อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก50%

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 113

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 113 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 29658 / ดาวน์โหลด: 5264
ขนาด ขนาด ขนาด
อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

 แต่ทว่าชาวโลก (ในยุคนั้น) ยังไม่มีความพร้อมที่จะทำให้รัฐบาลแห่งพระเจ้าเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามนุษย์ในยุคนั้นมีความพร้อมการเร้นหายของอิมามมะฮ์ดีก็จะไม่เกิดขึ้น บทบัญญัติแห่งพระเจ้าก็จะถูกนำมาปฏิบัติ และการปกครองอันยุติธรรมของรัฐอิสลามก็จะเกิดจึ้นบนโลกนี้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่านี้คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อิมามต้องเร้นหาย (ฆ็อยบะฮ์) และทำให้

ฆ็อยบะตุศศุฆรอ ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็น ฆ็อยบะตุลกุบรอ (การเร้นหายอันยาวนาน) และอิมามมะฮ์ดีจะปรากฏอีกครั้งก็ต่อเมื่อประชาชาติมีความพร้อมอย่างสมบูรณ์ในทุกแง่มุมในการที่จะรองรับการปกครองของท่าน

อัลมัรฮูม อัลลามะฮ์ นะศีรุด-ดีน อัฎ-ฎูซีย์ ได้กล่าวในหนังสือของท่านว่า “การเร้นหายของท่านอิมามมะฮ์ดี ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) หรือจากตัวท่านเอง แต่สาเหตุมาจากความกลัว และความไม่พร้อมของประชาชาติที่จะรองรับการปกครองของท่าน และเมื่อใดที่สาเหตุเหล่านี้ได้ถูกขจัดออกไป การปรากฏตัวของท่านอิมามมะฮ์ดีก็จะเกิดขึ้น”

การเร้นหายของท่านอิมามมะฮ์ดี ยังมีฮิกมะฮ์ (วิทยปัญญาชั้นสูง) อื่น ๆ อีก จากอัลลอฮ์ และเราไม่สามารถที่จะล่วงรู้ความลับต่างๆของมันได้ทั้งหมด แต่ทว่าเป็นไปได้ว่าสาเหตุจากประชาชาติเองอาจจะเป็นเหตุที่สำคัญที่ทำให้ท่านต้องเร้นหาย การไม่รับรู้ และการละเมิดของประชาชาติตลอดยุคของอิมามมะอ์ศูมทั้งสิบเอ็ดท่าน เป็นประสบการณ์ที่เพียงพอสาหรับอิมามมะฮ์ดี การฝ่าฝืน และไม่สนับสนุนของประชาติต่ออิมาม

๔๑

ตลอดยุคสมัยที่ผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัยเลยว่าประชาชาติยุคนั้น ไม่ต้องการที่จะอยู่ภายใต้การปกครองอันยุติธรรมของอิสลาม ดังนั้นในสภาพเช่นนี้การเร้นหายของท่านอิมามจึงเป็นเรื่องธรรมดา และการปรากฏตัวของท่านใน สภาพสังคมเช่นนี้ เป็นปัญหาที่เราจะต้องถามว่า ท่านจะปรากฏตัวทำไมในสภาพสังคมที่ยังไม่พร้อมที่จะรองรับท่าน การเร้นหายของท่านจึงเกิดขึ้น และท่านยังคงปฏิบัติหน้าที่การงานของท่านโดยไม่เปิดเผยจนกว่าพื้นฐาน และความพร้อมในการปรากฏตัวของท่านจะเกิดขึ้น และวันนั้นกองทัพของผู้ที่จงรักภักดีต่อท่านก็จะได้พบ และให้การสนับสนุนท่านอย่างเต็มที่

อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า

 “แท้จริงอัลลอฮ์ จะไม่ทรงเปลี่ยนสภาพของประชาชาติใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนตัวของพวกเขาเองก่อน”

(บทอัรเราะอ์ด์ โองการ ๑๑)

และความลับอันนี้ (การเร้นหาย) จะถูกรักษาไว้จนถึงวันที่ท่านปรากฏตัว และในวันนั้นชาวโลกก็จะพบว่าสาเหตุ และคำตอบแห่งการเร้นหายของ

อิมามถูกซ่อนอยู่ในตัวของพวกเขาเอง แต่พวกเขาได้เลิ่นเล่อจากคำตอบเหล่านั้นเอง และถ้าหากพวกเขามีความพร้อมมากกว่านี้ อิมามก็จะปรากฏตัวขึ้นสาหรับเขา

๔๒

 แต่เพราะว่าพวกเขาไม่ได้อยู่สภาพที่เปลี่ยนแปลงตัวเองและเตรียมพร้อมที่จะรอรับท่าน และหัวใจของพวกเขาได้ผูกผันไว้กับกับบรรดาการปกครอง และลัทธิอันจอมปลอมต่าง ๆ โดยพวกเขาหลงคิดไปว่า การปกครอง และลัทธิอันจอมปลอมเหล่านี้หรือการประชุมสัมมนาที่เต็มไปด้วยอาหาร

 และแสงไฟ สามารถสนองตอบความเจ็บปวด และปัญหาของพวกเขาได้

และที่ได้กล่าวว่าประชาชาติคือสาเหตุหนึ่งแห่งการเร้นหายของอิมามมะฮ์ดีนั้น ไม่ได้หมายความว่าทุกคนมีส่วนรวมในบาปอันยิ่งใหญ่นี้ แต่ความหมายคือปฐมเหตุขั้นพื้นฐานที่มีความจำเป็นสำหรับการปรากฏตัวของท่านอิมาม (อ) นั้น ยังไม่ครบจำนวนที่กำหนด และแน่นอนผู้ที่เพียบพร้อมสมบูรณ์สาหรับการปรากฏ นั้น ยังไม่ครบจำนวนที่กำหนด และแน่นอนผู้ที่เพียบพร้อมสมบูรณ์สำหรับการปรากฏตัวของอิมามนั้นมีอยู่ทุกยุคทุกสมัยแต่จำนวนของพวกเขานั้นยังมีน้อย และสภาพสังคมก็ยังไม่พร้อมที่จะรองรับการปรากฏตัวของท่านอิมาม ดังนั้นสภาพสังคมที่ไม่มีความพร้อมการปะทะ และต่อต้านการปกครองของท่านอิมามย่อมจะเกิดขึ้น

และด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเร้นหายยังคงมีอยู่ต่อไป และด้วยการเร้นหายนี้ อัลลอฮ์จึงปกป้องจากการถูกสังหาร เพราะการปรากฏตัวก่อนเวลาอันสมควร จะทำให้ท่านถูกสังหาร และจะทำให้การปรากฏตัวของท่านเพื่อที่จะช่วยเหลือสังคม และปลดปล่อยชาวโลกจะไม่บรรลุเป้าหมาย

๔๓

ท่านมัรฮัม กุลัยนี จากหนังสือ อัล-กาฟี และเชคฏูซีย์ จากหนังสือ อัลฆ็อยบะฮ์ ได้รายงานฮะดีษจากท่าน ซุรอเราะฮ์ ว่า

“วันหนึ่งฉันได้ไปเยี่ยมท่านอิมามญะอฺฟัร อัศศอดิก และฉันได้ยินท่าน

อิมามกล่าวว่า”ก่อนการกิยาม (การปฏิวัติ) ของกออิม นั้นจะมีการเร้นหายก่อนฉันจึงได้ถามขึ้นว่า: เพราะอะไร?

อิมามได้ชี้ไปที่ท้องของท่าน (ซึ่งหมายถึงป้องกันจากการถูกสังหาร)

ท่านอิมามกออิม (อ) ไม่เคยยอมรับการปกครองหรือรัฐบาลใดๆ ในโลกนี้ และท่านไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการ “ตะกียะฮ์” ในการเผชิญหน้าต่อบรรดาผู้ปกครองเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาที่ท่านปรากฏ ท่านจะไม่อยู่ภายใต้การปกครองของผู้ใด และไม่มีสัตยาบันกับผู้ใด

 “กออิมจะลุกขึ้นปฏิวัติในขณะที่เขาจะไม่ได้อยู่ภายใต้สนธิสัญญาข้อผูกพัน หรือสัตยาบันกับผู้ใด” (อัล-กาฟี)

เพราะศาสนาของพระเจ้าจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์และเปิดเผยโดยปราศจากความเกรงกลัวใดๆ และรัฐแห่งพระผู้เป็นเจ้าจะต้องถูกสถาปนาขึ้นมาในโลก ดังนั้นจึงไม่เหลือช่องว่างใดๆ สาหรับการออมชอม หรือสัญญาผูกพันธ์กับผู้ใด ระบบการปกครองอันจอมปลอมจะถูกทำลายลง และอิสลามจะปกครองโลกทั้งหมด

๔๔

ฆ็อยบะฮ์ ศุฆรอและกุบรอ

หลังจากการเป็นชะฮีดของอิมามคนที่สิบเอ็ด ตั้งแต่ปีฮิจเราะฮ์ที่ ๒๖๐-๓๒๙ ซึ่งรวมเวลาประมาณ ๖๙ ปี เป็นช่วงแห่งการเร้นหายครั้งแรก

 (ฆอยบะตุศศุฆรอ) และหลังจากปี ๓๒๙ ของฮิจเราะฮ์จนถึงปัจจุบันหรือถึงวันปรากฏตัวของท่านเป็นช่วงแห่งการเร้นหายครั้งยิ่งใหญ่

 (ฆ็อยบะตุลกุบรอ)

ในช่วงแห่งการเร้นหายครั้งแรกนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างอิมามกับประชาชาติไม่ได้ขาดอย่างสิ้นเชิง แต่มีขอบเขตที่จำกัด โดยที่ประชาชนสามารถนำปัญหาของพวกเขาไปปรึกษาแก้ไขโดยผ่านตัวแทนพิเศษ (นาอิบุ้ล-ค็อศ) ของอิมามมะฮ์ดี และบรรดาตัวแทนเหล่านั้นก็จะนำปัญหาของพวกเขาไปยังท่านอิมาม (อ) และนำคำตอบกลับมาให้อีกครั้งหนึ่ง หรือ ในบางครั้งบรรดาตัวแทนของอิมามก็จะทำการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตัวของพวกเขาเอง ในปัญหาที่พวกเขาสามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องผ่านอิมาม ซึ่งเราจะกล่าวได้ว่าเป็นการฝึกฝนเพื่อการเตรียมการสาหรับประชาชาติในการที่พวกเขาจะต้องเข้าสู่ยุคสมยการเร้นหายครั้งใหญ่ เพราะในการเร้นหายครั้งใหญ่นั้น และประชาชนมีหน้าที่ที่จะต้องนำปัญหาของพวกเขากลับไปยังตัวแทนทั่วไป (นาอิบุ้ล-อาม) ของท่านอิมาม และตัวแทนทั่วไปในที่นี้ก็คือบรรดาฟะกีฮฺ (ผู้รู้นิติศาสตร์) อิสลามขึ้นสูงสุด ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในการที่จะเป็นมัรญิอ์ (คือผู้ที่ประชาชนต้องกลับไปหาเขาในการแก้ไขปัญหา)

๔๕

ถ้าหากการเร้นหายครั้งใหญ่เกิดขึ้นทันทีโดยไม่ผ่านการเร้นหายครั้งแรก เป็นไปได้ว่าอาจจะก่อให้เกิดการหลงทาง และบิดเบือนความคิด และความไม่พร้อมในการที่จะรับการเร้นหายครั้งใหญ่ ดังนั้นการเร้นหายจึงถูกทำให้เกิดทีละขั้นตอน ในช่วงแห่งการเร้นหายครั้งแรกสติปัญญาถูกทำให้พัฒนาหลังจากนั้นจึงเข้าสู่ช่วงสมัยการเร้นหายครั้งใหญ่

ความสัมพันธ์ของอิมามกับตัวแทนพิเศษ (นาอิบุ้ล-ค็อศ) หรือความสัมพันธ์ระหว่างอิมามกับบรรดาผู้ใกล้ชิดในช่วงสมัยแห่งการเร้นหายครั้งแรก ทำให้เรื่องราวกำเนิด และความสำคัญต่าง ๆ ของท่านได้รับการเปิดเผย และยืนยัน และถ้าเร้นหายครั้งใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ผ่านพื้นฐานเหล่านี้ แน่นอนจะทำให้เกิดความไม่ชัดแจ้ง และเป็นที่สงสัยในเรื่องราวการกำเนิด หรือพิสูจน์สิทธิแห่งการเป็นผู้นำของท่านอิมามะฮ์ดี

ดังนั้นจึงเป็นฮิกมะฮ์อันหนึ่งของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ที่ทำให้การเร้นหายของ

อิมามมะฮ์ดีมีสองครั้ง โดยทำให้การเร้นหายครั้งแรกอยู่ในช่วงระยะเวลาอันสั้น เรียกว่า “ฆ็อยบะตุศศุฆรอ” เพื่อเตรียมการเข้าสู่ยุคสมัยการเร้นหายที่เต็มรูปแบบ และมีระยะเวลาอันยาวนานซึ่งเรียกว่า “ฆ็อยบะตุลกุบรอ” และด้วยขั้นตอนเหล่านี้จึงทำให้บรรดาผู้ศรัทธาในแนวทางแห่งอะห์ลุลบัยต์ สามารถรักษา และยืนหยัดความศรัทธาของพวกเขาไว้ให้มั่นคงต่ออิมามของพวกเขา และในช่วงแห่งการรอคอยนี้พวกเขาก็จะได้ยึดมั่นในศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า

๔๖

 ทำการขัดเกลาตนเอง และปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้ถูกบัญญัติไว้ให้แก่พวกเขาจนกว่ากำหนดการแห่งการปรากฏตัว และการยืนขึ้น (กิยาม) จากพระองค์จะมาดึง พวกเขาก็จะได้รับ ความสำเร็จ และเข้าสู่ความรอดพ้นที่สมบูรณ์

สี่ตัวแทนพิเศษ (นาอิบ)

ในช่วงสมัยของการเร้นหายครั้งแรก ท่านอิมามมีตัวแทนพิเศษที่ได้รับการแต่งตั้งจากอิมามโดยตรง ซึ่งเลือกมาจากบุคคลที่สาคัญของชีอะฮ์ ๔ ท่าน ซึ่งมีหน้าที่ให้แลกเปลี่ยนข่าวสารจดหมาย และคำสั่งต่าง ๆ ของอิมามไปยังประชาชน

แต่ทว่านอกเหนือจากสี่ท่านนี้แล้วก็ยังมีบุคคลอื่น ๆ อีกหลายท่านที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของอิมามตามหัวเมืองต่าง ๆ โดยการงานของพวกเขา ผ่านตัวแทนพิเศษไปยังท่านอิมาม

ท่านอะยะตุลลอฮ ซัยยิด มุฮ์ซิน อะมีน ได้กล่าวว่า

ตัวแทนพิเศษทั้งสี่นั้นรับผิดชอบการงานทั่วไป และมีอำนาจโดยตรง ส่วนท่านอื่น ๆนั้นรับผิดชอบเฉพาะเรื่องทีได้รับมอบหมาย

๔๗

รายชื่อตัวแทนพิเศษทั้งสี่เรียงตามลำดับ  ดังนี้

๑. อะบู อัมร์ อุษมาน บินสะอีด อัมรี

๒. อะบู ญะอ์ฟัร มุฮัมมัด บิน อุษมาน อัมรี

๓. อะบุลกอซิม ฮุเซน บิน รูฮ์ นูบัคตี

๔. อะบุลฮะซัน อาลี มุฮัมมัด ซามารี

ท่านอะบู อัมร์ อุษมาน บิน สะอีด เป็นบุคคลที่มีเกียรติ และได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างมากจากประชาชน ท่านเคยเป็นตัวแทน (วะกีล) ของท่าน

อิมามฮาดี และอิมามอัสการี และได้รับคำสั่งจากอิมามมะฮ์ดี ได้เป็นผู้มีหน้าที่ในการห่อศพ และฝังท่านอิมามอัสการี ท่านอาศัยอยู่ในเมืองซามัรรอ และอยู่ในเขต “อัลอัสกัร” บางครั้งประชาชนจึงให้ฉายาท่านว่า อัสกะรีเช่นกัน และเพื่อเป็นการปกปิดการงานของท่านจากสายลับของผู้ปกครองในยุคนั้น ท่านจึงปลอมตัวเป็นพ่อค้าขายน้ำมัน โดยอาศัยวิธีในการเข้าหา และพบเจอกับรรดาอิมาม และบางครั้งก็ได้นำเงินที่ประชาชนเสียภาษี (ซะกาตและคุมส์) ให้กับอิมามซ่อนในภาชนะทีใส่น้ำมัน และนำเงินเหล่านี้ไปมอบให้แก่ท่านอิมาม

๔๘

 

ท่านอะหฺมัด บิน อิสฮาก กุมมี ได้กล่าวว่า วันหนึ่งฉันได้ถามท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) ว่า

 “บางครั้งฉันสามารถมาพบเจอกับท่านได้โดยตรง และบางครั้งก็ไม่สามารถที่จะพบเจอได้ ดังนั้นในสภาพที่ไม่สามารถพบเจอกับท่านได้ คำพูดของใครที่เชื่อถือได้ และคำสั่งของใครที่ต้องปฏิบัติตาม”

 ท่านอิมามได้ชี้ไปที่อุษมาน บิน สะอีด และกล่าวว่า

 “เขาผู้นี้เป็นผู้ที่เชื่อถือได้ และซื่อสัตย์ (อามีน) อะไรที่เขาพูดกับเจ้ามาจากคำพูดจากฉัน และอะไรที่เขานำมาถึงเจ้า สิ่งนั้นมาจากฉัน”

 

อะห์มัด บิน อิสฮาก ได้รายงานต่อไปว่า

“หลังจากการเป็นชะฮีด ของท่านอิมามฮาดี (อ) ฉันได้ไปพบอิมาม

อัสการี (อ) ก็ได้ตอบเหมือนกับบิดาของท่าน โดยได้กล่าวว่า

“เขาคือผู้ที่เชื่อถือได้ และซื่อสัตย์ ไม่ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่หรือจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม คำพูดของเขามาจากฉัน และอะไรที่เขานำมาถึงเจ้าสิ่งนั้นมาจากฉัน”

หลังจากการเป็นชะฮีดของท่านอิมามอัสการี (อ) ท่านอุษมาน บิน สะอีด ได้รับคำสั่งจากท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) ให้ทำหน้าที่ตัวแทน (วะกีลและนาอิบ) ต่อไป และปัญหาต่าง ๆ ของชีอะฮ์ก็ได้รับการแก้ไขผ่านท่านไปยัง

อิมามมะฮ์ดี (อ)

๔๙

ท่านมัรฮูม ดามาด ได้กล่าวในหนังสือ “ศิรอตุลมุสตะกีม” ว่า

ท่านอุษมาน บิน สะอีด ได้รายงานว่า “วันหนึ่งท่านอิบนิ อะบี ฆอนัม

ก็อสวีนีย์ ได้กล่าวว่า ท่านอิมามอัสการี (อ) ได้จากไปในขณะที่ยังไม่มีบุตร และจากคำพูดนี้จึงทำให้เกิดการถกเกียงกันขึ้นในหมู่ชีอะฮ์ จึงได้ตกลงกันว่าจะเขียนจดหมายไปให้อิมาม จดหมายได้ถูกเขียนขึ้นด้วยปากกาที่ไม่มีน้ำหมึกบนกระดาษสีขาว และให้อิมามตอบจดหมายมาตามที่ได้เขียนไป ทั้งนี้เพื่อที่จะพิสูจน์ “มุอฺญิซะฮ์” ของท่านอิมามในการอ่านจดหมายที่ไม่มีน้ำหมึก

 ท่านอิมามได้ตอบจดหมายดังนี้

บิสมิลาฮิรเราะหฺมานิรเราะฮีม

ขอให้อัลลอฮ์ทรงปกป้องเรา และพวกท่านให้พ้นฟิตนะฮ์ และการหลงทาง ข่าวความสงสัย และลังเลของคนกลุ่มหนึ่งจากพวกท่านที่เกี่ยกับดีนและวะลีย์ของเขา ได้มาถึงยังฉัน ซึ่งข่าวนี้ได้สร้างความห่วงใย และทุกข์ร้อน แต่ไม่ใช่เป็นการทุกข์ร้อนสาหรับเรา สัจธรรมอยู่กับเราดังนั้นใครออกห่างไปจากเราก็ไม่ได้ทำให้เรากลัว หรือเป็นห่วง (สำหรับตัวเราเอง)

(ด้วยบารอกะฮ์ของออัลลอฮ์ เราได้รับประโยชน์ และมนุษย์ได้รับประโยชน์จากบารอกะฮ์ของเรา)

๕๐

ทำไม จึงตกอยู่ในความลังเลและสงสัย ? ไม่รู้หรือว่า อะไรที่บรรดาอิมามของพวกท่านได้บอกพวกท่านนั้นได้มาถึงแล้ว ?

 (อิมามคนก่อนๆได้บอกให้รู้ถึงการเร้นหายของอิมามกออิม) ไม่เห็นหรือว่า ตั้งแต่สมัยของอาดัมจนถึงยุคของอิมาม อัลลอฮ์ได้ให้ที่หลบภัยต่างๆ แก่พวกเขา และมนุษย์ก็ได้รับทางนำจากพวกเขา และทุกครั้งที่ธงอันหนึ่งได้จากไปธงอันใหม่ก็จะปลิวสบัด เมื่อดวงดาวหนึ่งได้หายไป ดวงดาวใหม่ก็จะเจิดแสงรัศมี พวกท่านคิดหรือว่าหลังจากอิมาม (อัสการี) ได้ถูกนำกลับไปหาพระองค์แล้ว ศาสนาของพระองค์ก็จะเป็นโมฆะกระนั้นหรือ? และเป็นเหตุแห่งการตัดขาดระหว่างพระองค์กับสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายหรือ?

เป็นไปไม่ได้ และจะไม่มีวันเป็นไปได้ตราบที่โลกนี้มีอยู่จนถึง

วันกิยามะฮ์ขณะที่ตัวแทน (วะลี) ของพระองค์ไม่มีอยู่

ดังนั้นจงมีความยำเกรงให้มาก และมอบตน และกิจกรรมของท่านต่อเรา เราได้ตักเตือนพวกท่านแล้ว และอัลลอฮ์เป็นพยานระหว่างเรากับท่าน”

ก่อนการเสียชีวิตของท่านอุษมาน บิน สะอีด ท่านอิมามมะฮ์ดีได้สั่งให้ท่านอุษมาน แต่งตั้งบุตรชายของท่าน (อะบู ญะอ์ฟัร มฺฮัมมัด บิน อุษมาน) ให้ทำหน้าทีเป็นตัวแทน (นาอิบ) คนต่อไป

๕๑

ท่านมุฮัมมัด บินอุษมาน ก็เหมือนกับบิดาของท่านคือ เป็นผู้ที่มีเกียรติ มีตักวาสูง และได้รับการเชื่อถือ และไว้วางใจเป็นอย่างมากจากบรรดาชีอะฮ์ และเขาก็เป็นที่เชื่อถือ และไว้วางใจจากอิมามอัสการีเหมือนบิดาของเขา ท่านเชคฏูซีย์ ได้กล่าวว่า : ชีอะฮ์ทั้งหมดยอมรับในความยุติธรรมการมีตักวา และความซื่อสัตย์ของเขา

หลังจากเสียชีวิตของตัวแทนท่านแรก (อุษมาน บิน สะอีด)

อิมามมะฮ์ดีได้มีสาส์นฉบับหนึ่งที่เกี่ยวกับการตายของอุสมาน และเรื่องราวแต่งตั้งลูกชายของเขาเป็นตัวแทน ซึ่งเนื้อหาของมันมีดังนี้

 “แน่นอนเราทุกคนเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ และยังพระองค์ที่เราจะต้องกลับไป” เราพอใจ และมอบตนต่อคำสั่ง และกำหนดของพระองค์

บิดาของท่านได้ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ และจากไปด้วยความพีงพอใจ ขอให้อัลลอฮ์ทรงเมตตาเขา และให้เขาได้ไปอยู่ร่วมกับบรรดาอิมาม เขาคือ ผู้ที่ขยัน และตั้งใจจริงในการงาน และเป็นผู้ที่ขวนขวายในการแสวงหาความใกล้ชิดกับอัลลอฮ์ และบรรดาอิมาม

๕๒

ขอให้อัลลอฮ์ประทานรางวัลอันยิ่งใหญ่แก่ท่าน (มุฮัมมัด บิน อุษมาน) และประทานความสงบกับท่านในความโศกเศร้าครั้งนี้ ท่านกำลังอยู่ในความโศกเศร้าเช่นกัน การสูญเสียในครั้งนี้ทำให้เรา และท่านต้องตกอยู่ในความเศร้าแห่งความเหงา และโดดเดี่ยว จากความเมตตาของอัลลอฮ์ ขอให้ความสงบสุขจงมีแต่สุสานของเขา และจากความดีของเขาอัลลอฮ์จึงประท่านบุตรชายอย่างท่านให้กับเรา เพื่อทำหน้าที่แทนหลังจากเขา ดังนั้นจงขอพรให้แก่เขาให้มากๆเถิด และฉันขอขอบคุณอัลลอฮ์ที่พระองค์ได้ประทานความดี และคุณสมบัติอันประเสริฐต่าง ๆ ให้แก่ท่านซึ่งสร้างความสุข และความพึงพอใจให้กับทุกหัวใจที่ได้รับรู้ ขอให้พระองค์ทรงช่วยเหลือ และ

ทำให้ท่านแข็งแกร่ง และมั่นคง และประสบความสาเร็จ ขอให้พระองค์ปกป้อง และดูแลท่าน”

ท่านอับดุลลอฮ์ บิน ญะอ์ฟัร ฮุมัยรี ได้กล่าวว่า : ตอนที่ท่านอุษมาน บิน สะอีดได้เสียชีวิต จดหมายจากท่านอิมามมะฮ์ดี ด้วยลายมือของท่านที่เคยเขียนมาให้พวกเรา ได้ถูกส่งมาซึ่งในจดหมายฉบับนั้นได้แต่งตั้งท่าน

มุฮัมมัด บิน อุษมาน ให้ทำหน้าที่แทนบิดาของเขา

๕๓

และในจดหมายอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งอิมามได้เขียนตอบคำถามของท่าน

 “อิสฮาก บิน ยะฮฺกูบ อัลกุลัยนี” มีใจความว่า: ส่วนมุฮัมมัด บิน

อุษมาน อัลอัมรี ขอให้อัลลอฮ์ทรงพึงพอใจต่อเขา และบิดาของเขา และเขาก็เช่นกันเหมือนกับบิดาของเขา เป็นที่ไว้วางใจ และเชื่อถือสำหรับฉัน ข้อเขียนของเขาคือข้อเขียนของฉัน

“อับดุลลอฮ์ บิน ญะอ์ฟัร ฮุมัยรี” ได้กล่าวว่า : ฉันได้ถามมุฮัมมัดบิน อุษมาน ว่าเคยเห็นอิมามมะฮ์ดี (อ) ไหม ? มุฮัมมัด : แน่นอน และครั้งสุดท้ายฉันพบท่านที่ข้างกะอ์บะฮ์ซึ่งท่านกำลังอ่านดุอา

“โอ้ อัลลอฮ์ โปรดทำให้สัญญาที่พระองค์มีต่อฉันเป็นจริงเถิด” และอีกครั้งหนึ่งฉันพบท่านที่ มุซตะญาร (มุมหนึ่งของกะอ์บะฮ์ติดกับมุม

ยะมานี (รุกน์ยะมานี)) ซึ่งท่านกาลังอ่านดุอาว่า

 “โอ้ อัลลอฮ์ ขอให้ฉันได้แก้แค้นศัตรูของฉันด้วยมือของฉันด้วยเถิด”

มุฮัมมัด บิน อุษมาน ได้กล่าวเสริมขึ้นอีกว่า : ท่านอิมาม (อ) จะปรากฏตัวทุกๆปีในฮัจญ์ ท่านจะเห็นประชาชน และรู้จักพวกเขา และประชาชนก็เห็นท่านแต่พวกเขาไม่รู้จักท่าน

ท่านมุฮัมมัด บิน อุษมาน รู้ล่วงหน้า ถึงวันที่ท่านจะเสียชีวิต และก่อนการเสียชีวิต และก่อนการเสียชีวิต และก่อนการเสียชีวิตของท่าน

๕๔

บรรดาผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งของชีอะห์ได้ไปพบท่าน และท่านได้แนะนำ “อะบู กอซิม ฮุเซนบิน รุฮ์ นูบัคตี” ที่จะทำหน้าที่เป็นตัวแทน และติดต่อกับ

อิมามมะฮ์ดี (อ) โดยมุฮัมมัดได้กล่าวว่า:

 “เขา (อะบุลกอซิม) คือผู้ที่จะมาแทนที่ฉัน ดังนั้นจงติดต่อกับเขาใน

กิจการของพวกท่าน”

 ฮุเซน บิน รูห์ นูบัคตี ท่านผู้นี้ เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในหมู่ของชีอะฮ์ และสุนหนี่ ถึงสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด มีตักวา และบุคลิกภาพอันประเสริฐต่าง ๆ ของท่านในสมัยตัวแทนท่านที่สอง (มุฮัมมัด บิน อุษมาน)

 ท่าน ฮุเซน บิน รูฮ์ คือบุคคลที่สำคัญคนหนึ่งในการช่วยเหลือการงานของท่านมูฮัมหมัด บิน อุษมาน ในสมัยของท่านมุฮัมมัด บิน อุษมาน ท่านมีสหาย และผู้ช่วยเหลือที่ใกล้ชิดมากที่สุดท่านหนึ่งคือ ญะอ์ฟัร บิน อะฮ์มัด บิน มาตีล กุมมี จนกระทั่งเป็นที่เลืองลือกันว่า ญะอ์ฟัร บิน อะหมัด คือตัวแทนของอิมามคนต่อไป หลังจากท่านมุฮัมมัด บิน อุษมาน และตอนที่มุฮัมมัด บิน อุษมาน ใกล้สิ้นใจ ญะอ์ฟัร บิน อะหมัด นั่งอยู่ตรงเหนือศรีษะของมุฮัมมัด ส่วนฮุเซน บิน รูฮ์ นั่งอยู่ตรงปลายเท้า ท่านมุฮัมมัดได้ทันมาทางญะอ์ฟัร และกล่าวต่อเขาว่า “ฉันได้รับคำสั่งให้แต่งตั้ง ฮุเซน บินรูฮ์ ให้เป็นตัวแทนต่อจากฉัน”

๕๕

เมื่อญะอ์ฟัร ได้ยินดังนั้น จึงลุกขึ้นไปจูงมือฮุเซน บิน รูฮ์ ให้มานั่งบนที่ของเขา ส่วนเขากลับนั่งที่ปลายเท้าแทน

ท่านอิมามได้มีจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับฮุเซน บิน รูฮ์ ดังนี้คือ

“ฉันรู้จักเขาดี และขอให้อัลลอฮ์ทรงทำให้เขาได้รู้จักความดีทั้งหลายด้วยเถิด ขอให้พระองค์ทรงช่วยเหลือเขาประสบความสาเร็จด้วยเถิด ฉันเชื่อและไว้วางใจเขา เขาคือผู้ที่มีเกียรติ และสร้างความพึงพอใจให้กับฉัน

ขอให้อัลลอฮ์ประทานความดีอันล้นเหลือให้แก่เขา และพระองค์มีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และขอขอบคุณอัลลอฮ์ซึ่งไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และขอสรรเสริญและสลามไปยังมุฮัมมัด และลูกหลานของ

มุฮัมมัด จดหมายฉบับนี้ได้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ ๖ เดือนเชาวาล ปีที่ ๓๐๕ ของฮิจเราะฮ์”

เมื่ออะบูบะฮัร นูบัคตี ถูกถามว่า ทำไมตำแหน่งนี้ (ตัวแทนคนที่ ๓) จึงไม่เป็นของท่านทั้งๆ ที่ท่านเป็นอุละมาอ์คนสำคัญของแบกแดด และยังเป็นหัวหน้าของคนในตระกูล นูบัคตี และยังได้เขียนตำราไว้อย่างมากมาย

อะบูบะฮัร ได้ตอบว่า : “บรรดาอิมามย่อมรู้ดีกว่า และสิ่งใดที่ได้เลือกไปแล้วนั้นย่อมเหมาะสมกว่า และประเสริฐกว่า ส่วนฉันนั้นตลอดเวลาอยู่กับการถกและโต้แย้งกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สร้างความเกลียดชังให้กับพวกเขามาตลอด และถ้าฉันได้เป็นตัวแทนอิมาม และรู้ที่อยู่ของท่านเหมือนกับฮุเซน บิน รูฮ์ รู้

๕๖

วันหนึ่งถ้าฉันตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู เป็นไปได้ว่าฉันอาจจะไม่สามารถรักษาความลับนั้นไว้ได้อีกต่อไป

แต่อะบุลกอซิม (ฮุเซน บิน รูฮ์) นั้นถ้าหากอิมาม (อ) ซ่อนตัวอยู่ในเสื้อของเขา และไม่ว่าศัตรูจะสับเขาเป็นชิ้น ๆ ก็ตาม เขาจะไม่มีวันถอดเสื้อตัวนั้นออก และเปิดเผยอิมามให้กับศัตรู

ท่านอะบุลกอซิม ฮุเซน บิน รูฮ์ ได้อยู่ในตำแหน่งตัวแทนอิมาม

 (นาอิบบุลอิมาม) ประมาณ ๒๑ ปี และก่อนการเสียชีวิตของท่าน ท่านได้มอบหมายการงานให้กับ อะบุลฮะซัน อะลี บิน มุฮัมมัด ซะมะรี เป็นตัวแทนคนต่อไปหลังจากท่าน และในเดือนชะอฺบาน ปีที่ ๓๖๒ ของฮิจเราะฮ์

อะบุล-กอซิม ก็ได้จากโลกนี้ไป และสุสานของท่านอยู่ที่แบกแดด

อะบุลฮะซัน ซะมะรี

ในหนังสือ “มุนตะฮา อัลมะก้อล” ได้กล่าวถึง อะบุ-ฮะซัน อะลี

บิน มุฮัมมัด ซะมะรี” ตัวแทนคนที่ ๔ ของอิมามมะฮ์ดี ไว้ว่า:

 “เขาเป็นผู้ที่มีเกียรติ และบุคลิกภาพอันประเสริฐเป็นอย่างมากจนเกือบที่จะไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือพิสูจน์”

อะบุลฮะซัน ได้รับคำสั่งจากอิมามมะฮ์ดี (อ) ให้ทำหน้าที่แทน ฮุเซน บิน รูฮ์ เพื่อทำการดูแลกิจการต่าง ๆ ของบรรดาชีอะฮ์

๕๗

มัรฮูม มุฮัดดิษ กุมมี ได้กล่าวว่า : วันหนึ่ง อะบุล ฮะซัน ซะมะรี ได้พบเจอกับกลุ่มอาวุโสของชีอะฮ์ และอะบุลฮะซัน ได้กล่าวกับพวกเขาว่า

 “ขอให้อัลลอฮ์ทรงประทานรางวัลแห่งความอดทนแก่พวกท่านในการจากไป อะลี บิน บาบะวัยฮฺ กุมมี ซึ่งเขากาลังจะจากโลกนี้ไปในขณะนี้”

บรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้น ได้บันทึกวันเวลาดังกล่าวไว้ และหลังจากนั้น ๑๘ วัน ข่าวการตายของอะลี บิน บาบะวัยฮ์ ก็ได้มาถึงพวกเขา ซึ่งตรงกับ

อะบุลฮะซัน ได้บอกไว้ อะบุลฮะซัน ซะมารี ได้จากโลกนี้ไปเมื่อปีที่ ๓๒๙ ของฮิจเราะฮ์ และก่อนเสียชีวิตของท่านได้มีชีอะฮ์กลุ่มหนึ่งมาหาท่านเพื่อที่จะถามถึงตัวแทนคนต่อไปหลังจากท่าน อะบุลฮะซัน ได้ตอบพวกเขาว่า:

ฉันไม่ได้รับคำสั่ง ให้แต่งตั้งใครหลังจากนี้ และท่านได้นำจดหมายของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) ให้ทุกคนดูและทุกคนก็ได้ลอกข้อความจากจดหมายฉบับนั้น ซึ่งเนื้อหาของมันมีดังนี้ คือ

ด้วยพระนามของอัลลอฮผู้ทรงเมตตา กรุณาปรานียิ่งเสมอ

โอ้ อะลี บิน มุฮัมมัด ซะมารี ขอให้อัลลอฮ์ทรงประทานรางวัลอันยิ่งใหญ่ ให้กับพี่น้องของท่านในความโศกเศร้า (จากการจากไปของท่าน)

ซึ่งท่านจะต้องจากโลกนี้ไปหลังจากหกวันนี้ ดังนั้นจงจัดการกับกิจการของท่านให้เรียบร้อย และไม่ต้องแต่งตั้งใครให้เป็นตัวแทนหลังจากท่าน เพราะเวลาแห่งการเร้นหายครั้งใหญ่ (ฆ็อยบะตุลกุบรอ) ได้มาถึงแล้ว

๕๘

 และการปรากฏตัวจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ และหลังจากนี้ไปโลกจะอยู่ภายใต้การกดขี่ และหัวใจของมนุษย์จะโหดเหี้ยมเป็นเวลายาวนาน และในไม่ช้านี้ จะมีผู้แอบอ้างการพบเจอระหว่างเขากับฉัน หรืออ้างตัวเป็นตัวแทนของอิมามผู้เร้นหาย (อิมามมุลฆออิบ) จงจำเอาไว้ว่า ก่อนการออกมาของซุฟยานี และก่อนที่จะมีเสียงกัมปนาทดังขึ้น ใครก็ตามที่อ้างว่า เขาได้พบเจอกับฉัน (ในลักษณะของตัวแทน) เขาผู้นั้นโกหก และสร้างเรื่องขึ้นเอง

และวันที่หก ที่จดหมายนี้ได้ส่งมา อะบุลฮะซัน ก็ได้จากโลกนี้ไป

บรรดาตัวแทนทั้งสี่ของท่านอิมาม เป็นบุคคลที่มีเกียรติ มีตักวา และเป็นผู้ที่ได้รับการเชื่อถือไว้วางใจขมากที่สุดจากประชาชนในยุคสมัยของท่านเหล่านั้น ซึ่งในช่วงแห่งการเร้นหายครั้งแรกนั้นบรรดาชีอะฮ์ได้นำเอาปัญหา และคำถามต่าง ๆ ของพวกเขาไปยังบุคคลทั้งสี่นี้ การแก้ไข และคำตอบจากท่านอิมามก็จะส่งผ่านบุคคลทั้งสี่นี้ ไปยังประชาชนในขณะนั้นการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างทุกคนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และบางครั้งบรรดาชีอะฮ์ผู้มีเกียรติหลายคนได้ถูกนำไปพบเจอกับอิมามโดยผ่านบุคคลทั้งสี่นี้

กะรอมะฮ และ มุอ์ญิซะฮ์ต่าง ๆ ของท่านอิมามได้ถูกพิสูจน์อย่างมากมายโดยผ่านบุคคลทั้งสี่นี้ ดังนั้นจึงสร้างความมั่นใจของประชาชนที่มีต่อบุคคลทั้งสี่

๕๙

ท่านเชคฏูซีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “อัลอิห์ติญาจ” ว่า:

 ไม่มีใครยอมรับการเป็นตัวแทนของบุคคลทั้งสี่ จนกว่า กะรอมะห์ หรือมุอฺญิซะห์ต่าง ๆ จากท่านอิมาม จะถูกพิสูจน์โดยผ่านบุคคลทั้งสี่นี้

หลังจากการสิ้นสุดช่วงสมัยแห่ง “ฆ็อยบะตุศศุฆรอ” การเร้นหายครั้งใหญ่ (ฆ็อยบะตุศกุบรอ) ก็ได้เริ่มขึ้น จนมาถึงปัจจุบันนี้

ในช่วงฆ็อยบะตุศศุฆรอ นั้น ประชาชนสามารถรับคำาตอบของพวกเขาได้โดยผ่านตัวแทนทั้งสี่ แต่ในสมัยของ ฆ็อยบะตุลกุบรอ สิ่งเหล่านี้เป็นไปไม่ได้ประชาชนต้องนำปัญหาของพวกเขาไปยังตัวแทนทั่วไป (นาอิบุลอาม) และนาอิบุลอาม จะเป็นคนตอบและแก้ไขปัญหาของพวกเขาเพราะนาอิบุลอาม (บรรดามัรญิอ์) คือ ผู้ที่มีความสามารถพิเศษในการวินิจฉัยปัญหาคำสั่งของพวกเขาถือเป็นการชี้ขาด (ฮุจญะฮ์) ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม

ท่านมัรฮูม กัชชี ได้กล่าวว่า จดหมายฉบับหนึ่งจากอิมามมะฮ์ดี ได้ยืนยันเรื่องนี้ ไว้ว่า :

“บรรดาชีอะฮ์ ของฉัน จะต้องไม่มีข้ออ้างหรือข้อยกเว้นใด ๆ ในการสร้างความสงสัย หรือไม่เชื่อฟังบรรดา “ษิกเกาะฮ์” ของฉัน จงรู้ไว้ว่า ความลับบางอย่างของฉันได้ถูกมอบหมายไว้ให้กับพวกเขา

๖๐

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

ความดีงามพิเศษ :

บทขอพรของอิมามมูซา กาซิม(อฺ)

บรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)นั้นมีความดีงามพิเศษมากมายที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ท่าน(อฺ)เหล่านั้นมีเกียรติคุณที่ดีเด่นเป็นพิเศษกันแต่เพียงกลุ่มเดียวสำหรับความดีงามเหล่านั้นในหมู่ประชาชาตินี้

เรื่องดุอาอ์(บทขอพร)คือลักษณะพิเศษอันมากมายอีกประการหนึ่งที่บรรดาสาวกและตาบีอีนทั้งหลายไม่มีโอกาสเทียบเทียมได้เลย แม้แต่คนเดียว อีกทั้งบรรดานักปราชญ์อื่น ๆ ในรุ่นถัดมาก็ตาม กล่าวคือ ได้มีการบันทึกดุอาอ์ของแต่ละท่านไว้มากมาย ซึ่งบรรดานักปราชญ์ของเราได้เก็บ

รวบรวมไว้นับร้อยๆ เรื่องบรรดาอิมาม(อฺ)เป็นมนุษย์ที่รู้จริงเกี่ยวกับระเบียบแบบแผนที่บ่าวของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)จำเป็นจะต้องดำเนินการปฏิบัติในยามสนทนากับพระองค์ และรู้ว่าควรจะเป็นอย่างไร สำหรับการถ่อมตน

การขอพึ่งพิง และตัดขาด(จากทุกสิ่งทุกอย่าง) เพื่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)

ในหนังสือนี้เราได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการอิบาดะฮฺโดยละเอียดของท่านอิมาม(อฺ)ผ่านมาแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นการบันทึกดุอาอ์บางบทบางตอนของท่าน(อฺ)ดังนี้

๑๐๑

ดุอาอ์

บทที่ 1

เป็นบทดุอาอ์บทหนึ่งของอิมามที่ 7

“ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ข้าฯขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และขอปฏิญานตนว่า มุฮัมมัดเป็นบ่าวและเป็นศาสนทูตของพระองค์ แท้จริงศาสนาอิสลามย่อมเป็นไปตามที่พระองค์ตรัสไว้ ศาสนาย่อมเป็นไปตามที่พระองค์ทรงวางกฎไว้ คัมภีร์ย่อมเป็นไปตามที่

พระองค์ทรงประทานให้ไว้ คำสอนย่อมเป็นไปตามที่พระองค์ตรัสไว้

แท้จริงอัลลอฮฺคือ ผู้ทรงสิทธิอันชัดแจ้ง ความเจริญสิริมงคลของอัลลอฮฺพึงมีแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของท่าน”

“ข้าแต่อัลลอฮฺ ข้าฯดำรงอยู่ในความคุ้มครองของพระองค์ ชีวิตของข้าฯนอบน้อมต่อพระองค์ ใบหน้าของข้าฯหันสู่พระองค์ กิจการงานของข้าฯ ขอมอบหมายยังพระองค์ ร่างกายของข้าฯขอนอบน้อมยังพระองค์ กลัวเกรงพระองค์ และมุ่งหวังต่อพระองค์ ข้าฯศรัทธาต่อคัมภีร์ของพระองค์ที่ทรงประทานมาแก่ศาสนทูตของพระองค์ที่ทรงส่งมา”

“โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงข้าฯเป็นคนยากจน ณ พระองค์ ขอได้ทรงโปรดประทานเครื่องยังชีพแก่ข้าฯโดยอย่าได้คำนวณ

แท้จริงพระองค์ทรงประทานเครื่องยังชีพให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์

โดยไม่มีการคำนวณ”

๑๐๒

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริง ข้าฯวิงวอนขอเครื่องยังชีพที่ดีงามทั้งหลาย และละเว้นความเลวร้ายทั้งหลาย และขอให้พระองค์อภัยโทษให้แก่ข้าฯ”

“โอ้อัลลอฮฺ ข้าพระองค์ขอความกรุณาของพระองค์ที่ทรงเป็นเจ้าของได้โปรดบันดาลให้ข้าฯได้ออกห่างจากความชั่วอันมาจากข้าฯ ด้วยความดีอันมาจากพระองค์ และขอให้พระองค์ประทานความดีอย่างมากมายที่พระองค์มิได้ประทานให้แก่บ่าวคนใดให้แก่ข้าฯ”

“โอ้อัลลอฮฺ ข้าฯขอความคุ้มครองให้พ้นจากทรัพย์สินที่เป็นตัวทดสอบ(ฟิตนะฮฺ)แก่ข้าฯ ให้พ้นจากบุตรที่เป็นศัตรูของข้าฯ ให้พ้นจากบุตรที่เป็นศัตรูของข้าฯ”

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริง พระองค์ทรงเห็นฐานะความเป็นอยู่ของข้าฯ ทรงได้ยินดุอาอ์และคำพูดของข้าฯ ทรงรู้ในความจำเป็นของข้าฯ ข้าฯขอต่อพระนามทั้งมวลของพระองค์ ได้โปรดทำให้ความ ต้องการทั้งหลายในชีวิตทางโลกนี้และปรโลกของข้าฯได้บรรลุผล”

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงข้าฯขอดุอาอ์ต่อพระองค์อันเป็นดุอาอ์ของบ่าวผู้ซึ่งด้อยในความสามารถเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก มีความทุกข์อย่างสาหัส มีความสามารถน้อยนิด และมีการงานที่ตกต่ำเป็นดุอาอ์ของผู้ที่ไม่มีใครช่วยเหลือได้นอกจากพระองค์ เป็นความอ่อนแอที่ไม่มีใครช่วยได้นอกจากพระองค์

๑๐๓

ข้าฯขอความดีต่าง ๆ ทั้งมวล ขอเกียรติคุณ ขอความดีความเมตตาทั้งมวลของพระองค์ ได้โปรดเมตตาต่อข้าฯ และให้ข้าฯพ้นจากไฟนรก”

“โอ้พระองค์ ผู้ทรงบันดาลให้แผ่นดินอยู่เหนือน้ำ ทรงบันดาลให้ฟากฟ้าอยู่ในห้วงอากาศ

โอ้ผู้ทรงเอกะ ก่อนทุกสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว โอ้ ผู้ทรงเป็นหนึ่งหลังจากทุก ๆ สิ่ง โอ้ผู้ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า พระองค์ทรงเป็นอย่างไร นอกจากพระองค์ และไม่มีใครรู้ซึ้งถึงอำนาจของพระองค์ นอกจากพระองค์ โอ้พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่กับกิจการงาน โอ้พระองค์ผู้ทรงให้ความช่วยเหลือ โอ้พระผู้ช่วยบรรดาผู้เดือดร้อน โอ้พระผู้ทรงตอบรับคำขอของคนเดือดร้อน โอ้พระผู้ทรงมีความเมตตาในโลกนี้และปรโลก เป็นพระผู้ทรงกรุณาปรานี โอ้พระผู้อภิบาลของข้าฯ โปรดเมตตาข้าฯ อย่าให้ข้าฯหลงผิด และอย่าชิงชังข้าฯตลอดกาล แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการสรรเสริญยิ่ง

 โปรดประทานพรแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของท่านเทอญ”(1)

(1) อัล-บะละดุล-อะมีน หน้า 101.

๑๐๔

ดุอาอ์

บทที่ 2

เป็นดุอาอ์ของอิมามมูซา กาซิม(อฺ)หลังนมาซซุฮฺริ

ท่านมุฮัมมัด บินซุลัยมานเล่าว่า : บิดาของท่านกล่าวว่า ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ออกเดินทางไปกับท่านอิมามอะบุลฮะซัน(อฺ) หรือมูซา บินญะอฺฟัร เมื่อท่าน(อฺ)นมาซซุฮฺริเสร็จแล้ว ท่าน(อฺ)ได้อ่านดุอฺาอ์ในขณะที่ทรุดตัวลงกราบอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ด้วยอาการเศร้าสร้อย น้ำตาหลั่งไหล ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

 “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าฯ ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยลิ้น ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงให้ข้าฯเป็นใบ้ก็ได้ ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยตา ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯตาบอดเสียก็ได้

ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยหู หากพระองค์ทรงประสงค์อาจทางทำให้ข้าฯหูหนวกเสียก็ได้

ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยมือ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯมือด้วนเสียก็ได้ ข้าพระองค์ทรยศพระองค์ด้วยเท้า ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯขาด้วนเสียก็ได้

ข้าพระองค์ทรยศพระองค์ด้วยอวัยวะสืบพันธุ์ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯเป็นหมันเสียก็ได้ ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยอวัยวะทั้งเรือนร่างที่ทรงประทานให้แก่ข้าฯ และสิ่งนี้ข้าฯไม่มีสิ่งใดๆ ตอบแทนแก่พระองค์ได้”

๑๐๕

บิดาของท่านมุฮัมมัด เล่าอีกว่า หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้นับจำนวนครั้ง ในคำที่ท่านกล่าวว่า

“อัล-อัฟว์ อัล-อัฟว์”(ขออภัย ขออภัย) ได้ 1,000 ครั้ง จากนั้นท่าน (อฺ) แนบแก้มขวาลงบนดิน แล้วข้าพเจ้าได้ยินท่าน (อฺ) กล่าวว่า

“ข้าฯล่วงเกินต่อพระองค์ด้วยความผิดของข้าฯ ข้าฯได้กระทำความชั่วและอธรรมต่อตัวของข้าฯเอง ดังนั้นได้โปรดให้อภัยแก่ข้าฯ เพราะไม่มีใครอภัยความผิดพลาดได้ นอกจากพระองค์ โอ้นายของข้าฯ โอ้นายของข้าฯ นายของข้าฯ นายของข้าฯ”

ท่าน(อฺ)ก็แนบแก้มซ้ายลงบนดิน แล้วกล่าวว่า

“โปรดให้ความเมตตาต่อผู้ทำบาป”

อ่านดังนี้สามครั้ง หลังจากนั้นท่าน(อฺ)จึงยกศีรษะขึ้น(2)

(2) อัล-บะละดุล-อะมีน หน้า 101.

๑๐๖

ดุอฺาอ์

บทที่ 3

เป็นดุอฺาอ์อีกบทหนึ่งของอิมามมูซา(อฺ)

“โอ้ ผู้ทรงดำรงอยู่ก่อนสิ่งทั้งหลาย โอ้ผู้ทรงได้ยินทุกเสียงสำเนียง ทั้งดังและค่อย โอ้ผู้ทรงประทานชีวิตให้หลังจากตาย ความมืดมิดอันใดย่อมไม่ครอบคลุมพระองค์เลย ภาษาอันหลากหลายย่อมไม่ทำให้พระองค์ทรงสับสน ไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์วุ่นวาย”

“โอ้พระผู้ซึ่งไม่ทรงวุ่นวายด้วยดุอฺาอ์ของผู้ใดที่อ้อนวอนขอต่อพระองค์จากฟากฟ้า โอ้พระผู้ทรงบันดาลให้ทุกสิ่งที่ได้ยิน ทรงได้ยินได้ฟังและมองเห็น โอ้พระผู้ซึ่งไม่เคยผิดพลาด แม้จะมีการร้องขออย่างมากมาย”

“โอ้พระผู้ทรงดำรงชีวิตในยามที่ไม่มีสิ่งใดดำรงชีวิต โดยทรงดำรงอยู่ตลอดกาล และมั่นคงถาวร โอ้พระผู้ทรงดำรงอยู่สูงสุด แต่ซ่อนเร้นจากสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยรัศมีของพระองค์ โอ้พระองค์ ผู้ทรงบันดาลให้แสงสว่างปรากฏออกมาท่ามกลางความมืด ข้าฯขอวิงวอนต่อพระองค์ด้วย

พระนามของพระองค์ผู้ทรงเอกะ ทรงเป็นหนึ่งเดียวแห่งการพึ่งพิง โปรดประทานความเจริญแด่ท่านศาสดามุฮัมมัดและอะฮฺลุลบัยตฺของท่าน”

จากนั้นท่าน(อฺ)ได้วิงวอนขอในสิ่งที่ท่าน(อฺ)ต้องการ(3)

(3) บิฮารุ้ล-อันวารฺ เล่ม 11 หน้า 239.

๑๐๗

ดุอฺาอ์

บทที่ 4

เป็นดุอฺาอ์อีกบทหนึ่งของท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)

“ข้าฯขอมอบหมายตนเองยังพระองค์ ผู้ซึ่งไม่ตาย และข้าฯขอพึ่งการพิทักษ์คุ้มครอง โดยผู้ทรงเกียรติและอำนาจ ข้าฯขอความช่วยเหลือต่อผู้ทรงเกรียงไกรและมีอำนาจครอบครองข้าฯ โอ้นายของข้าฯขอยอมจำนนต่อพระองค์ ข้าฯขอมอบหมายตนต่อพระองค์ ดังนั้นขออย่าทำลายข้าฯ

ข้าฯขอพึ่งร่มเงาของพระองค์ ดังนั้นจงอย่าผลักไสข้าฯ พระองค์เป็นที่พึ่งอาศัย ทรงรู้สิ่งที่ข้าฯซ่อนเร้นและเปิดเผย ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในสายตาและที่ซ่อนไว้ในจิตใจ ดังนั้นได้โปรดยับยั้งข้าฯให้พ้นจากผู้อธรรมทั้งในหมู่ญิน และหมู่มนุษย์ทั้งมวลด้วยเถิด โอ้พระผู้ทรงกรุณาปราณี ได้โปรดปกปักรักษา

ข้าฯด้วยเถิด”(4)

 (4) มะฮัจญุด-ดะอฺวาต หน้า 300.

๑๐๘

การตอบสนองต่อบทดุอฺาอ์ของท่านอิมามที่ 7

บรรดาอิมาม(อฺ)ทั้งหลายนั้นต่างใช้ชีวิตทั้งหมดในฐานะผู้ถูกกดขี่ข่มเหง ตลอดระยะเวลาการปกครองของวงศ์อุมัยยะฮฺ คนทั้งหลายคาดคิดว่าในการปกครองของสมัยวงศ์อับบาซียะฮฺสิ่งนั้นคงจะบรรเทาเบาบางลงบ้างและภัยอันตรายคงจะยกเลิกจากพวกท่าน(อฺ)ไปบ้าง ซึ่งการคาดคิดของคนทั้งหลายไม่น่าจะผิดพลาด เพราะเชื้อสายของกลุ่มทั้งสองใกล้เคียงกัน ประกอบกับว่า ราชวงศ์อับบาซียะฮฺนั้นแอบอ้างดำเนินการปกครองในนามของเชื้อสายท่านอิมามอฺะลี(อฺ) ธงของท่านอะบูมุสลิมอัล-คุรอซานีที่ได้เข้าไปในเมือง

คุรอซานนั้น ดำเนินการปกครองในนามของเชื้อสายท่านอฺะลี(อฺ)

การเข้าไปในเมืองคุรอซานนั้นก็ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นนอกจากเพื่อสนับสนุนลูกหลานของท่านอฺะลี(อฺ)

แต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม ในเมื่อพวกอับบาซียะฮฺได้เริ่มติดตามอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ) ด้วยการลอบสังหาร คุมขัง ฯลฯ จนช่วงหนึ่งในการปกครองของพวกวงศ์นี้ ยังความรุนแรงแก่บรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)ยิ่งกว่าพวกวงศ์อุมัยยะฮฺเสียอีก

บรรดาอิมาม(อฺ)จะไม่อ่านดุอฺาอ์เพื่อขอสาปแช่งบรรดาผู้อธรรม นอกจากในกรณีที่ความอธรรมถึงขีดสุดของความรุนแรงเท่านั้น เมื่อเราได้รู้ถึงเรื่องนี้จากท่าน(อฺ) เราก็สามารถประเมินสถานการณ์ที่รุนแรงอันเกิดขึ้นแก่ท่านอิมาม(อฺ)ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านต้องขอดุอฺาอ์สาปแช่งบุคคลที่อธรรมต่อท่าน(อฺ)

๑๐๙

ในลำดับต่อไปนี้ เราจะเสนอเรื่องดุอฺาอ์ของท่านอิมามมูซา บินญะอฺฟัร(อฺ)ที่ได้รับการตอบสนองจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.)

-1-

เจ้าของหนังสือ “นะษะรุต-ตุรรุล” ได้กล่าวไว้ว่า :

 ท่านอิมามมูซา บินญะอฺฟัร อัล-กาซิม(อฺ)นั้น มีคนแจ้งให้ท่าน(อฺ)ทราบว่า อัล-ฮาดี วางแผนการร้ายต่อท่าน(อฺ) ท่าน(อฺ)ได้พูดกับครอบครัวและผู้ติดตามว่า

“พวกท่านมีความคิดเห็นอะไรเสนอแนะแก่ฉันบ้าง?”

คนเหล่านั้นกล่าวว่า

“เราเห็นว่า ท่านควรออกห่างจากเขา และหลบซ่อนให้พ้นไปจากเขา เพราะความชั่วร้ายของเขานั้นจะไม่ให้ความปลอดภัยแก่ท่าน”

ท่าน(อฺ)ยิ้ม แล้วกล่าวว่า

“คนโฉดคิดว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะพระผู้อภิบาลได้ แน่นอน

ผู้ชนะที่แท้จริงย่อมชนะอยู่แล้ว”

หลังจากนั้นท่าน(อฺ)ยกมือขึ้นขอดุอฺาอ์ แล้วกล่าวว่า

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มากมายเหลือเกินแล้ว สำหรับพวกศัตรูที่มุ่งหมายทำลายข้าฯ ข่มเหงรังแกข้าฯ โดยแผนการเข่นฆ่าด้วยพิษร้ายของมันจนดวงตาของข้าฯไม่เคยหลับไหล เนื่องจากคอยระแวดระไวต่อพวกมัน ครั้นเมื่อพระองค์ทรงเห็นถึงความอ่อนแอของข้าฯ ในการปกป้องโพยภัยและความเกินกำลังที่ข้าฯจะทานทนกับความเจ็บปวดได้ ขออำนาจและอานุภาพของพระองค์ได้โปรดสลัดสิ่งนั้นออกให้พ้นจากข้าฯโดยมิใช่ด้วยความสามารถและอานุภาพของข้าฯ และจงโยนเขาลงไปสู่หลุมลึกที่พวกเขาขุดล่อข้าฯให้ตกลงไปในโลกแห่งวัตถุของเขา จนห่างไกลจากความหวังในปรโลก

๑๑๐

 มวลการสรรเสริญเป็นของพระองค์ที่ได้ทรงกำหนดความโปรดปรานของพระองค์ที่โปรยปรายแก่ข้าฯ และพระองค์มิได้ทรงปฏิเสธความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อข้าฯ

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดลงโทษเขาด้วยอำนาจของพระองค์ โปรดพลิกแผนการของเขาออกจากข้าฯ ด้วยอานุภาพของพระองค์ โปรดบันดาลภาระอันหนักหน่วงจนเกินกำลังให้แก่เขา

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดบันดาลให้ความเป็นศัตรูนั้นกลายเป็นยาบำบัดรักษาแก่ข้าฯ

และบันดาลให้ความแค้นของข้าฯที่มีต่อเขา เป็นการอภัย โปรดประทานแก่ดุอฺาอ์ของข้าฯ ด้วยการตอบรับ และโปรดรับรองคำอุทธรณ์ของข้าฯ และโปรดให้เขาสำนึกเพียงสักเล็กน้อยกับการตอบรับต่อบ่าวของพระองค์

ผู้ถูกกดขี่ แท้จริงพระองค์ทรงมีเกียรติอันยิ่งใหญ่”

ต่อจากนั้นสมาชิกครอบครัวก็ลาจากไป ครั้นต่อมาไม่นาน คนเหล่านั้นมาชุมนุมกันเพื่ออ่านจดหมายที่มีมาถึงท่านอิมามมูซา(อฺ)แจ้งให้ท่าน(อฺ)ทราบว่ามูซา อัล-ฮาดีนั้นได้ตายเสียแล้ว(1)

(1) อัล-ฟุศูลุล-มุฮิมมะฮฺ หน้า 222. มุฮัจญุด-ดะอฺวาต หน้า 29.

๑๑๑

-2-

ท่านอับดุลลอฮฺ บินศอลิฮฺ ได้กล่าวว่า : ท่านศอฮิบุ้ล ฟัฎลฺ บินร่อบีอฺเล่าให้เราทราบว่า : ในคืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าอยู่บนที่นอนพร้อมกับภรรยาของข้าพเจ้า พอตกกลางคืนข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังที่ประตูเมือง ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นยืนดู

ภรรยาของข้าพเจ้ากล่าวว่า

“อาจเป็นเสียงของลมพัดก็ได้”

แต่แล้วไม่ทันไร ประตูบ้านที่ข้าพเจ้าอยู่ขณะนั้นก็เปิดออก แล้วคนชื่อ ‘มัซรูร’ก็พรวดพลาดเข้ามา พลางกล่าวว่า

“จงยอมรับคอลีฟะฮฺฮารูน รอชีด”

โดยมิได้ให้สลามแก่ข้าพเจ้าแต่ประการใด ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวังมาก นึกในใจว่า ‘มัซรูร’ ผู้นี้เข้ามาโดยไม่ขออนุญาตและไม่ให้สลาม ฉะนั้นย่อมไม่มีจุดประสงค์อื่นนอกจากมาฆ่า ขณะนั้น

ข้าพเจ้ามีญุนุบอยู่จึงไม่ได้ถามอะไรเขา โดยให้เขาคอยข้าพเจ้าซึ่งต้องอาบน้ำชำระร่างกายเสียก่อน

ภรรยาของข้าพเจ้ากล่าวว่า

“จงยึดมั่นต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)อย่างหนักแน่น แล้วลุกออกไปเถิด”

ข้าพเจ้าจึงลุกออกไปสวมเสื้อผ้า แล้วออกมาพร้อมกับเขาจนถึงอาคาร ข้าพเจ้าได้กล่าว

สลามท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน(คอลีฟะฮฺฮารูน รอชีด) ที่กำลังเอนเอกเขนกอยู่ เขารับสลาม แล้วข้าพเจ้าก็นั่งลง

เขากล่าวว่า

“ท่านกลัวมากใช่ไหม ?”

๑๑๒

ข้าพเจ้าตอบว่า

“ใช่แล้ว โอ้ ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน”

เขาปล่อยให้ข้าพเจ้าพักสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า

“จงออกไปยังคุกของเรา แล้วปล่อยมูซา บินญะอฺฟัร บินมุฮัมมัด ออกมา พร้อมกับจ่ายเงินให้กับเขาสามหมื่นดิรฮัม และให้พาหนะอีกสามชุด และให้ออกเดินทางไปจากเรา ไปที่ไหนก็ได้ตามที่เขาปรารถนา”

ข้าพเจ้าพูดกับเขาว่า

“โอ้ ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน ท่านจะปล่อยตัวมูซา บินญะอฺฟัร กระนั้นหรือ ?”

เขาตอบว่า

“ใช่แล้ว”

ข้าพเจ้าทวนคำถามถึงสามครั้ง เขาก็ตอบว่า

“ใช่แล้ว ท่านต้องการจะให้ฉันผิดคำสัญญากระนั้นหรือ ?”

ข้าพเจ้าถามว่า

“โอ้ ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน คำสัญญาที่ว่านั้นหมายถึงอะไร ?”

ฮารูน รอชีดกล่าวว่า

“ขณะที่ข้านอนอยู่บนเตียงแห่งนี้ มีสิงโตตัวหนึ่งขึ้นมาคร่อมบนหน้าอก และขย้ำตรงคอหอยของข้า มันเป็นสิงโตตัวใหญ่ชนิดที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน และมันพูดกับข้าว่า

“ท่านกักขังมูซา กาซิมด้วยกับความอธรรม”

๑๑๓