พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม0%

พื้นฐานอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน: อัลลามะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอีย์
กลุ่ม:

ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24557
ดาวน์โหลด: 3301

รายละเอียด:

พื้นฐานอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 354 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24557 / ดาวน์โหลด: 3301
ขนาด ขนาด ขนาด
พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

3) ท่านอิบนุ อะบีดะลัฟ รายงานว่า:

ฉันได้ยินท่านอิมามอะลี บินมุฮัมมัด(อฺ) (อิมามที่ 10 ) กล่าวว่า :

“อิมามภายหลังจากฉันคือ ลูกของฉัน ฮะซัน หลังจากเขาก็จะเป็นลูกของเขา กออิม ซึ่งจะทำให้โลกเต็มไปด้วยความยุติธรรมหลังจากที่มันดาษดื่นไปด้วยการอธรรมและการกดขี่”

4) ท่านฮุซัยฟะฮ์รายงานว่า:

ท่านศาสดา (ศ) กล่าวว่า :

หากโลกนี้จะมีอายุเหลืออยู่เพียงหนึ่งวันละก็ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) จะทำให้โลกนี้ยาวนานขึ้นจนกระทั่งชายคนหนึ่งที่มาจากลูกหลานของฉันซึ่งชื่อเดียวกับฉันปรากฏกายขึ้น...”

ท่านซัลมานพูดขึ้นว่า

“ยารอซูลุลลอฮฺ จากบุตรคนไหนของท่านครับ”

ท่าน(ศ) ชี้ไปที่ ฮุเซน(อฺ) แล้วพูดว่า

“จากคนนี้”

5) ท่านมุซอิดะฮฺ รายงานว่า:

ท่านอิมามศอดิก (อ) กล่าวว่า

“กออิมของเรามาจากเชื้อสายของฮะซัน (อิมามฮะซัน อัสกะรี)

ฮะซันมาจากเชื้อสายของอะลี(อิมามอะลี อันนะกี) อะลีมาจากเชื้อสายของ

มุฮัมมัด (อิมาม มุฮัมมัด อัตตะกี) มุฮัมมัดมาจากเชื้อสายของอะลี (อิมามอะลี อัรริฎอ) และอะลีก็มาจากเชื้อสายของลูกของฉัน (อิมามมูซา อัลกาซิม) พวกเราคือ อิมาม 12 คน ทั้งหมดเป็นมะอศูม (บริสุทธิ์จากมลทินทั้งปวง) ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ หากว่าโลกนี้มีอายุเหลือเพียงหนึ่งวัน อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ก็จะทำให้มันยาวนานขึ้น จนกระทั่งกออิมของเราอะฮ์ลุลบัยต์ได้ปรากฏกายขึ้น”

ทัศนะของนักปราชญ์ทางสังคมวิทยา

นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกหลายท่านมีความเห็นว่า สงคราม การฆ่าฟัน การล่า สังหาร และการเสื่อมทางศีลธรรมซึ่งนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั้นมีสาเหตุมากจาการไม่มีดุลย์ถ่วงระหว่างความปรารถนาทางร่างกายและความปรารถนาทางจิต

มนุษย์ทุกวันนี้ละทิ้งความงดงามทางด้านจริยธรรมและคุณค่าทางจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าพวกเขาสามารถที่จะควบคุมท้องทะเลอันไกลโพ้น ห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง และก้าวเท้าเหยียบบนดางจันทร์ได้เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่า การยึดติดอยู่กับการรุกรานและอำนาจไม่อาจสร้างระบบแห่งความยุติธรรมขึ้นในโลกได้ การอาศัยเพียงเทคนิควิทยาและศาสตร์สาขาต่างๆ ไม่อาจสร้างความผาสุกอย่างแท้จริง (ซะอาดะฮ์) ไห้กับมนุษย์ได้ ใช่แล้ว มนุษย์ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากการทำให้เรื่องราวทางสังคมของเขามั่นคงอยู่กับ

อีหม่านและจริยธรรมอันดีงาม ด้วยกับการชี้นำของผู้แก้ไขที่ยิ่งใหญ่ของโลกมาช่วยโลกนี้ให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง และสร้างการปกครองที่วางอยู่บรรทัดฐานของความยุติธรรม มีความมั่นคง สางบเรียบร้อย ฯลฯ

ด้วยเหตุนี้เอง ที่สังคมโลกเตรียมพร้มสำหรับการมาของอิมามแห่งยุคสมัยอายุอันยาวนานของท่านอิมาม(อ)

เรามีความเชื่อว่าการยึดอายุของมนุษย์คนหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะอัล - กุรอานมีการกล่าวอย่างชัดเจนถึงเรื่องดังกล่าว เช่น อายะฮ์ที่บอกว่า ท่านนบีนูฮฺ(อฺ) มีอายุยาวนานถึง 950 ปีทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนา

ยิ่งกว่านั้น ตามการวิจัยครั้งล่าสุดในศาสตร์สาขาชีววิทยาบอกว่า มีความเป็นไปได้ที่อายุของมนุษย์จะยืนยาวขึ้น ถึงขนาดที่นักวิทยาศาสตร์คาดหมายว่าพวกเขาอาจจะเตรียมอาหารและยาต่าง ๆ สำหรับมนุษย์ที่จะทำให้อายุของเขายืนนานขึ้น

ท่านซัยยิดศ็อดร์(ร.ฮ.) ได้คัดลอกบทความหนึ่งจากวารสาร

 “อัล – มุกตะฎิฟ” ลำดับที่ 3 ปี 1395 ไว้ในหนังสือของท่านชื่อ “อัล – มะฮ์ดี” ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันคำกล่าวข้างต้น เราได้สรุปบทความดังกล่าวมาดังนี้:

“นักวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือกล่าวว่า โครงสร้างของอวัยวะสัตว์สามารถที่จะมีชีวิตอยู่อย่างนิรันดร์

สำหรับมนุษย์แล้วมีความเป็นไปได้ที่เขาจะมีชีวิตอยู่นับ 1, 000 ปี โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องไม่มีเหตุอันใดเกิดขึ้นอันจะทำให้ชีวิตถูกตัดขาด

ผู้มีเกียรติเหล่านี้ไม่ได้พูด มาจากการคาดคะเนหรือเดาเอา แต่พวกเขาได้บทสรุปเหล่านี้จากการทดลองทางวิชาการ

ศ.ดีมันด์ ดูเลิล อาจารย์มหาวิทยาลัย “จอห์นฮับกินส์” กล่าวว่า

“ได้พิสูจน์มาแล้วว่าอวัยวะหลักของร่างกายมนุษย์มีความพร้อมที่จะดำรงชีวิตอย่างยาวนาน บุคคลแรกที่ทำการทดลองดังกล่าวกับร่างกายของสัตว์ คือ ดร.ยากลูบ หลังจากเขาก็คือ ดร. วอร์นลูอิส ด้วยความร่วมมือกับภรรยาของเขาได้ทำการทดลองจนได้ บทสรุปว่า ชิ้นส่วนนำประเภทนี้สามารถจะรักษาให้มีชีวิตอยู่ในน้ำเกลือได้”

การทดลองดังกล่าวเกิดขึ้นหลายครั้ง จนกระทั่ง ดร. อเล็กซิสคาร์ล ได้นำเอามาทดลองวิธีอื่นแล้วได้

บทสรุปว่า ชิ้นส่วนที่นำมาทดลองไม่เหี่ยวย่น ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์ที่ถูกตัดชิ้นส่วนออกมามีชีวิตอยู่นานขึ้น เขาเริ่มการทดลองของเขาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1912 ด้วยการเสียสละและบากบั่นอย่างหนักทำให้เขาได้บทสรุปว่า :

(1) ตราบใดที่ไม่มีภาวะอาหารเป็นพิษหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายล่ะก็พวกมันจะดำรงชีวิตอยู่ตลอดไป

(2) ชิ้นส่วนที่ว่าไม่เพียงแต่ยังคงมีชีวิตอยู่เท่านั้น ยังเจริญเติบโตและขยายต่อไป

(3) สามารถวัดการเจริญเติบโตของชิ้นส่วนนั้นด้วยอาหารที่ให้พวกมัน

(4) เวลาที่ผ่านไปไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีวันแก่หรืออ่อนแอ แม้กระทั่งผลข้างเคียงที่แสดงให้เห็นถึงความแก่ก็ไม่ปรากฏในตัวของพวกมัน ปีต่อปีก็จะมีการเจริญเติบโตอยู่อย่างนั้น เรื่อยๆ ไป

คำถาม : ทำไมมนุษย์ต้องตาย ? ซึ่งโดยปรกติพวกเขามีชีวิตอยู่ไม่เกิน 100 ปี ?

คำตอบ : อวัยวะในร่างกายของมนุษย์หรือของสัตว์มีอยู่มากมายหลายส่วนในแต่ละส่วนมีทั้งที่แตกต่างกันและเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นการดำรงอยู่ของอวัยวะหนึ่งย่อมต้องสัมพันธ์กับอวัยวะอีกส่วนหนึ่ง ความอ่อนแอและการดับสูญของอวัยวะหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับการเสื่อมสลายของอวัยวะอีกส่วนหนึ่ง ด้วยความตายในปัจจุบันทันด่วนที่เกิดขึ้นจากการที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วก็เป็นไปตามเหตุผลดังกล่าว จากสาเหตุนี้เองที่อายุของ

คนเราโดยเฉลี่ยจังไม่เกิน 70-80 ปี อันที่จริงแล้วผลที่ได้จากกรทดลองนั้นไม่ได้บอกว่าสาเหตุของการตายคือ

เมื่ออายุถึง 70-80 ปีแล้ว แต่...สาเหตุที่แท้จริง คือการป่วยไข้หรืออาการแทรกซ้อนอื่นที่มีต่ออวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อส่วนใดตายไป ส่วนอื่นที่สัมพันธ์อยู่ก็จะถูกตัดขาดแล้วก็ตายไปในที่สุด

ดังนั้นหากว่าวิทยาการสามารถที่จะทำให้อกการแทรกซ้อนนี้ถูกทำลายไปหรือไม่ให้มันเกิดผลต่อร่างกายละก็ การมีชีวิตอันยาวนานก็ไม่มีสิ่งใดกั้นไว้ได้

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเรารู้ว่าการมีชีวิตอันยาวนานไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็หมายความว่าไม่มีข้อสงสัยใดทั้งสิ้นที่ว่าอัลลอฮ์(ซ.บ.) ทรงรักษามนุษย์คนหนึ่งให้มีชีวิตยืนนานกว่า 1, 000 ปี เพราะการกำหนดกฎเกณฑ์การมีชีวิตอันยาวนานอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์สามารถที่จะสร้างกฎเกณฑ์อันอื่นขึ้นมาเหนือกฎเกณฑ์ธรรมดา ดังเช่นที่ปรากฏเป็นมุอ์ญิซาต (การกระทำที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ) ต่างๆ เช่น การทำให้ไฟเย็นเพื่อท่านนบี

อิบรอฮีม (อ) ไม้เท้าของท่านนบีมูซา(อ) กลายเป็นงูใหญ่ คนที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาได้โดยการกระทำของท่านนบีซา(อ) สิ่งต่างๆ เหล่านี้ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับธรรมชาติ แต่อัลลอฮ์(ซ.บ.) ได้สร้างกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมา

ด้วยเดชานุภาพของพระองค์และมุอ์ญิซาตก็ได้บังเกิดขึ้น

มุสลิม ยะฮูดีและนัศรอนี ต่างก็มีความเชื่อในเรื่องมุอ์ญิชาตทั้งสิ้น

ในเรื่องการมีชีวิตอันยาวนานของท่านอิมามมะฮ์ดี(อ) ก็ย่อมจะต้องไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยใด ๆทั้งสิ้นด้วย เพราะว่าหากการมีชีวิตอันยาวนานเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ละก็ อายะฮ์ที่บอกเกี่ยวกับอายุของท่านนบีนูฮ์ (อ) อีกทั้งผลของการศึกษาวิจัยและทดลองของนักชีววิทยาก็ไม่อาจยอมรับได้?

หากกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ แต่ขัดแย้งกับกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ขอตอบว่าการมีชีวิตอันยาวนานของท่านอิมามแห่งยุคสมัย (อฺ) ก็เช่นเดียวกับ

มุอ์ญิซาตของท่านนบี(อ) ทีขัดแย้งกับกฎเกณฑ์ธรรมชาติเหมือนกัน

บุคคลใดก็ตามมีอีหม่านต่อพลานุภาพ และมุอ์ญิซาตของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ก็จะต้องไม่มีความสงสัยทั้งสิ้นต่อการมีชีวิตอันยาวนานของท่านอิมาม

มะฮ์ดี(อ)

ม็อยบะฮฺ (สภาพแห่งการไม่ปรากฏกาย)ของอิสลามแห่งยุคสมัย

ท่านศาสดา (ศ) ผู้ทรงเกียรติได้พูดให้ประชาชนฟังถึงเรื่องอิมามที่ 12 และบรรดาอิมาม(อ) ก็ได้มีการกล่าวถึงปัญหานี้อย่างสม่ำเสมอ ข่าวการไม่ปรากฏกายของท่านอิมามแห่งยุสมัย(อ)

มีการพูดถึงก่อนที่ท่านจะกำเนิดเสียอีก ซึ่งทุกคนมีความเชื่อต่อการดำรงอยู่ของท่าน (อ) และยังมีความเชื่อในเรื่องการไม่ปรากฏกายของท่าน (อ) อีกด้วย ได้โปรดพิจารณาตัวอย่างฮะดีษดังต่อไปนี้:

1) ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ) กล่าวว่า

“กออิมมาจากลูกหลานของฉัน ด้วยเหตุที่เป็นสัญญาซึ่งฉันได้มีกับเขา เขาจะถูกซ่อนไว้ จนกระทั่งประชาชนพูดกันหนาหูว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงต้องการอาลิมุฮัมมัดอีกต่อไปแล้ว มีบางคนสงสัยในการกำเนิดของเขา ดังนั้นใครก็ตามที่อยู่ถึงสมัยของเขาจะต้องปฏิบัติด้วยตามหลักการศาสนา ไม่ปล่อยให้ชัยฎอนมีอำนาจเหนือเขา มิฉะนั้นแล้ว เขาจะเป็นคนผลักไสผู้นั้นให้ออกจากประชาชาติและศาสนาของฉัน”

2) ท่านอะมีรุลมุอ์มินีนอะลี(อฺ) กล่าวว่า

“กออิมของเราจะมีข่าวแห่งการไม่ปรากฏกาย(ฆ็อยบะฮ์) หนึ่ง ซึ่งเวลาของมันนั้นยาวนานมาก พึงสังวรไว้ คนใดที่มั่นคงอยู่กับศาสนาของเขา(อิสลาม) ระยะเวลาอันยาวนานแห่งฆ็อยบะฮฺของเขาไม่อาจทำให้หัวใจของผู้นั้นตายด้าน(ไม่หันเหออกจากศาสนาแห่งสัจธรรม) ในวันตัดสินคนผู้นั้นจะอยู่กับฉันในระดับเดียวกัน

...กออิมของเรานั้น เมื่อเขาลุกขึ้นต่อสู้ ไม่มีการบัยอะฮ์ต่อเขา

ด้วยเหตุนี้เอง การกำเนิดของเขาจึงเป็นความลับ ตัวของเขาก็จะถูกซ่อนไว้”

3) ท่านมุฮัมมัด บิน มุสลิม รายงานว่า :

ข้าพเจ้าได้ยินท่านอิมามญะอ์ฟัร ศอดิก (อฺ) กล่าวว่า

“หากพวกท่านได้ยินเรื่องราวของฆ็อยบะฮ์ ก็อย่าได้ปฏิเสธเป็นอันขาด”

4) ท่านเชคฎอบัรซี(ร.ฮ.) บันทึกไว้ว่า :

รายงาน(ริวายะฮฺ) เรื่อง “ฆ็อยบะฮฺ”นี้ มุฮัดดิษ (นักรายงานฮะดีษ) ของชีอะฮ์ได้บันทึกไว้ในหนังสืออุศุล และหนังสือเล่มอื่นๆ ที่เขียนขึ้นในสมัยของท่านอิมามบากิร และท่านอิมามศอดิก(อ) เช่น ท่านฮะซัน บินมะฮฺบูบได้เขียนหนังสือ “มะชีเคาะฮ์” ขึ้นมาก่อนช่วงเวลา แห่ง “ฆ็อยบะฮ์” ถึง 100 ปี และบันทึกรายงานเรื่อง”ฆ็อยบะฮฺ” ไว้ในหนังสือเล่มนั้น ดังตัวอย่างฮะดีษต่อไปนี้

ท่านอะบูบะซีร กล่าวว่า :

ข้าพเจ้าเข้าพบท่านอิมามศอดิก(อฺ) แล้วพูดกับท่าน(อ) ว่า

“ท่านอิมามบากิร (อ) บอกว่า กออิมของอาลิมุฮัมมัดมีช่วงเวลา “ฆ็อยบะฮฺ” อยู่สองช่วง ช่วงหนึ่งยาวอีก ช่วงหนึ่งสั้น...”

ท่าน (อ ) ตอบว่า

“ใช่แล้วอะบูบะซีร ช่วงหนึ่งจะยาวนานกว่าอีกช่วงหนึ่ง...”

จากที่กล่าวไป สรุปได้ว่าท่านศาสดา(ศ) ผู้ทรงเกียรติ อิมาม (อฺ) ผู้บริสุทธิ์ได้บอกประชาชนถึงเรื่องการ

“ฆ็อยบะฮฺ” ของอิมามแห่งยุคสมัย พร้อมกับข่าวการดำรงชีวิตอยู่ของท่าน (อ) อีกทั้งความเชื่อในเรื่อง”ฆ็อยบะฮ์” เกิดขึ้นมาพร้อมกับความเชื่อเรื่องการมีอยู่ของท่าน (อ) ด้วย

ท่านเชคศอดูก(ร.ฮ.) รายงานมาจากท่านซัยยิดฮุมัยรี (ร.ฮ.) ความว่า :

ข้าพเจ้าเคยมีความเชื่อที่หลงผิด (ฆุลูวฺ) ในเรื่องที่เกี่ยวกับมุฮัมมัด บิน

ฮะนะฟียะฮ์ และเชื่อว่าเขาอยู่ในสภาพของการไม่ปรากฏกาย จนกระทั่งอัลลอฮ์(ซ.บ.) ประทานโอกาสอันสูงสุดให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ปลอดภัยจากไฟนรกด้วยการชี้นำของท่านอิมามศอดิก(อ) ความที่ข้าพเจ้ามีเหตุผลและหลักฐานอันชัดแจ้งเกี่ยวกับการเป็นอิมามของท่านอิมามศอดิก(อ)

ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับท่าน(อ) ว่า

“โอ้บุตรของท่านศาสดา ได้โปรดเปิดเผยเรื่องราวการ “ฆ็อยบะฮ์” และความถูกต้องของฮะดีษที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งรายงานมาจากบรรพบุรุษของท่านว่าการ “ฆ็อยบะฮฺ” ที่ว่านั้น จะเกิดขึ้นกับผู้ใด?

“การฆ็อยบะฮ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับทายาทชั้นที่ 6 ของฉัน เขาคือ

อิมามที่ 12 หลังจากท่านศาสดา (ศ) ซึ่งคนในหมู่พวกเขาก็คือ อะลี บิน

อะบีฏอลิบ ส่วนคนสุดท้ายก็คือ กออิมุนบิ้ลฮัก และบะกียะตุ้ลลอฮฺในแผ่นดินนี้ อีกทั้งยังเป็นศอฮิบุซซะมาน (เจ้าของแห่งกาลสมัย)...”

ทำไมอิมามแห่งกาลสมัยต้องอยู่ในสภาพที่ไม่ปรากฏกายด้วย ?

ในบทก่อนๆ เราได้ทำความเข้าใจแล้วว่าการมีอยู่ของอิมาม(อฺ)มีความจำเป็นจากเหตุผลหลายประการด้วยกัน เช่น

แก้ไขปัญหาความขัดแย้งทั้งมวลอธิบายกฎหมายของพระผู้เป็นเจ้า ชี้นำทางด้านจิตวิญญาณ ฯลฯ อัลลอฮ์(ซ.บ.) ผู้ทรงเมตตาอย่างเหลือล้นได้กำหนดให้ท่านอะมีรุลมุอ์มินีนเป็นอิมามคนแรกต่อมา ก็อิมามทั้ง 11 ท่านสืบทอดต่อกันมา

เป็นเรื่องที่เข้าใจกันเป็นอย่างดีว่า หน้าที่ของท่านอิมามมะฮ์ดี(อ) เมื่อพิจารณาจากฐานภาพการเป็นอิมาม

ก็คือ หน้าที่เดียวกับบรรพบุรุษของท่านอิมาม(อ) หากว่าไม่มีอุปสรรคใดแล้ว แน่นอนเหลือเกินว่าท่าน(อ) จะต้อง

ให้คนพบเห็นได้เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้ใช้ประโยชน์จากการมีอยู่ของท่าน (อ) แล้วทำไมท่าน(อ) ต้องอยู่ในสภาพที่ไม่ปรากฏกายตั้งแต่เริ่มต้ยด้วยเล่า ?

คำตอบมีดังนี้

ประการแรกก็คือ ด้วยความเชื่อมั่นที่มีต่อฮิกมะฮ์ (วิทยปัญญา) ของอัลลอฮ์(ซ.บ.) ไม่ได้มีความจำเป็นอันใดเลยที่เราจะต้องพยายามค้นหาเหตุผลและปรัชญาของการฆ็อยบะฮ์ ของท่านอิมามมะฮ์ดี(อฺ)

 เพราะว่าการไม่รู้ถึงสาเหตุและเหตุผลหลักของการ “ฆ็อยบะฮ์” ของท่าน

อิมาม (อ) ไม่ได้สร้างความเสียหายอันใดให้แก่เราเลย เหมือนอย่างปรัชญาของสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่เราไม่เคยรับรู้เลย การรู้ว่าอัลลอฮ์(ซ.บ.) ส่ง “ฮุจญะฮ์” (ข้อพิสูจน์อันชัดแจ้ง) ของพระองค์มาแต่เพื่อความเหมาะสมบางประการพระองค์จึงทรงรักษาท่าน (อ) ให้อยู่ในสภาพที่ไม่ปรากฏกาย ด้วยการตรวจสอบจากฮะดีษที่เชื่อถือได้ หรือจากเหตุผลที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา

มีฮะดีษบางบทที่รายงานถึงสาเหตุหลักของการ “ฆ็อยบะฮฺ” เหตุการณ์หลังการปรากฏกายของท่าน เช่น

ท่านอับดุลลอฮฺฟัฎลฺ ฮาชิมี กล่าวว่า :

ข้าพเจ้าได้ยินท่านอิมามศอดิก(อฺ) พูดว่า

“ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า สำหรับศอฮิบุลอัมร์ (อิมามมะฮ์ดี) มีสภาวะแห่งการไม่ปรากฏกายเกิดขึ้น ซึ่งพวกหลงผิดเกิดความสงสัยในสิ่งนั้น...”

ข้าพเจ้าถามท่านว่า

“เพราะอะไรหรือขอรับ?”

ท่าน(อ)ตอบว่า

“เพราะไม่อนุญาตให้เรื่องนี้มีการพูดกันโดยทั่วไป (โดยปราศจากการอ้างอิงจากหลักฐานที่น่าเชื่อถือ –

(ผู้เรียบเรียง)”

ข้าพเจ้าถามว่า

“มีปรัชญาอะไรในเรื่องนี้ ขอรับ?”

ท่านอิมาม (อ) ตอบว่า

“มันก็คือปรัชญาเดียวกับที่มีอยู่ในการไม่ปรากฏกายของฮุจญะฮ์คนก่อนๆ มันจะไม่เปิดเผยออกมา

จนกระทั่งภายหลังจากการปรากฏของเขา ดังเช่น วิทยปัญญาของการกระทำของท่านบีคิฏรฺ (อ้างถึงการเจาะเรือฆ่าเด็ก และผลักกำแพงให้ตั้งตรงในเรื่องราวระหว่างท่านนบีมูซากับท่านนบีคิฏรฺ) ไม่ได้รับการเปิดเผย จนกระทั่งคนทั้งสองต้องการที่จะแยกทางกัน บุตรของฟัฏลฺเอ๋ย...เรื่องการ “ฆ็อยบะฮฺ” เป็นการงานของอัลลอฮฺ (ซ.บ.)

และเป็นความลับหนึ่งจากความลับทั้งหลายของพระองค์ เพราะเรารู้ว่า อัลลอฮ์(ซ.บ.) ทรงปรีชาญาณและมีวิทยปัญญาอันหาที่เปรียบมิได้ เราจึงมั่นใจว่าการงานทั้งหลายของพระองค์ดำเนินไปตามความรอบรู้และ

วิทยปัญญา ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้รายละเอียดของมันก็ตาม”

แต่...ก็อาจตรวจสอบหาสาเหตุบางอย่างของการ “ฆ็อยบะฮ์” ซึ่งได้มาจากการรายงานของฮะดีษต่าง ๆ

เช่น

1) การทดสอบประชาชน

หนึ่งในประโยชน์ที่จะได้รับจากการ “ฆ็อยบะฮฺ” ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ) ก็คือ การทดสอบประชาชน

จนกระทั่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่การไม่มีอีหม่านภายในของเขาได้รับการเปิดเผยออกมา (ว่าไม่มีศัรัทธาที่แท้จริง) ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มคนที่มีความมั่นคงในอีหม่านด้วยกับการรอคอยการปรากฏกายของท่านอิมาม(อ) และอดทนต่อความทุกข์ยากต่าง ๆ อันจะทำให้อีหม่านเรื่องนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ความมีเกียรติของเขาเห็นเด่นชัดและจะต้องได้รับผลตอบแทนอย่างแน่นอน

ท่านอิมามมูซา บินญะอ์ฟัร(อ) กล่าวว่า

“เมื่อทายาทชั้นที่ 5 ของฉันอยู่ในสภาพที่ไม่ปรากฏกายนั้น พวกท่านจะตัองระมัดระวังในหลักการศาสนาเพื่อที่จะไม่ให้ใครมาทำให้พวกท่านออกจากศาสนา สำหรับผู้เป็นเจ้าของเรื่องนี้ (หมายถึงอิมามมะฮ์ดี) มีการ “ฆ็อยบะฮ์” หนึ่งซึ่งกลุ่มคนที่เคยแฝงความเชื่อในเรื่องเขาไว้ได้ถอนความเชื่อในเรื่องนั้นทิ้งการ “ฆ็อยบะฮ์”นี้ คือการทดสอบหนึ่งที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทดสอบปวงบ่าวของพระองค์”

2) การพิทักษ์ท่านอิมาม (อฺ) จากการถูกสังหาร

จากการศึกษาประวัติของบรรดาอิมาม(อ) และสภาพของพวกเขาที่สัมพันธ์กับผู้ปกครงวงศ์อุมัยยะฮ์และอับบาซียะฮ์พบว่า หากอิมามที่ 12 เปิดเผยตัวให้ทุกคนรู้จักละก็ ท่าน(อ) จะต้องถูกสังหารเหมือนกับบรรพบุรุษ

ของท่าน(อฺ) เป็นแน่ หรือไม่ก็ถูกวางยาพิษ เพราะพวกเขาได้ยินและรู้อยู่เต็มอกว่า ในครอบครัวของท่านศาสดา(ศ)

จะมีบุรุษหนึ่งถือกำเนิดขึ้น เขาจะทำลายการปกครองของผู้กดขี่ด้วยมือของเขาเอง ผู้นั้นก็คือบุตรของท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี(อฺ) ดังนั้น พวกเขาจึงเตรียมพร้อมที่จะสังหารท่าน(อ) ทว่า...อัลลอฮ์(ซ.บ.) ได้พิทักษ์ท่าน(อ) ไว้

และทำให้ศัตรูของท่าน(อฺ) หมดหวัง

ท่านซูรอเราะฮ์(ร.ฮ.) รายงานจากท่านอิมามศอดิก(อ) ว่า :

ท่าน(อ) กล่าวว่า

“สำหรับกออิม ก่อนที่จะมาปรากฏอีกครั้งหนึ่งเขาจะมีสภาพแห่งฆ็อยบะฮฺ”

ข้าพเจ้าถามท่านว่า

“ทำไม่หรือ ขอรับ?”

ท่าน(อ) ตอบว่า

“เพื่อให้ปลอดภัยจากการถูกสังหาร และการ “ฆ็อยบะฮฺ” นี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าถึงเวลาที่ต้องปรากฏกาย และมีชัยชนะเหนือรัฐบาลผู้กดขี่”

3) ไม่มีการบัยอะฮ์ของผู้ใดต่อเขา

ท่านอิมาม(อ) ถูกปกป้องจากการที่ต้องให้บัยอะฮ์ต่อผู้อธรรม ผู้ปกครองที่ละเมิดสิทธิ์ของท่าน (อ) และ

เมื่อถึงคราวที่ (อ์) จะมาปรากฏก็ไม่จำเป็นต้องมีการยัยอะฮ์ของผู้ใดต่อท่าน(อ)

ท่าน(อ) จะอธิบายสัจธรรมอย่างแจ่มแจ้ง และก่อตั้งรัฐบาลที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม

ท่านอิมามศอดิก(อ) กล่าวว่า

“เมื่อกออิมยืนขึ้นต่อสู้ ไม่มีใครที่จะให้บัยอะฮ์ต่อเขา (ไม่จำเป็นต้องมีการบัยอะฮ์)”

คุณค่าของการดำรงอยู่ของอิมามมะฮ์ดี(อฺ)

ก่อนหน้านี้เรากล่าวว่า อัลลอฮ์(ซ.บ.) ทรงแต่งตั้งท่านอิมามมะฮ์ดี(อฺ) เพื่อให้ท่าน(อ) ชี้นำประชาชาติสู่สัจธรรม แต่พฤติกรรมของพวกเขาเอง

นั่นแหละที่เป็นอุปสรรคต่อการมาปรากฏกายของท่าน(อ)

เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเตรียมพร้อมอย่างสมบูรณ์เพื่อรัฐบาลเดียวแห่งโลกนี้และเป็นรัฐบาลของพระผู้เป็นเจ้า(ซึ่งวางอยู่บนรากฐานของความยุติธรรมที่แท้จริง) เอาใจใส่ต่อสิทธิทั้งปวงต่อสัจธรรมทั้งหลาย ต่อเรื่องราวต่างๆ และการดำเนินตามกฏศาสนบัญญัติอย่างเต็มรูปแบบไม่มีการซ่อนเร้นหรือ

อำพราง) ท่านอิมาม(อ) ก็จะปรากฏกายขึ้น

ดังนั้น พระองค์จึงไม่ใช่ผู้ที่ไร้เมตตาหรือปฏิเสธการช่วยเหลือใด แต่เป็นเพราะตัวของมนุษย์เองที่ทำให้ท่าน(อ)

ต้อง “ฆ็อยบะฮฺ” และทำให้การมาของรัฐบาลโลกยืดเวลาออกไป อย่างไรก็ตามจะตอ้งจำไว้ด้วยว่าคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของอิมามไม่ได้มีเพียงการชี้นำโดยทั่วไป และเปิดเผยเท่านั้น ยังมีคุณค่าด้านอื่นอีกซึ่งไม่พบในหมู่ประชาชน

คุณค่าที่สำคัญที่สุดของการดำรงอยู่ของอิมาม(อ) ก็คือ ตัวกลางแห่งการได้รับความโปรดปราน เพราะเมื่อพิจารณาจากหลักฐานที่นักปราชญ์ได้อ้างไว้ประกอบกับฮะดีษมิใช่น้อย ที่รายงานเกี่ยวกับเรื่องอิมามไว้ว่า :

หากไม่มีอิมามความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งถูกสร้างทั้งมวลกับพระผู้สร้างก็จะถูกตัดขาด เพราะความโปรดปรานทั้งมวลของพระผู้สร้างถูกประทานลงมาโดยผ่านอิมามนั่นเอง

ดังมีฮะดีษที่รายงานเรื่องนี้ อย่างเช่น

“ถ้าแผ่นดินนี้คงอยู่โดยปราศจากอิมาม มันจะต้องล่มสลาย...”

ใช่แล้ว อิมาม คือหัวใจของโลก ผู้นำ และผู้ดูแลมนุษยชาติ

ด้วยเหตุนี้เอง ที่การปรากฏให้เห็นหรือไม่ปรากฏกายก็หาได้แตกต่างกันไม่ อีกทั้งการชี้นำทางจิตวิญญาณของอิมามที่มีต่อบุคคลที่ควรค่าแก่การชี้นำนั้นมีอยู่ตลอดกาลถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เห็นอิมามด้วยสายตาก็ตาม เฉพาะอย่างยิ่งมีรายงานฮะดีษที่กล่าวว่า ท่านอิมาม(อ) อยู่คลุกคลีกับที่ชุมนุมของมุอ์มิน ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่รู้จักท่าน