พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม0%

พื้นฐานอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน: อัลลามะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอีย์
กลุ่ม:

ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24522
ดาวน์โหลด: 3298

รายละเอียด:

พื้นฐานอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 354 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24522 / ดาวน์โหลด: 3298
ขนาด ขนาด ขนาด
พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

 โดยบอกว่า มนุษย์ไม่ได้สูญสลายไปไหน ความตายเป็นเพียงขั้นบันไดหนึ่งที่นำไปสู่โลกหลังความตาย (บัรซัค) และวันกิยามะฮฺ (วันสิ้นสุดโลก) ซึ่งหลังจากนั้นชีวิตจะเป็นนิรันดร์

โลกหลังความตาย (อาลัมบัรซัค)

โองการอันแจ้งชัดของอัล – กุรอาน และฮะดีษของผู้ทรงเกียรติ (อ) บอกเราว่า ความตายไม่ใช่การสูญสลายของมนุษย์ หลังความตาย วิญญาณของมนุษย์ยังคงดำรงอยู่ภายใต้สภาพที่ได้รับความโปรดปรานหรือไม่ก็รับการลงทัณฑ์จนกว่าจะถึงวันแห่งการฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

เวลาช่วงนี้ คือ หลังจากความตายจนถึงการฟื้นขึ้นมาเรียกว่า “บัรซัค” นั่นเอง

ชีวิตแห่ง “บัรซัค” นี้เป็นการมีชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นสิ่งเลื่อนลอยหรือเพ้อฝัน

 อัลลอฮ์(ซ.บ.) ตรัสว่า:

“เจ้าอย่าได้คิดว่าผู้ที่ถูกสังหารในวิถีทางของอัลลอฮ์ว่าได้ตายไปแล้ว แต่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ พระผู้อภิบาลของพวกเขาโดยได้รับริซกีก็อยู่

พวกเขารื่นเริงต่อความโปรดปรานทั้งหลายของอัลลอฮฺที่มีมายังพวกเขา...”

(บทอาลิอิมรอน: 169-170)

แน่นอนเหลือเกิน หากว่ามันไม่ใช่เป็นการมีชีวิตอย่างแท้จริงละก็

 อายะฮ์ที่บอกว่า “... ณ พระผู้อภิบาลของพวกเขาโดยได้รับริซกีอยู่...”

 ก็หาได้มีความหมายไม่ ในเรื่องราวของ “มุอ์มินอาลิยาซีน” ที่เขาได้เตือนกลุ่มชนของเขาให้ปฏิบัติตามทูตของนบีอีซา (อฺ) แต่พวกเขาก็ไม่ปฏิบัติตามซ้ำยังสังหารเขาด้วย ดังที่ว่า:

“มีคำกล่าวแก่เขาว่า จงเข้าสู่สรวงสวรรค์ได้แล้ว เขาพูดขึ้นว่า โอ้กลุ่มชนของฉันน่าจะรู้ความจริงถึงสิ่งที่พระผู้อภิบาลของฉันได้อภัยโทษให้แก่ฉัน และได้ทำให้ฉันเป็นหนึ่งในมวลผู้มีเกียรติทั้งหลาย”

 (บทยาซีน: 26-27)

เป็นไปได้ว่า ความหมายของสวรรค์ในที่นี้ คือ สวรรค์ของ “บัรซัค” ซึ่งผู้มีอีหม่านทั้งหลายจะได้รับช่วงรอยต่อระหว่างหลังความตายกับวันแห่งการฟื้นขึ้นมา

อัลกุรอานได้กล่าวถึงชนผู้ปฏิเสธกลุ่มหนึ่งที่ประพฤติชั่วจนวินาทีสุดท้าย ดังคำตรัสของพระองค์ที่ว่า:

 ไเมื่อความตายได้มาเยือนคนหนึ่งในหมู่พวกเขา เขากล่าวว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้าฯพระองค์โปรดทำให้ข้าฯพระองค์ได้กลับไปอีกครั้ง เผื่อบางทีข้าพระองค์จะได้ทำความดีในสิ่งที่ข้าพระองค์ได้ละทิ้งไป (มีเสียงตอบมาว่า) ไม่มีทาง นี่เป็นเพียงถ้อยคำที่พูดออกมาเท่านั้น (หากให้กลับไปอีกก็จะทำแบบเดิม) และเวลาหลังจากนั้น (ความตาย) ของพวกเขาจะมีช่วงเวลาแห่ง บัรซัค (โลกหลังความตาย) ไปจนถึงวันแห่งการฟื้นขึ้นมา”

 (บทอัล – มุอ์มินูน: 99-100)

ต่อไปนี้ขอให้เราฟังเรื่องจริงที่ได้เกิดขึ้น

เมื่อสงครามบะดัรสิ้นสุดลง ศัตรูพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงกองซากศพ...มีศพกุฟฟารถูกทิ้งอยู่ในหลุม ท่านศาสดา(ศ) มาที่ปากหลุมแล้วกล่าวกับซากศพนั้นว่า

“พวกเจ้าชาวกุฟฟารเอ๋ย พวกเจ้าเป็นเพื่อนบ้านที่แสนเลว ขับไล่ไสส่ง

ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าจากบ้านเกิดเมืองนอนของเขาร่วมมือกันอย่างจริงจังในการเป็นศัตรูและต่อต้านเขา ตอนนี้ข้าได้พบว่าสัญญาของ

พระผู้อภิบาลของข้าเป็นจริงแล้ว แล้วพวกเจ้าล่ะ พบหรือยัง?”

ท่านอุมัรเมื่อได้ยินคำพูดนั้นก็กล่าวขึ้นว่า

“โอ้ท่านศาสดา พวกมันเป็นเพียงซากศพแล้วท่านพูดกับมันได้อย่างไร?”

ท่านศาสดาผู้ทรงเกียรติ(ศ) กล่าวตอบว่า

“หยุดเถอะ ท่านก็ใช่จะได้ยินมากกว่าพวกมัน สักครู่นี้เมื่อฉันลุกขึ้นและหันหลังจากพวกมันมา มะลาอิกะฮ์ผู้ลงทัณฑ์กำลังฟาดพวกมันด้วยกระบองเหล็ก”

ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะลี(อ) ก็เช่นเดียวกัน หลังจากเสร็จศึกสงครามญะมัลแล้วท่าน(อ) ได้ขี่ม้าไปท่ามกลางซากศพ และเมื่อไปถึงร่างอันไร้วิญญาณของกะอ์บ บินซูเราะฮฺ (เขาเคยถูกแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาเมืองบัศรอฮ์ในสมัยของท่านอุมัรและเป็นเรื่อยมาจนสิ้นสุดสมัยของท่านอุษมาน คนผู้นี้พร้อมกับลูกหลานของเขาได้เอาอัลกุรอานห้อยที่คอ และร่วมทำสงครามต่อท่านอิมาม(อ) และทั้งหมดถูกสังหารในสงครามญะมัล) ท่าน(อ) สั่งให้ทหารชี้ร่างของเขา แล้วท่าน(อ) ก็พูดกับเขาว่า

“กะอ์บเอ๋ย ข้าได้พบว่าสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าเป็นสัจจะเสมอ แล้วเจ้าล่ะพบหรือยัง?”

ท่าน (อ) ได้สั่งให้เอาเขานอนลง แล้วก็ทำเช่นเดียวกันนี้กับร่างของฏ็อลฮะฮ์

มีชายคนหนึ่งพูดกับท่านว่า

“การกระทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร? พวกมันไม่ได้ยินเสียงท่านหรอก”

ท่าน(อ) ตอบว่า

“ขอสาบาน ทั้งสองได้ยินคำพูดของฉัน เช่นเดียวกับที่ร่างอันไร้วิญญาณของผู้ที่ถูกสังหารในสมรภูมิบะดัรได้ยินท่านศาสดา”

ท่านฮับบะฮ์ อะรอนี กล่าวเช่นเดียวกันนี้ว่า :

เราได้ไปยัง “วาดีอัสลาม” กับท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะลี (อ)

ท่านอิมาม(อฺ)ได้หยุดยืน และคิดว่ากำลังพูดกับใครคนหนึ่ง ข้าพเจ้ายืนรอเสียจนเมื่อยจึงนั่งลงก็ยังไม่หายเมื่อยจึงลุกขึ้นยืนสลับนั่งยืนแล้วก็หยิบผ้าคลุมมา

กล่าวขึ้นว่า

“ได้โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าเอาผ้าคลุมนี้ปูให้ท่านรองนั่งดีไหม ข้าพเจ้าเกรงว่า ท่านจะยืนเมื่อย”

ท่าน(อ) กล่าวขึ้นว่า

“โอ้ฮับบะฮ์ ไม่เมื่อยหรอก เพราะกำลังคุยกับมนุษย์คนหนึ่งหรืออาจเป็นมุอ์มินคนหนึ่ง”

ข้าพเจ้าพูดต่อไปว่า “พวกเขาด้วยนะหรือ”

ท่าน(อ) ตอบว่า

“ใช่แล้ว หากเอาม่านที่บังสายตาท่านออก ท่านก็จะได้เห็นว่ามีกลุ่มคนกำลังสนทนากัน”

ข้าพเจ้าถามว่า “เป็นร่างกายหรือจิตวิญญาณ”

ท่าน(อ) ตอบว่า

“เป็นจิตวิญญาณ มุอ์มินทุกคนไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใดที่ตายจากไปจะมีคำสั่งมายังวิญญาณของเขาว่าให้ไปที่วาดีอัสลาม ที่นั่นคือห้องหนึ่งของสวรรค์อัดน์ ดวงวิญญาณของมุอ์มนิทุกคนทั้งใกล้และไกลจะมารวมตัวกันที่นั่น”

การตอบคำถามในหลุมฝังศพ

มีรายงานฮะดีษมากมายที่บอกว่าร่างกายและจิตวิญญาณมีส่วนสัมพันธ์กันในหลุมฝังศพ จะเป็นความสัมพันธ์เช่นไรนั้นยังไม่กระจ่างนัก

ท่านอิมามศอดิก(อ) กล่าวว่า

“ผู้ปฏิเสธเรื่องการตอบคำถามในหลุมฝังศพ เขาไม่ใช่ชีอะฮ์ของเรา

เมื่อคนตายถูกวางในหลุม มะลาอิกะฮ์ที่ทำหน้าที่ซักถามจะปรากฏกายขึ้น ซักถามเรื่องความเชื่อและการฏิบัติของเขา หากผู้นั้นเป็นมุอ์มินก็จะถูกนำไปรวมกับมุอ์มิน หากเป็นกาเฟรก็จะไปรวมกับกาเฟร กลุ่มทั้งสองจะอยู่ในบัรซัคจนกระทั่งถึงวันกิยามะฮ์

ท่านเชคศอดูก(ร.ฮ.) เขียนในหนังสือ “อัล- เอียะอิกอดาต” ของท่านว่า:

ตามความเชื่อของเรา การซักถามในหลุมฝังศพเป็นสัจธรรม ถ้าเขาตอบถูก ก็จะอยู่ในหลุมฝังศพอย่างมีความสุข และในอาคิเราะฮ์ก็จะได้สวรรค์เป็นการตอบแทน ส่วนผู้ที่ตอบไม่ได้ก็จะประสบกับการถูกลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพและในวันฟื้นขึ้นมาก็จะถูกนำตัวไปยังนรก

ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน(อ) จะกล่าวเตือนประชาชนในทุกวันศุกร์ในมัสญิดนบีด้วยถ้อยคำเหล่านี้ว่า

“โอ้ประชาชนทั้งหลาย จงเลือกเอาการงานที่ดีมีคุณธรรม ที่คืนกลับของพวกท่าน คืออัลลอฮ์ ใครที่ทำความดีไว้ในโลกนี้ เขาจะได้รับความก้าวหน้า ส่วนผู้ที่ประพฤติชั่วนั้น เขาปรารถนาที่จะให้ตัวเขา และพฤติกรรมชั่วของเขาห่างไกลกันไกลแสนไกล พระผู้เป็นเจ้าได้เตือนให้เห็นถึงการลงทัณฑ์ของพระองค์แล้ว

ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน โอ้ลูกหลานของอาดัม เจ้าหลงระเริง แต่พวกเขาไม่หลงลืมเจ้า ความตายจะมาเยือนอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งใด มันจะค้นหาเจ้าแล้วเจ้าก็จะได้พบมัน เมื่อวลานั้นมาถึงมะลาอิกะฮ์เกี่ยวกับความตายก็จะมากระชากวิญญาณของเจ้าไป เจ้าจะมายังหลุมฝังศพแล้ว มะลาอิกะฮฺที่ทำหน้าที่ซักถามก็จะมาหาเจ้าเพื่อทดสอบ

คำถามแรก ก็คือ เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าที่เจ้าทำการอิบาดะฮฺและรอซูลที่ถูกส่งมา เกี่ยวกับศาสนาที่เจ้ายึดมั่นเกี่ยวกับคัมภีร์ที่เจ้าได้อ่าน เกี่ยวกับอิมามที่พระองค์เลือกไว้และให้เจ้าเชื่อฟังเขา เขาจะถามพวกเจ้าถึงช่วงชีวิตที่ได้ใช้ไปทรัพย์สมบัติ ที่เจ้าได้ใช้ไปในทางใดบ้าง...ระวังตัวให้ดี จงเตรียมพร้อมก่อนที่จะถูกถาม

หากเจ้าเป็นคนมีอีหม่าน กระทำความดีเป็นเนืองนิตย์ รู้จักศาสนาของตัวเองอย่างถ่องแท้ เชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำที่เที่ยงธรรม รักผู้ที่เป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮ์ พระองค์จะทำให้ลิ้นของเจ้าพูดความจริงแล้วก็จะตอบแทนเจ้าด้วยสรวงสวรรค์

 

มะลิกะฮ์แห่งความเมตตาก็จะมาปรากฏต่อหน้าเจ้า ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นลิ้นของเจ้าก็จเป็นใบ้ตอบคำถามไม่ได้ แล้วเจ้าก็จะถูกนำตัวไปยังไฟนรก

มะลาอิกะฮ์ แห่งการลงทัณฑ์ก็จะออกมาต้อนรับเจ้าด้วยน้ำเดือดและไฟนรก

อะซาบ(การลงทัณฑ์)ในหลุมฝังศพ

สิ่งที่มนุษย์ได้รับในโลกหลังความตาย ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับพฤติกรรมของเขาในโลกนี้

ทว่าผู้มีคุณธรรมความดีที่ได้จากโลกนี้ไปนั้น โลกบัรซัคก็จะกลายเป็นตัวอย่างหนึ่งของสวรรค์ เขาจะเห็นคุณงามความดีของเขาอยู่ในรูปที่สวยงาม เจริญตา

ท่านอิมามฮะซัน อัสกะรี (อฺ) กล่าวว่า

“เมื่อมุอ์มินคนหนึ่งเสียชีวิตลง เขาจะมีหน้าอันงดงามทั้ง 6 ซึ่งหนึ่งในนั้นสวยงามและหอมหวนยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด จะคอยติดตามเขาไปยังหลุมฝังศพใบหน้าทั้ง 6 จะคอยห้อมล้อมยืนอยู่ทางขวา – ทางซ้าย ข้างบน –ข้างล่าง ด้านหน้าและด้านหลังของเขา เมื่อนั้นใบหน้าที่งดงามที่สุดได้เอ่ยถามว่า “พวกท่านเป็นใครกัน?”

ใบหน้าที่อยู่ทางขวาตอบว่า “ข้าคือนมาซ” ใบหน้าที่อยูท่างซ้ายตอบว่า“ข้าคือซะกาต” ใบหน้าที่อยู่ด้านหน้าตอบว่า “ข้าคือศีลอด” ใบหน้าที่อยู่ด้านหลังตอบว่า “ข้าคือฮัจญ์และอุมเราะฮฺ” ใบหน้าที่อยู่ข้างล่างตอบว่า “ข้าคือคุณความดีที่ได้กระทำแก่พี่น้องของเขา” ทันใดนั้นเองทั้งหมดก็ได้ถามใบหน้าที่งดงามกว่าเพื่อนว่า “แล้วท่านละเป็นใครถึงอยู่สูงกว่าเพื่อน?” เขาตอบว่า “ข้าคือวิลายะฮฺและความรักที่มีต่ออาลิมุฮัมมัด(อฺ)”

ส่วนพวกที่สร้างรอยแปดเปื้อนให้กับดุนยา(โลกนี้)ด้วยการปฏิเสธอีกทั้งความสกปรกโสมมและพฤติกรรมอันน่ารังเกียจ เมื่อเขามาที่หลุมฝังศพเขาก็จะพบกับความคับแคบแความมืดสนิท มะลาอิกะฮ์ผู้ทำหน้าที่ลงทัณฑ์ก็จะให้เขาลิ้มรสความเจ็บปวด

ท่านศาสดาผู้ทรงเกียรติ(ศ) ได้เข้าร่วมแห่มัยยิตของชาวอันศอรคนหนึ่งหลังจากฝังเขาแล้ว ท่าน(ศ) ได้นั่งอยู่ข้างหลุมฝังศพ ก้มศีรษะลงต่ำ แล้วกล่าวออกมา 3 ครั้งว่า

“โอ้อัลลลอฮ์ ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้พ้นจาการลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพ”

การถามตอบในหลุมฝังศพและการลงทัณฑ์ในนั้น ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยตา เพียงสิ่งที่ท่านศาสดา(ศ)และบรรดาอิมาม(อฺ) ได้กล่าวก็เพียงพอแล้วและไม่อาจปฏิเสธได้

ท่านมุลลา มุฮ์ซิน ฟัยฎ์กาชานี (ร.ฮ.) กล่าวว่า :

 “ดวงตานี้ไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ใน “มะละกูต” (สภาวะที่อยู่เหนือกว่าสภาวะปรกติ) ได้ สิ่งที่ปรากฏอยู่ในอาคิเราะฮฺ และบัรซัคก็เป็นเรื่องราวของ “มะละกูต” เช่นเดียวกับที่ศอฮาบะฮ์ของท่านศาสดา (ศ) มีความเชื่อต่อาการลงมาของญิบรออีล (อ) ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่อาจที่จะมองเห็นเขาได้

 การลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพก็เป็นเรื่องราวของ “มะละกูต” ด้วย การที่จะสัมผัสมันได้ต้องใช้มิติแห่งการรับรู้อื่น นอกจากท่านศาสดา (ศ) และบรรดาอิมาม (อ) แล้วไม่มีใครที่จะมีมิติแห่งการรับรู้เช่นนั้น”

การรำลึกถึงความตาย

มีบางคนพยายามที่จะหลบเลี่ยงจากการรำลึกถึงความตายไม่ยอมคิดในเรื่องราวเหล่านั้น เสมือนว่าเขาได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปและอยู่เป็นนิรันดร์ในโลกนี้ ซึ่งเขากำลังเมามายจากสายลมแห่งความหลงระเริง ทั้งๆ ที่เขาก็รู้

แต่กลับไม่ยอมรับความจริงว่า ผู้ที่ไม่ตายและจะไม่มีวันตายมีเพียงอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เท่านั้น

พวกเขาใช้ชีวติอย่งไร้เป้าหมายอันเป็นผลมาจากการหลงลืมความตายนั่นเอง ไม่เคยคิดที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้น เขามีชีวิตอย่างเข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อย ไม่ว่าจะจมปลักอยู่ในความชั่วสักเพียงใด

การดำเนินชีวิตของเขากับการมีชีวิตของสรรพสัตว์หาได้แตกต่างกันไม่ รูปแบบการดำเนินชีวิตของพวกเขากับวิถีชีวิตของผู้ถูกเลือกสรรจากพระผู้เป็นเจ้าช่างแตกต่างกันเหลือเกิน

ท่านรอซูลุลอฮ์ (ศ) กล่าวว่า

“จงรำลึกถึงความตายให้มากเพราะมันจะปลดเปลื้องบาปทั้งหลาย และลดความหลงใหลในดุนยาซึ่งไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการยกระดับจิตวิญญาณให้สูงส่งขึ้น”

มีคนกลุ่มหนึ่งปฏิบัติตามคำสั่งของอิมามผู้นำศาสนา รำลึกถึงความตายทุกขณะจิต ไม่ว่าสภาพการใดที่เขาประสบเขาก็จะใช้ประโยชน์เพื่อวันแห่งการฟื้นขึ้นมา ดุนยาของพวกเขาคือดุนยาที่เป็นสนามทดสอบของโลกหน้า

 ความพยายามทั้งมวลที่เขาได้กระทำไป ไม่ใช่เพื่อแสวงหาประโยชน์ และความสุขส่วนตัว ดุนยาในทัศนะของเขาใช่ว่าจะมีคุณค่ามากมาย อะไรนักจนถึงขนาดต้องไขว่คว้าให้ได้มาด้วยการเกลือกกลั้วกับความชั่ว

แต่ด้วยกับจิตวิญญาณอันสูงส่งเขาได้ทำงานแสวงหาปัจจัยยังชีพและช่วยเหลือสังคม จนกระทั่งเขาได้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์จากการดำเนินชีวิตในโลกนี้เพื่อการใช้ชีวิตในโลกหน้า

พวกเขาไม่เคยกลัวความตาย ตัวอย่าง อันเด่นชัดที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะลี(อ) เมื่อตอนที่ท่าน(อฺ) ถูกดาบฟันกลางศีรษะ ประโยคแรกของท่าน(อ) ที่กล่าวออกมาคือ “ฟุซตุวะร็อบบิลกะอ์บะฮ์” ซึ่งมี

ความหมายว่า “ขอสาบานต่อพระผู้อภิบาลแห่งกะอ์บะฮ์ ฉันได้รับชัยชนะแล้ว”

ใช่แล้ว การได้ออกจากความยุ่งยากสับสนของโลกนี้และเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ของโลกที่ไม่ดับสลายเป็นชัยชนะ สำหรับผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างสะอาดตามวิถีทางของท่านอิมามอะลี(อ) ในโลกแห่งความยุ่งยากนี้ เขาจะหมกมุ่น

อยู่กับการทำให้จิตวิญญาณและความคิดสูงส่งขึ้น หมั่นเพียรอยู่กับการ

อิบาดะฮ์และรับใช้สังคม

มีคนถามท่านอะบูซัร(ร.ฎ.) ว่า

“ทำไมเราต้องกลัวความตายด้วย”

ท่านตอบว่า

 “พวกท่านสร้างภาพความอุดมสมบูรณ์ให้กับดุนยาของพวกท่าน และสร้างภาพอาคิเราะฮ์ว่าเป็นสถานที่ไร้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์และถูกทำลาย ดังนั้น พวกท่านจึงไม่ต้องการที่จะออกจากความอุดมสมบูรณ์ไปยังสถานที่ที่ถูกทำลาย”

ท่านศาสดา(ศ) กล่าวว่า

“พวกท่านต้องการที่จะให้ทุกคนเข้าสวรรค์หรือเปล่า?”

ทั้งหมดตอบว่า

“ใช่”

ท่าน(ศ) จึงกล่าวต่อไปว่า

“ก็จงตัดทอนความปรารถนาทั้งปวงลง คิดถึงความตายให้มาก จงละอายต่อพระผู้เป็นเจ้า ในที่สุดต้องละอาย”

การเตือนตัวเองเมื่อได้ยินข่าวการตายของคนอื่น อีกทั้งการไปเยี่ยมเยียนสุสานของมุอ์มินมีผลอย่างมากต่อการรำลึกถึงความตาย

สรวงสวรรค์

“สวรรค์” คือ ที่อยู่อันถาวรซึ่งพระผู้อภิบาลได้มอบมันให้เป็นรางวัลสำหรับผู้ประพฤติดีมีคุณธรรม ณ ที่นั้นทั้งหมดคือความโปรดปรานและสื่อที่ใช้สร้างความสุขสรรหรรษา ไม่ว่าสิ่งใดที่ผู้อยู่ในนั้นต้องการ มันก็เกิดขึ้นโดยบัดดลเป็นไปตามความปรารถนาของเขา

ในสรวงสวรรค์ ความรู้สึกอิจฉา คิดร้ายต่อกัน ความเป็นศัตรูกันจะไม่เกิดขึ้นเป็นอันขาด ทั้งหมดเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง ไม่มีใครเป็นอันตรายต่อกันและกัน

อัลกุรอาน ได้กล่าวสภาพของสวรรค์ไว้ดังนี้ :

“พวกเขาคือกลุ่มชนที่มีฐานะอันใกล้ชิดยิ่ง (กับพระผู้อภิบาล) อยู่ในสวรรค์อันบรมสุข (พวกเขา) ส่วนมากเป็นชนรุ่นก่อน และส่วนน้อยที่เป็นชนรุ่นหลัง พวกเขาอยู่บนที่นั่งอันประดับประดาไปด้วยอัญมณี เอนกายสนทนาซึ่งกันและกัน มีหน้าตางดงามและเป็นอมตะ มีผู้ที่คอยวนเวียนรับใช้พวกเขา พร้อมกับถ้วยคนโทน้ำและถ้วยที่มากธารน้ำ (เปี่ยมไปด้วยน้ำใสบริสุทธิ์) จะไม่รู้สึกเวียนหัวและมึนชา (เนื่องจากดิ่มน้ำนั้น) มีผลไม้นานาชนิดตามแต่ใจปรารถนาเลือกสรร มีเนื้อทุกชนิดที่เขาต้องการ มีนางฟ้า(คอยปรนนิบัติ) ที่ประดุจดังไข่มุกที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เป็นการตอบแทนสิ่งที่พวกเขาได้ประพฤติไว้ ในนั้นพวกเขาจะไม่ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมไร้สาระหรือเสียงที่นำพาต่อการทำบาปโดยเด็ดขาด นอกจากเสียง

 “ซะลามัน ซะลามัน (ที่แสดงความยินดีต่อกัน)” (บทอัล – วากิอะฮฺ : 11-26)

“(ณ ที่นั้น) บางกลุ่ม(มุอ์มิน)พูดคุยถามไถ่กับอีกกลุ่มหนึ่ง(เพื่อนชาวสวรรค์)หนึ่งในจำนวนนั้นพูดขึ้นว่า

ข้าพเจ้าเคยมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง (ในดุนยา) เขามักจะพูดกับข้าพเจ้าว่า ท่านเป็นหนึ่งในผู้ที่กล่าวยืนยัน (สัญญาเรื่องสวรรค์และกิยามะฮ์) ใช่ไหม? เราตายไปกลายเป็นผงธุลีและเหลือแต่กระดูก แล้วเราจะพบกับการถูกสอบสวนอีกหรือ ? เขา(มุอ์มินผู้นี้กล่าวกับมุอ์มินอีกคนหนึ่ง)ว่าพวกท่านอยากรู้จัก(เพื่อนคนนี้)ไหม แล้วเขาก็มองไปเห็น(เพื่อน) คนนั้นกำลังอยู่ในนรก เขาจึงกล่าวขึ้นว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ เจ้าเกือบทำให้ข้าประสบความหายนะ (เช่นเจ้า) หากปราศจากซึ่งความโปรดปรานของพระผู้อภิบาลของข้า ข้าก็คงต้องอยู่ร่วมเผชิญกับเจ้า (ถูกลงทัณฑ์)

พวกเราจะไม่ตายอีกแล้วนอกจากการตายครั้งแรก และเราก็ไม่ต้องได้รับโทษทัณฑ์ มิใช่หรือ? (ชาวสวรรค์อ้างคำพูดของชาวนรกที่เคยพูดกับพวกเขาไว้) นี่คือ (ความบรมสุข) เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่เพื่อรับผลตอบแทนเช่นนี้

ดังนั้นผู้มีหน้าที่ต้องปฏิบัติก็จงทำกันต่อไป” (บทอัศ – ศอฟฟาต : 50-61)

นรก

“นรก” เป็นสถานที่อยู่ของผู้ปฏิเสธและประพฤติชั่ว การลงทัณฑ์และความเจ็บปวดที่จะได้รับในนั้นไม่อาจเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดในดุนยานี้ได้

อัลลอฮ์(ซ.บ.) ได้พรรณนาถึงความกลัวของมันไว้ว่า :

“แน่นอนยิ่ง ผู้ปฏิเสธต่อสัญญาณทั้งหลายของเรานั้น เราจะโยนพวกเขาลงไปในกองเพลิงนรกในไม่ช้านี้ ทุกครั้งที่ผิวหนังของพวกเขาไหม้เกรียม เราก็จะเปลี่ยนผิวหนังใหม่ให้พวกเขา เพื่อให้พวกเขาได้ลิ้มรสการลงโทษทัณฑ์ อัลลอฮ์ ทรงเป็นผู้เด็ดขาด ทรงเปี่ยมล้นด้วยวิทยปัญญา”

 (บทอัน – นิซาอ์ : 56)

“...ส่วนผู้ปฏิเสธนั้น เสื้อผ้าที่ทำจากไฟนรกถูกตัดเตรียมไว้สำหรับพวกเขา ฮะมีม (น้ำอันเดือดพล่านจากไฟนรก) จะถูกราดลงบนศรีษะของพวกเขา จนสิ่งที่อยู่ในท้องและผิวหนังของพวกเขาจะถูกละลายด้ยน้ำนั้น มีท่อนเหล็กอยู่บนหัวพวกเขา ทุกครั้งที่พวกเขาตั้งใจที่จะออกมาจากไฟนรกนั้น พวกเขาก็จะถูกนำตัวกักขังไปและลิ้มรสการลงทัณฑ์จากไฟนรกอีก”

(บทอัล – ฮัจญ์ : 19-22)

“ผู้ที่อยู่ในไฟนรกพูดกับผู้คุมนรกว่า โปรดวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของพวกท่านได้โปรดผ่อนผันเราจากการลงโทษสักหนึ่งวัน พวกเขา(ผู้คุม) กล่าวว่า ก็พวกเจ้ามิใชหรือที่ศาสนทูตของพวกเจ้าได้นำหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเจ้าแล้ว พวกเขา(ผู้อยู่ในไฟนรก) ตอบว่าใ ช่แล้ว พวกเขา(ผู้คุม) จึงกล่าวขึ้นว่า ก็จงร้องเรียกไปซิ

การร้องเรียกของผู้ปฏิเสธย่อมอยู่ในความมืดมิด (ไม่ได้รับการตอบสนอง)” (บทฆอฟิร: 49-50)

“อันที่จริง นรกญะฮันนัมนั้นเป็นที่หมาย(ของผู้ปฏิเสธและประพฤติชั่ว) เป็นที่คืนกลับ สำหรับผู้ละเมิด พวกเขาต้องพำนักอยู่ในนั้นนานเท่านาน” (บทอัน – นะบะ: 21-23)

“ความหายนะจะประสบกับผู้ที่นินทาให้ร้าย ผู้ที่สะสมทรัพย์สมบัติและนับมันอยู่เสมอ พวกเขาคิดว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นทำให้เขาอยู่ชั่วนิรันดร์ ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้นแน่ เขาจะถูกโยนไปในฮุฏอมะฮฺ(ไฟนรก) อะไรเล่าที่จะทำให้เจ้ารู้ว่าฮุฏอมะฮฺ คืออะไร? มันคือไฟนรกของอัลลอฮ์ที่ได้ถูกจุดขึ้น ซึ่งลุกโชนอยู่ในหัวใจทั้งหลาย (ของผู้ปฏิเสธและประพฤติชั่ว)”

 (บทอัล – ฮุมะซะฮ์ : 1-7)

ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะลี(อ) กล่าวว่า

“จงรับรู้ไว้เถิดว่า หนังอันแสนบอบบางของร่างกายของพวกท่านไม่อาจทนต่อไฟนรกได้ ดังนั้นก็จงสงสารตัวเอง พวกท่านได้ทดสอบตัวเองแล้วในความระทมทุกข์ของดุนยาและรับรู้ถึงการไร้ความสามารถของตัวเอง

พวกท่านได้เห็นแล้วว่า เมื่อคมมีดได้กรีดลงไปบนเนื้อของท่าน หรือเลือดไหลไม่หยุดที่เท้าทั้งสอยของพวกท่าน หรือพื้นดินอันร้อนระอุได้แผดเผาร่างของพวกท่าน ท่านหมดเรี่ยวแรงอย่างไร ? แล้วจะเป็นอย่างไร

เมื่อพวกท่านอยู่ระหว่างกลางนรก 2 ขุมในสภาพที่รายล้อมไปด้วยหินนรกและชัยฎอน โอ้บ่าวที่ดีของอัลลอฮ์  จงรำลึกถึงอัลลอฮ์ไว้ให้มาก ในตอนที่มีสุขภาพดีก่อนที่จะเจ็บป่วย ในตอนที่สะดวกสบายก่อนที่จะคับแค้น ดังนั้นจงเพียรพยายามให้รอดพ้นจากไฟนรก ก่อนที่จะไม่มีทางรอดเลยในแนวทางของอัลลอฮ์