พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม0%

พื้นฐานอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน: อัลลามะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอีย์
กลุ่ม:

ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24417
ดาวน์โหลด: 3247

รายละเอียด:

พื้นฐานอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 354 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24417 / ดาวน์โหลด: 3247
ขนาด ขนาด ขนาด
พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

วิลล์ ดูแรนท์ ได้ถ่ายทอดกลอนบทหนึ่ง ซึ่งเป็นบทกวีสมัยโบราณซึ่งแสดงให้เห็นความเจ็บปวดของสตีรว่า:

 “การเป็นหญิง ช่างขมขื่นอะไรเช่นนี้

ในพื้นพสุธา ไม่มีอะไรที่ไร้ค่ายิ่งกว่านี้อีกแล้ว

เมื่อทารกน้อยที่เป็นหญิงลืมตาดูโลก อย่าได้ไปหาความรื่นเริง ยิ้มแย้มแจ่มใสจากใบหน้าของผู้ใดเลย”

ในสังคมเช่นนั้น ลูกสาวไม่มีคุณค่าอันใดเลย บางทีนางก็ถูกปล่อยไว้กลางที่สาธารณะให้ผู้เดินผ่านไปมาได้เชยชม

ชาวโรมันถือว่า ผู้หญิง คือตัวจำแลงที่สมบูรณ์แบบแห่งความชั่วร้าย พวกหล่อนเหมือนเด็ก ๆ ที่ต้องมีผู้ดูแล

ใช่แล้ว สังคมเวลานั้นในทุกสภาพการณ์ จมดิ่งสู่ความมืดมนอันธการ

ความเสื่อมเสีย และความกดขี่ทุกรูปแบบ

ทุกมุมโลกไม่ปรากฏแสงสว่างเลยแม้เพียงจุดเล็กๆ ถึงแม้ว่าจะยังคงมีความปรารถนาที่จะแก้ไขอยู่ในส่วนลึกของสัญชาตญาณทางธรรมชาติอันบริสุทธิ์อยู่ และที่ดูเหมือนว่าจะตายไปแล้วครึ่งตัวก็ตาม แต่มันก็ยังคงเวียนวนอยู่ในสภาพแห่งความต่ำต้อย ตัณหาราคะ และการรีดนาทาเร้นในด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งสภาพแห่งความยากจน ตกต่ำนั้นไม่อาจเป็นแนวทางที่เปิดสำหรับผู้แสวงหาแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ และความไพบูลย์ได้เลย

ความมืดมนอันธการเสมือนเมฆดำทะมึนที่ปกคลุมอยู่เหนือท้องฟ้าแห่งการดำรงชีวิตประจำวันของสังคมในเวลานั้น

ความมืดมิดเป็นเสมือนผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาดซึ่งมีเพียงการขึ้นของดวงอาทิตย์เท่านั้นที่จะสามารถไล่ความมืดมิดนั้นไปได้

ความมืดมนอันธการในโลกอาหรับ ดูจะมืดสนิทยิ่งกว่าส่วนใดของโลกในเวลานั้น หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือพวกเขาได้จมดิ่งสู่ขุมลึกที่สุดแห่งความต่ำต้อยและความเลวร้าย

ขอให้เรามาฟังสภาพโลกอาหรับเวลานั้นจากปากของผู้ที่ดีที่สุด

ท่านอิมามอะลี(อฺ) โดยท่าน(อฺ) กล่าวว่า

“พวกเจ้า ชาวอาหรับทั้งหลายเอ๋ย ก่อนหน้านั้น พวกเจ้าเคยเคารพบูชาลัทธิที่เลวที่สุด มีชีวิตอยู่ในที่ ๆเลวร้ายที่สุด พวกเจ้าเคยดื่มกินน้ำขม กินของที่ยังไม่สุก หลั่งเลือดกันและกันเอง ตัดญาติขาดมิตร พวกเจ้ากราบไหว้รูปปั้น และไม่เคยออกห่างจากการทำความชั่วทุกรูปแบบ...”

การถือกำเนิดของมฺฮัมมัด (ศ) ศาสดาแห่งอิสลาม

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ลืมตาดูโลกเมื่อวันศุกร์ที่ 17 ร่อบีอุลเอาวัล ประมาณ ค.ศ. 570 ณ แผ่นดินมักกะฮฺ บิดาของท่าน (ศ) คือท่านอับดุลลอฮฺ(ร.ฎ.) ลูกหลานของนบีอิสมาอีล (อฺ) ซึ่งได้จากไปก่อนที่จะเห็นลูกน้อยของท่าน มารดาของท่าน (ศ) คือท่านหญิงอามีนะฮ(ร.ฎ.) หนึ่งในผู้หญิงที่ยำเกรงต่อพระผู้อภิบาล

ท่านศาสดา(ศ)ถูกนำไปฝากไว้กับแม่นม คนหนึ่งผู้บริสุทธิ์ ชื่อ ท่านหญิงฮะลีมะฮฺ(ร.ฎ.) เพื่อให้นมและเลี้ยงดูท่าน(ศ)

ในวันหนึ่งท่านศาสดา (ศ) ซึ่งตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 4 ขวบได้ขอต่อท่านหญิงฮะลีมะฮฺ(ร.ฎ.) เพื่อออกไปกลางทะเลทรายกับพี่น้องร่วมน้ำนมเดียวกับท่าน

ท่านหญิงฮะลีมะฮฺ(ร.ฎ.) รายงานว่า:

วันรุ่งขึ้น ฉันได้อาบน้ำให้แก่มุฮัมมัด ทาน้ำหอมที่ผมของเขา ทาตาของเขา และแขวนหินยะมานีไว้ที่คอ

เพื่อจะแคล้วคลาดจากภยันตรายกลางทะเลทราย ทว่า...มุฮัมมัดได้เอามันออก แล้วกล่าวว่า

 “แม่จ๋า อย่าได้กังวลไปเลย พระเจ้าของลูกผู้ที่คอยระวังรักษาลูก จะอยู่กับลูกตลอดไป”

ใช่แล้ว ท่าน(ศ) คือผู้อยู่ในความดูแลและเอาใจใส่ของพระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่ยังเล็ก ตลอดเวลาท่าน(ศ)

ได้รับการชี้นำในการงานที่ยากลำบากด้วยความช่วยเหลือจาก

มวลมะลาอิกะฮฺ และการดลจิตจากเบื้องบน

คำพูดและการกระทำของมุฮัมมัด(ศ) ตั้งแต่เด็กนั้นเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนทั่วไป

ในตอนวัยหนุ่ม ท่าน(ศ) หลีกห่างออกจากสิ่งที่คนหนุ่มทั้งหลายได้เกลือกกลั้วกับสิ่งเลวร้ายนั้น ท่าน (ศ) ไม่เคยเข้าร่วมในงานรื่นเริงที่มีเสียงดนตรีและการเย้ายวนเลย ไม่เคยกินสิ่งของฮะรอม

เป็นศัตรูกับเทวรูปต่าง ๆ เป็นผู้มีสัจจะและซื่อสัตย์อย่างยิ่งยวด

หลายปีก่อนที่ท่าน (ศ) จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดา (คนต่างขนานนามให้แก่ท่านว่า “อัล – อะมีน” (ผู้ซื่อสัตย์ไว้วางใจได้)

ท่าน (ศ) มีดวงจิตที่บริสุทธิ์ ความคิดที่กระจ่างแจ้ง จิตวิญญาณภายในอันสูงส่งหนึ่ง

ครั้งในรอบปี ท่าน (ศ) จะไปสงบจิต และรำลึกถึงพระผู้อภิบาลในถ้ำ

 “ฮิรรออ์” ในปลายเดือนก่อนที่ท่านจะกลับถึงบ้าน ท่าน (ศ) จะต้องไปเวียนรอบอัล – กะอฺบะฮฺ 7 รอบ (ฎ่อวาฟ) เสียก่อน

ตอนอายุ 40 ปี ในขณะที่ท่าน (ศ) กำลังทำการอิบาดะฮฺต่อพระผู้เป็นเจ้าในถ้ำ “ฮิรออ์” อยู่นั้น ท่าน (ศ) ได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสนทูต (มับอัษ)

หลังจากนั้นในช่วง 3 ปี ท่านศาสดา (ศ) ยังไม่ได้รับคำสั่งให้ประกาศศาสนาอิสลามอย่างเปิดเผยแก่ประชาชน ในช่วงนี้เองมีไมกี่คนที่ได้มี

อีหม่าน ศรัทธาต่อท่าน (ศ) ผู้ชายคนแรกที่ไดศ้ รัทธาต่อท่าน (ศ) ก็คือ

ท่านอิมามอะลี (อฺ) ส่วนผู้หญิงคนแรก คือท่านหญิงคอดีญะฮฺ หลังจาก 3 ปีผ่านไป ท่าน (ศ) จึงได้รับคำสั่งให้ประกาศศาสนาอย่างเปิดเผย

 ท่าน (ศ) จึงได้เชื้อเชิญญาติสนิทของท่าน (ศ) ให้มาร่วมรับประทานอาหาร มีคนมาร่วมงาน ประมาณ 40 คน อาหารที่ท่านศาสดา (ศ) เตรียมไว้นั้นเพียงพอสำหรับคน ๆ เดียว แต่ด้วยกับพลานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า อาหารอันน้อยนิดเช่นนั้นสามารถทำให้คนจำนวนดังกล่าว กินอย่างอิ่มหมีพลีมัน

เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความประหลาดใจมาก

อะบูละฮับ พูดอย่างพล่อยๆ ว่า

“มุฮัมมัดต้องเป็นนักมายากลอย่างแน่นอน”

ในวันนั้น บรรดาญาติของท่านศาสดา (ศ) ได้แยกย้ายกันกลับไปก่อนที่ท่าน (ศ) จะกล่าวอะไร วันต่อมา

ท่าน (ศ) ก็ยังเชิญคนพวกนั้นมาอีก หลังจากรับประทานอาหาร และการเลี้ยงรับรองสิ้นสุดแล้ว

ท่าน(ศ) กล่าวปราศรัยว่า

“ลูกหลานของอับดุลมฺฎฎอลิบ ไม่มีชายหนุ่มคนใดในตระกูลเราที่ได้นำสิ่งหนึ่งที่ดีที่สุดมามอบให้แก่พวกท่าน ยิ่งกว่าสิ่งที่ฉันนำมามอบให้

ฉันได้นำสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่พวกท่านทั้งในโลกนี้และวันแห่งการตัดสิน

 ฉันได้รับพระบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้าให้มาเชิญชวนพวกท่านสู่แนวทางของพระองค์ ในหมู่พวกท่านจะมีใครที่พร้อมจะเป็นผู้ช่วยเหลือฉันบ้าง เพื่อจะได้เป็นพี่น้องและตัวแทนของฉัน...”

ไม่มีใครตอบรับ นอกจากท่านอะลี(อฺ) เพียงคนเดียว ท่าน(ศ) จึงเอามือแตะไปที่ไหล่ของเขา พลางกล่าวว่า

“นี่คือพี่น้องของฉัน และตัวแทนของฉันในหมู่พวกท่าน จงฟังคำพูดของเขาและเชื่อฟังเขา”

วันหนึ่งท่าน(ศ) มุ่งตรงขึ้นไปบนภูเขา “ศอฟา” และร้องเรียกให้ประชาชนมารวมตัวกัน แล้วกล่าวว่า

 “ประชาชนทั้งหลาย หากฉันบอกกับพวกท่านว่า เมื่อเช้านี้หรือไม่ก็ตอนสายมีศัตรูเข้ามาจู่โจมพวกท่าน

พวกท่านจะเชื่อฉันไหม? ”

ทั้งหมดตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า

“แน่นอน”

ท่านศาสดา(ศ) กล่าวต่อไปว่า

“ฉันขอบอกพวกท่านให้รับรู้ถึงการลงทัณฑ์อันเจ็บแสบที่จะมีมายังพวกท่านอย่างแน่นอนและรวดเร็วยิ่ง”

อะบูละฮับเกรงว่าคำพูดของท่าน (ศ) จะเข้าไปอยู่ในหัวใจของผู้ฟังทั้งหลาย เขาจึงพูดทำลายความเงียบขึ้นด้วยการกล่าวกับท่านศาสดา (ศ) ว่า

“เจ้าเรียกเราให้มารวมตัวกันเพื่อฟังเรื่องคำพูดพวกนี้หรือ?”

ใช่แล้ว ท่านศาสดา(ศ) ได้เริ่มสาส์นเรียกร้องของท่านด้วยเรื่องเตาฮีดและการเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว

 ท่าน(ศ) ได้กำหนดให้ประชาชนได้รู้จักพระผู้เป็นเจ้าที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์ยิ่งกว่าตัวของมนุษย์เองเสียอีก

ท่าน(ศ) ปฎิเสธการตั้งภาคีและบูชารูปปั้นทุกรูปแบบ ทำการปฎิวัติเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในสังคมเมืองมักกะฮฺ

ดึงดูดความคิดของประชาชนให้มาใส่ใจในศาสนาของท่าน(ศ) ถึงแม้ว่า ชาวกุเรชจะไม่พอใจต่อการเจริญก้าวในการสั่งสอนของท่าน(ศ)

และพยายามอย่างหนักในอันที่จะยับยั้งท่าน(ศ)มิให้ทำการเผยแพร่ศาสนาต่อไป

ถึงแม้ว่า ชาวกุเรชจะไม่พอใจต่อการเจริญก้าวหน้าในการสั่งสอนของท่าน (ศ)และพยายามอย่างหนักในอันที่จะยับยั้งท่าน(ศ) มิให้ทำการเผยแพร่ศาสนาต่อไปถึงขั้นวางแผนสังหารท่าน(ศ) ก็ตาม ทว่า..ด้วยความช่วยเหลือและสนับสนุนของเอกองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.) อีกทั้งการจัดการและตั้งใจจริงของท่าน(ศ) ทำให้การขู่อาฆาตทารุณกรรมต่าง ๆ ไม่เกิดผลใด ๆ ทั้งสิ้น

  การเชิญชวนสู่อิสลาม และการยอมรับของประชาชนกลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งคนที่อยู่นอกเมืองมักกกะฮฺได้ตอบรับเสียงเรียกร้องสู่พระผู้เป็นเจ้าโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

ปีที่ 11 ของการถูกแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูต (มับอัษ)

ชาวมะดีนะฮฺเผ่าค็อซรอจญ์จำนวนหนึ่งได้เดินทางมาเมืองมักกะฮฺเพื่อทำพิธีฮัจญ์ ท่านศาสดา (ศ) ได้เชิญชวนเขาเหล่านั้นให้เข้ารับอิสลาม พวกเขาตอบรับ โดยสัญญาว่า เมื่อพวกเขากลับไปยังเมืองของตนแล้ว พวกเขาจะทำการเรียกร้องเชิญชวนชาวเมืองสู่ศาสนาของท่าน(ศ)

เมื่อพวกเขากลับถึงเมืองมะดีนะฮฺ ก็ได้ทำการเผยแพร่อิสลามอย่างแข็งขัน ปีถัดมากลุ่มคนชาวเมืองมะดีนะฮฺจำนวน 12 คน ได้ร่วมให้สัตยาบันกับท่านศาสดา(ศ) ที่ “อะกอบะฮฺ”

ดังมีใจความว่า :

“พวกเขาจะไม่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) ไม่ลักขโมย ไม่ผิดประเวณี

(ซินา) ไม่ฆ่าลูกของตัวเอง จะไม่ให้ร้ายผู้ใดทั้งสิ้น และไม่ว่ากิจการใดที่เป็นคำสั่งของท่านศาสดา(ศ) พวกเขาจะไม่ขัดขืนและบิดพลิ้วเป็นอันขาด”

ตอนนั้นท่านศาสดา(ศ)ได้ส่งศ่อฮาบะฮฺคนหนึ่ง ชื่อมุศอับไปกับพวกเขาเพื่อทำการสอนอัล – กุรอานด้วย

สาเหตุดังกล่าวที่เมืองมะดีนะฮฺ จึงมีกลุ่มชนจำนวนมากที่มีอีหม่านต่อท่านศาสดา (ศ)

การฮิจญ์เราะฮฺ (อพยพ) ของท่านศาสดา (ศ)

ท่านศาสดา (ศ) ได้ทำการเรียกร้องเชิญชวนชาวมักกะฮฺสู่อิสลามจนถึงปีที่ 13 แห่งการถูกแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูต

ท่าน (ศ) ได้ยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อการทำทารุณกรรมของชาวกุเรช ในที่สุดเมื่อท่าน (ศ) รู้ว่า ชาวกุเรชได้วางแผนที่จะสังหารท่าน (ศ) ด้วยคำสั่งของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ท่าน (ศ) ได้ให้ท่านอะลี (อฺ) นอนบนเตียงของท่าน (ศ) แทนท่าน (ศ) และก็ออกจากมักกะฮฺในค่ำคืนนั้นไปหลบพักอยู่ ณ ถ้ำแห่งหนึ่ง และเดินทางต่อจนถึงเมืองมะดีนะฮฺ

การฮิจญ์เราะฮฺของท่านศาสดา (ศ) คือ รัศมีอันแจ่มจรัสในประวัติศาสตร์อิสลาม จากจุดนั้นเอง ความเจริญก้าวหน้าอย่างท้าทายตกเป็นของอิสลาม ด้วยเหตุดังกล่าว การฮิจญ์เราะฮฺของท่านศาสดา (ศ) จึงถูกกำหนดให้เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์มุสลิมคือ ศักราชของอิสลาม (ฮ.ศ.)

การพำนักอยู่ที่นั่นของท่านศาสดา (ศ) ทำให้ชนเผ่าเอาซฺและค็อซรอจญ์ดำรงชีวิตอย่างพี่น้องกัน ภายใต้ร่มเงาของอิสลาม (ก่อนหน้านี้ได้เคยทำสงครามต่อกันเป็นเวลานานหลายปี) มีความรู้สึกไว้วางใจซึ่งกันและกัน

พฤติกรรมของท่านศาสดา (ศ) จิตวิทยาอันสูงส่งเฉพาะของท่าน (ศ) มารยาทอันงดงาม และความเป็นธรรมชาติของศาสนาอันบริสุทธิ์ที่ท่าน (ศ) นำมาเป็นผลทำให้ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ให้ความสนใจ และยอมรับอิสลามในที่สุด

ท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ศ) มาจากประชาชนและอยู่พร้อมกับประชาชนท่าน (ศ) ไม่เคยหลบหลีกไปจากกลุ่มชนเลย

ท่าน (ศ) มีส่วนในความทุกข์และสุขของประชาชน

ท่าน (ศ) ต่อต้นการกดขี่และล่วงล้ำสิทธิทุกรูปแบบ กฎเกณฑ์ใด ๆ ที่จะให้เหล่าสตรีพบกับความสูงส่ง ท่าน (ศ) จะอธิบายมันอย่างกระจ่าง ท่าน(ศ) ยืนหยัดต่อต้านการกดขี่ต่อสิทธิของนางอันเป็นการกระทำของกลุ่มชนก่อนการมาของอิสลาม ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธการไร้ยางอาย ไม่รักนวลสงวนตัวของพวกนาง ท่าน(ศ) ต้องการให้ผู้หญิงได้รับความสูงส่งที่แท้จริงตามพื้นฐานของหลักการอิสลาม

ท่านศาสดา (ศ) ทำการปกป้องสิทธิของข้าทาส คนรับใช้ ท่าน(ศ) มีแผนการที่ยิ่งใหญ่ และครอบคลุมเพื่อปลดปล่อยพวกเขาเหล่านั้นให้เป็นอิสระ ท่านศาสดา (ศ) ได้สร้างสังคมหนึ่งขึ้นมา ซึ่งสังคมนั้นจะประกอบด้วยคนผิวขาวคนผิวดำ คนรวยและคนจน คนมีฐานะใหญ่โต หรือไร้วาสนาอยู่ร่วมกันได้ในสภาพการณ์เช่นนั้น ไม่มีการแบ่งแยกทางชนชั้นใด ๆ ทั้งสิ้น ตัวกำหนดความดีงาม ความสูงส่งและความประเสริฐ ก็คือ

วิชา ความรู้ การมีตักว่า คุณธรรมแห่งความเป็นมนุษย์และมารยาทอันงดงาม ตัวอย่างของผลแห่งคำสอนของท่านศาสดา (ศ) ที่ควรแก่การวิเคราะห์

ญุวัยบิร ชายหนุ่มยากจนคนหนึ่ง อีกทั้งรูปไม่งาม ได้เดินทางมาเมือง

มะดีนะฮฺ เพราะอยากรู้เรื่องอิสลามและรับอิลามในที่สุด ในตอนแรกท่านศาสดา (ศ) ได้ให้เขาพักอยู่ที่มัสญิด

 เมื่อ “ซะกีฟะฮฺ” ถูกสร้างเสร็จตาม

คำสั่งของท่าน (ศ) และเปลี่ยนชื่อเป็น “ศ็อฟฟะฮฺ” จึงได้ให้เขาไปอยู่ที่นั่น ท่าน (ศ) ไปมาหาสู่ที่นั่นบ่อยครั้ง

วันหนึ่งท่าน (ศ) กล่าวกับเขาว่า

“มันจะเป็นการดี ถ้าท่านหาผู้หญิงคนหนึ่งเป็นภรรยา เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเอง และดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”

เขาตอบว่า

 “พ่อและแม่ของฉันขอพลีให้กับท่าน ฉันเป็นเพียงคนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ยากจน อีกทั้งยังรูปไม่งาม

ยังจะมีหญิงใดที่จะเลือกฉันเป็นคู่ครอง เฉพาะอย่างยิ่งฉันไม่ได้กำเนิดในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ด้วย”

ท่าน (ศ) ตอบว่า

“โอ้ ญุวัยบิร พร้อมกับการมาของอิสลาม ความมีเกียรติตามแบบฉบับของพวกญาฮิลียะฮฺ (ยุคป่าเถื่อน)

และมาตรฐานความสูงส่งในสมัยนั้นถูกทำลายและมลายสิ้นไปหมดแล้ว ผิวขาว ผิวดำ ชาวอาหรับ หรือมิใช่

อาหรับก็มาจากอาดัมทั้งนั้น อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงสร้างอาดัมมาจากดิน ดังนั้นในวันนี้จึงไม่มีผิวขาว ผิวดำ หรือชน

ชั้นใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดความต่ำต้อยไร้เกียรติทั้งสิ้น คนที่มีเกียรติที่สุดในทัศนะของอัลลอฮฺ (ซ.บ) คือคนที่มีความยำเกรงมากที่สุด

จงไปที่บ้านของซิยาดเดี๋ยวนี้ และสู่ขอซุลฟาอ์โดยอ้างถึงฉัน”

เขาได้ทำตามที่ท่านศาสดา (ศ) บอก แต่...ซิยาด ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตและมีเกียรติของชาวอันศอร ไม่เชื่อเช่นนั้น

เขากล่าวว่า

“เราจะยกลูกสาวของเราให้แก่คนที่มีฐานะเดียวกับเราเท่านั้น ท่านศาสดา (ศ) ก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นจงกลับไปก่อน แล้วฉันจะไปพบกับท่านเอง เพื่ออภัยต่อสิ่งที่ท่านได้ขอมา”

ญุวัยบิร หันหลังกลับ พร้อมทั้งตะโกนด้วยความโกรธว่า

“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ อัลกุรอาน และท่านศาสดาไม่ได้กล่าวว่า จะต้องยกลูกสาวให้กับคนที่มีฐานะร่ำรวย”

ซุลฟาอ์ ได้ยินเสียงตะโกนของของญุวัยบิร หล่อนเรียกพ่อ

แล้วถามว่า :

“ท่านพูดกับชายหนุ่มคนนั้นว่าอย่างไรถึงทำให้เขากังวลใจขนาดนั้น”

ซิยาด ตอบลูกสาวว่า

“เขาบอกว่า ท่านศาสดาส่งข้าพเจ้ามาเพื่อสู่ขอลูกสาวของท่านให้แก่ข้าพเจ้า”

ซุลฟาอ์ พูดต่อว่า

“ญุวัยบิร คงจะไม่โกหกหรอก จงให้เขากลับมาก่อน แล้วท่านก็ไปพบกับท่านศาสดาเพื่อให้เรื่องกระจ่างขึ้น”

ซิยาด ทำตามที่ลูกสาวแนะนำ ได้ไปตามญุวัยบิรกลับมาพร้อมกับขอโทษ ส่วนตัวเองรีบไปพบกับท่านศาสดา (ศ) แล้วกล่าวว่า

“ญุวัยบิร ได้แจ้งเรื่องของท่านให้ข้าพเจ้าทราบ และข้าพเจ้าต้องการที่จะกล่าวอะไรบางอย่างแก่ท่านว่า

พวกเราชาวอันศอรจะไม่ยกลูกสาวให้แต่งงานกับผู้ใดที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน เป็นชาวอันศอรเหมือนกัน”

ท่านศาสดา (ศ) ตอบว่า

“ญุวัยบิรเป็นชายหนุ่มที่ใฝ่หาและเป็นมฺอ์มิน (ผู้ชายที่มีอีหม่าน)เหมาะสมกับผู้หญิงที่มีอีหม่าน ดังนั้นจงเลือกเขาให้เป็นสามีของลูกสาวท่านเถิด”

แล้วซิยาดก็กลับไปบ้านบอกแก่ลูกสาวของตัวเองถึงคำสั่งของท่านศาสดา (ศ)

ลูกสาวของเขาพูดว่า

“พ่อจ๋า การขัดขืนต่อคำสั่งของท่านศาสดา คือการปฏิเสธ (กุฟรฺ) มิใช่หรือ! ฉันพร้อมแล้ว ยอมรับญุวัยบิรเป็นลูกเขยของท่านเถิด”

ซิยาดนำญุวัยบิรเข้าไปยังท่ามกลางหมู่ญาติพี่น้องและสมาชิกเผ่าจัดการแต่งงานลูกสาวตามหลักการอิสลามทันที แม้กระทั่งเครื่องเรือน (ที่ฝ่ายชายต้องจัดหา) ของลูกสาวตัวเองยังเป็นผู้ซื้อให้ อีกทั้งยังจัดเตรียมบ้านพร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกแก่บุคคลทั้งสองอย่างครบครัน

ใช่แล้ว ความสว่างไสวที่ถูกกล่อมเกลาแล้วนี้ คลังแห่งรัศมีที่มีความอบอุ่นแก่ดวงจิตทั้งหลายนี้ได้จุดประกายแห่งแสงสว่าง ซึ่งได้ทำให้หัวใจทั้งหลายสว่างไสวไปด้วยทางนำแห่ง “เตาฮีด”

 เป็นเช่นนี้เองที่หัวใจอันมืดบอดทั้งหลายของประชาชนในสมัยแห่งความมืดมนอันธการดังกล่าว ได้กลายเป็นหัวใจที่ควรค่าแก่การสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่า มวลหมู่วิหค ได้สยายปีกของมันสู่คบเพลิงที่สุกสกาวด้วยแสงสว่างแห่งทางนำ แล้วเข้าพักพิงสู่ฐานที่มั่นอันสูงส่งแห่งรัศมีของ

อัลกุรอานอันแจ่มจรัส

จอห์น วิลลี เบ เขียนไว้ว่า

“มุฮัมมัด (ศ) ได้นำศาสนาที่มาเพื่อการขัดเกลาสู่ชาวโลกกลุ่มต่าง ๆ เขาคือตัวแทนที่ได้รับการช่วยเหลือของพระผู้อภิบาล

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงรอบรู้ได้ทรงคัดเลือก และแต่งตั้งเขาก็เพื่อทำให้ชาวคริสต์ ทั้งหลายที่หลงผิดไปแล้วได้เข้าใจยิ่งขึ้น เขาได้ทำลายรูปเจว็ดต่าง ๆ และเชิญชวนให้ชาวอิหร่าน (โบราณ) สู่การเคารพภักดีพระเจ้าองค์เดียว

เขาได้เผยแพร่ศาสนาอันบริสุทธิ์ การรู้จักพระผู้เป็นเจ้า จากกำแพงเมืองจีนถึงผืนแผ่นดินสเปน ศาสนาของมุฮัมมัด (ศ) สมบูรณ์พร้อมด้วยปัญญาจึงไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธในการเผยแพร่เลย เพียงพอแล้วต่อการทำความเข้าใจรากฐา นของศาสนาของเขาเหมาะสมอย่างยิ่งต่อความเจริญเติบโต รุ่งเรืองทางปัญญาของมนุษยชาติ

ซึ่งเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งศตวรรษได้เข้าไปถึงหัวใจของผู้คนเกือบค่อนโลก...”

บทที่ 20

มุฮัมมัด (ศ) ศาสดาผู้เป็นที่รู้จักก่อนการมาปรากฏของท่าน (ศ)

ช่วงเวลาแห่งการรอคอยและความหวัง

บรรดาศาสนทูตในอดีต (อฺ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านศาสดามูซา (อฺ) และ

อีซา (อฺ) นั้นได้บอกสัญญาณ

การมาปรากฏของอิสลามแก่ผู้ปฏิบัติตามท่านเหล่านั้น แม้กระทั่งคุณลักษณะพิเศษเฉพาะของท่านศาสดาแห่งอิสลาม(ศ) ก็ยังมีกล่าวไว้ในคัมภีร์ที่มาจากฟากฟ้า หมายถึง เตารอตอินญีล และซะบูรฉบับเดิมของพวกเขา

จากสาเหตุดังกล่าว ชาวยะฮูดีและนัศรอนี หรือแม้กระทั่งผู้ปฏิบัติตามศาสนาอื่น ซึ่งเห็นภยันตรายที่มาตอนน้ำท่วมโลก ก็ยังทอดสายตาไปยังชายฝั่งแห่งความปลอดภัย รอคอยการมาของอิสลาม

ชาวยะฮูดี กลุ่มหนึ่งได้พยายามค้นหาสถานที่หนึ่งที่อยู่ระหว่างภูเขาอัยรฺและภูเขาอุฮุด ซึ่งในคัมภีร์ของพวกเขาให้ชื่อว่า

 “ศูนย์กลางของรัฐบาลอิสลาม” และมุ่งตรงไปยังที่นั่น รอคอยการมาของอิสลาม”

อัลกุรอาน ได้เป็นพยานยืนยันอย่างดีถึงความหมายที่ว่า คัมภีร์อินญีลและเตารอต ได้แจ้งข่าวของการมาของศาสดาแห่งอิสลาม (ศ) โดยได้กล่าวว่า

“เขาเหล่านั้นผู้ซึ่งปฏิบัติตามศาสนทูต นบียุลอุมมี (นบีผู้ไม่เคยเรียนหนังสือ) ซึ่งพวกเขาได้พบท่าน (ชื่อและคุณลักษณะต่าง ๆ ) ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์เตารอตและคัมภีร์อินญีลที่มีอยู่ ณ พวกเขา เขา (ศาสนทูตท่านนี้)

จะทำการสั่งกำชับพวกเขาให้กระทำความดีและห้ามปรามพวกเขาจากสิ่งเลวร้ายอายและความชั่วทั้งมวล

กำหนดให้สิ่งที่ดีทั้งหลายเป็นของฮะลาล (ถูกต้องตามศาสนบัญญัติ) สำหรับพวกเขา และกำหนดให้สิ่งสกปรกโสมมเป็นของฮะรอม (ที่ต้องห้าม) สำหรับพวกเขา ศาสนทูตผู้นี้ได้ถอดถอนภาระหนัก และกฎเกณฑ์ที่ยากแก่

การปฏิบัติให้ออกจากภาระรับผิดชอบของพวกเขา ดังนั้นผู้ที่ศรัทธาต่อเขาได้เทิดทูนช่วยเหลือเขา และปฏิบัติตามรัศมีซึ่งถูกประทานลงมาพร้อมกับเขา พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน”

และยังกล่าวอีกว่า

“มฺฮัมมัด คือศาสนทูตของอัลลอฮฺ และกลุ่มบุคคลซึ่งอยู่ร่วมกับเขานั้น (มีคุณลักษณะ) เป็นผู้ที่เข้มแข็งห้าวหาญต่อผู้ปฏิเสธ แต่มีความอ่อนน้อมมีเมตตาในระหว่างพวกเขา (ผู้ศรัทธาด้วยกัน) เจ้าได้เห็นพวกเขา ก้มรุกูอฺ และซุญูด เพื่อแสวงหาความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ และความพึงพอพระทัยของพระองค์ ร่องรอยที่ปรากฏอยู่ในหน้าผากของเขาเป็นร่องรอยจากการซุญูดลักษณะเช่นนี้ที่อุปมาพวกเขาถูกกล่าวในเตารอตลอินญีล