อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก16%

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 113

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 113 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 29744 / ดาวน์โหลด: 5310
ขนาด ขนาด ขนาด
อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

 

เชคฏูซีย์ เชคศอดูก และมัรฮูมฏ็อบริซีย์ ได้รายงานจากอิสฮาก บิน

อัมมาร ว่า : ท่านอิมามมะฮ์ดีได้กำหนดหน้าที่ของชีอะฮ์ในช่วงสมัยของ ฆ็อยบุตุลกุบรอ ไว้ดังนี้คือ

 “และในปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นจงกลังไปยัง ผู้รายงานฮะดีษของเรา พวกเขาคือข้อพิสูจน์ของฉันเหนือพวกท่าน และฉันคือข้อพิสูจน์ของอัลลอฮ์เหนือพวกเขา”

ท่านมัรฮูม ฏ็อบริซีย์ ได้รายงานในหนังสือ “อัลอิห์ติญาจ” ของท่านโดยได้รายงานฮะดีษหนึ่งจากอิมามญะอฺฟัร อัศศอดิก ว่า:

 “และจากบรรดาฟะกีฮ์ (ที่มีคุณสมบัติดังนี้คือ สร้างตัวเอง(ตามหลักการศาสนา) ปกป้องศาสนาของเขาได้ ต่อต้านกิเลสตัณหาของตัวเองได้ และปฏิบัติเชื่อฟังเมาลา (บรรดาอิมาม) ของเขา ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนทั่วไป (อะวาม) ที่จะต้องตักลีดตามเขา”

 ด้วยสาเหตุนี้กิจการของมุสลิม ในช่วงสมัยของ ฆ็อยบะตุลกุบรอ จึงกลับไปยัง “วะลียุลฟะกีฮ์” การงานทุกอย่างต้องดำเนินไปตามทัศนะ และคำวินิจฉัยของเขา ถึงแม้ว่าคำตัดสิน และปัญหามากมายได้รับการแก้ไขมาก่อนในสมัยอิมามต่าง ๆ แต่ปัญหาใหม่ ๆ ของสังคมก็ยังมีอีกมากที่จะต้องไดรับการแก้ไข และบรรดามัรญิอ์หรือฟะกีฮ์เหล่านี้เท่านั้นที่จะต้องรับหน้าที่อันนี้ต่อไป จนกว่าถึงวันแห่งการปรากฏตัวของอิมามมะฮ์ดี (อ)

๖๑

ผลทางลบ และทางบวกของการเร้นหาย

การศรัทธาในอิมามมะฮ์ดี เป็นบ่อเกิดแห่งสติปัญญา และความหวังการศรัทธาในเรื่องราวของท่าน และมีความรู้สึกว่าการปรากฏตัวของท่าน เป็นไปได้ตลอดเวลา มีผลต่อจิตสำนึกอย่างลึกซึ้งในจิตใจของผู้ศรัทธาพวกเขามีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา และระวังตัวเองจากการกดขี่ หรือละเมิดผู้อื่น มีความรักในความยุติธรรม และภราดรภาพ จนกว่าเตาฟีกแห่งการรับใช้

อิมามมะฮ์ดี จะมีมายังเขา และการรับรู้ถึงการมีอยู่อิมามจนกระทั่งเตาฟีก แห่งการพบเจอ และเยี่ยมเยียนอิมามมาถึงเขา และเขาจะระวังตัวเองจากความกริ้วของอิมาม การศรัทธาในอิมามมะฮ์ดีจะทำให้ผู้ศรัทธาไม่เข้าไปอยู่ภายใต้การปกครองใดๆ ของบรรดาการปกครองอันจอมปลอมและกดขี่

 การศรัทธาอันนี้จะสร้างความรู้สึกต่อต้าน และเผชิญหน้าของผู้ศรัทธาต่อบรรดาผุ้กดขี่ และฏอฆูต (ผู้นำจอมปลอม) และปฏิเสธอำนาจของพวกมัน

ความเชื่อในการปรากฏตัวของท่านอิมามมะฮ์ดี จะต้องไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้มุสลิม มอบหมายการงานของพวกเขาไว้กับอนาคต และโดดเดี่ยวตัวเองจากสังคม และปล่อยให้พวกกาฟิรหรือผู้ชั่วร้ายครอบครองกิจการของโลกทั้งหมด

๖๒

ผู้ศรัทธาจะต้องไม่ละความพยายาม ในการที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรือง ด้านความรู้ อุตสาหกรรม และสร้างสรรค์ สังคมให้ดีงาม

ความคิดที่ว่าการศรัทธาในอิมามมะฮ์ดี จะทาให้เกิดความสิ้นหวัง หรืออ่อนแอเป็นความคิดที่บาฏิล (โมฆะ) บรรดาอิมามมะอฺศูม และสาวกของท่านที่ได้ยืนหยัดต่อสู้มาตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้นไม่ใช่ผู้ศรัทธาในอิมามมะฮ์ดีดอกหรือ ?

บรรดาอุละมาอ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิสลาม ที่ได้ทำการ เสียสละ ต่อสู้ และพยายามที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ และเชิดชูอิสลามให้สูงส่ง โดยไม่ปฏิเสธหน้าที่ และความรับผิดชอบอันหนักอึ้งของพวกเขาต่ออิสลาม บุคคลเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ศรัทธาในอิมามมะฮ์ดีดอกหรือ ?

มุสลิมในสมัยของท่านศาสดา (ศอล) ได้เคยฟังจากท่านศาสดาว่าวันหนึ่ง ในอนาคตอิสลามจะไดรับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ แต่ข่าวดีอันนี้ไม่ได้ทำให้สาวกในยุคนั้นสิ้นหวัง หรือ ละความพยายามในการที่จะต่อสู้แต่กลับทำาให้พวกเขาเพิ่มความพยายาม และเสียสละมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะให้ถึงซึ่งเป้าหมาย และความหวังอันยิ่งใหญ่นั้น

๖๓

มุสลิมในวันนี้ก็เช่นกัน เขามีพันธสัญญาอันยิ่งใหญ่ต่ออิสลามที่จะต้องยืนหยัดต่อสู้ให้ได้มา จะต้องรู้จักใช้สถานการณ์ และโอกาส อย่างชาญฉลาด จะต้องปรากฏตัวในสนามแห่งการต่อสู้นี้ตลอดเวลาจะต้องขจัดขัดขวางสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ และเสริมสร้างศีลธรรมความดีให้เกิดขึ้นจะต้องสกัดกั้นอำนาจ และอิทธิพลของศัตรู จะต้องป้องกันการโจมตีของศัตรูทางด้านความคิด เศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร ที่จะมีต่ออิสลาม และมุสลิม จะต้องมีความพยายามอย่างสุดความสามารถในการขัดเกลาจิตวิญญาณ และสร้างสรรค์ บุคลลิกภาพส่วนตัวจนมีคุณสมบัติที่พร้อมที่จะได้สัมผัสกับ

อิมามมะฮ์ดี จนเป็นผู้ช่วยเหลือที่แท้จริงของท่าน และอยู่ภายใต้การดูแลเอื้อเฟื้อของท่านอิมาม (อ) และสร้างฐานรองรับการปรากฏตัวของท่าน

ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะลี (อ) ได้รายงานฮะดีษ จากท่านศาสดา (ศ็อล) ว่า

 “อิบาดะฮ์ที่ประเสริฐที่สุด คือการรอคอยการปรากฏตัวของมะฮ์ดี”

๖๔

ท่านอิมามซัยนุลอาบีดีน (อ) ได้กล่าวว่า : การเร้นหายของอิมามที่สิบสอง จะมีระยะเวลาอันยาวนาน ประชาชาติในยุคของการเร้นหายของเขาที่มีศรัทธาต่อเขา (มะฮ์ดี) และรอคอยการปรากฏตัวของเขา จะเป็นประชาชาติที่ประเสริฐกว่าทุกประชาชาติที่เคยมีมา ก็เพราะว่าอัลลอฮ์จะประทานความรู้ความเข้าใจ และสติปัญญาให้แก่พวกเขาเหมือนกับว่าอิมามยังมิได้เร้นหายไปจากพวกเขา อัลลอฮ์ได้ยอมรับพวกเขาเหมือนกับบรรดามุญาฮีดีนที่เคียงข้างท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล) พวกเขาคือผู้ที่มีความอิคลาส และเป็นชีอะฮ์ที่แท้จริง พวกเขาได้เชิญชวนมนุษย์เข้าหาอัลลอฮ์

และท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน ได้กล่าวต่อไปอีกว่า :

มัรฮูม อายะตุลลอฮฺ ซัยยิด ศ็อลรุดดีน ศ็อดร์ ได้เขียนในหนังสือของท่านว่า : การรอคอย คือการระวัง และเตรียมตัวให้พร้อมต่อการเกิดของสิ่งที่รอคอย และปฏิเสธไม่ได้ว่าการรอยคอยอิมามมะฮ์ดีก็คือ การที่เราจะต้องสร้างตัวเอง และสังคมให้พร้อมโดยเฉพาะสังคมของอิมามียะฮ์ (ชีอะฮ์) ตามวิธีการดังนี้คือ :

๑. ในตัวของการรอคอยเองนั้น คือการฝึกฝนที่สาคัญสาหรับจิตใจมนุษย์จนถึงขั้นที่กล่าวกันว่า

“การรอคอยทรมานกว่าการฆ่า”

๖๕

และสิ่งจำเป็นในการรอคอย คือการครุ่นคิด และรวบรวมพลังทางความคิดทั้งหมดไปยังผู้ที่เราคอย และแน่นอนการกระทำอย่างนั้นย่อมก่อให้เกิดประโยชน์สองอย่างคือ

๑.๑ พลังทางความคิดของมนุษย์จะถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังแห่งการปฏิบัติ

๑.๒ มนุษย์สามารถรวบรวมพลังทางความคิด และพลังแห่งการปฏิบัติ

เข้าสู่จุดเดียว และเป้าหมายอันเดียวกัน และประโยชน์ทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ และจำเป็นอย่างมากสาหรับมนุษย์ในการดำเนินชีวิตที่จะไปสู่ความสมบูรณ์สูงสุด

๒.การรอคอยคือยาที่จะบรรเทาความเจ็บปวด และปัญหาของมนุษย์ เพราะว่าเรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องได้รับการขจัดปัดเป่า มีความแตกต่าง เป็นอย่างมากสำหรับมนุษย์ในปัญหา และความเจ็บปวดที่เขารู้ว่ามีการขจัดปัดเป่า และทดแทน กับปัญหาที่พวกเขาไม่รู้วิธีการหรือผู้แก้ไขและในขณะเดียวกันที่พวกเขามีความรู้สึก การปรากฏนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

 และเมื่ออิมามปรากฏตัวโลกนี้ก็จะถูกทำให้เต็มไปด้วยความสันติ ยุติธรรม ปัญหาและความเจ็บปวดต่าง ๆ ของชาวโลก ก็จะถูกขจัดออกไป

๖๖

๓. ผลแห่งการรอคอย ทำให้เกิดความรัก และความสัมพันธ์ และทำให้เขาเป็นสหาย และผู้ช่วยเหลือที่แท้จริงของท่านอิมาม แน่นอนสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้นั้น เขาจะต้องมีความพยายามเป็นอย่างมากในการขัดเกลาชำระล้างจิตวิญญาณ และเสริมสร้าง อัคลาก (ตำแหน่งอันสูงสุดแห่งจิตวิญญาณ) ให้สมบูรณ์จนกว่าเขาจะมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมในการพบกับอิมาม และทำการญิฮาดร่วมกับท่านในตอนที่อิมามปรากฏตัว และคุณสมบัติเหล่านี้นั้นหายากมากในสังคมปัจจุบัน

๔. การรอคอยที่แท้จริง ทำให้มนุษย์ปรับปรุงตัวเอง และผู้อื่น และทำให้พวกเขาเตรียมพร้อมในการที่จะสร้างฐานะรองรับการมาของอิมามซึ่งบนพื้นฐานเหล่านี้นั้นจะทำให้อิมามมีชัยชนะเหนือศัตรู และสิ่งจำเป็นในการนี้คือพื้นฐานทางด้านความรู้ ความเข้าใจ ความเจริญทางด้านอุตสาหกรรม และอื่นๆ ที่จำเป็นที่จะทำให้เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของอิมามสมบูรณ์ เพราะว่าชัยชนะของอิมามที่จะมีต่อศัตรูนั้นเป็นชัยชนะตามวิธีการปกติ และเป็นธรรมชาติ เหล่านี้คือวิธีการรอคอยที่สัตย์จริง

๖๗

มัรฮูม มุซ็อฟฟัร ได้เขียนไว้ในหนังสือของท่านว่า :

“การรอคอยมะฮ์ดี ผู้ที่จะมาปลดปล่อย และสร้างสรรค์ โลกนั้นไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องทิ้งหน้าที่ของเราที่มีต่อสัจธรรมของศาสนาโดยเฉพาะสิ่งวาญิบต่างๆ ในศาสนา อย่างเช่น การญิฮาดให้ได้มาซึ่งการปฏิบัติตามหลักการศาสนา การกำชับกันในเรื่องความดี และยับยั้งในความชั่วต่าง ๆ เราไม่สามารถปฏิเสธหน้าที่อันเป็นวาญิบนี้ได้ เพราะว่ามุสลิมไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพใด เป็นหน้าที่ (วาญิบ) สาหรับเขาที่จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้า และจะต้องเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้ถึงสิ่งเหล่านี้ จนกว่าจะมีความสามารถในการกำชับความดี และยับยั้งความชั่ว และไม่มีเหตุผลใด จะมาอ้างในการรอคอยที่นั้นไม่ได้ทำให้หน้าที่ใด ๆ ต้องยกเลิกสาหรับเขา และไม่ได้ทำให้การงานต่าง ๆ ของศาสนาต้องถูกเลื่อนออกไป”

ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวไปแล้ว จึงสรุปได้ว่า ชีอะฮ์ทุกคนในสมัยของการเร้นหายของท่านอิมามอยู่ภายใต้การทดสอบอันยิ่งใหญ่ มุมหนึ่งเขาจะต้องรักษาหน้าที่ของเขาที่มีต่อศาสนา อีกมุมหนึ่งเขาจะต้องรีบสร้างฐานะของการปรากฏตัวของอิมาม ผู้คนสามารถเข้าร่วมกับอิมามในการช่วยเหลืออิสลาม และส่วนมากของพวกเขาจะไม่ประสบความสาเร็จในการทดสอบครั้งนี้

๖๘

ท่าน ญาบิร ญุอ์ฟี (สาวกผู้ใกล้ชิดอิมามบากิร) ได้ถามอิมามว่า

 “การปรากฏตัวของพวกท่าน (มะฮ์ดี) จะมีขึ้นเมื่อไหร่?

ท่านอิมามบากิร (อ) ได้ตอบว่า “ไม่มีวันที่จะเกิดขึ้น จนกว่าจะร่อนตะแกรง เพื่อที่คนที่ไร้ค่าต่อศาสนาจะถูกร่อนออกไป และผู้ที่บริสุทธิ์ใจต่อศาสนาจะเหลืออยู่ (หลังจากร่อนตะแกรงหรือทดสอบ)”

ใช่แล้ว การรอคอยคือ การต่อสู้ เสียสละ พยายามปฏิบัติตาม หน้าที่ ไม่สิ้นหวัง และหมดกาลังใจในการรอคอย และจะยืนหยัดรอคอยด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมจนถึงวันปรากฏตัวที่อัลลอฮ์จะประทานมา

และผลการรอคอยในครั้งนี้ ทาให้มนุษย์มีประสบการณ์ และยอมรับว่า ปราศจากการช่วยเหลือ และดลใจจากพระเจ้า มนุษย์ไม่สามารถที่จะนำกองคาราวานแห่งมนุษยชาติไปสู่ความสำเร็จ และเป้าหมายที่แท้จริงได้

และนั้นก็คือการใกล้ชิดกับพระเจ้า ดังนั้นเมื่อเขาไม่สามารถที่จะนำกองคาราวานแห่งมนุษยชาติไปสู่ความสำเร็จได้ จึงถึงเวลาแล้วสำหรับพวกเขาที่จะต้องมอบตัวเองให้โองการ และคำสั่งเบื้องบนจากพระผู้เป็นเจ้า

๖๙

ประโยชน์ของการดำรงอยู่ของอิมามในช่วงเร้นหาย

ประชาชนส่วนหนึ่งยังไม่เข้าใจถึงปรัชญาของการที่อิมาม มะอฺศูมจึงได้ถามว่า อะไรคือประโยชน์ของอิมามในช่วงของการเร้นหาย ? พวกเขาไม่รู้ว่า เป้าหมายของการสร้างสรรพสิ่ง จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อฮุจญัตอันบริสุทธิ์ของพระองค์มีอยู่ด้วย เพื่อที่จะได้ไปสู่การรู้จักพระเจ้าที่สมบูรณ์ และมีความถูกต้องในการภักดีต่อพระผู้อภิบาล

บรรดามะลาอิกะฮ์ ได้สอบถาม และสงสัยในการสร้างมนุษย์ได้เปรียบเทียบความดีของตน กับการก่อความเสียหายของมนุษย์ จึงมองไม่เห็นความดีใด ๆ เลยในการสร้างมนุษย์ บรรดามะลาอิกะฮ์จึงได้ถามอัลลอฮ์ว่า

 “พระองค์จะสร้างผู้ที่ก่อความเสียหาย และหลั่งเลือดกันบนโลกนี้กระนั้นหรือ ? ในขณะที่พวกเราได้ทำการสรรเสริญ สดุดี ถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ ” (อัลบากอเราะฮ์: ๓๐)

อัลลอฮ์ได้แสดงให้บรรดามะลาอิกะฮ์ได้เห็นถึงความรู้ และความเข้าใจของอาดัม (อ) เกี่ยวกับความลับของโลก และสัจธรรมแห่งฟ้าซึ่งจะทำ

ความรู้จัก และภักดีพระองค์สมบูรณ์ขึ้น จนทำให้บรรดามะลาอิกะฮ์พอใจ และหยุดข้อสงสัยต่าง ๆ ได้

เมื่ออัลลอฮฺได้สั่งให้อาดัม (อ) แสดงความรู้ของตัวเองให้กับบรรดา

มะลาอิกะฮ์ และทำให้บรรดามะลาอิกะฮ์ ได้เข้าใจถึงสัจธรรมแห่งการสร้าง

๗๐

และตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ของฮุจญัตของพระองค์จนบรรดามะลาอิกะฮ์ยอมรับว่า การสรรเสริญ (ตัสบิฮ์) สุดดี (ตักดีส) ของพวกเขานั้นไม่สามารถที่จะนำไปเปรียบเทียบกับตัสบิฮ์ และตักดิศของบรรดาเอาลิยาอ์ และฮุจญัตของพระองค์ได้ และตำแหน่งอันประเสริฐนี้มีอยู่ในเฉพาะมนุษย์เท่านั้น จึงทาให้บรรดามะลาอิกะฮ์ยอมรับถึงความประเสริฐในการสร้างมนุษย์

ดังนั้น การมีอยู่ของมนุษย์คือความประเสริฐสูงสุด ทำให้ปรัชญาของการสร้างสรรพสิ่งถึงจุดสมบูรณ์ เป็นการสร้างที่ทำให้ทูตสวรรค์ต้องก้มหัวยอมรับ เพราะการอิบาดะฮ์ของมนุษย์ต่อพระเจ้านั้น ไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบหรือนำเอาการอิบาดะฮ์ของสิ่งอื่นมาทดแทนได้ และเช่นกันการมีอยู่ของบรรดาเอาลิยาอ์ และฮุจญัตของอัลลอฮ์ ทำให้สายโซ่แห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งมวลดำเนินต่อไป ดังนั้นการมีอยู่ของฮุจญัตของพระองค์คู่กับสรรพสิ่งทั้งมวล คือ สิ่งจำเป็นและถ้ามีนิอ์มะฮ์ (ความโปรดปราน)ใดประสบกับเราก็เป็นเพราะบารอกะฮ์ของบรรดาฮุจญัตเหล่านี้

ถ้าไม่มีพวกเขาการสร้างมนุษย์ และสรรพสิ่งก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นการมีอยู่ของพวกเขาไม่ใช่เป็นเฉพาะนิอ์มะฮ์แห่งความรู้ และการชี้นำเท่านั้น แต่เป็นนิอ์มะฮ์แห่งการเกิด และการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งทั้งมวล ซึ่งถือเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่ต่อพวกเรา

๗๑

 ดั่งที่ได้สารภาพไว้ใน ซิยาเราะฮ์ ญะมีอะฮ์ กะบีเราะฮ์

ว่า

 “โอ้ เจ้าแห่งนิอ์มะห์ทั้งหลายของฉัน การสรรเสริญพวกท่านนั้นมันมากมายจนนับไม่ได้ เนื้อแท้ของพวกท่านเหนือคำเยินยอ คุณสมบัติ และตำแหน่งของพวกท่านเหนือคำบรรยาย พวกท่านคือรัศมีแห่งกัลยาณชน และเป็นผู้นำทางของบรรดาคนดี และข้อพิสูจน์ (ฮุจญัต) แห่งอัลลอฮ์ เป็นเพราะพวกท่าน อัลลอฮ์จึงเริ่มการสร้างสรรพสิ่ง เพราะพวกท่าน การสร้างได้สิ้นสุดลง เพราะพวกท่านฝนจึงได้หลั่งลงมาเพราะพวกท่านฟ้าจึงถูกยึดไม่ให้ตกลงมาบนดิน เพราะพวกท่าน ความยุ่งยาก ความลำบาก และอันตรายต่าง ๆ ได้ถูกขจัดออกไป.....

อิมามมูซา อัลกาซิม ได้รายงานจากบิดาของท่าน (อิมามญะฮฺฟัร) ว่า :

 “ด้วยความรู้ และการอิบาดะฮ์ของเรา (อะห์ลิลบัยต์) การอิบาดะฮ์

อัลลอฮ์ (อย่างแท้จริง) จึงเกิดขึ้น และถ้าไม่มีเราการอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์

(ที่แท้จริง) ก็จะไม่เกิดขึ้น”

และเรายังพบอีกมากมายในริวายะฮ์ ว่า :

 “แผ่นดินจะไม่มีวันเว้นว่างจากอิมามผู้บริสุทธิ์”

๗๒

 

อิมามบากิร ได้กล่าวว่า :

 “ขอสาบานด้วยนามแห่งอัลลอฮ์ ว่า หลังจากที่อัลลอฮฺได้เป่ารูฮ์ใส่ลงไปในอาดัม (อ) ตั้งแต่วินาทีนั้นแผ่นดินของพระองค์ก็ไม่เคยเว้นว่างจากอิมามเลย และด้วยอิมาม มนุษย์จึงได้รับทางนำ และเขาคือ ฮุจญัตของอัลลอฮ์เหนือมนุษย์ และถ้าปราศจาก อิมามผู้เป็นฮุจญัตของอัลลอฮ์โลกนี้ก็จะไม่หลงเหลืออีกต่อไป”

ความสำคัญของอิมามผู้บริสุทธิ์อีกข้อหนึ่งคือการชี้นำในเรื่องเร้นลับนอกเหนือจากการชี้นำทั่วไป ซี่งการชี้นำในเรื่องเร้นลับ (มะอ์นาวี) นี้ความลับต่าง ๆ ของการงาน และสรรพสิ่งทั้งมวลจะถูกเปิดเผย และชี้นำโดยอิมามผู้บริสุทธิ์ ดังโองการที่ว่า

 “และเราได้ทำให้พวกเขาเป็นอิมามทำการชี้นำ (ฮิดายะฮ์) ด้วยบัญชาของเรา และเราได้ดลใจพวกเขาถึงการประกอบคุณงามความดี ต่าง ๆ (๒๑: ๗๓)” และอีกโองการหนึ่งได้กล่าวว่า:

 “และเราได้ทำให้ส่วนหนึ่งของพวกเขาได้เป็นอิมามทำการชี้นำด้วยอำนาจของเรา หลังจากที่พวกเขาได้อดทน” (๔๑: ๒๔)

๗๓

ท่านอัลลามะฮ์ ฏอบาฏอบาอี ได้กล่าวในหนังสือของท่านว่า

“จากโองการเหล่านี้ทำให้เข้าใจว่า บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์นั้น นอกเหนือจากการฮิดายะฮ์แบบทั่วไปยังมีการฮิดายะฮ์ที่เข้าลึกไปถึงจิตวิญญาณ (มะอ์นาวี) และเปิดเผยความลี้ลับต่าง ๆ ในตัวมนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งมวล และรัศมีแห่งการฮิดายะฮ์ประเภทนี้จะผ่านเข้าไปในหัวใจ และจิตวิญญาณของผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับมัน และนำพวกเขาเข้าสู่เป้าหมายสุดท้ายที่แท้จริงของการสร้าง”

 “และถ้าหากใครค้านขึ้นมาว่า หน้าที่ของอิมามนั้นคือการชี้นำมนุษย์ในเรื่องราวของบทบัญญัติ (อะห์กาม) ของศาสนา และโครงสร้างของการศรัทธา (อะกีดะฮ์) แต่การเร้นหายของอิมามทำให้หน้าที่เหล่านี้ถูกทอดทิ้ง เพราะอิมามที่อยู่ในช่วงของการเร้นหายนั้นไม่สามารถที่จะติดต่อชี้นำใครได้ดังนั้นมนุษย์จึงไม่ได้รับประโยชน์อันใดในการมีอิมาม ที่อยู่ในการเร้นหาย .

(คำตอบก็คือ) พวกเขายังไม่รู้จักความหมาย และหน้าที่ที่แท้จริงของอิสลาม ซึ่งเราได้พิสูจน์แล้วในการพูดในเรื่อง “อิมามัต” ว่าบรรดาอิมามนั้นไม่ได้มีหน้าที่เพียงแต่ชี้นำมนุษย์ในเรื่องทั่วไปเท่านั้น แต่บรรดาอิมามยังมีอำนาจ (วิลายะฮ์) และหน้าที่ในการชี้นำมนุษย์เข้าสู่ความลับของกิจการทั้งมวลนำพวกเขามุ่งสู่อัลลอฮ์

๗๔

 และแน่นอนการปรากฏหรือเร้นหายทางร่างกายของอิมามนั้นไม่มีผลใด ๆ ต่อการฮิดายะฮ์มะอ์นาวี เพราะมันเป็นการฮิดายะฮ์ทางด้านใน (บาฎิน) เข้าสู่รูฮ์ และจิตวิญญาณของมนุษย์ โดยการติดต่อ และสัมพันธ์ทางด้าน จิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าร่างกายของท่าน (อิมาม) จะถูกปกปิดจากสายตาแห่งวัตถุ ถึงแม้ว่าเวลาแห่งการปรากฏตัว และการปฏิวัติโลกของท่านจะยังไม่ถึงก็ตาม”

ท่านมัรฮูม เชคฏูซีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านว่า :

การมีอยู่ของอิมามคือ ความโปรดปราน และอำนาจของท่านมาถึงเราเป็นอีกความโปรดปรานหนึ่ง และการไม่มีอำนาจของท่านมาถึงเราเป็นเพราะตัวเราเอง

ดวงอาทิตย์ ซึ่งไม่มีใครสามารถปฏิเสธถึงประโยชน์ของมันได้แต่ทว่า ถ้าหากมนุษย์ถอยห่างจากมันเอง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรกับดวงอาทิตย์ มันเป็นความผิดของมนุษย์เองที่เขาออกห่าง และหลบหลีกจากแสงสว่างของมัน และอย่าเข้าใจผิดคิดว่าการที่เราออกห่างจากดวงอาทิตย์ไปอยู่ในถ้ามือนั้นก็เท่ากับว่าเราไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากดวงอาทิตย์เลย แต่จริง ๆ แล้วแม้แต่ชีวิตในถ้ามือก็อยู่ไม่ได้ ถ้าปราศจากดวงอาทิตย์ ที่เขาหนีแสงของมันโดยตรง เพราะชีวิต อาหาร และความจำเป็นต่าง ๆ ของมนุษย์ ได้เกิดขึ้นก็จากดวงอาทิตย์

๗๕

และอีกริวายะฮ์หนึ่งก็ได้เปรียบเทียบท่านอิมามมะฮ์ดีเสมือนกับดวงอาทิตย์ที่อยู่หลังเมฆ ซี่งรายงานโดย สุลัยมาน อะอฺมัช จากท่าน

อิมามญะอ์ฟัร ศอดิก ซึ่งเขาได้ถามอิมามว่า : มนุษย์จะได้รับผลประโยชน์อะไรจากฮุจญัตของพระองค์ (มะฮ์ดี) ที่เร้นหาย

ท่านอิมามตอบว่า : เหมือนกับประโยชน์ของดวงอาทิตย์ในตอนที่มันอยู่หลังเมฆ

ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ อันศอรี ได้ถามรอซูลุลลอฮ์ว่าชีอะฮ์ในยุคสมัยของการเร้นหายของท่านอิมาม จะได้รับประโยชน์จากอิมามผู้เร้นหายไหม ?

ท่านรอซูลตอบ : ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ์ พวกเขาจะรับประโยชน์แน่นอน พวกเขาจะได้รับความกระจ่างจากแสงรัศมีของอิมามผู้เร้นหาย และพวกเขาจะรับประโยชน์จากอานาย (วิลายะฮ์) ของอิมาม เหมือนกับการใช้ประโยชน์จากดวงอาทิตย์ ถึงแม้ว่าเมฆจะบดบังมันก็ตาม

นอกเหนือจากนี้ ท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) ยังเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ทุกปี ท่านยังเข้าร่วมในการประชุมชุมนุมของชีอะฮ์ และบางครั้ง ปัญหาของผู้ศรัทธาก็ได้รับการแก้ไขจากอิมามโดยผ่านสื่อ และโดยตรง และเป็นไปได้ว่าบางครั้งประชาชนเคยเห็นท่าน แต่พวกเขาไม่รู้จัก แต่อิมามรู้จักพวกเขา ส่วนหนึ่งจากบรรดาผู้ศอและห์ (ประกอบการดี) อยู่ภายใต้การคุ้มครองของท่าน มีคนจานวนมากที่เคยพบเจอกับท่านทั้งในช่วงของการเร้นหาย ครั้งแรก (ศุฆรอ) และครั้งใหญ่ (กุบรอ) และได้เห็นถึงกะรอมะฮ์ และมุอฺญิซะอ์ ต่าง ๆ ของท่าน

๗๖

มัรฮูม ซัยยิด ศ็อครุดดีน ศ็อดร์ ได้กล่าวในหนังสือของท่านว่า :

จากรายงานต่าง ๆ ทำให้เราทราบว่ามีประชาชนกลุ่มหนึ่งได้พบเจออิมาม และได้รับเกียรติในการรับใช้ท่านในยุคสมัยของการเร้นหาย และสิ่งนี้นั้นไม่ขัดกับรายงานที่สั่งให้เราปฏิเสธผู้ที่อ้างว่าเขาพบเจอกับอิมาม เพราะการมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า รายงานที่ใหเราปฏิเสธนั้นเป้าหมายคือ ผู้ที่อ้างว่าเขาเป็นตัวแทนโดยตรงตามอิมาม

ในช่วงฆอยบะตุลกุบรอปัญหามากมายได้รับการแก้ไขโดยท่าน คนป่วยจำนวนมากได้รับการรักษาโดยท่าน ผู้ลำบากยากไว้ ได้รับการช่วยเหลือจากท่าน ผู้หลงทางจำนวนมากได้รับชี้นำจากท่าน ผู้ที่หิวโหยจำนวนมากได้ถูกทาให้อิ่มด้วยมือของท่าน

หนังสือ และบันทึกต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ได้ถูกบันทึกไว้อย่างมากมาย ด้วยเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน จากบุคคลที่เชื่อถือได้ (มุวัษษัก) ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พวกเขาได้เขียน และเล่าเรื่องราวอย่างมากมายเกินที่เราจะนับมันได้ และใครก็ตามที่อ่าน และศึกษาจากพยาน และหลักฐานต่างๆ ของมัน ความยากีน (เชื่อมั่น) ในเรื่องราวก็จะเกิดขึ้นกับเขาอย่างแน่นอน

๗๗

มุอ์ญิซะฮ์ของอิมามในช่วงฆ็อยบะตุศศุฆรอ

มุอ์ญิซะฮ์ และกะรอมะฮ์ต่าง ๆ ของอิมามในช่วงฆ็อยบะตุศศุฆรอเป็นที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากจากบรรดาชีอะฮ์ต่าง ๆ จากแดนใกล้หรือไกล เป็นการเพิ่มความศรัทธา และมั่นคงให้กับพวกเขามากยิ่งขึ้น

มุอ์ญิซะฮ์ ของอิมามในสมัยนั้นมีเป็นจำนวนมาก และถ้าเราจะกล่าวถึงมันทั้งหมด จะต้องแยกออกมาเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งโดยเอกเทศถึงจะกล่าวได้ทั้งหมด

 มัรฮูม เชค ฏูซีย์ได้กล่าวว่า :

    มุอ์ญิซะฮ์ต่าง ๆ ของอิมามในช่วงสมัยของการเร้นหายนั้นมีมากมายจนเราไม่สามารถที่จะนับมันได้ และในที่นี้ เราจะยกมาบางส่วนเพื่อเป็นตัวอย่าง

    ๑.อีซาบิน นัศร์ ได้รายงานว่า: อะลี บิน ศ็อยมิรี ได้เขียนจดหมายให้กับ

อิมาม และได้ขอกะฝั่น (ผ้าห่อศพ) จากอิมามได้มีคำตอบจากอิมามว่า :

ท่านจะเสียชีวิตในปีที่แปดสิบ

     และในตอนนั้นท่านจึงต้องการมัน (กะฝั่น) และเขาก็ได้เสียชีวิตในปีที่แปดสิบ จริงตามที่อิมามได้บอกไว้ และก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิต อิมามได้ส่งกะฝั่นผืนหนึ่งมาให้เขา

๗๘

๒. อะลี บิน มุฮัมมัด ได้รายงานว่า: ได้มีคำสั่งออกมาจากอิมามห้ามไม่ให้ชีอะฮ์ไปทาการซิยารัต (เยี่ยมเยียน) สุสานที่ กาซิเมน และกัรบะลาอ์ และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีคำสั่งจากคอลีฟะฮ์ให้ทำการสอดส่อง และจับกุม

ผู้ที่ไปเยี่ยมเยียนสุสานของบะนีฮาชิม (ลูกหลานของท่านศาสดา)

๓. หลานชายของ อะบู ญะอ์ฟัร (ตัวแทนอิมามท่านที่สอง) ได้รายงานว่า: อุมมุกุลษูม บุตรสาวอะบูญะอ์ฟัร และเป็นลูกหลานจากตระกูลนูบัคตี (ตระกูลของตัวแทนอิมามท่านที่สาม) ได้เล่าให้ฉันฟังว่า:

ทรัพย์สินจานวนหนึ่งจากเมืองกุม และเมืองใกล้เคียงได้ถูกส่งให้กับ

อิมามโดยผ่านอะบูญะอ์ฟัร ผู้ที่นำสัมภาระมาได้นำมามอบให้

อะบูญะอ์ฟัรที่แบกแดด และก่อนที่เขาจะจากไป

อะบูญะอ์ฟัร ได้กล่าวกับเขาว่า :

ยังมีบางอย่างที่ท่านได้รับมอบมา และยังไม่ได้ให้กับเรา

ชายผู้นั้นกล่าวว่า : โอ้นายของฉันไม่มีอะไรเหลือกับฉันอีกเลย อะไรที่ได้รับมา ฉันได้มอบให้กับท่านหมดแล้ว

๗๙

อะบูญะอ์ฟัร ได้กล่าวว่า :

ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ท่านยังไม่ได้ให้จงกลับไปยังสัมภาระของท่าน และหามันให้เจอ ชายคนนั้นได้กลับไปยังสัมภาระของเขา และทำการค้นหาสิ่งนั้น เขาและผู้เดินทางร่วมกับเขาได้ทาการค้นหาเป็นเวลาหลายวันแต่ไม่เจอ และคิดไม่ออกว่าอะไรคือสิ่งนั้น เขาได้กลับไปหาอะบูญะอ์ฟัรอีกครั้งหนึ่ง และได้กล่าวกับอะบูญะอ์ฟัร ว่า :

ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย อะไรที่ได้รับมาได้มอบให้กับท่านหมดแล้ว อะบูญะอ์ฟัร ได้กล่าวว่า : ท่านจะว่าอย่างไร ? เกี่ยวกับเสื้อโบราณสองตัวที่ชายคนหนึ่งให้กับท่าน และสั่งให้มามอบให้กับเรา ชายคนนั้นได้กล่าวว่า : ใช่แล้ว ฉันได้ลืมมันอย่างสนิทเลย แต่ว่าตอนนี้ ฉันนึกไม่ออกเลยว่า มันอยู่ที่ไหน ?

เขาได้กลับไปที่สัมภาระของเขาอีกครั้งหนึ่ง และทำการค้นหาเสื้อสองตัวนั้น และไม่ว่าเขาจะค้นหาสักเท่าไร ก็ตามก็ไม่พบเสื้อสองตัวนั้น เขาได้กลับไปหาอะบูญะอ์ฟัร และแจ้งให้ทราบว่าเสื้อสองตัวนั้นได้หายไปแล้ว

อะบู ญะอ์ฟัร ได้กล่าวกับเขาว่า : ได้มีชายคนหนึ่งได้นำผ้าสองมัดมาให้กับท่าน และสั่งให้ท่านนำมันไปมอบให้กับพ่อค้าผ้าคนหนึ่ง ดังนั้นจงกลับไปยังพ่อค้าผ้า นั้นเถิด และให้เขาคลี่ผ้าที่มัดที่มีรอยเขียนอยู่บนนั้น เสื้อทั้งสองตัวอยู่ในผ้ามัดนั้น

๘๐

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113