อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก0%

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 113

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

ผู้เขียน: ซัยยิด สุไลมาน ฮุซัยนี
กลุ่ม:

หน้าต่างๆ: 113
ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 26337
ดาวน์โหลด: 3197

รายละเอียด:

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 113 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 26337 / ดาวน์โหลด: 3197
ขนาด ขนาด ขนาด
อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

อิมามมะฮ์ดี ความหวังใหม่ของโลก

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

ชายคนนั้นแปลกใจเป็นอย่างมาก ได้ไปยังร้านขายผ้า และได้คลี่ผ้ามัดนั้นออก เขาก็พบเสื้อทั้งสองตัวอยู่ในนั้น จึงนำมันมามาอบให้ อะบูญะอ์ฟัร และได้กล่าวกับอะบูญะอ์ฟัร ว่า :

 ฉันได้ลืมไปว่าในตอนที่ฉันได้รวบรวมสัมภาระเข้าหีบห่อนั้น เสื้อสองตัวนี้ยังไม่ได้เข้าหีบห่อดังนั้นฉันจึงห่อมันเข้ากับผ้ามัดนั้นเพื่อความสะดวก และปลอดภัย

เรื่องนี้ได้สร้างความแปลกใจให้กับชายคนนั้นเป็นอย่างมาก เพราะเขาคิดว่าเรื่องแบบนี้นั้นมันน่าจะเกิดขึ้นบรรดานบี หรืออิมามเท่านั้น และเขาก็ไม่รู้ว่าอาบูญะอ์ฟัรเป็นใคร เพราะเขามีอาชีพรับส่งสัมภาระเท่านั้น ซึ่งทำหน้าที่รับส่งสิ่งของตามเมืองต่าง ๆ ที่บรรดาพ่อค้าส่งให้ซึ่งกัน และกันโดยเลือกให้ผู้เชื่อถือได้ในการขนส่ง และการส่งของให้อะบูญะอ์ฟัร ก็ต้องใช้วิธีนี้เช่นกัน เพราะสถานการณ์ในช่วงนั้น (สมัยการปกครองของเคาะลีฟะฮ์

อัล มุอ์ตะฏีด แห่งราชวงค์ อับบาซียะฮ์) เลวร้าย และเป็นอันตรายต่อชีอะฮ์ทุกคน คอลีฟะฮ์ผู้กระหายเลือดได้สั่งให้จัดการกับทุกคนที่มีการติดต่อสัมพันธ์กับอิมาม ดังนั้นการส่งของวิธีนี้จึงสร้างความปลอดภัยให้กับทรัพย์สิน และผู้ใกล้ชิดอิมาม

๘๑

๔. มุฮัมมัด บิน อิบรอฮีม อะฮฺวาซี ได้รายงานว่า:

หลังจากที่อิมามอัสการี (อ) ได้เสียชีวิตลง พวกเราได้เกิดความคลางแคลงสงสัยเป็นอย่างมากในเรื่องของอิมามมะฮ์ดีผู้เร้นหายจน วันหนึ่งทรัพย์สินที่เป็นสิทธิของอิมามจำนวนมากได้ถูกนำมามอบให้กับบิดาของฉัน แล้วท่านก็ได้นำมันไปให้อิมามโดยทางเรือ และฉันก็ได้มาส่งท่านที่ท่าเรือ แต่ก่อนเรือจะออก บิดาของฉันได้มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง และกล่าวกับฉันว่า :

: ลูกรักพาฉันกลับบ้านด่วน เพราะความตายของฉันกาลังจะมาถึงแล้ว เจ้างจงกลัวอัลลอฮ์ให้มาก ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินเหล่านี้ และท่านก็ได้ทำการสั่งเสีย (วะซียะฮ์) ให้กับฉัน หลังจากนั้นท่านก็ได้สิ้นใจ

ฉันได้พูดกับตัวเองว่า : บิดาของฉันไม่ใช่คนประเภทที่จะต้องสั่งเสียในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉันจะเอาทรัพย์สินเหล่านี้ไปที่อิรัก และจะเข้าบ้านที่ใกล้ท่าเรือ และฉันจะไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ และถ้าสิ่งที่เคยปรากฏในยุคของอิมามอัสการี ปรากฏขึ้นกับฉัน (หมายถึงมุอ์ญิซะฮ์) ฉันก็จะมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้ และถ้าไม่ปรากฏฉันก็จะทำทาน(เศาะดะเกาะฮ์) ทั้งหมด

๘๒

ฉันได้มายังอิรัก และได้เช่าบ้านหลังหนึ่งริมแม่น้ำ ผ่านไปหลายวันได้มีชายคนหนึ่งได้ถูกส่งมายังฉันพร้อมกับจดหมายซี่งมีใจความดังนี้คือ

: โอ้ มุฮัมมัด ทรัพย์สินที่เจ้านำมันมานั้น เป็นดังนี้ และห่อของมันเป็นดังนี้ . ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับทรัพย์สินได้ถูกอธิบายอย่างละเอียด และถูกต้อง ซึ่งฉันเองยังไม่รู้ละเอียดนัก ฉันได้มอบทรัพย์สินให้กับผู้ที่ถูกส่งมา และฉันได้อยู่ต่ออีกหลายวันแต่ไม่มีใครมาหาฉันเลย จึงทำให้ฉันเศร้า และน้อยใจ แต่จดหมายฉบับหนึ่งก็ได้ถูกส่งมายังฉัน ยังมีใจความว่า:

เราได้แต่งตั้งเจ้าให้ทำหน้าที่แทนบิดาของเจ้าต่อไป อัลฮัมดุลิลลาฮ์

๖. ฮะซัน บิน ฟัฏล์ ยะมานี ได้กล่าวว่า :

ฉันได้ไปยังเมืองซามัรรอ และฉันได้รับถุงเงินมาถุงหนึ่งจากอิมามพร้อมกับผ้าสองชิ้นฉันได้เปิดถุงเงินดู และพบว่ามันมีเงินอยู่เพียงไม่กี่ดินาร ฉันจึงกล่าวกับตัวเองว่า : ฉันมีราคาเพียงแค่นี้หรือ ? ความตะกับบูร (หยิ่งผยอง) ได้ครอบงำฉัน ฉันจึงได้คืนของทั้งหมดนั้นกลับไป แต่หลังจากนั้นฉันได้รู้สึกเสียใจต่อการกระทำของฉันจึงเขียนจดหมายไปขออภัย และทำการอิสติฆฟาร (ขออภัยโทษ) ต่ออัลลอฮ์

 ฉันได้กล่าวกับตัวเองว่า ถ้าถุงเงินจำนวนมากได้ถูกส่งกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่ขอเปิดถุง และใช้เงินจานวนนั้น และจะนำมันไปให้บิดาของฉัน เพราะท่านรู้ดีว่าจะทำอย่างไรกับมัน

๘๓

ได้มีสาส์นฉบับหนึ่ง จากอิมามมายังฉันซึ่งมีใจความว่า :

 เจ้าได้ผิดพลาดเป็นอย่างมากที่ได้ปฏิเสธฮะดียะฮ์ (ของขวัญ) ของเรา และเมื่อเจ้าได้สานึกในความผิด และเจ้าได้ขออภัยจากพระองค์ และอัลลอฮ์ก็ได้เราจึงไม่ส่งมัน (ถุงเงิน) มา แต่สำหรับผ้าสองชิ้นนั้น เจ้ายังมีความต้องการอยู่ จึงได้ส่งมันกลับมาให้เจ้าจงใช้มันเป็นผ้าเอียะฮ์รอมสำหรับเจ้าในพิธีฮัจญ์

๗. มุฮัมมัด บิน ซุเราะห์ กุมมี ได้รายงานว่า :

อาลี บิน ฮุเซน บาบะวัยฮ์ได้แต่งงานกับบุตรสาวของมุฮัมมัด บิน มูซา บาบะวัยฮ์ แต่ไม่มีบุตรเกิดจากเขาทั้งสอง เขา (อาลี) จึงได้เขียนจดหมายส่งไปให้กับ ฮุเซน บิน รูฮ์(ตัวแทนคนที่สามของอิมาม) เพื่อที่จะให้อิมาม (อ) ช่วยขอดุอาอ์ให้กับเขาให้อัลลอฮฺทรงประทานบุตรที่เป็นฟากีฮฺ ให้กับเขาสักคนหนึ่ง คำตอบจากอิมามได้มีมาว่า : ท่านจะไม่มีลูกกับภรรยาคนปัจจุบันแต่ในไม่ช้านี้ท่านจะได้ ครอบครองทาสหญิงจากเมืองไดลามี และนางจะเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรชายที่เป็นฟากีฮฺให้กับท่านถึงสองคน

หลังจากนั้น อัลลอฮ์ได้ประทานบุตรชายถึงสามคนให้กับเขา

มุฮัมมัด, ฮุเซน, และฮะซัน) มุฮัมมัดกับฮุเซน นั้นได้เป็นสองฟากิฮฺคนสำคัญ ที่มีความจำอันดีเลิส และสามารถจดจำ บัญญัติต่าง ๆ ของวิชาฟิกฮ์ได้มากมายจน

๘๔

ไม่มีใครในเมืองกุม สามารถจำได้เท่ากับเขาทั้งสอง ส่วนลูกชาย คนที่สาม (ฮะซัน) นั้นมุ่งหมายไปในทางอิบาดะฮ์ และถือสันโดษไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไป และไม่มีความรู้ในวิชาฟิกฮ์

ความจำอันดีเลิศ ของมุฮัมมัด และฮุเซน บุตรชายทั้งสองของอะลี บิน

ฮุเซน บิน บาบะวัยฮ์ ได้สร้างความแปลกใจเป็นอย่างมากให้กับชาวเมืองกุม จนพวกเขายืนยันว่า เป็นเพราะดุอาอ์ที่อิมามมะฮ์ดี ขอให้ และเรื่องนี้นั้นเป็นที่รู้กันทั่วไปสาหรับชาวเมืองกุม

การพบเจอกับอิมาม

มัรฮูม เชค ฏ็อบรีซีย์ ได้รายงานในหนังสืออะอ์ลามุลวะรอ ถึงรายชื่อ และจำนวนของคนที่เคยเห็นอิมาม หรือมุอ์ญิซะฮ์ของท่าน ซึ่งในจำนวนนั้น ๑๓ คนคือบรรดาตัวแทน และผู้รับใช้ท่านซึ่งเป็นชาวเมืองแบกแดด, กูฟะฮ์, อะฮ์วาซ, กุม, ฮามะดาน, อาเซอร์บัยจาน, และนีชาบูร์ อีก ๕๐ คน มาจากเมืองแบกแดด, ฮัมดาน, ดีนูร, อิสฟาฮาน, ศ็อยมีเราะฮ์, กุม, ไรย์, กัซวีน, และ

อื่น ๆ

มัรฮูม ฮัจญี นูรี อุละมาอ์ คนสำคัญของต้นศตวรรษที่ ๑๔ เจ้าของหนังสือ “มุสตัดรอกอัลวะซาอิล” ซึ่งเป็นหนังสือที่สำคัญเล่มหนึ่งของชีอะฮ์

๘๕

ท่านได้รายงานในหนังสือ “นัจญ์ มุษษากิบ” ถึงรายชื่ออีก ๑๒๐ คนนอกเหนือจากที่มัรฮูมฏ็อบริซีย์ ได้กล่าวไว้ซึ่งจำนวนทั้งหมดนี้คือผู้ที่ได้เคยเห็นอิมามมะฮ์ดี หรือ เคยเห็นมุอ์ญิซะฮ์ของท่าน หรือได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทั้งสองอย่าง

มัรฮูมนูรีได้เขียนว่า : เป็นไปได้ว่าพวกเขาทั้งหมดได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทั้งสองอย่าง และขอขอบคุณอัลลอฮ์ที่เรื่องราวของพวกเขาได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือต่าง ๆ ของบรรดา อุละมาอ์ ของเราที่ไม่มีใครสงสัยในการมีตักวา ความซื่อสัตย์บุคลิกภาพ อันประเสิรฐ การระมัดระวัง และความถูกต้องในการบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ของพวกเขา จนเป็นที่ยอมรับทั่วไป

(ในหมู่อุละมาอ์) ว่าเรื่องราวเหล่านี้ ถือเป็น “มุตะวาติร” เรื่องหนึ่งในแนวทางชีอะฮ์

อุละมาอฺคนสำคัญของชีอะฮ์หลายท่านได้บันทึกชื่อเรื่องราวบุคคลที่เคยพบเจออิมามมะฮ์ดี หรือ ได้เห็นมุอ์ญิซะฮ์ของท่านในฝันหรือตื่น ซึ่งรายชื่อของหนังสือเหล่านี้คือ : “กัฟฟุลอัสตาร” “บิหารุลอันวาร เล่มที่ ๑๓”

“ดารุสลาม” และมัรฮูมนูรี ได้บันทึกไว้ใน “นัจญ์ มุษษากิบ” ถึง ๑๐๐ เรื่องราว และท่านได้เริ่มต้นเรื่องราวไว้ดังนี้คือ: อะไรที่จะกล่าวในบทนี้ คือมุอ์ญิซะฮ์ต่าง ๆ ของอิมามที่เพียงพอ และสร้างความมั่นใจในการที่จะเชื่อในเรื่องราวของมัน

๘๖

และส่วนมากของเรื่องราวนั้น ถ้าเราจะมองในแง่ของหลักฐานการรายงาน (สะนัด) นั้นถือว่าเป็นสะนัดที่สร้างความมั่นใจ ,ถูกต้อง และเป็นรายงานที่สูงส่ง และถ้าเราทำการพิจารณาด้วยความบริสุทธิ์ใจ จะพบว่าแทนที่จะไม่มีความจำเป็นใด ๆ อีกในการสืบหาจากหนังสืออื่นๆ สิ่งแรกที่เราพิจารณาจากผู้รายงาน คือความซื่อสัตย์ และความมั่นคงในศาสนา

 เราไม่ได้บันทึกทุกเรื่องจากทุกคนที่ได้รับฟังแต่ทุกเรื่องราวที่เราบันทึก ความซื่อสัตย์ ความน่าเชื่อถือ ของผู้รายงานจะมีอยู่ในทุกเรื่องราวที่บันทึก

มีเรื่องราวอย่างมากมายที่เกี่ยวกับมุอ์ญิซะฮ์ของอิมาม แต่จะขอยกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น

อะลี บิน อีซา อัรบิลี ได้รายงานไว้ในหนังสือ “กัชฟุลฆุมมะฮ์” ว่า:

กลุ่มหนึ่งจากชีอะฮ์ ผู้เชื่อถือได้ของเมืองฮิลละฮ์ได้รายงานว่ามีชายคนหนึ่ง เป็นโรคคล้ายโรคเรื้อน ซึ่งมีบาดแผลเท่าฝ่ามือที่น่องของเขา และทุกฤดูใบไม้ผลิ แผลจะมีอาการเน่า โดยมีเลือดและหนองไหลออกมาตลอดเวลา และสร้างความเจ็บปวดให้กับเขาเป็นอย่างมากจนไม่สามารถที่จะทำงานอะไรได้เลย เขาจึงได้เดินทางมาที่เมืองฮิลละฮ์ เพื่อพบกับท่านอัลลามะฮ์ ซัยยิด อิบนิฏอวูส (อุละมาอ์คนสาคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชีอะฮ์) เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านซัยยิด

๘๗

ท่านซัยยิดได้เรียกบรรดาหมอ ที่มีความชำนาญของเมืองฮิลละฮ์มาตรวจโรคของเขา เมื่อหมอทุกคนได้ตรวจโรคให้กับ อิสมาอีล ฮิรกุลี (ชื่อของชายที่ป่วย)ทุกคนต่างก็วินิจฉัยเป็นเสียงเดียวกันว่าโรคชนิดนี้ มันมีบาดแผลทับอยู่บนเส้นเลือดที่สำคัญเส้นหนึ่ง และไม่มีทางรักษาได้นอกจากจะต้องตัดเนื้อส่วนนั้นออก และถ้าตัดเนื้อส่วนนั้นออก เส้นเลือดที่สำคัญก็จะถูกตัดด้วย และจะไม่สามารถทำให้อิสมาอีลมีชีวิตอยู่ได้ และพวกเขาทุกคนได้ปฏิเสธที่จะการผ่าตัดที่มีอันตรายนี้

ท่านซัยยิดได้กล่าวกับอิสมาอีลว่า : ฉันจะเดินทางไปแบกแดด และจะนำท่านไปกับฉันด้วยเพื่อว่าเราอาจจะเจอหมอหรือนักผ่าตัดที่มีความชำนาญกว่านี้ และพวกเขาอาจจะช่วยท่านได้ ท่านซัยยิดได้เชิญหมอเมืองแบกแดดมาตรวจโรคของอิสมาอีล และหมอทุกคนได้ให้คำตอบเหมือนกันกับหมอแห่งเมืองฮิลละฮ์ อิสมาอีลได้เกิดความท้อแท้ และสิ้นหวังเป็นอย่างมาก

ท่านซัยยิดได้ปลอบอิสมาอีลว่า : หลังจากนั้น ฉันได้ไปอยู่ในมุมหนึ่งของสุสานซึ่งเรียกว่า “ซิรดาบ” ซึ่งเคยเป็นสถานที่พำนักของอิมามมะฮ์ดี

และอิมามอัสการี และเคยมีคนพบอิมามมะฮ์ดีปรากฏตัวที่นี่ (ซิรดาบ) บ่อยครั้งมาก คืนนั้นฉันได้ทำการนมาซขอดุอา และตะวัซซุล กับ

อิมามมะฮ์ดี ตลอดทั้งคืน จนรุ่งเช้าฉันจึงไปซักเสื้อผ้าที่ริมน้ำ และทำการฆุซุลซิยารัต (อาบน้ำตามศาสนบัญญัติ

๘๘

และมุ่งหน้าไปยังฮะรัม (สุสานของอิมาม) เพื่อทำการซิยารัตอิมามทั้งสองอีกครั้ง ยังเข้ามาไม่ทันถึงกำแพงเมืองฉันก็ได้เห็นคนควบม้าสี่ตัวได้มาหาฉัน ฉันไม่ได้คิดอะไร นอกจากนึกไปว่าอาจจะเป็นบุคคลสำคัญของเมืองนี้ และเมื่อพวกเขามาถึงฉัน ฉันได้เห็นเด็กหนุ่มสองคนมีดาบอยู่ในมือ และชายชราหน้าตาสวยงามมีหอกอยู่ในมือ ส่วนอีกคนหนึ่งมีดาบอยู่ที่เอว และแต่งตัวด้วยชุดโบราณได้หยุดอยู่ข้างหลังห่างออกไป พวกเขาได้ให้สลามกับฉัน และฉันก็ได้ตอบสลาม คนในชุดโบราณได้ถามฉันว่า : พรุ่งนี้จะเดินทางกลับหรือ ? ฉันตอบ “ใช่แล้ว”

ชายในชุดโบราณ : ไหนเข้ามาให้ดูใกล้ ๆ หน่อยซิ อะไรที่ทำให้เจ็บปวด ทรมาน?

ฉันได้คิดกับตัวเองว่า พวกทะเลทรายนั้น ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความสะอาด และฉันก็อาบน้ำา และซักเสื้อผ้าจนสะอาดแล้ว และเสื้อของฉันก็ยังเปียกอยู่ อย่าให้เขาแตะต้องเจ้าจะดีกว่า ในขณะที่กำลังคิดอยู่ ฉันก็ได้ล้มทรุดลง เขาจึงได้ดึงตัวฉันไปหาเขา และได้เอามือของเขาถู และกดลงไปบนบาดแผลซึ่งทำให้ฉันรู้สึกปวดเป็นอย่างมาก และได้นอนราบไปกับพื้นดิน ในขณะเดียวกันชายชราก็ได้กล่าวกับฉันว่า : จงประสบความสำเร็จเถิด ฉันแปลกใจเป็นอย่างมากว่าเขารู้จักชื่อของฉันได้อย่างไร

๘๙

ชายชราได้กล่าวขึ้นอีก : เสร็จแล้วเจ้าประสบความสำเร็จแล้วรู้ไหมนี้คือ อิมาม ! อิมามของเจ้า ฉันจึงได้วิ่งตามอิมามซึ่งได้เคลื่อนม้าออกไป และร้องตะโกนตามหลังท่าน อิมามได้บอกให้ฉันกลับไป

ฉันได้กล่าวว่า : ไม่ ฉันจะไม่แยกจากท่าน

อิมามได้กล่าวอีกครั้ง : จงกลับไป ความดีของเจ้า อยู่กับการกลับไปของเจ้า ฉันยังยืนยันเช่นเดิม ชายชราได้กล่าวกับฉันว่า : โอ้อิสมาอีลไม่อายดอกหรือ ที่อิมามสั่งให้เจ้ากลับไปแต่เจ้าฝ่าฝืนคำพูดนี้ ทาให้ฉันคิดได้ และหยุดอยู่กับที่ และเมื่ออิมามได้ห่างออกไปท่านจึงหันกลับมายังฉัน และกล่าวว่า : เมื่อเจ้าไปถึงเมืองแบกแดด มุซตันซีร (คอลีฟะฮ์แห่งราชวงค์อับบาซียะฮ์

ฮ.ศ. ที่ ๖๒๓-๖๔๐) จะต้องเรียกเจ้าเข้าพบ และให้รางวัลกับเจ้า และเจ้าจงอย่างรับของจากเขา และจงบอกกับลูกชายของฉัน (หมายถึงซัยยิด อิบนิ ฏอวูซ) ด้วยว่า ให้เขาเขียนเรื่องราวของเจ้าให้กับ อะลี บิน อะรัฏด้วย และฉันก็ได้สั่งให้อะลี บิน อารัฏไว้แล้วว่าให้มอบทุกอย่างให้กับเจ้าในสิ่งที่เจ้าต้องการ

ฉันยืนมองอยู่กับที่จนอิมามหายลับไปจากสายตา และความหม่นหมอง และซึมเคร้าที่จะต้องจากท่านได้ทำให้ฉันยืนซึมอยู่กับที่นานนับชั่วโมง

๙๐

หลังจากนั้นฉันจึงได้กลับไปฮะรัม และเมื่อชาวเมืองได้เห็นสภาพของฉัน พวกเขาจึงได้ถามว่า : มีอะไรเกิดขึ้นหรือ ทำไมหน้าตาผิดปกติเป็นอย่างมากไม่สบายหรือ ?

ฉันตอบ : ไม่ ฉันสบายดี

พวกเขา : มีเรื่องทะเลาะกับใครมา

ฉันตอบ : เปล่าไม่มี แต่ขอถามอะไรหน่อย พวกท่านได้เห็นบุคคลที่ขี่ม้าออกไปจากเมืองไหม?

พวกเขากล่าว : อาจจะเป็นผู้ทรงเกียรติของเมืองนี้

ฉันได้ถามว่า : ไม่ใช่ผู้ทรงเกียรติของเมืองนี้ แต่คนหนึ่งจากกลุ่มของพวกเขาคืออิมาม

พวกเขาได้ถามขึ้นว่า : เขาได้ช่วยเหลือท่านหรือ ?

ฉันตอบ : ใช่ เขาได้บีบที่แผลของฉันซึ่งเจ็บมาก หลังจากนั้นฉันได้เปิดแผลให้พวกเขาดู ซึ่งไม่มีร่องรอยของโรค

หรือบาดแผลอยู่เลย และเพื่อความมั่นใจฉันจึงได้เปิดดูทั้งสองข้างซึ่งไม่มีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่เลย เมื่อประชาชนได้เห็น ดังนั้นพวกเขาจึงได้รุมทึ่งมาที่ตัวฉัน และฉีกเสื้อผ้าของฉันออกเป็นชิ้น ๆ เพื่อที่จะนำเอาเศษผ้าเหล่านั้นไปเป็นศิริมงคลสำหรับพวกเขา และถ้าผู้ตรวจการของคอลีฟะฮ์ไม่มานำฉันออกไปจากฝูงชน ฉันอาจจะเสียชีวิตตรงนั้น ผู้ตรวจการได้ทำการสอบสวบเรื่องราวจากฉัน และได้บันทึกเรื่องราวทั้งหมด และฉันได้อยู่ที่นั้นจนถึงรุ่งเช้า จึงถูกนำตัวเข้าเมืองแบกแดด

๙๑

เมื่อถึงแบกแดดฉันได้เห็นประชาชนจำนวนมากยืนรออยู่บนสะพานก่อนเข้าเมือง และคอยถามชื่อของผู้คนที่เข้าเมือง และเมื่อฉันได้บอกชื่อของฉันให้พวกเขารู้ ฝูงชนทั้งหมดก็ได้รุมทึ้งฉันอีกครั้งหนึ่ง ได้ฉีกเสื้อผ้าตัวใหม่ของฉันออกเป็นชิ้น ๆ เหตุการณ์นี้ได้ทำให้ฉันเกือบเสียชีวิต ถ้าท่านซัยยิด และกลุ่มของท่านไม่มาแยกฉันออกจากฝูงชน

ท่านชัยยิดได้ถามฉันว่า : เจ้าหรือที่เขากล่าวกันว่า ได้รับการชะฟาอัตจากอิมามมะฮ์ดี (อ) จนทำให้เมืองนี้เกือบมีการจราจล

ฉันตอบ : ใช่แล้ว

ท่านซัยยิดได้ลงมาจากหลังม้า และเปิดน่องของฉันดู ซึ่งท่านเคยเห็นบาดแผลของฉันมาก่อนแต่ในครั้งนี้ท่านไม่เห็นร่องรอยของมันอีกเลย

เมื่อซัยยิดได้เห็นดังนั้น ท่านได้งงตาค้างอยู่ตรงนั้นนับชั่วโมง และสลบไป และหลังจากที่ท่านฟื้นจากสลบท่านได้กล่าวว่า : เจ้าเมืองได้เรียกตัวฉันไปพบ เพราะเขาได้รับรายงานจากผู้ตรวจการว่ามีชายคนหนึ่งที่เกี่ยวข้อง กับฉันได้รับการชะฟาอัตจากอิมาม และฉันได้รับคำสั่งให้นำเจ้าไปพบกับพวกเขา

ฉันจึงได้ไปพบกับเจ้าเมืองพร้อมกับท่านซัยยิด เจ้าเมืองได้สั่งให้ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เจ้าเมืองได้สั่งให้คนรับใช้ไปตามหมอ และนักผ่าตัดทั้งหมด และได้ถามพวกเขาว่า : พวกท่านเคยเห็นบาดแผลของชายคนนี้ไหม ?

พวกเขาตอบ : ใช่เราเคยเห็น

เจ้าเมืองได้ถาม : ยาและวิธีการรักษาเป็นอย่างไร ?

๙๒

พวกเขาตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า : วิธีเดียวคือการผ่าตัดเนื้อชิ้นนั้นออก และถ้าตัดออกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้

เจ้าเมือง : สมมุติว่า ถ้าผ่าตัดแล้วไม่ตาย จะใช้เวลนานเท่าไรแผลจึงจะหายสมบูรณ์

พวกเขาตอบ : อย่างน้อยสองเดือน แผลจะยังไม่หายดี และถ้าแผลหายก็จะเป็นแผลเป็นที่น่าเกลียดมากขนก็จะไม่งอกในบริเวณที่เคย เป็นแผลเช่นนี้

เจ้าเมืองถามต่อ : ครั้งสุดท้ายพวกท่านเห็นเขา (อิสมาอีล) เมื่อไหร่ ?

พวกเขาตอบ : ถึงวันนี้ก็สิบวันพอดี

ดังนั้นเจ้าเมืองจึงเชิญหมอทั้งหมดให้มาดูรอยแผลของฉันซึ่งเมื่อพวกเขาได้ทำการตรวจสอบ และไม่พบร่องรอยของการเคยมีบาดแผล หรือความแตกต่างระหว่างน่องข้างซ้าย และข้างขวาเลย หมอคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวศริสเตียนได้อุทานออกมาด้วยเสียงอันดัง

“ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ์ สิ่งนี้เป็นงานของมะซีฮ์

 (นบีอีซา)”

: เจ้าเมือง: ดังนั้น เมื่อไม่ใช่ฝีมือของพวกท่าน แล้วฉันรู้ดีว่าเป็นฝีมือของใคร

หลังจากนั้นเจ้าเมืองแบกแดดจึงได้รายงานเรื่องราวทั้งหมดให้คอลีฟะฮ์ทราบ คอลีฟะฮ์จึงเรียกเจ้าเมืองเข้าพบ และเจ้าเมืองก็ได้นำฉันเข้าพบ

คอลีฟะฮ์ด้วย มุซตันซิร (คอลีฟะฮ์) ได้สั่งให้ฉันเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบให้เขาฟัง

๙๓

เมื่อเขาฟังเรื่องจบลงก็ได้สั่งให้คนรับใช้นำถุงเงินที่มีหนึ่งพันดีนารมาให้แก่ฉัน

และคอลีฟะฮ์ได้กล่าวว่า : เอาเงินนี้ไปใช้จ่าย

ฉันได้ตอบ : ฉันไม่สามารถรับเงินจำนวนนี้ได้

คอลีฟะฮ์ : เจ้ากลัวใครหรือ ?

ฉันได้ตอบ : คนที่ทำให้โรคของฉันหาย เขาได้สั่งว่าไม่ให้รับอะไรจากท่าน

ท่านคอลีฟะฮ์ ได้โกรธเป็นอย่างมากเมื่อได้ยิน

ดังนั้นเจ้าของหนังสือ “กัชฟุลฆุมมะห์” ได้กล่าวว่า:

วันหนึ่งฉันได้เล่าเรื่องราวอันประเสริฐนี้ให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งฟัง เมื่อฉันได้เล่าจบจึงรู้ว่าบุตรชายของอิสมาอีลอยู่ในกลุ่มของประชาชนด้วย

 เขาชื่อชัมซุดดีน มุฮัมมัด ซึ่งฉันไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ฉันจึงได้ถามว่า : ท่านเคยเห็นน่องของบิดาตอนที่เป็นแผลไหม ? เขาได้ตอบว่า : ตอนนั้นฉันยังเล็กอยู่ ฉันได้เห็นแผลของท่านตอนที่มันหายแล้ว และพบว่าไม่มีร่องรอยของการมีโรคอยู่เลย และยังพบว่ามีขนงอกออกมาเป็นปรกติ ทุกปีบิดาของฉันจะเดินทางไปแบกแดด และเมืองซามัรรอเพื่อซิยารัตสุสานของอิมามผู้บริสุทธิ์ท่านจะอยู่ที่นั้นเป็นเวลานาน และร้องไห้คร่ำครวญเป็นอย่างมากด้วยความหวังที่จะเห็นอิมามมะฮ์ดีอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะไปวนเวียนอยู่ ณ สถานที่ที่เคยพบเจออิมาม

๙๔

แต่เหตุการณ์อันประเสริฐไม่เกิดกับท่านอีกเท่าฉันจำได้ บิดาของฉันได้ไปซิยารัตที่ซามัรรอ ถึงสี่สิบครั้ง และท่านก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยความเสน่หาที่จะพบกับออิมามมะฮ์ดีอีกครั้งหนึ่ง

ซัยยิด อิบนิ ฎอวูซ ได้กล่าวว่า : ในชีวิตของฉันได้เจอกับบุคคลจำนวนหนึ่งที่เคยพบเจอกับอิมาม และบางคนได้พกจดหมายที่อิมามตอบปัญหาของเขาติดตัวไว้ตลอดเวลา

มัรฮูม ฮูร อามีลี อุละมาอ์ และมัรญิอฺคนสาคัญอีกคนหนึ่งของชีอะฮ์ในศตวรรษที่ ๑๑ ของอิสลามได้เล่าเรื่องหนึ่งซึ่งคล้ายกับเรื่องของ

 “อิสมาอีลฮิรกุลี” หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า:

 เรื่องราวแบบนี้ในสมัยของเรา และในอดีตเป็นเรื่อง “มุตะวาตีร” ที่เข้มแข็งในหลักฐาน และการรายงาน

ท่านได้กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า : กลุ่มหนึ่งจากสหายที่เชื่อถือได้ (มุวัษษัก) ได้กล่าวให้ฉันฟังว่า พวกเขาได้เห็นท่านอิมาม และมุอ์ญิซะฮ์ ต่าง ๆ ของท่าน และอิมามก็ยังได้เปิดเผยเรื่องราวที่ลี้ลับ (อัล-ฆ็อยบ์) บางอย่างให้พวกเขาได้รู้ อิมามได้ดุอาอฺให้พวกเขา และดุอาอฺนั้นก็เป็นมุสตะญับ (ได้รับการยอมรับ) อิมามได้ทำให้พวกเขาพ้นจากภยันตรายต่าง ๆ ซึ่งฉันไม่สามารถที่จะอธิบายหรือบรรยายมันได้หมด แต่เรื่องราวเหล่านี้ถือว่าเป็นมุอ์ญิซะฮ์ที่ชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ

๙๕

การกำหนดวันแห่งการปรากฏ (ซุฮูร)

เราได้อธิบายแล้วว่า : หลังจากการเสียชีวิตของท่านอะบุลฮะซัน นาอิบคนที่สี่ของอิมามมะฮ์ดี ยุคสมัยแห่ง ฆอยบะตุลกุบรอจึงได้เริ่มขึ้นจนถึงปัจจุบัน และการปรากฏตัวของท่านอีกครั้งหนึ่งนั้นเป็นไปตามกำหนดการของอัลลอฮ์ บรรดาอิมามมะอฺศูม แต่ละคนได้กล่าวไว้อย่างชัดแจ้งว่า ไม่มีใครรู้หรือสามารถกำหนดวันปรากฏ (ซุฮูร) ของอิมามมะฮ์ดี (อ) ได้ อัลลอฮ์เท่านั้นที่รู้ และคำสั่งของพระองค์จะเกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ดังนั้นใครก็ตามที่กาหนดวันแห่งการปรากฏ เขาคือคนโกหก

ท่านฟะฎีลได้ถามอิมามบากิร (อ) ว่า : เราสามารถกำหนดวันแห่งการปรากฏได้ไหม ?

ท่านอิมามบากิรได้กล่าวย้าถึงสามครั้งว่า :

ผู้กำหนดเวลาแห่งการปรากฏ คือผู้โกหก

๙๖

อิสฮาก บิน ยะอฺกูบ (เชคกุลัยนี) ได้เขียนจดหมายถามปัญหาท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) โดยส่งผ่านทานมุฮัมมัด บิน อุษมาน นาอิบคนที่สอง ส่วนหนึ่งจากจดหมายที่ท่านอิมามตอบกลับมาได้พูดถึงเรื่องเวลาแห่งการปรากฏตัวของท่านว่า

 “ส่วนเรื่องการปรากฏตัวนั้นขึ้นอยู่กับอัลลอฮ์ และใครก็ตามที่กำหนดเวลา เขาคือผู้ที่โกหก”

 

แต่ทว่า การกำหนดเวลาในที่นี้ (ในฮะดีษ) หมายถึงการกำหนดวัน และเวลาที่แน่นอนซึ่งได้รับการปฏิเสธ จากอิมามมะอฺศูม เพราะเป็นความลับของอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น แต่การรับรู้ การเกิดขึ้นของอาลามัต (สัญญาณ) ก่อนการปรากฏตัวนั้น สามารถทำให้เรารับรู้ได้ถึงความใกล้ของวันแห่งการปรากฏตัว

๙๗

สัญญาณการปรากฏตัวของอิมาม

รายงานที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนการปรากฏตัวของท่านอิมามมะฮ์ดี และสัญญาณแห่งการปรากฏตัวของท่านนั้นมีจำนวนมาก และประเภทที่แตกต่างกัน ส่วนหนึ่งของรายงานได้บรรยายสภาพของสังคม โดยเฉพาะสังคมอิสลามก่อนการปรากฏตัวของอิมาม และอีกส่วนหนึ่งของรายงานได้บรรยายเหตุการณ์ที่ใกล้วันปรากฏตัวของท่าน และเหตุการณ์แปลกประหลาดในวันที่ท่านปรากฏตัว

การศึกษา และค้นคว้ารายละเอียดเพื่อที่จะรับรู้ความลับต่าง ๆ ของสัญญาณ เราจะต้องศึกษา และค้นคว้าโดยตรงจากหนังสือที่เขียนขึ้นเฉพาะเรื่องเหล่านี้ ส่วนในหนังสือเล่มนี้เราจะขอกล่าวเพียงบางสัญญาณที่ง่ายต่อการเข้าใจ และใกล้กับวันแห่งการปรากฏตัวมากที่สุด ซึ่งมีดังต่อไปนี้ คือ

๑.การกดขี่จะมีทั่วไป การทำบาป การฝ่าฝืน และไร้ศาสนาจะมีอยู่ทั่วทั้งโลกแม้แต่ในสังคมอิสลาม ซึ่งมีรายงานเป็นจำนวนมากจากอิมามผู้บริสุทธิ์ว่า “การลุกขึ้นปฏิวัติของกออิมจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อการกดขี่ และไร้คุณธรรมจะมีอยู่ทุกแห่งในโลก”

๙๘

  รายงานต่าง ๆ ยังได้บรรยายอีกว่าใกล้วันแห่งการปรากฏตัวของท่าน

อิมามมากเท่าไร ความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจะเกิดขึ้น แม้แต่ในสังคมมุสลิม ซึ่งในรายงานได้ชี้ และบรรยายถึงประเทศต่าง ๆ ของความเสื่อมโทรมทางด้านศีลธรรมไว้ดังนี้คือ การดื่มเหล้า การค้าขายสิ่งมึนเมาอย่างเปิดเผย การกินดอกเบี้ย ระหว่างมุสลิมด้วยกัน การผิดประเวณี ความผิดปกติทางเพศที่ทำกันอย่างเปิดเผย และไร้ยางอาย ไร้เมตตาหลอกลวง กลับกลอก รับสินบน โอ้อวด อุตริ การนินทาให้ร้ายจะมีอยู่ทั่วไป ไม่รักษาพรมจรรย์ และไร้ยางอาย ข่มแหง และกดขี่ ผู้หญิงไร้หิญาบ และออกมาปรากฏตัวในสังดมด้วยเสื้อผ้าเย้ายวนทางเพศ ผู้ชายจะแต่งตัวแบบผู้หญิง และผู้หญิงจะแต่งตัวแบบผู้ชาย การตักเตือนกันไปสู่ความดีจะถูกละทิ้ง ผู้ศรัทธาจะถูกทำให้อ่อนแอ และไม่มีความสาคัญ จะอยู่อย่างผู้โศกเศร้า และไม่มีความสามารถที่จะขัดขวางความชั่ว การปฏิเสธและไร้ศาสนาจะมีอยู่ทั่วไป อิสลาม และอัลกุรอานจะถูกทอดทิ้ง ลูกจะไม่เคารพบิดามารดา ผู้น้อยจะไม่เคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะไม่เมตตาต่อผู้น้อย

ความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะไม่ได้รับการปฏิบัติ คุมส์และซะกาตจะไม่ได้รับการปฏิบัติ หรือจะไปไม่ถึงมือของผู้ที่มีสิทธิที่จะได้รับ กาฟิร และศัตรูของพระเจ้าจะครอบงำมุสลิม และมุสลิมจะอยู่ในสภาพที่พ่ายแพ้ และพวกเขาจะครอบงำมุสลิม และมิสลิมจะอยู่ในสภาพที่พ่ายแพ้ และพวกเขาจะเลียนแบบศัตรูในการดำเนินชีวิตตั้งแต่การแต่งตัว และการพูดจา กฏหมายของอัลลอฮ์จะถูกทอดทิ้ง

๙๙

และสิ่งเหล่านี้คือเหตุการณ์ที่เราทุกคนประสบกันอยู่ในยุคและสมัยนี้แม้แต่ในอิหร่าน ก่อนการปฏิวัติอิสลามก็หนีไม่พ้นสภาพนี้ และการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นการปฏิวัติเพื่อต่อต้านสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ และทำให้ประเทศนี้ปลอดภัยจากน้ำมือของผู้ไร้ศาสนา และไม่มีคุณธรรมซึ่งได้รับการเกื้อหนุนมาจากศัตรูของศาสนา และบรรดานักล่าอาณานิคม ดังนั้นเราหวังว่าการปฏิวัติในอิหร่านจะต้องเป็นหนึ่งของพื้นฐานที่จะรองรับการปฏิวัติของอิมามมะฮ์ดี แต่เป็นที่น่าเสียใจว่าความเสื่อมโทรมทางศาสนา และสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้นยังมีอยู่ในประเทศมุสลิมอื่น ๆ

๒-๓. การออกมาปรากฏของซุฟยานี และกองทัพซุฟยานีจะถูกแผ่นดินสูบ

สองสัญญาณนี้เป็นสิ่งที่บรรดาอิมามมะอฺศูม ให้ความสาคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสัญญาณก่อนการปรากฏตัวของอิมามมะฮ์ดี ที่ใกล้ที่สุดกับวันแห่งการปรากฏตัวของอิมาม ซุฟยานีตามรายงานนั้นหมายถึงชายคนหนึ่งที่สืบเชื้อสายมาจาก ยะซีด ลูกของมุอาวียะฮ์ บิน อะบู ซุฟยาน ชื่อของเขาคือ

อุษมาน บิน อัมบะษะฮ์ ซึ่งเป็นคนที่ชั่วช้าที่สุดคนหนึ่ง และเป็นศัตรูกับศาสนา ,อิมาม และกับชีอะฮ์ทุกคน มีใบหน้าสีแดงดวงตาสีเทา มีร่องรอยบนใบหน้าเหมือนคนเป็นโรคฝีดาษ มีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียด และชอบการ

กดขี่ และหักหลัง เขาปฏิวัติในชาม (ประเทศซีเรีย ซี่งในอดีตนั้นได้รวม ปาเลสไตน์ จอร์แดนอยู่ด้วย) และจะพิชิตเมืองถึงห้าเมืองในเวลาอันรวดเร็ว และจะยกกองทัพอันมหึมาของเขามุ่งหน้ามายังกูฟะฮ์ (เมืองหนึ่งในอิรัก)

๑๐๐