐานจากฮะดีษต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี นั้นได้ชี้ชัดให้รู้ว่า ท่านอิมามมะฮ์ดีนั้นมาจากบะนีฮาชิม เป็นลูกหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ) สืบเชื้อสายมาจากสายเลือดของผู้นำแห่งบรรดาซะฮีดอิมามฮุเซน (อ)

พ่อของท่านชื่อ ฮะซัน (อิมามอัสการี) ส่วนชื่อท่านอิมามมะฮ์ดีนั้นมีชื่อ และฉายา เหมือนกับชื่อ และฉายาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อด) การกำเนิด และการมีชีวิตของท่านเป็นความลับ

 การเร้นหาย (ฆ็อยบะฮ์) มีสองครั้งซึ่งครั้งแรกเป็นระยะเวลาอันสั้น

 (ฆ็อยบะตุลศุฆรอ) และครั้งที่สองเรียกกว่า “ฆ็อยบะตุลกุบรอ” ซึ่งเป็นการเร้นหายที่มีระยะเวลาอันยาวนานตราบเท่าที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ และด้วยคำสั่งของพระองค์จะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำการปฏิวัติ และนำโลกเข้าสู่การปกครองของอิสลาม และจาทำให้โลกเต็มไปด้วยความสันติ และยุติธรรมหลังจากที่มันได้เต็มไปด้วยความ อยุติธรรม และการกดขี่

โดยในฮะดีษเหล่านี้ ได้อธิบายอย่างละเอียดถึงบุคลิกรูปร่าง และหน้าตาของอิมามคนที่สิบสองท่านนี้ ซึ่งเราจะนำมาเป็นตัวอย่างดังนี้

๑๖

ตัวอย่างจากฮะดีษของอะฮฺลิซสุนนะฮ์

๑. ท่านศาสดา (ศ็อล) ได้ย้ำถึงความแน่นอนของการปรากฏตัวของท่าน

อิมามมะอ์ดี ว่า: ถึงแม้ว่าโลกนี้มีเวลาเหลืออีกเพียงวันเดียวอัลลอฮฺ ก็จะส่งชายคนหนึ่งจากเรา มาบนโลกนี้ และจะทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความยุติธรรม หลังจากที่มันได้เคยเต็มไปด้วยความอยุติธรรม และการกดขี่

(จากมุสนัด อะห์มัด อิบนิ ฮัมบัล)

 

๒. ท่านศาสดา (ศ็อล) กล่าวไว้ว่า: วันกิยามัตจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าชาย

คนหนึ่งจากอะห์ลุลบัยต์ของฉัน จะปรากฏตัว และทำให้ภารกิจของฉันสมบูรณ์ด้วยมือของเขา ชื่อของเขาเหมือนชื่อของฉัน

(จากมุสนัด อะหมัด อิบนิ ฮัมบัล)

๓. ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อล) ได้กล่าวว่า: เหมือนกับที่อะลีเป็นผู้นำหลังจากฉัน กออิม อัลมุนตะซ็อร (อิมามมะฮ์ดี) ก็คือผู้นำจากฉัน เมื่อตอนที่เขาปรากฏตัวเขาจะทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความสันติ และยุติธรรมหลังจากที่มันได้เต็มไปด้วย ความอธรรม และการกดขี่ ขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ว่า ผู้ที่สามารถจะยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อศาสนาในช่วงของการเร้นหายของเขานั้นหายากยิ่งกว่าเหล็กไหลเสียอีก

๑๗

ท่านญาบีร ได้ลุกขึ้นถามว่า : โอ้ ศาสดาแห่งอัลลอฮฺ “กออิม” ลูกหลานของท่านมีการเร้นหายด้วยหรือ?

ท่านศาสดา ตอบ : แน่นอนขอสาบานด้วยพระผู้อภิบาลของฉัน ผู้ศรัทธาจะถูกทดสอบจนบริสุทธิ์ และผู้ปฏิเสธจะถูกทำให้พินาศโอ้ ญาบีรเอ๋ย เรื่องนี้นั้นเป็นความลับอันหนึ่งจากความลับทั้งหลายจากอัลลอฮ์ ดังนั้นจงหลีกห่างจากความสงสัย เพราะการสงสัยในกิจกรรมของอัลลอฮ์นั้นเป็นการปฏิเสธ (กุฟร์)

(จากหนังสือ “ยานะบีอุล มะวัดดะฮ”)

๔. ท่านหญิงอุมมุ ซะละมะฮ์ ได้รายงานว่า ท่านเราะสูลุลลอฮ (ศ็อล) ได้พูดถึงมะฮ์ดีผู้ถูกสัญญา และย้ำว่า: แน่นอนมันเป็นเรื่องจริง และเขาจะมาจากลูกหลานของฟาฏิมะฮ์

๑๘

๕. ท่านซัลมาน อัลฟาริซี ได้กล่าวว่า วันหนึ่งฉันได้ไปหาท่าน

รอสูลุลลอฮฺ (ศ็อล) และพบว่า ฮุเซนลูกของอะลีนั่งอยู่บนตักของท่านศาสดา และท่านก็ได้จูบไปที่ดวงตา และริมฝีปากของฮุเซน และกล่าวขึ้นว่า: เจ้าคือซัยยิดลูกของซัยยิด และน้องของซัยยิด เจ้าคืออิมามลูกของอิมาม และน้องของอิมาม เจ้าคือฮุจญัตของอัลลอฮ์ ลูกของฮุจญัต และน้องของฮุจญัต (บทพิสูจน์แห่งอัลลอฮ์) และเจ้า (ฮุเซน) คือบิดาของเก้าฮุจญัตแห่งอัลลอฮ์ ซึ่งคนที่เก้านั้นคือ กออิม (อิมามมะฮ์ดี)

(จากหนังสือ “ยะนาบีอุล มะวัดดะฮ์”

๖. ท่านอิมามริฏอ (อ) ได้กล่าวว่า: คอลาฟุศ-ศอและห์ คือลูกของฮะซัน บินอะลี อัลอัสการี และคือมะฮ์ดีผู้ถูกสัญญา

(จากหนังสือ “ยะนาบีอุล มะวัดดะฮ์”

๗. ท่านรอซุลลุลอฮ (ศ็อล) ได้กล่าวว่า: ขอแจ้งข่าวดีให้แก่พวกเจ้าในเรื่องของมะฮ์ดี เขาจะปรากฏขึ้นในอุมมะฮ์ของฉันในขณะที่อุมมะฮ์กำลังแยกและสั่นคลอน เขาจะทาให้โลกนี้เต็มไปด้วยความยุติธรรม หลังจากที่มันได้เต็มไปด้วยความอธรรม และการกดขี่ ทั้งชาวฟ้า และชาวดิน จะมีความสุขและพึงพอใจต่อเขา

(จากมุสนัด อะหมัด อิบนิ ฮัมบัล)

๑๙

๘. ท่านอิมามริฏอ (อ) ได้กล่าวว่า : ไม่มีศาสนาสาหรับผู้ที่ไม่มีตักวา และผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมูสูเจ้า ณ อัลลอฮ์ นั้นคือผู้ที่มีตักวามากกว่า : หลังจากนั้นท่านอิมามได้กล่าวเสริมขึ้นว่า : หลานคนที่ ๔ จากวงศ์วานของฉัน เป็นบุตรของหญิงที่เป็นทาส ซึ่งอัลลอฮฺจะให้เขาเป็นผู้ทำความสะอาดโลก จากความอยุติธรรมและการกดขี่ และเขาคือผู้ที่ประชาชนจะสงสัย และลังเลเกี่ยวกับการกำเนิดของเขา เขาคือเจ้าแห่งการเร้นหาย (ฆ็อยบะฮ์) และเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งเขาทำให้โลกนี้สว่างไสวด้วยรัศมีแห่งอัลลอฮฺ และเขาจะเป็นผู้วางตาชั่งแห่งความยุติธรรมในหมู่ประชาชาติ และในวันนั้นจะไม่มีผู้ใดสามารถที่จะทำการละเมิดหรือกดขี่ใดได้อีก

(จากหนังสือ “ยะนาบีอุล มะวัดดะฮ์”

๙. ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน อะลี (อ) ได้กล่าวว่า: อัลลอฮ์จะทำให้กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งพวกเขารักพระองค์ และอัลลอฮ์ก็ทรงรักพวกเขา และพระองค์จะทำให้พวกเขาได้รับอำนาจการปกครองจากพระองค์

คนหนึ่งจากหมู่พวกเขาจะถูกปิดซ่อนเร้นเอาไว้ และเขาผู้นั้นคือมะฮ์ดี

ผู้ถูกสัญญาไว้ซึ่งเขาทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความสันติ และความยุติธรรมโดยปราศจากความลำบากใด ๆ สำหรับเขาในการนี้ ในวัยทารกเขาจะห่างไกลจากบิดา และมารดา.. และเขาจะพิชิตเมืองต่างๆ ของมุสลิมด้วยสันติ โลกในวันนั้นพร้อมแล้วที่จะรองรับเขา คำพูดของเขาจะได้รับการต้อนรับ ทั้งคนหนุ่ม และแก่จะภักดีต่อเขา

๒๐

นอกจากการดำรงไว้ซึ่งอิสลาม ตามแนวทางที่ท่านศาสดาวางไว้ ท่านแสดงความรับผิดชอบตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายสำหรับท่านแต่ผู้เดียวจากพระผู้ทรงสร้าง และได้ทำตามพระประสงค์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

มารดาของมูซา (โมเสส) ไม่สามารถทนต่อการพรากจากลูกน้อยของเธอได้ แต่สำหรับท่านหญิงซัยนับต้องพลัดพรากจากลูกชายสุดที่รักทั้งสองจากการถูกสังหาร และยังต้องเห็นสภาพของสมาชิกในครอบครัวของท่านถึง ๑๗ ชีวิต ต้องถูกตัดขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ศีรษะถูกเสียบไว้ที่ปลายหอก

ท่านศาสดาได้รวมท่านหญิงไว้ในครอบครัววงศ์วานของท่าน

(อะฮ์ลุลบัยต์) ท่านหญิงสมควรที่จะได้รับสิทธิในคำกล่าวอำนวยพร (ซอละวาต) ที่เรากล่าวหลังการนมาซ เพราะท่านหญิงคือส่วนหนึ่งของท่านศาสดาและเป็นทายาทที่ใกล้ชิดของท่าน

๒๑

ความมหัศจรรย์

รายงานต่อไปนี้ถูกบันทึกโดย ท่านฮัจญีซัยยิด มุฮัมมัด บากิรแห่งสุลตอนสานาบาด ซึ่งปรากฏในหนังสือ ‘ดารุสสลาม ของฮัจญีมิรซาฮูเซน นูรี และยังปรากฏในหนังสือ ‘กุลซาร อัคบารี’ ท่านได้บันทึกไว้ว่า

 “เมื่อตัวฉันกำลังศึกษาศาสนาอยู่ที่เมืองบูรูกาด ในอิหร่าน ฉันได้ล้มป่วยลง มีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรงที่ดวงตา จึงต้องกลับไปยังบ้านเกิด และที่นั่นฉันได้รับคำแนะนำให้ไปที่กัรบะลา เพื่อรับการรักษาโรคนี้ ฉันจึงเดินทางไปอิรัก ในช่วงหลังนี้อาการอักเสบหนักขึ้น จนต้องใช้พลาสเตอร์ปิดตาไว้

วันหนึ่งฉันนอนหลับไป ในความฝันฉันมองเห็นท่านหญิงซัยนับ ท่านหญิงเข้ามาใกล้ฉันและใช้ชายผ้าคลุมศีรษะของท่านลูบไปบนดวงตาของฉัน เมื่อฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้น รู้สึกว่าอาการปวดที่ตาหายไปและรู้สึกสบายขึ้น

ในตอนเช้าฉันได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้แสวงบุญคนอื่นๆ ฟัง และเพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริง

๒๒

พวกเขาได้เปิดพลาสเตอร์ที่ปิดตาของฉันออก และพบว่าดวงตาของฉันหายบวมและกลับสู่สภาพปกติเหมือนเดิม ฉันขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าในการช่วยเหลือ โดยการขอการสงเคราะห์ (ชะฟาอะฮ์) ผ่านท่านหญิงซัยนับ”

ความรู้ของบรรดาวงศ์วานของท่านศาสดา (อะฮ์ลุลบัยต์) ได้รับโดยตรงจากพระผู้เป็นเจ้า พวกท่านไม่เคยได้รับจากผู้อื่น พวกท่านสามารถรับรู้เรื่องราวเหตุการณ์ทั้งในอดีตและอนาคต และถ้าจำเป็นพวกท่านก็จะเป็นกลุ่มแรกที่แจ้งให้ผู้คนของท่านทราบเหตุการณ์นั้นๆ ท่านจะแนะนำชี้แนะพวกเขาสู่

แนวทางที่เที่ยงตรงและถูกต้อง จะสอนพวกเขาให้ดำเนินชีวิตไปตามแนวทางที่ท่านศาสดาวางไว้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มีความรอบรู้และลึกซึ้งในคำสอนของศาสนาเหมือนกับบรรดาอิมาม

ท่านหญิงซัยนับ ก็ได้สืบทอดมรดกในคุณสมบัตินี้มาจากมารดาของท่าน ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่แน่ชัดว่า ท่านหญิงซัยนับมีความสามารถเทียบเท่าบรรดาอิมาม

๒๓

สิ่งที่เป็นข้อพิสูจน์เหนือความสงสัยทั้งปวงก็คือ สุนทรพจน์ของท่านหญิงที่เมืองกูฟะฮ์ หลังจากอิมามซัยนุลอาบิดีนได้ยินคำปราศรัย ท่านจึงกล่าวว่า

 “ด้วยการสรรเสริญต่ออัลลอฮ์ ท่านอามีความรู้ในเรื่องพระผู้เป็นเจ้า โดยไม่ต้องเรียนรู้มาจากผู้ใดในโลกนี้ นอกจากพระเจ้าเป็นผู้ประทานวิทยปัญญาให้กับอา”

ขณะท่านอยู่ที่เมืองกูฟะฮ์ ท่านได้จัดชั้นเรียนขึ้นเพื่อสอนบรรดาสตรีให้เข้าใจความหมายอัล กุรอาน พร้อมทั้งอบรมเกี่ยวกับเรื่องของศาสนา ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านหญิงกำลังอธิบายความหมายของอัลกุรอานในบทที่มีอักษร กาฟ ฮา ยา อีน ซ๊อด อิมามอะลีบิดาของท่านเดินผ่านมาจึงหยุดฟัง และได้ยินว่า ท่านหญิงกำลังอธิบายบทนี้นี้อยู่ เมื่อชั้นเรียนเลิก อิมามอะลีได้บอกท่านหญิงถึงโองการที่เกี่ยวกับคำ ๕ คำนี้ ว่าเป็นความลี้ลับ ซึ่งอธิบายถึงความยากลำบาก ความทุกข์ทรมานที่ทายาทลูกหลานของท่านศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าจะต้องถูกทดสอบ ความทุกข์ยากนี้จะเกิดขึ้นกับท่านหญิง แต่สิ่งนี้นั้นทำให้บิดาของท่านทุกข์ทรมานยิ่งกว่า จนไม่อาจคิดคำนึงถึงได้

๒๔

เชค ซอดูก ได้รับการบอกเล่าจากอิมามมุฮัมมัด มะฮ์ดี ดังนี้

ท่านอิมามอธิบายให้เขารับฟังว่า คำว่า

“กาฟ, ฮา ยา อีน ซ๊อด” เป็นคำที่ลี้ลับจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งคำเหล่านี้ได้รับการอธิบายจากพระองค์ ให้แก่ศาสดาซะกะรียา เมื่อครั้งที่ท่านวิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ท่านรู้จักนามผู้บริสุทธิ์ทั้งห้า (ปัญจตาน)

ด้วยเหตุนี้ ญิบรออีล จึงถูกส่งลงมาเพื่อสอนนามทั้งห้าแก่ท่านศาสดา เมื่อท่านศาสดาซะกะรียาได้กล่าวนามของศาสดามุฮัมมัด อิมามอะลี ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อิมามฮาซัน ท่านรู้สึกมีความสุขและลืมเรื่องราวความทุกข์โศกต่างๆ ลงได้ แต่เมื่อท่านกล่าวถึงนามของอิมามฮูเซน น้ำตาของท่านก็เริ่มไหลรินและรู้สึกเศร้าใจอย่างสุดซึ้ง ท่านจึงวิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า

“โอ้พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์! ยามเมื่อข้าพระองค์กล่าวนามทั้งสี่ท่านแรก ข้าพระองค์รู้สึกมีความสุขและสดชื่นหัวใจ แต่เมื่อข้าพระองค์

๒๕

กล่าวนามที่ห้า ทำไมดวงตาของข้าพระองค์จึงเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา และร่ำไห้ด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับรู้สึกโศกเศร้า?” และแล้วเรื่องราวของเหตุการณ์สำคัญนั้น ก็ได้ถูกเปิดเผยให้รับรู้

 ‘กาฟ’ หมายถึง กัรบะลา, ‘ฮา’ หมายถึง ฮารอกัต คือ การทำลายและความตาย ,‘ยา’ หมายถึง ยะซีด ‘อีน’ หมายถึง อาฏอช คือ ความหิวกระหาย และ ‘ซ๊อด’ หมายถึง ซอบัร คือ ท่านอิมามฮูเซนผู้อดทน และกล้าหาญ

เมื่อท่านศาสดาซะกะรียา ได้รับรู้เรื่องราวเช่นนั้น ท่านจึงออกเดินทางไปยังมัสยิดและไม่ได้ออกมาเลยเป็นเวลา ๓ วัน และบอกกับผู้คนของท่านว่า ห้ามมิให้ใครมารบกวน เพราะท่านกำลังอยู่ในความโศกเศร้ากับเหตุการณ์ที่เพิ่งได้รับรู้มา

๒๖

นี่เป็นข้อเตือนใจอีกอย่างหนึ่งสำหรับผู้คนที่เย้ยหยันเรา ต่อการที่เราแสดงความโศกเศร้าเสียใจ

ต่ออิมามฮูเซน ผู้เป็นที่รัก ต่อความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสที่กัรบะลาและต่อขบวนคาราวานของเชลยที่ถูกทิ้งไว้เป็นภาระรับผิดชอบของท่านหญิงซัยนับ

ศาสดาซะกะรียา ได้วอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า

“โอ้ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! พระองค์จะทรงนำความโศกเศร้าให้แก่ลูกหลานของศาสดามุฮัมมัด ผู้ถูกสร้างที่ประเสริฐที่สุดของพระองค์กระนั้นหรือ?

พระองค์จะทรงยอมให้ความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเกิดขึ้นกับครอบครัวของเขากระนั้นหรือ?

พระองค์จะทรงยินยอมให้อะลีและฟาฏิมะฮ์ต้องอดทน แม้เพียงแต่จะคิดถึงสิ่งนั้นกระนั้นหรือ?

๒๗

 

โอ้พระผู้เป็นเจ้า! โปรดประทานทายาทผู้สืบทอดให้แก่ข้าพระองค์ ผู้ซึ่งจะเป็นแสงสว่างแห่งดวงตาอันอ่อนล้าของข้าพระองค์ และจะได้เป็นผู้สืบทอดและมีความสัมพันธ์กันเหมือนกับศาสดามุฮัมมัดและอิมามฮูเซน”

 และแล้วคำวิงวอนของศาสดาซะกะรียาก็ได้รับการตอบรับ ท่านได้รับแจ้งข่าวดีในการให้กำเนิดศาสดายะห์ยา

ท่านเองเคยรับรู้ถึงการให้กำเนิดของท่านหญิงมัรยัมมาแล้ว แต่ก็ต้องประหลาดใจอย่างมาก เพราะเหตุว่าภรรยาของท่านเป็นหมัน และก็ล่วงเข้าสู่วัยชราแล้ว ตั้งแต่เยาว์วัย ยะห์ยา จะสวมเสื้อผ้าที่เรียบง่ายซึ่งทำจากปอ และยังชีพด้วยอาหารธรรมดาจากใบไม้แห้งๆ  สมัยเด็กท่านเคยอยู่กับนักบวชและผู้รู้ทางศาสนาที่ตั้งมั่นอยู่ในสัจธรรมอย่างเคร่งครัด ยะห์ยาเป็นญาติของศาสดาอีซา และเป็นที่รู้จักกันในนามของ จอห์น เดอะ แบ็บติสท์

๒๘

ยะห์ยา มีจิตใจที่อ่อนโยน เกรงกลัวในพระเจ้าอย่างมาก จนไม่สามารถทนฟังการกล่าวถึงการลงโทษต่างๆ ในนรกได้ ถ้าท่านได้ยินใครพูดถึงการทรมานในไฟนรก ท่านจะร่ำไห้และไม่สามารถควบคุมตัวเองต่อความเกรงกลัวในความกริ้วโกรธของพระเจ้าได้ จนต้องวิ่งหนีออกไปในทะเลทราย จนทำให้บิดา มารดาของท่านต้องรอนแรมไปในทะเลทรายเป็นวันๆ เพื่อจะตามหาท่าน

เหตุการณ์ลอบสังหารยะห์ยา

มเหสีของพระราชา มีธิดาแสนสวยที่เกิดจากสามีคนก่อนของนาง ขณะที่นางกำลังย่างเข้าสู่วัยชราและไม่ได้รับความสนใจจากพระราชา นางตั้งใจจะใช้ธิดาแสนสวยของนางผูกมัดและดึงความสนใจของพระราชา

 พระองค์ทรงปรึกษายะห์ยาเกี่ยวกับเรื่องการรับลูกเลี้ยงของพระองค์มาเป็นชายา แต่ศาสดายะห์ยาได้เตือนว่า นั่นเป็นข้อห้าม พระราชาจึงยกเลิกความตั้งใจนั้นเสีย ยังความไม่พอใจแก่มเหสีของพระองค์ ผู้เป็นมารดาของหญิงสาวเป็นอย่างมาก

๒๙

ดังนั้น วันหนึ่งขณะที่พระราชากำลังอยู่ในอาการเมามายเต็มที่ มเหสีของพระองค์จึงจัดการส่งลูกสาวของนาง ซึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่สะดุดตาเป็นพิเศษ พระราชาเมามายจนครองสติไม่อยู่ จึงเข้าหานาง แต่มารดาของหญิงสาวตั้งข้อแม้ว่า พระองค์จะต้องนำเอาศีรษะของยะห์ยามามอบให้นางเป็นรางวัลตอบแทน พระราชาจึงสั่งให้นำศีรษะของยะห์ยามาให้พระองค์ในทันที เมื่อผู้รู้ทางศาสนาทราบเรื่องเกี่ยวกับคำบัญชาของพระองค์ ได้รีบไปเข้าเฝ้าและทูลว่า

“ถ้าแม้นเลือดของยะห์ยาแม้แต่เพียงหยดเดียวต้องหลั่งลงบนดิน จะไม่มีสิ่งใดเลยแม้แต่หญ้าจะงอกเงยได้อีก”

อย่างไรก็ตาม พระราชายังยืนยันคำสั่งเดิมที่จะต้องสังหารยะห์ยา โดยให้ทิ้งเลือดของท่านลงในบ่อ และนำศีรษะใส่ถาดมาให้ บางคนแนะนำผ่านไปทางคนสนิทของพระองค์ว่า บิดาของยะห์ยาเป็นผู้หนึ่งที่คำวอนขอของท่านจะได้รับการตอบรับจากพระเจ้าเสมอ ฉะนั้นศาสดาซะกะรียาควรที่จะถูกสังหารเสียก่อน เพื่อว่าจะได้ไม่มีโอกาสได้สาปแช่งพระองค์ในการสังหารยะห์ยา พระราชาจึงสั่งให้จัดการตามนั้น

๓๐

ขณะที่ศาสดาซะกะรียาและยะห์ยากำลังทำนมาซอยู่ในบ้านของท่าน คนของพระราชาก็มาถึงและจับตัวศาสดายะห์ยาไป แต่ศาสดาซะกะรียาหนีรอดไปได้ ในขณะที่ท่านถูกไล่ล่าโดยคนของพระราชา ในสภาพที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ศาสดาซะกะรียาได้สั่งให้ต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้าท่านแยกตัวออก ท่านได้เข้าไปหลบในต้นไม้นั้น แล้วต้นไม้ก็ได้ประกบลำต้นกลับเหมือนเดิม โดยมีศาสดาซะกะรียาซ่อนอยู่ภายใน

แต่มารร้าย ศัตรูที่ชัดแจ้งของมนุษย์ ซึ่งไม่เคยยั้งมือไปจากผู้ถูกเลือกสรรจากพระองค์ เช่น ศาสดาซะกะรียา ด้วยการทำให้ชายเสื้อของท่านศาสดาโผล่ออกมาจากต้นไม้เพื่อการลวงล่อ เมื่อคนของพระราชาออกค้นหา มารร้ายในร่างของมนุษย์ได้พาพวกมันมายังต้นไม้ และชี้ให้ดูชายเสื้อที่โผล่ออกมา

พร้อมทั้งแนะนำให้สังหารศาสดาซะกะรียาโดยการตัดต้นไม้ออกเป็นสองท่อนด้วยเลื่อยที่มันเตรียมมาให้

๓๑

เมื่อศาสดารู้สึกตัวว่าร่างของท่านกำลังถูกตัดออกพร้อมกับต้นไม้ ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า

“จงระวัง โอ้ซะกะรียาเอ๋ย! ถ้าเจ้าส่งเสียงร้องหรือร้องขอความช่วยเหลือแม้แต่น้อย ชื่อของเจ้าจะถูกลบออกจากรายชื่อของบรรดาผู้อดทน”

ศาสดาซะกะรียาจึงยอมปล่อยให้ตัวเองถูกตัดออกด้วยอาการที่เงียบสงบ ไม่ยอมปริปากจากความทุกข์ทรมานและเจ็บปวด

ยะห์ยาถูกสังหาร เลือดของท่านถูกนำไปทิ้งในบ่อน้ำ ศีรษะถูกนำเสนอต่อพระราชา น้ำในบ่อกลายเป็นสายเลือดไหลพุ่งออกมาอย่างมากมาย ไม่ว่าผู้คนจะโยนก้อนดินใส่เข้าไปในบ่อมากมายสักเพียงใด เลือดก็ยังคงหลั่งไหลออกมาไม่หยุด ทำให้ดินที่ถูกโยนใส่เข้าไปในบ่อน้ำนั้นยกตัวสูงขึ้น เป็นกองดินสูงจนกลบปากบ่อ

๓๒

กลับมาสู่เรื่องของเราอีกครั้ง คุณสมบัติอันประเสริฐของท่านหญิงซัยนับอยู่ในระดับสูงสุด จนทำให้อิมามฮูเซนพี่ชายของท่าน มอบความไว้วางใจให้ดูแลรับผิดชอบบรรดาผู้ใกล้ชิดของท่าน ที่ถูกจับเป็นเชลย

 เนื่องจาก อิมามซัยนุลอาบิดีน กำลังอยู่ในอาการป่วยหนัก ท่านหญิงเคยเป็นผู้รายงานวจนะตามที่ ท่านได้เคยใช้ชีวิตร่วมอยู่กับท่านศาสดาเป็นเวลา ๕ ปีเต็ม

เชค ซอดูก และเชค ฏูซี ได้กล่าวว่า อะห์มัด บิน อิบรอฮีม เคยได้ยินจากท่านหญิงฮะกีมะฮ์ คอตูน (ป้าของท่านอิมามอัสการี) หลายเรื่อง และเรื่องหนึ่งคือ อิมามฮูเซน ได้กล่าวว่า ความรู้ของอิมามซัยนุลอาบิดีน มีความเกี่ยวพันซึ่งกันและกันกับความรู้ของท่านหญิงซัยนับ

๓๓

 

ดังนั้นท่านจึงต้องรับภาระหน้าที่ของความเป็นอิมาม และด้วยเหตุนี้ ตำแหน่งของท่านหญิงจึงถูกยกขึ้นสูงเท่ากับตำแหน่งของบรรดาอิมาม

เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ ตะรอซูล มัศฮับ และ มัจลิส มุตตะกีน ของท่านซัยยิด อลีมกอสวี อีกด้วย

หลังการสิ้นชีวิตของท่านศาสดา ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ต้องตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก นำความทุกข์ระทมมาสู่ท่านในเวลาต่อมา ท่านหญิงซัยนับบุตรสาวของท่านอายุได้ ๕ ขวบ ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในวัยที่ไร้เดียงสา แต่ท่านได้ไปยังมัสยิดของท่านศาสดาเป็นประจำ ณ ที่นั้นเต็มไปด้วยบรรดาชาวผู้ช่วยเหลือ (อันศอร) และชาวผู้อพยพ (มุฮาญิรีน) ในมัสยิดมีม่านเล็กๆ กั้น หลังม่านนั้นเองท่านได้กล่าวคำปราศรัยซึ่งได้บรรยายถึง ความทุกข์ยากและปัญหาต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นกับมารดาของท่าน

การบรรยายครั้งนี้ใช้เวลานานถึงสองชั่วโมง ซึ่งมีผลอย่างมากกับบรรดาผู้ที่มาชุมนุมอยู่ ณ ที่นั่น ทำให้พวกเขาได้รับรู้ความจริงว่า ครอบครัวของท่านศาสดาถูกกระทำทารุณกรรมอย่างโหดร้ายเพียงใด

๓๔

ท่ามกลางผู้ชุมนุมในมัสยิด ครั้งนี้ มีท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ สมาชิกในครอบครัวของท่านและบรรดาสตรีชาวอาหรับร่วมนั่งอยู่ด้วย สุนทรพจน์ของท่านได้รับการกล่าวขวัญถึงในหลายๆ วาระเมื่อมีการรายงานกันในหมู่พวกเขา และตลอดชั่วชีวิตของท่านหญิงท่านได้จดจำเหตุการณ์นี้อยู่เสมอมาตลอดไป

ครั้งหนึ่งท่านหญิงได้ถามคำถามต่ออิมามอะลี ว่า “โอ้ ท่านพ่อ! ท่านรักหนูไหม?” อิมามอะลี ตอบว่า “แน่นอนที่สุด! แก้วตาของพ่อ”

ด้วยเหตุนี้ท่านหญิงจึงถามต่อไปว่า “โอ้ ท่านพ่อ! จะเป็นไปได้หรือ ที่ผู้หนึ่งจะมีสองความรักในหัวใจดวงเดียว ความรักในพระเจ้าและความรักในบุตรสาว?” พร้อมกันนี้ ท่านหญิงได้ตอบคำถามที่ท่านตั้งขึ้นเองว่า

 “ความรักที่บริสุทธิ์แท้จริง คือความรักในพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

ส่วนความรักในบรรดาลูกๆ เป็นไปโดยพระประสงค์ของพระองค์

ด้วยเหตุนี้ การที่ท่านรักพวกเราจึงเป็นไปตามธรรมชาติ?”

บรรดาผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบในการสืบทอดเรื่องราว และพิทักษ์รักษาแบบฉบับ (ซุนนะฮ์)  ของท่านศาสดาและบรรดาอิมามไว้

๓๕

นับเป็นผู้ที่ได้รับใช้แนวทางของอิสลามอย่างมากมาย และจัดอยู่ในฐานะที่สูงส่งในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า ท่านเหล่านั้นได้รับเกียรติให้เป็นผู้พิทักษ์ปกป้องศาสนา

 ท่านศาสดาเคยกล่าวว่า

 “ผู้ที่ปราดเปรื่องในความรู้ทางศาสนาอย่างแท้จริงนั้น มีฐานะเท่าเทียบกับศาสดาของบนีอิสรออีล”

ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า การท่องจำและการถ่ายทอดวจนะของท่านศาสดาและคำสอนของท่านอิมาม เป็นแนวทางที่ถูกต้องในการเผยแผ่ศาสนา และบรรดาท่านเหล่านั้นย่อมเป็นที่รักของบรรดามะอ์ซูมผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย

บรรดาสตรีที่บันทึกจดจำวจนะของท่านศาสดา คือท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ท่านหญิงอุมมุสะลามะฮ์ ท่านหญิงอุมมุ อัยมัน และท่านหญิงซัยนับ

๓๖

อิบนิ อัซซารี ญุซารี นักปราชญ์ซุนนี เสียชีวิตในต้นฮิจเราะฮ์ศตวรรษที่ ๗ ได้บันทึกไว้ว่า

ท่านหญิงซัยนับ เป็นสตรีในบรรดาสาวกของท่านศาสดา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ท่านหญิงคือสตรีคนที่สามของ

อิสลามที่ได้รับเกียรติสูงสุด ท่านแรกคือ ท่านหญิงคอดิยะฮ์ กุบรอ คุณยายของท่าน ท่านที่สองคือ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ มารดาของท่าน และท่านที่สาม คือ ตัวท่านหญิงเอง

ท่านหญิงยังเป็นที่รู้จักในนาม ‘ซิดดีเกาะ ซุกรอ’ (ผู้ทรงคุณธรรม ผู้น้อย) และ ‘อุมมุล มะซออิบ’(มารดาแห่งการอดทน)

เมื่อใดก็ตามที่อับดุลลอฮ์ บุตรของอับบาส กล่าวถึงการดำเนินชีวิตของท่านหญิงซัยนับ เขาจะเริ่มด้วยการยกย่องว่าท่าน คือ ‘ฮาดะตะนะ อกีล ละตุนา’ ‘สตรีผู้ที่ปราดเปรื่องในหมู่ชนของเรา’

๓๗

การอุทิศตนเพื่อพระผู้เป็นเจ้า

ท่านหญิงเป็นผู้ที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากมารดาของท่าน ผู้ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากศาสนทูตบิดาของท่าน ด้วยการใช้ชีวิตทั้งหมดไปกับการปฏิบัติศาสนกิจและปฏิบัติตนเพื่อหวังในความรักและความใกล้ชิดกับพระผู้สร้าง ทำให้บุตรสาวของท่านได้ดำเนินรอยตามเช่นเดียวกัน

ข้อพิสูจน์เหนือข้อสงสัยใดๆ เห็นได้จากการเดินทางไปในกองคาราวานของเชลยหลังจากเหตุการณ์ที่กัรบะลา

นอกเหนือจากศาสนกิจ ที่เป็นภารกิจประจำวันแล้ว ท่านไม่เคยละทิ้งนมาซที่ไม่ได้เป็นวาญิบ แต่ได้ผลบุญมากมาย

ในหนังสือ “กิบีตัย อัจมาร” อิมามซัยนุลอาบิดีน ได้กล่าวไว้ระหว่างการเดินทางจากกัรบะลาไปซีเรียว่า

๓๘

 “พวกเราถูกกระทำทารุณโหดร้ายอย่างเหลือคณานับ แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ทำให้ท่านอาของฉันละทิ้งการนมาซศอลาตุลลัยล์ (นมาซยามค่ำคืน) ทั้งๆ ที่ท่านต้องได้รับความยากลำบากจากศัตรูอย่างมากมาย แต่ท่านก็จะทำนมาซในทุกๆ ที่ที่สามารถทำได้ ท่านไม่เคยละทิ้งนมาซนี้เลย

 เพราะว่า ท่านจดจำคำพูดสุดท้ายก่อนพลีชีพของพี่ชายท่านได้เสมอว่า

 “โอ้ น้องรัก! จงระลึกถึงพี่ในนมาซศอลาตุลลัยล์”

 “ยา อุคตาฮ์ ลาตันซีนี ฟีย์ นาฟิลาติลลัย”

ในหนังสือ ‘กิตาบ ค่อซาอิส’ บันทึกไว้ว่า ทั้งนักปราชญ์ซุนนีและชีอะฮ์ ได้กล่าวว่า จากทายาทของอับดุลมุฎฎอลิบ ซัยนับได้รับความโปรดปรานด้วยกับคุณสมบัติที่สูงส่ง ทั้งสติปัญญา ความเฉลียวฉลาด ความกล้าหาญ บุคลิกภาพที่ดีเลิศ การอุทิศตนให้กับพระผู้เป็นเจ้า การอ้อนวอนวิงวอน

ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับปุถุชนธรรมดาที่จะยอมพลีทุกอย่างเพื่อศาสนา ซึ่งรวมถึงลูกๆ ของท่าน

๓๙

นับว่าเป็นการกระทำที่กล้าหาญ ยิ่งใหญ่ ซึ่งจะมิได้เฉพาะในบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้า และก้าวไปถึงจุดสูงสุดของจิตวิญญาณที่สุดยอด

ตามธรรมดาของโลก มนุษย์จะคิดถึงแต่สิ่งที่ดีกว่าสำหรับลูกๆ และครอบครัวเสมอ แต่เมื่อผู้หนึ่งตัดสินใจเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้า และเมื่อมีทางออกเพียงทางเดียวที่จะพิทักษ์รักษาอิสลามไว้ด้วยการถูกสังหารหมู่ที่กัรบะลา คุณค่าทางด้านจิตวิญญาณอันสูงส่งของท่านหญิงซัยนับ ทำให้ท่านสามารถสละทุกสิ่งเพื่อความรุ่งโรจน์ของอิสลาม

เมื่อบรรดาผู้กล้าหาญชาญชัยเกิดความหวาดกลัว และเปลี่ยนใจเพราะสิ่งครอบงำที่ผิดธรรมดา ผู้หนึ่งจะอธิบายถึงความกล้าหาญของท่านในการดูแลขบวนเชลยอย่างไร?

ด้วยการที่ท่านหญิงคอดีญะฮ์ กุบรอ (ภรรยาคนแรกของท่านศาสดา) ได้วางรากฐานเสาหลักของอิสลาม และตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะสถาปนาศาสนาและสัจธรรม ท่านหญิงซัยนับก็เป็นเช่นเดียวกัน ที่พร้อมจะยอมพลีทุกสิ่งเพื่อพิทักษ์ศาสนาให้ยืนยงตลอดไป

๔๐

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113