พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม8%

พื้นฐานอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา

พื้นฐานอิสลาม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 354 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 28842 / ดาวน์โหลด: 5718
ขนาด ขนาด ขนาด
พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

เขายังได้กล่าวในเรื่อกำมะถันว่า :

“ถ้าเราทำการเผากำมะถัน “ฟลอจิสตอน” ก็จะออกมา

ส่วนก๊าซไร้สีซึ่งความจริง ก็คือ กำมะถันที่ไม่มี“ฟลอจิสตอน” คงอยู่”

รูเอล นักเคมี และครูของ ลาวัวซิเย ก็ยอมรับทัศนะดังกล่าวด้วย เขาได้พยายามทำการพิสูจน์ให้เห็นเป็นจริง

ลาวัวซิเย นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ผู้วางรากฐานวิชาเคมีสมัยใหม่คนหนึ่งได้ทำการศึกษาคำกล่าวของครูตัวเองคือ รูเอล และนักวิทยาศาสตร์สมัยก่อน เขาได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียดแล้วก็พบว่า ความเชื่อในเรื่อง “ฟลอจิสตอน” นั้นไม่มีมูลเลย

ในปี ค.ศ. ๑๗๗๒ เขาได้นำเอาตะกั่วสีน้ำเงินชิ้นหนึ่งเผาด้วยแสงอาทิตย์ (ซึ่งอาศัยเมล็ดถั่วเขียวในการรวมแสง) เขาได้สังเกตว่าน้ำหนักของมันเพิ่มขึ้น เขาบอกกับตัวเองว่า อากาศถูกรวมเข้ามาในโลหะนั้น ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ถ้าหากมี “ฟลอจิสตอน” อยู่จริง นํ้าหนักก็น่าจะลดลง (เพราะได้ระเหิดออกมา) ดังนั้นเขาจึงลบล้างทฤษฏี “ฟลอจิสตอน” ทิ้ง

เขาได้ตอกย้ำทัศนะของเขาว่า : หากเราเอาตะกั่วที่ถูกเผาไฟแล้ว ให้ความร้อนเข้าไป มันจะปล่อยอากาศที่ถูกดูดเข้าไปในตอนแรกออกมา และกลับกลายเป็นตะกั่วอีกครั้งหนึ่ง

เช่นเดียวกันในปี ค.ศ. ๑๗๗๖ เขาได้วางหลอดไฟไว้ใต้ถาดใบหนึ่งที่มีปรอทอยู่เต็ม แล้วให้ความร้อน

เป็นเวลา ๑๒ วัน ไม่นานนักก็มีแผ่นสีแดงปกคลุมอยู่บนแผ่นหน้าปรอทนั้น

ลาวัวซิเย ค้นพบว่า : อากาศที่อยู่ในจานไม่อาจถ่ายเทได้ เขาพูดกับตัวเองว่า อากาศในจานจะต้องเข้าไปรวมอยู่กับปรอทอย่างแน่นอน ซึ่งทำให้เกิดแผ่นบาง ๆ สีแดงนั่นเอง เพื่อสนับสนุนคำพูดของตัวเอง

เขาได้แยกแผ่นบาง ๆ สีแดงออก และให้ความร้อนแกมันเขาเห็นว่า

 ก๊าซได้พวยพุ่งออกมาจากมันซึ่งถ่ายเทได้

ในที่สุดเขาก็ได้บทสรุปว่า เมื่อเวลาเผาปรอทนั้น จะไม่มีอะไรออกมาจากมัน แต่ในอากาศมีก๊าซอยู่ชนิดหนึ่งที่เข้าไปรวมตัวกับปรอทแล้วผลิตออกไซด์ของปรอทออกมา เขาได้ตั้งชื่อก๊าซชนิดนี้ว่า “ออกซิเจน”

ลาวัวซิเย แสดงทัศนะอย่างตรงไปตรงมาว่า เรื่อง “ฟลอจิสตอน” ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด และยังเพิ่มเติมโดยกล่าวถึงผลทางเคมีว่า น้ำหนักรวมของสิ่งหนึ่งที่ใช้ในการทดลองจะต้องเท่ากับน้ำหนักของสารเคมีที่ได้มาเสมอ หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ (ไม่มีสิ่งใดขาดหายไป และก็ไม่มีสิ่งใดเพิ่มเข้ามา) หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ

(ไม่มีสิ่งใดขาดหายไป และก็ไม่มีสิ่งใดเพิ่มเข้ามา)

จากเหตุผลดังกล่าวที่ทัศนะเรื่อง “ฟลอจิสตอน” ก็ถูกลบบ้างไป และในปัจจุบัน เราก็รับรู้ว่า การลุกไหม้ของไฟ และน้ำมันเกิดขึ้นเพราะเกิดการสันดาปกับออกซิเจนนั่นเอง ไม่ใช่ว่ามีสสารอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็นในรูปของเปลวไฟออกมาจากมัน

อย่างไรก็ตาม ตลอดประวัติศาสตร์ของทฤษฎี “ฟลอจิสตอน” และทัศนะของ ลาวัวซิเย นั้นทำให้กระจ่างว่า เป้าหมายของ ลาวัวซิเย ที่พูดประโยคดังกล่าว (ไม่มีสิ่งใดที่ขาดหายไป และก็ไม่มีสิ่งใดเพิ่มเข้ามา) ก็

คือในการรับและแสดงผลทางเคมีจะไม่มีสิ่งใดหายไป และไม่มีสิ่งใดเพิ่มเข้ามา แต่จากทัศนะดังกล่าวไม่มีแนวคิดเรื่องปฐมเหตุแห่งการกำเนิดของสรรพสิ่ง และการสร้าง ซึ่งเป็นปัญหาทางปรัชญาเลย!

แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า มีบางคนคิดว่า ลาวัวซิเย ต้องการจะกล่าวเรื่องราวเกี่ยวกับปรัชญา ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า ปัญหาเรื่องการกำเนิด และการสร้างไม่สัมพันธ์กันกับ “กฎลาวัวซิเย” เพราะ ลาวัวซิเย กล่าวว่า

ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น และไม่มีสิ่งใดหายไป แล้วเป็นไปได้อย่างไรว่า สิ่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นมา ?

ขณะที่เราได้สนใจถึงที่มาของทฤษฎี “ฟลอจิสตอน”

 และ “กฎลาวัวซิเย” จะต้องเข้าใจด้วยว่า ทัศนะของลาวัวซิเย นั้นกล่าวแต่เพียงเรื่องของผลทางเคมีซึ่งมีอยู่ในโลกนี้เท่านั้น หมายความว่า กฎเกณฑ์ของโลกนี้ ก็คือ

ไม่มีสิ่งใดที่อยู่ในโลกจะหายไป และหรือเพิ่มเติมขึ้น แต่โลกนี้ถูกสร้างขึ้นมา หรือมันมีอยู่ก่อนแล้ว เป็นอีกปัญหาหนึ่ง คือ ปัญหาทางด้านปรัชญาซึ่ง “กฎลาวัวซิเย” ไม่เกี่ยวข้องกับมันเลย

ดังนั้นความเชื่อที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สร้างโลกกับ “กฎลาวัวซิเย” จึงไม่มีความแตกต่างอันใดทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้ เมื่อคนใดก็ตามรับทฤษฎีวิชาการใด หรือทัศนะของนักวิทยาศาสตร์คนใดมาจะต้องพิจารณาดูอย่างละเอียดลึกซึ้งในคำพูดเหล่านั้น พูดคุยกับผู้ที่รู้ซึ้งในทฤษฎีดังกล่าวเพื่อที่ว่าความจริงจะได้ปรากฏ เพราะบางทีความมักง่ายอาจทำให้เกิดคำถาม และสร้างปัญหาสงสัยต่อแนวความเชื่อของตัวเองได้

ไม่เพียงเท่านั้น เราไม่ควรที่จะด่วนสรุปต่อทฤษฎีใดๆ อย่างง่ายๆ

และคิดว่า มันคือความเป็นจริงตามหลักวิชาการที่ถูกตรวจสอบแล้ว

มีทัศนะมากมายที่นักวิชาการจำนวนมากสนับสนุนมันเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ ในที่สุดก็ล้มครืนลงมา และไม่เหลือร่องรอยใดเลย ตัวอย่างของมันก็คือ “ทฤษฎีฟลอจิสตอน” ซึ่งได้อ่านที่มาของมันไปแล้วแม้กระทั่ง

 “กฎลาวัวซิเย” เองก็ตาม ปัจจุบันก็ได้ถูกลบล้างไปแล้ว กลายเป็นกฎใหม่ว่า “กฎแห่งการคงอยู่ของวัตถุและพลังงาน” ก็คือ ถ้าเราเอาออกซิเจน ๘ กรัม ผสมกับไฮโดรเจน ๑ กรัม ตาม “กฎลาวัวซิเย”

เราต้องได้น้ำจำนวน ๙ กรัม แต่ปัจจุบันด้วยการตรวจสอบอย่างละเอียด กลับค้นพบว่ามี สิ่งหนึ่งออกมา แล้วได้กลายรูปเป็นพลังงาน และได้น้ำออกมาจำนวนน้อยกว่า ๙ กรัม

บทที่ ๗

เราต้องพึ่งพิงยังพระผู้เป็นเจ้าทุกขณะจิต

นักประดิษฐ์ (หมายถึงมนุษย์ทั่วไป) กับพระผู้สร้างแตกต่างกันอย่างไร ? โปรดพิจารณาตัวอย่างข้างล่างนี้ให้ดี แล้วดูว่า สิ่งถูกสร้างในโลกนี้นั้นมีความต้องการขนาดไหนต่อผู้สร้างตัวเอง :

ก. ผู้สร้าง หรือนักประดิษฐ์เครื่องบิน เขาจะต้องประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่อง และน็อตทุกตัวเข้าด้วยกัน ด้วยเครื่องมือที่พิเศษเฉพาะ และคำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบิน บรรทุกสิ่งของและผู้โดยสาร

จริงๆ แล้ว งานของนักประดิษฐ์เครื่องบิน ก็คือการเคลื่อนไหวมือของเขานั่นเอง อันเป็นตัวก่อให้เกิดคุณูปการ และสิ่งจำเป็นมากมาย ด้วยเงื่อนไขและกฎเกณฑ์อันจำเพาะสำหรับมันในรูปแบบและความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไป โดยที่หากงานสิ้นสุดลง การเคลื่อนไหวก็ย่อมหยุดลงด้วยเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าโลหะทุกชิ้น

เครื่องยนต์ทุกตัว ดวงไฟ และเก้าอี้ของเครื่องบินซึ่งเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวของมือของนักประดิษฐ์

เช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้กำเนิดมาจากตัวของนักประดิษฐ์เอง

และไม่เกี่ยวข้องกันด้วย

ข. เราต้องการจะสร้างบ้านขึ้นมาสักหนึ่งหลัง มีวัสดุก่อสร้างทุกกอย่างพร้อมแล้วเรายังต้องการอะไรอีก ? ต้องการคนงาน กรรมกรในแง่ที่ว่าเป็นผู้สร้างวัสดุก่อสร้าง หรือทำหน้าที่ผสมวัสดุที่มีอยู่เข้าด้วยกันเท่านั้น ?

เป็นที่กระจ่างชัดว่าในการทำวัสดุก่อสร้างนั้นไม่มีความจำเป็นต้องใช้คนงานหรือกรรมกรเลย เราต้องการบุคคลพวกนี้ในตอนเคลื่อนย้าย และประกอบวัสดุเหล่านี้ เพื่อที่ว่าเมื่อทุกอย่างลงตัวบ้านหลังหนึ่งก็จะเกิดขึ้นมาตามที่เราต้องการ

ค. ชายคนหนึ่งไม่เคยเห็น “หอไอเฟิล” มาก่อน เมื่อเขาได้ยินการบอกเล่าถึงลักษณะเด่นของมัน ในชั่วพริบตาเขาก็สามารถจินตนาการถึงมันได้ ถึงขนาดที่สร้าง (ในความคิด) ให้มันใหญ่กว่าเดิมได้ และเขาสามารถที่จะคาดคำนวณถึงกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่กำลังปีนขึ้นไปบนหอไอเฟิลอันสูงใหญ่นั้น

การบังเกิดขึ้นของหอสูงตามจินตนาการนี้นั้นแตกต่างจากสองตัวอย่างที่กล่าวมา คือในสองตัวอย่างแรกนั้น ถึงแม้ว่าบุคคลหนึ่งจินตนาการมันอยู่ในความนึกคิดของเขาก็จริง แต่วัสดุที่ใช้สร้างเครื่องบินและก่อสร้าง

บ้านไม่ได้มาจากตัวของผู้สร้างและประดิษฐ์สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ส่วนในตัวอย่างสุดท้ายวัสดุก่อสร้างและอาคารของหอสูงตามจินตนาการนี้

ออกมาจากความนึกคิดของคนๆ นั้นไม่ได้มาจากที่อื่นหรือสิ่งอื่นเลย ด้วยเหตุนี้เอง ที่สิ่งถูกสร้างตามจินตนาการจะไม่สามารถเข้ากันได้ หรือเหมือนกับสิ่งถูกสร้างจริงได้เลย มันนั้นจะกว้างขวางใหญ่โตได้เท่ากับความคิดที่ผู้จินตนาการต้องการให้มันเป็น

ดังนั้นรูปภาพจินตนาการทั้งหมดก่อกำเนิดมาจากตัวของเรา มันจะยังคงอยู่และปรากฏในความนึกคิดของเรา ตราบเท่าที่เราต้องการให้มันมีอยู่ เมื่อไรก็ตามที่เลิกคิดจากมัน มันก็อันตรธานและสูญหายไปจากความคิดของเราทันที

จากตัวอย่างสุดท้าย เราจะได้รับบทสรุปว่า :

ทุกสิ่งที่การมีอยู่ของมันมาจากบุคคลอื่นหรือสิ่งอื่น มันนั้นจะไม่เป็นเอกเทศ ยังคงมีความต้องการ และพึ่งพาสิ่งนั้นอยู่ทุกขณะจิต

ถึงตอนนี้คงจะเห็นแล้วว่า สรรพสิ่งทั้งมวลในโลกนี้ถือกำเนิดมาจาก “ความไม่มี” ดังนั้นการมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้มาจากพระผู้เป็นเจ้ามิใช่หรือ?

ทุกสรรพสิ่งมีความต้องการ และพึ่งพิงพระผู้สร้างของตัวเองอยู่ตลอดเวลา

มีบางคนอาจคิดว่า : สรรพสิ่งต่างๆ ในโลกนี้หลังจากถูกบังเกิดแล้ว ไม่มีความต้องการต่อพระผู้สร้างในการดำรงชีวิตของตัวเองแต่อย่างใด !

การมีความคิดอย่างนี้ผิดอย่างแน่นอน เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นสิ่งถูกสร้างของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น

 เหมือนกับภาพแห่งจินตนาการต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลผลิตทางความคิดของเราเอง ทุกๆ ช่วงจังหวะแห่งการคงอยู่ การดำรงชีวิตของสิ่งนั้น มีความต้องการผู้สร้าง หรือปั้นแต่งมันขึ้นมา

เพื่อทำให้กระจ่างในหัวข้อนี้ ท่านจงสร้างหุ่นจำลองมาตัวหนึ่งให้เดิน พูดและทำงานด้วยตัวของมันเอง

หุ่นจำลองตัวนี้มีความเป็นเอกเทศในการดำรงอยู่ด้วยตัวเองหรือไม่ ?

แน่นอนเหลือเกินว่า การมีอยู่ของมันขึ้นอยู่กับท่าน โดยหากท่านไม่ต้องการให้มันมี มันก็จะสูญหายไป

เช่นเดียวกับที่สิ่งถูกสร้างทั้งมวลในโลกนี้นั้นทั้งหมดมาจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งถูกสร้างของพระองค์

มันไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย ยังคงต้องการพึ่งพิงยังพระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา เป็นช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงประสงค์ แล้วมันก็จะตายและสูญหายไปทันที การดำรงชีวิตของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงยิ่งใหญ่

อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ตรัสในอัลกุรอานว่า:

“โอ้มวลมนุษย์ทั้งหลาย สูเจ้าต้องพึ่งพาอัลลอฮฺตลอดเวลา ส่วนอัลลอฮ์นั้น พระองค์ไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด อีกทั้งทรงได้รับการสรรเสริญ หากพระองค์ต้องการทำลายพวกสูเจ้า และบังเกิดสิ่งถูกสร้างใหม่ (ก็สามารถทำได้)”

ในเรื่องนี้มันเป็นสัจธรรม อิสลามได้ย้ำเตือนผู้ปฎิบัติตาม (มุสลิม) อยู่เสมอ ดังคำกล่าวที่ว่า : เมื่อพวกเจ้าลุกขึ้นในการนมาซ (เพื่อทำร่อกะอะฮฺต่อไป) ก็จงกล่าวว่า “บิเฮาลิลลาฮฺ วะกูวะติฮี อะกูมุวะอักอุด” ซึ่งแปลว่า

“ด้วยกับอำนาจและพลานุภาพของอัลลอฮฺ ที่ (ทำให้) ข้าพระองค์ลุกขึ้นและนั่งลง”

มั่นใจได้เลย หากท่านเข้าใจว่า ต่อหน้าพระพักตร์ของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) เราไม่มีเอกสิทธิ์เป็นของตัวเอง

พระองค์เท่านั้นที่ทรงสิทธิ์ในตัวของเรา มีอำนาจในการให้บังเกิดและทำลายได้ เมื่อนั้นเราก็จะพากเพียรสู่แนวทางที่ทำให้เราได้รับความผาสุกและปลอดภัย

พระองค์เท่านั้นที่ความเมตตาและเอื้ออารีของพระองค์แผ่ไพศาลเหนือตัวของพวกเราทุกคน

ไม่มีทางเลือกใดนอกจากต้องก้มกราบต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์สรรเสริญพระองค์ ด้วยถ้อยคำที่ว่า

“ซุบฮานะร็อบบิยัลอะอฺลา วะบิฮัมดิฮี”

 (มหาบริสุทธิ์ยิ่ง และการสรรเสริญทั้งมวลเป็นเอกสิทธิ์ของพระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ผู้ทรงสูงส่งยิ่ง)

บทที่ ๘

พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงพึ่งพาผู้ใด

กฎเกณฑ์หนึ่งที่ตายตัวและได้รับการพิสูจน์แล้ว

โลกที่เรามองเห็น คือโลกที่เป็นวัตถุธาตุประกอบขึ้นมาจากอณูเล็ก ๆ สรรพสิ่งในโลกนี้ทั้งหมดล้วนมีที่อยู่ และมีคุณลักษณะพิเศษของมัน

จากสาเหตุดังกล่าว การกระทำ การตอบสนอง และผลแห่งการกระทำของสิ่งเหล่านี้จึงไม่อาจก่อให้เกิดผลในทุกที่หรือในทุกสถานการณ์ที่เหมือนกันได้ การใกล้ – ไกลของผลแห่งการกระทำ หรือการได้รับปฏิกิริยา

จากสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็มีผลต่อมันทั้งสิ้น หากเราเข้าใกล้สิ่งใดมากยิ่งขึ้น

ผลของมันที่มีต่อเราก็จะมีมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกัน ถ้าเราอยู่ไกลจากสิ่งใด ผลของมันที่มีต่อเราย่อมน้อยลงเป็นธรรมดา จนกระทั่งไปสิ้นสุด ณ ที่แห่งหนึ่งที่จะไม่แสดงผลต่อเราเลย เพราะไกลจากเราเกินไป

เพื่อให้หัวข้อที่เราได้กล่าวไปกระจ่างยิ่งขึ้น ขอให้พิจารณาตัวอย่างดังต่อไปนี้

(๑) พลังดึงดูดของแม่เหล็กในระหว่างสิ่งต่าง ๆ มีไม่เท่ากัน เหล็กถ้าอยู่ใกล้กับแม่เหล็กมากเท่าใด มันจะถูกดึงดูดมากเท่านั้น เช่น ถ้าเราเอาตะปูตะหนึ่งวางห่างจากแม่เหล็ก ๒ ซม. และอีกตัวหนึ่งว่าห่าง ๑๐ ซม. เราจะพบว่า แรงดึงดูดของตัวแรกมีมากกว่าตัวที่สอง

(๒)  ความร้อนของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องบนผิวดาวศุกร์ จะไม่เท่ากับความร้อนของมันบนผิวโลก เพราะดาวศุกร์อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากว่า จึงรับพลังความร้อนได้มากกว่าโลกซึ่งอยู่ไกลจาดดวงอาทิตย์มากกว่า

(๓)  แสงจากโคมไฟถึงแม้จะส่งสว่างไปได้ไกลถึง ๑๐๐ เมตรก็ตาม แต่ความสว่างตลอดระยะทางมีไม่เท่ากัน ระยะทางยิ่งใกล้โคมไฟมากเท่าไรก็จะสว่างกว่าที่ไกลออกไป

(๔)   เสียงของนักบรรยายอาจจะได้ยินไกลถึง ๕๐ เมตร แต่อัตราการได้ยินตลอดเส้นทาง ๕๐ เมตรนั้นก็หาได้เท่ากันไม่ ใครที่อยู่ใกล้ตัวผู้พูดนักบรรยายมากเท่าใด เขาก็จะได้ยินเสียงได้ถนัด และชัดเจนกว่าผู้ที่อยู่ไกลออกไป

หัวหน้าคนหนึ่งตั้งใจที่จะปฏิบัติงานขึ้นมาชิ้นหนึ่งเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง หากเขาไม่อาศัยคนรอบข้าง และเครื่องมือต่างๆ เขาก็ไม่สามารถสร้างอิทธิพล และมีอำนาจเหนือบุคคลที่อยู่ไกลจากตัวเขาออกไปได้เลย ในทางกลับกันถ้าเขาใช้ประโยชน์จากบุคคลรอบข้าง และเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย ทุกๆ ที่ซึ่งคนอื่นก้าวไปถึง เขาก็สามารถสร้างอิทธิพลได้เหมือนกัน อันที่จริงการแผ่ขยายอิทธิพลนั้นไม่ใช่การกระทำของตัวเขาเอง แต่ในความเป็นจริง มันคือกำลังอำนาจของผู้จงรักภักดีเขาต่างหากซึ่งเป็นไปตามความต้องการและความปรารถนาของตัวเขาเอง

อย่างไรก็ตามในการแผ่อิทธิพลนั้น ความสนิทสนม และความห่างไกลของผู้จงรักภักดีของเขาที่มีต่อตัวเขา ก็ใช่ว่าจะเหมือนกันหมด มีความแตกต่างกันตามความรู้สึกอยู่มากทีเดียว

ตัวอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้ประเด็นที่วางไว้กระจ่างขึ้นว่า

ทุกสรรพสิ่งที่มีตัวตน ผลของมันที่บังเกิดขึ้นกับสิ่งหนึ่งในทุกๆ ย่อมจะไม่เท่ากัน กล่าวคืออะไรที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางมากเท่าใด มันก็ย่อมจะได้รับ

ปฏิกิริยามากกว่าสิ่งที่อยู่ไกลออกไป

พระผู้เป็นเจ้ามีศูนย์กลางด้วยหรือ?

บางคนอาจจะเดาว่า: พระผู้เป็นเจ้ามีสถานที่อยู่ เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์สรรพสิ่งทั้งหลาย ประทับอยู่เหนือฟากฟ้าชั้นสูงสุด ณ ที่นั้นพระองค์ใช้บังคับบัญชากิจการของสิ่งถูกสร้างทั้งมวล! แต่...ไม่ใช่เช่นนี้ เพราะระบบ

ของจักรวาลนี้เป็นผลจากการให้กำเนิดของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นๆ จะอยู่ ณ สถานที่ใด ห้วงมหาสมุทร หรือสุดยอดเขาที่สูงที่สุด ก็อยู่ภายใต้ระบบและกฎเกณฑ์อันนี้ด้วย ไม่มีที่ใดเลยในจักรวาลนี้ปราศจากซึ่งระบบดังกล่าวนั้น

ระบบดังกล่าว(ที่อยู่ภายใต้อำนาจของพระผู้เป็นเจ้า) ใช่ว่าจะต้องมีศูนย์กลางเสมอไป (พิจารณาจากพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า) หรือเป็นไปตามกฎที่ว่าสิ่งใดที่อยู่ไกลจากศูนย์กลาง ระบบและกฎเกณฑ์ดังกล่าวจะค่อยๆ จางหายไปในที่สุดก็จะไปถึงที่หนึ่ง ซึ่งปราศจากระบบอันนี้ ความสับสน ปั่นป่วนวุ่นวายก็จะบังเกิดขึ้น

ถ้าพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหมือนวัตถุธาตุทั้งหลาย แน่นอนเหลือเกินอำนาจของพระองค์จะต้องมีความแตกต่างออกไป

จากเหตุผลดังกล่าว ทำให้เราเข้าใจว่า ผู้สร้างโลกและจักรวาลนี้ไม่มีสถานที่ และศูนย์กลางใดๆ ทั้งสิ้น

หรืออีกนัยหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สร้างสถานที่ขึ้นมาย่อมเป็นไปไม่ได้เลยว่า ผู้สร้างและให้บังเกิดสิ่งหนึ่งต้องพึ่งพาต่อสิ่งที่สร้างขึ้นมา

พระผู้เป็นเจ้าไม่อาจเปรียบได้กับผู้สร้าง และนักประดิษฐ์ทั้งหลายเพราะเขาไม่ใช้ผู้สร้างสิ่งนั้นตัวจริง งานของพวกเขามีเพียงทำความเข้าใจคุณลักษณะพิเศษเฉพาะของสิ่งๆ นั้น แล้วพวกเขาก็ได้รับความสำเร็จในการนำมันมาผสมและประกอบกัน แล้วมอบงานประดิษฐ์ชิ้นนั้นของเขาแก่มวลมนุษย์

บางทีเขาก็ยังต้องพึ่งพาต่อสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาเอง แต่... พระผู้เป็นเจ้า ผู้สร้างทุกสรรพสิ่งไม่ต้องพึ่งพาต่อสิ่งถูกสร้างของพระองค์เลย

พระผู้เป็นเจ้าไม่อาจมองเห็นได้

เราได้รับรู้แล้วว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่มีสถานที่อยู่ ก็แสดงว่าพระองค์ไม่ใช่สสาร เพราะสสารต้องการที่อยู่

ไม่มีสสารตัวใดที่ไม่มีที่อยู่ ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่วัตถุสาร ดังนั้นจึงไม่อาจมองเห็นได้ เพราะดวงตานั้นจะมองเห็นเฉพาะสิ่งที่เป็นสสารและวัตถุเท่านั้น

พระผู้เป็นเจ้าไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น

เพราะพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สร้างอาหาร และปัจจัยยังชีพอื่นๆ ดังนั้น จำต้องกล่าวว่า พระองค์ไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น

พระผู้เป็นเจ้าคือความจริงแท้ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่มีความต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น พระองค์ไม่เหมือนกับมนุษย์ที่ต้องการที่อยู่ อาหาร

 และปัจจัยยังชีพอื่นๆ แต่มันทั้งหมดนั้นต้องพึ่งพา และอาศัยพระองค์ทั้งสิ้น

จนถึงขนาดนี้ บางท่านอาจจะถามว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่สสาร ไม่มีที่อยู่ ไม่อาจมองเห็นได้ แล้วพระองค์เป็นอะไร? เราจะกล่าวได้อย่างไรว่า พระองค์มีอยู่จริง? เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ โปรดพิจารณาตัวอย่างข้างล่าง

เราสามารถกล่าวได้ว่า

ไฟฟ้า ไม่ใช่ของแข็ง

ไฟฟ้า ไม่ใช่ของเหลว

ไฟฟ้า ไม่ใช่ก๊าซ

ท่านเห็นแล้วใช่ไหมว่า คำว่า “ไม่ใช่” นี้ไม่ขัดแย้งกับการมีอยู่ของไฟฟ้าเลย ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน

 ถ้าเราจะกล่าว่าไฟฟ้า ในเมื่อไม่ใช่ของแข็ง หรือของเหลวหรือก๊าซ ดังนั้นมันจึง “ไม่มีอยู่จริง” แต่เราจะต้องกล่าวว่า

ไฟฟ้ามีอยู่จริงแต่ไม่ใช่มีลักษณะที่ได้กล่าวไป (มีคุณลักษณะอย่างอื่น)

ถึงเวลาที่เรามาพิจารณาเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าบ้าง

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไม่พึ่งพาสิ่งใด ไม่ใช่สสาร

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไม่พึ่งพาสิ่งใด ไม่มีที่อยู่

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไม่พึ่งพาสิ่งใด มองไม่เห็น

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไม่พึ่งพาสิ่งใด ไม่ต้องการสิ่งใด

หมายความว่าไม่มีความไม่สมบูรณ์ใดๆ อยู่ในการมีอันสมบูรณ์ และไร้ขอบเขตของพระองค์ ซึ่งพระองค์

เป็นต้นกำเนิดของการมีอยู่ทั้งมวล พระองค์ทรงดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์ และไร้ซึ่งการพึ่งพิงสิ่งใด คุณลักษณะดังกล่าวนี้มีเฉพาะสำหรับพระองค์ เหนือว่าสิ่งถูกสร้างทั้งมวล

นี่คือ พระผู้เป็นเจ้าที่คู่ควรแก่การยึดมั่นและเชื่อมั่น

สติปัญญา และความรู้สึกอันดั่งเดิมของมนุษย์ยอมรับพระผู้เป็นเจ้าที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้ ไม่มีผู้มีปัญญาปรกติคนใดสามารถปฏิเสธการมีอยู่ของพระองค์ได้

 เมื่อเปรียบแนวความเชื่อดังกล่าวกับความเชื่อของกลุ่มชนที่เชื่อว่า

พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในสถานภาพเดียวกันกับมนุษย์ มีบุตร มีคุณสมบัติอื่นๆ เหมือนกับมนุษย์โดยทั่วไป ทำให้ความยิ่งใหญ่ ความมีเกียรติของศาสนาอิสลาม เหนือกว่าแนวความเชื่ออื่นใดทั้งมวล

เป็นความจริงที่อาจกล่าวได้ว่า ส่วนมากของนักวัตถุนิยมที่ปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง (ตามที่อิสลามบอก) ก็อันเนื่องจากพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงยังไม่ได้ถูกแนะนำแก่พวกเขา พระผู้เป็นเจ้าที่เขาได้ยิน คือพระผู้เป็นเจ้าจอมปลอมพระผู้เป็นเจ้าในคราบของมนุษย์และสิ่งถูกสร้างอื่น

บทที่ ๙

ความรู้ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ปราศจากแหล่งที่มาแต่มีอยู่ในทุกที่

ความรู้มากเท่าไร ผลผลิตทางความรู้ย่อมต้องมากขึ้น

เครื่องจักอันใหญ่โต และแข็งแกร่งที่ถูกใช้ในงานการสร้างทาง และงานที่สำคัญมากมายหลายประเภทนั้น คือ

พยานยืนยันถุงวิชาความรู้ของวิศวกร ผู้สร้างมันขึ้นมา จำเป็นต้องกล่าวว่า : ผู้ประดิษฐ์จะต้องรู้รายละเอียดของกฎเกณฑ์ทางด้านเครื่องกล ความสัมพันธ์ทางด้านกลศาสตร์ และฟิสิกส์เป็นอย่างดี

สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์แสดงให้เป็นความรอบรู้ ชาญฉลาด และปัญญาอันเฉียบแหลมของผู้ประดิษฐ์

และผู้สร้างนั้น สิ่งถูกสร้าง หรืออุปกรณ์ใดที่ละเอียด และซับซ้อนย่อมแสดงถึงความรู้ของผู้สร้าง ผู้ประดิษฐ์ว่ามีความสมบูรณ์ และเก่งกล้ามากขึ้นเท่านั้น

(เป็นที่กระจ่างชัดว่า ตามสามัญสำนึกของทุกคน แม้เพียงคาดการณ์ว่ายังมีโลกอื่นอีก เขาก็จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติภารกิจทางศาสนาของเขา เพื่อจะไม่ตกอยู่ในสภาพแห่งความหายนะ)

ชายคนนั้นถามขึ้นว่า

“แล้วพระผู้เป็นเจ้าที่ท่านเชื่อนั้นอยู่ที่ไหน และอยู่อย่างไรเล่า ?”

ท่านอิมาม(อ) ตอบว่า

“คำถามของเจ้าผิด พระผู้เป็นเจ้าไม่มีที่อยู่ ที่จะถูกตั้งคำถามว่าอยู่ที่ไหน พระองค์เป็นผู้สร้างที่อยู่ (ของทุกสรรพสิ่ง) พระองค์ไม่มีสภาพว่าเป็นอย่างไร จึงไม่อาจตั้งคำถามว่า พระองค์มีอย่างไร พระองค์เป็นผู้สร้างสภาพต่างๆ ขึ้นมาเอง ดังนั้นจึงไม่อาจรู้จักพระองค์ได้ด้ว ยแนวทางเหล่านั้น

พระผู้เป็นเจ้าไม่อาจรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส และไม่ทางที่จะนำไปเปรียบกับสิ่งถูกสร้างใด ๆ”

ชายคนดังกล่าวแย้งว่า

“หากว่าไม่อาจรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ดังนั้นพระองค์ก็ไม่มี”

ท่านอิมาม(อฺ) จึงตอบ

“ความหายนะจงมีแก่เจ้า (ทำไมความคิดเขลาขนาดนี้) เพียงเพราะประสาทสัมผัสของเจ้าไร้ความสามารถที่จะรู้จักพระองค์ เจ้าก็อาจหาญที่จะปฏิเสธ พระผู้สร้างตัวเองกระนั้นหรือ ? แต่พวกเรา ทั้งๆ ที่รู้ว่า เราไม่มีความสามารถที่จะเจอพระองค์ได้ เราก็เชื่อมั่นว่า พระองค์ คือพระผู้อภิบาลของเราแต่เพียงผู้เดียว”

เขากล่าวตอบว่า

“งั้นก็ลองบอกซิว่า พระองค์มีมาเมื่อไร ?”

ท่านอิมาม(อ) ตอบ

“เจ้านั้นแหละจงบอกซิว่าพระองค์ไม่มีมาตั้งแต่เมื่อไร เพื่อที่ข้าจะได้บอกว่า พระองค์มีมาตั้งแต่เมื่อไร(หมายความว่า พระผู้เป็นเจ้ามีอยู่ก่อน “กาลเวลา” พระองค์เป็นผู้สร้าง “กาลเวลา” ขึ้นมา)”

เขากล่าวว่า

“เหตุผลในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าคืออะไร ?”

ท่านอิมาม(อ) ตอบว่า

“เมื่อเวลาที่ข้าคิดพิจารณาในเรื่องร่างกายของข้า ข้าเห็นว่า ตัวข้าเองไม่อาจเพิ่มเติมให้มันสั้น ยาว ได้ตามใจชอบ เช่นเดียวกับที่ไม่อาจรู้สึกให้สบาย หรือไม่ให้สบายตามใจปรารถนาของตัวเองได้ (บางครั้งพยายามที่จะให้หายป่วยจากโรคหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นผล) ด้วยสาเหตุดังกล่าว และจากการพิจารณาระบบแห่งสุริยจักรวาล อีกทั้งสิ่งถูกสร้างทั้งมวลในโลกทำให้ข้าเข้าใจได้ว่า ร่างกายของข้าและโลกที่ถูสร้างนี้มีพระผู้อภิบาล และพระผู้สร้าง (ที่ทรงรอบรู้ และปรีชาญาณ)”

บทที่ 3

ตัวอย่างหนึ่งจากระบบของโลก

ในโลกนี้ในทุกสิ่งที่เราได้พิจารณาไม่ว่าจะเป็นอณูที่เล็กที่สุดหรือระบบสุริยจักรวาลอันยิ่งใหญ่ก็ตาม

เป็นตัวแสดงให้เห็นถึงความเป็นระบบที่สมบูรณ์ และละเอียดถี่ถ้วน มันยิ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่เกิดความอัศจรรย์ใจยิ่ง

มร. ซิซิล บอยซ์ ฮาแมน อาจารย์คณะชีววิทยา มหาวิทยาลัยออสบูรี

เขียนไว้ว่า

“เมื่อเราได้มองเห็นหยดน้ำหยดหนึ่งในกล้องจุลทรรศน์ เช่นเดียวกับที่เมื่อเราได้ส่องดูดวงดาวที่อยู่ไกลที่สุดด้วยกล้องดูดาว มันทำให้ข้าพเจ้าตกอยู่ในภวังค์อันใหญ่หลวง”

มีหลายระบบที่อยู่ในธรรมชาติซึ่งสามารถอธิบายถึงการเกิดขึ้นของมันก่อนที่มันจะเกิดขึ้นเสียอีกด้วยกับกฎเกณฑ์ที่ได้ตั้งสมมุติฐานไว้แล้ว

ด้วยเหตุนี้เอง กฎเกณฑ์ทางธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่แน่นอนและตายตัวนักวิทยาศาสตร์ได้พากเพียรพยายามแสวงหากฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ (ที่ยังไม่ถูกกค้นพบ) อย่างไรก็ตาม ความพากเพียรของพวกเขาก็ดูจะไร้ผล

ผืนแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่นั้น เมื่อพิจารณาจากความใหญ่ ความเล็ก ความใกล้ – ไกลจากดวงอาทิตย์และความเร็วที่โคจรรอบตัวเอง มันยังมีความเป็นระบบระเบียบ ซึ่งสามารถที่จะเป็นศูนย์กลางการดำรงชีวิต และการมีชีวิตอยู่ หากว่าภายใต้กฎเกณฑ์ที่มีอยู่เกิดการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็จะพบกับความสูญเสียที่ไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้เลย

“อากาศ” ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบขึ้นด้วยก๊าซที่ใช้ในการดำรงชีวิตทั้งที่มีขนาดที่เล็กมากไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าสามารถที่จะทำหน้าที่ปกป้องโลกนี้จากการจู่โจมของลูกอุกกาบาตจำนวนนับ 20 ล้าน ชิ้นเล็กๆ ในแต่ละวันซึ่งมีความเร็วโดยเฉลี่ยประมาณ 50 กม. / นาที

ระบบแห่งการแผ่รังสีความร้อนบนพื้นโลกซึ่งเหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิตก็เป็นหน้าที่อันหนึ่งของ”อากาศ” นั่นเอง

การถ่ายเทความร้อนและการระเหยของน้ำในมหาสมุทรก็เป็นหน้าที่ของ “อากาศ” ที่ว่า หากไม่มีอากาศ

แล้วแน่นอนเหลือเกินว่าทุกที่ในผืนโลกนี้จะต้องเหือดแห้งไป และไม่เหมาะกับการมีชีวิตอยู่เลย

แล้วทำไมเราต้องไปไกลกันด้วย ?

ที่ใกล้ที่สุด ก็คือตัวของเราเอง!

ความลึกลับแห่งการสร้างมนุษย์นั้นไม่อาจคำนวณนับได้เลย ถึงแม้นว่าบรรดานักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ของโลกได้ทำการศึกษา และค้นคว้าเป็นเวลาหลายปี แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจกับความมหัศจรรย์ดังกล่าวได้เลย

ดร.อเล็กซิส คาร์ล ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา หลังจากที่ได้ทำการค้นคว้าเป็นเวลาหลายปี

เขาได้แสดงความคิดว่า

 “จนถึงเดี๋ยวนี้ ชีววิทยาและวิทยาศาสตร์สาขาอื่นๆ ก็ยังไม่สามารถเข้าใจถึงสัจธรรมแห่งร่างกายของมนุษย์ได้เลย ยังมีอีกหลายร้อยคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้”

ต่อไปนี้ขอให้เราพิจารณาตัวอย่างแห่งความน่าอัศจรรย์ของการมีอยู่ของตัวเอง ดังนี้

เซลล์ของร่างกาย :

ร่างกายของมนุษย์ก็เหมือนกับโครงสร้างหนึ่งที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนเล็ก คือ “เซลล์” ซึ่งแต่ละส่วนของมันก็มีชีวิตมันต้องกินอาหาร ผลักไส ปกป้อง และขยายเซลล์ต่อไป เหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

ในโครงสร้างของ “เซลล์” ทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นธาตุ เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซี่ยม ทองแดง ออกซิเจน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ ฯลฯ

จำนวนของ “เซลล์” ในร่างกายของมนุษย์ธรรมดามีประมาณ 1016 หรือ 10,000 ล้านล้านเซลล์นั่นเอง

“เซลล์” ที่มีชีวิตเหล่านี้ร่วมมือกันอย่างดีเยี่ยม และทำหน้าที่สู่เป้าหมายอันเดียวกัน พวกมันจะไม่รู้สึกอิ่มเลย ต้องการอาหารอยู่ตลอดเวลา “เลือด” ทำหน้าที่นี้พร้อมกับการช่วยเหลือของหัวใจได้เป็นอย่างดี

(สูบฉีดไปทั่วร่าง) โครงสร้างของหัวใจก็เป็นสิ่งที่มีความสมบูรณ์สามารถสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยผ่านหลอดเลือด

หลังจากที่เลือดได้ทำหน้าที่ส่งอาหารไปยังเซลล์ต่างๆ แล้ว มันก็จะทำหน้าที่ดูดเอาสิ่งที่เป็นพิษที่รวมอยู่ในเซลล์ต่างๆ ออกมาที่กลายเป็นเลือดเสียกำลังจะกลับไปสู่หัวใจ หัวใจจะทำหน้าที่ฟอกมันให้กลับเป็นเลือดดีดังเดิมส่งไปยังทั่วร่างกาย

ไม่เพียงเท่านั้น มันยังทำหน้าที่ทำลายสารมีพิษอื่น ๆ เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย การรวมตัวและขนาดที่พอดีของวัตถุธาตุต่าง ๆ ที่ประกอบกันเข้าเป็นเซลล์ และโครงสร้างของหัวใจซึ่ง

บรรดานักคิดในปัจจุบันให้ความสนใจนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะแสดงถึงระบบที่สมบูรณ์และสูงส่งอีกหรือ ?

หากเราเรียกร่างกายของมนุษย์ว่าเป็นคลังแห่งความอัศจรรย์และในขณะเดียวกันก็มีระบบอย่างน่าอัศจรรย์ละก็ เรายังกล้าเปล่งคำพูดอันไร้สาระ (ว่าไม่มีผู้สร้างเรา) ออกมาอีกหรือ ? ไม่มีทางหรอก

ด้วยเหตุนี้จะต้องกล่าวว่า โลกมั่นคงอยู่บนระเบียบแบบแผนที่สมบูรณ์และแน่นอนที่สุดว่าในทุกระเบียบกฎเกณฑ์จะต้องมีผู้ให้กำเนิดที่รอบรู้ และปรีชาญาณ

บทที่ 4

ผู้ให้กำเนิดความเป็นระบบคือใคร ?

คอมพิวเตอร์

ทุกวันนี้ มนุษย์สามารถที่จะทำงานที่ยุ่งยากของตัวเองได้โดยง่าย ด้วยกับเครื่องมือหลายๆอย่าง หนึ่งในเครื่องมือดังกล่าวที่น่าพิศวงทึ่งในความสามารถก็คือ “คอมพิวเตอร์”

 ซึ่งท่านคงรู้มาบ้างแล้วว่ามันทำงานได้อย่างไร? หรือตัวอย่างก็คือ “คอมพิวเตอร์” สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคของคนป่วยที่เป็นมาก่อนให้แก่หมอภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที ในการวินิจฉัยโรคมันสามารถจะตรวจสอบรายละเอียดของอาการที่เคยเกิดขึ้นในปีที่แล้วหรือ 10 ปีที่แล้ว และเสนอวิธีรักษาโรคนั้นได้ เครื่องมือดังกล่าวสามารถที่จะสั่งยาที่จำเป็น และให้พยาบาลได้ให้ยานั้นแก่ผู้ป่วยได้ทันเวลาในบางโรงงานที่สำคัญๆ ก็ยังใช้ “คอมพิวเตอร์” ในการควบคุมการทำงานและเครื่องจักรต่างๆ

เป็นไปได้หรือว่า อุปกรณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ? หรือว่าระบบอันน่าอัศจรรย์นี้แสดงถึงความสามารถและปรีชาญาณของผู้สร้าง ?

 แน่นอนเหลือเกินใครก็ตามที่อยู่ต่อหน้าอุปกรณ์เหล่านี้ย่อมต้องนึกถึง

ความคิดอันเลอเลิศ และมันสมองที่ชาญฉลาดของผู้สร้าง

ครัวออโตเมติก

“ออร์บิส” คือชื่อของอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง สามารถที่จะเตรียมอาหารอย่างดีสำหรับคนมากกว่า 1, 000 คนได้

ปัจจุบันในบางประเทศก็นิยมใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ในภัตตาคาร อุปกรณ์ชนิดนี้ทำงานได้มากกว่ากุ๊กชั้นยอดถึง 20 เท่า

เมื่อคุณจอดรถข้าง ๆ ภัตตาคาร (ที่มีอุปกรณ์นี้อยู่) มีไมค์อยู่ข้าง ๆ คุณ คุณจะกดปุ่มตรงกลาง ทันใดนั้นก็จะมีเสียงออกมา “จะรับอะไรค่ะ” แล้วคุณก็สั่งชนิดของอาหาร ภายในเวลาเพียง 8 นาที 11 วินาที ถาดชนิดพิเศษก็จะนำอาหารมาให้แก่คุณ

วิธีการทำงานของครัวออโตเมติก

เมื่อผู้ซื้อได้กดปุ่มแล้ว ไฟของ “ออร์บิส” จะสว่างขึ้น แล้วผู้ซื้อก็จะเลือกรายการอาหารที่ต้องการ เช่น

แซนด์วิช จะมีคนอยู่ประจำที่เครื่อง “ออร์บิส” นั้นคอยกดปุ่มรายการอาหารตามที่สั่ง แล้วเครื่องก็จะทำงานเอง

เริ่มตั้งแต่ตัดขนมปังออก ตักเนื้อลงไปในกระทะ ประมาณ 4 นาที 7 วินาที มันก็จะสุก แล้วมันก็จะนำมาวางบนขนมปัง โดยอัตโนมัติ แล้วใส่เครื่องเทศหรือผักต่าง ๆ ลงไปบนขนมปัง เมื่อทุกอย่างเสร็จแล้วก็จะถูกนำมาใส่ไว้ในตระกร้า

อุปกรณ์ออโตเมติก เช่น “ออร์บิส” นี้จะไม่มีผู้สร้างกระนั้นหรือ? เกิดมาโดยความบังเอิญ หรือว่ามันคือ

ผลผลิตทางความคิด และความบากบั่นอดทนของนักวิศวกรคนหนึ่ง ซึ่งได้คิดค้นมันดว้ ยกับการคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วนไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ

ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า ความเป็นระบบของตัวอย่างข้างต้นที่ท่านได้พิจารณาแล้วนั้น มันคือผลผลิตทางความคิดของผู้สร้าง และผู้ประดิษฐ์มันขึ้นมา กล่าวคือ ถ้าไม่มีผู้คิดค้น และไม่ได้สร้างมันขึ้นมาด้วยการคำนวณ

และวัดขนาดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว แน่นอนเหลือเกินเครื่องจักรที่ว่า ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้

จากตรงนี้ กฎเกณฑ์อันหนึ่งจึงเกิดขึ้นคือ ระบบและความเป็นระเบียบจะต้องเกิดมาจากสิ่งที่มีความรู้และมีความสามารถ “ความบังเอิญ”

 ไม่อาจเป็นที่มาของความน่าอัศจรรย์ และระบบนี้ได้เลย เพราะทุกสิ่งจะมีผลที่แสดงออกเฉพาะของมัน ดังที่ว่า การรอคอยการเดือดของน้ำเย็นถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ฉันใดฉันนั้น ความบังเอิญเป็นที่มาของความมีระบบก็เป็นความคิดที่ผิดเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้เอง ความเป็นระบบระเบียบซึ่งมีอยู่ในสมอง ประสาทส่วนต่างๆ ของร่างกาย ชีพจร หัวใจ ตาและตัวอย่างอื่น ๆ ที่อาจพบได้ คือเหตุผลที่เพียงพอต่อการกล่าวว่า โลกนี้มีผู้สร้าง และผู้วางกฎระเบียบที่ทรงรอบรู้ และมีความสามารถ ไม่ว่าเราจะพินิจพิจารณาในความเร้นลับของระบบแห่งการสร้างสรรค์มากเท่าใด เราก็จะพบกับความยิ่งใหญ่ของพระผู้สร้างมันนั่นเอง หรือจะกล่าวว่า มันสมองของมนุษย์ และโครงสร้างของร่างกายด้วยค่ากว่า “คอมพิวเตอร์” กระนั้นหรือ?

แน่นอน ท่านจะต้องเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า มันทั้งหมดนั้น คือพยานยืนยันถึงความสูงส่งและความยิ่งใหญ่ของปฐมบทอันรอบรู้ปรีชาญาณ และผู้สร้างมันขึ้นมา ขอเสริมว่า ความรู้สึกและการรับรู้ซึ่งมีให้เห็นในตัวของมนุษย์นั้น นับเป็นเหตุผลที่กระจ่างชัดมากที่แสดงถึงการมีปัญญา และรู้แจ้งของพระผู้สร้าง เพราะคนที่ไร้ปัญญา

และรอบรู้ขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้กำเนิด หรือสร้างสิ่งที่เต็มไปด้วยการรับรู้และการรู้แจ้งที่ประเสริฐ(เช่นมนุษย์ ฯลฯ)

อัลกุรอานในหลายโองการด้วยกัน ได้ชี้ให้เห็นถึงสมมุติฐานที่แจ้งชัดและเป็นสัจธรรมดังกล่าวที่ว่า

“อัลลอฮ์ คือ ผู้ซึ่งยกท้องฟ้าขึ้นโดยปราศจากเสาที่เจ้าจะมองเห็น แล้วพระองค์ก็มุ่งตรง (ด้วยพลานุภาพ)ไปยังอัรชฺ (การมีอยู่ของทุกสรรพสิ่ง และทำการควบคุมให้เป็นไปตามระบบที่พระองค์วางไว้)

 พระองค์ได้ควบคุมดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทุกอย่างจะดำเนินไปตามเวลาที่ถูกกำหนดไว้ พระองค์ทำการบังคับบัญชากิจการงานทั้งปวงทำการแยกแยะอธิบายสัญลักษณ์ต่างๆ (ของพระองค์) เพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้มีความเชื่อมั่นอย่างมั่นคงต่อการพบกับพระผู้อภิบาลของสูเจ้า”

 (บทอัร – เราะอ์ด์: 3)

บทที่ 5

ความเร้นลับทางธรรมชาติจะถูกค้นพบ

ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ของวิยาการของมนุษยชาติได้ทำการค้นพบสิ่งที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยรับรู้เรื่องแล้วเรื่องเล่า และได้ทำลายความเชื่อขั้นพื้นฐานที่ไม่ถูกต้องในกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ และวิทยาศาสตร์แขนงอื่น ๆ

ตัวอย่างเช่น ในสมัยก่อน พวกเขาคิดว่าอวัยวะบางส่วนของร่างกายไม่มีประโยชน์ แต่ในปัจจุบัน หลังจากที่วิชาการในเรื่องดังกล่าวได้ถูกค้นคว้าวิจัยแล้วกลับมีบทสรุปถึงคุณค่ามหาศาลของสิ่งนั้นๆ ต่อไปคุณค่าที่สำคัญอื่น ๆ ก็คงจะถูกค้นพบในไม่ช้าด้วยอุปกรณ์การตรวจสอบที่ทันสมัย

เพื่อทำความกระจ่างในหัวข้อเรื่องดังกล่าว ขอยกตัวอย่างต่อไปนี้

(1) ต่อม “ธัยมัส”

“ธัยมัส” คือ ต่อมเล็กๆ ต่อมหนึ่งอยู่ในทรวงอกใต้กระดูกขาไก่ (กลางทรวงอก) บนหลอดลม ก่อนหน้านี้ต่อม “ธัยมัส” ไม่เป็นที่ชี้ชัดว่ามีไว้ทำหน้าที่อะไร ถึงขนาดนักสรีรวิทยาบางคนกล่าวว่า

มันเป็นอวัยวะที่เพิ่มขึ้นมา แต่ปัจจุบันเป็นที่รับรู้กันว่า ต่อม “ธัยมัส” มีส่วนอย่างมากในการป้องกันสิ่งไม่พึงปรารถนาจากภายนอกที่เข้ามาสู่ร่างกาย

นักสรีรวิทยาบางคนยังเชื่ออีกว่า ต่อมนี้มีผลอย่างมากหลังจากเข้าสู่วัยรุ่นโดยมีส่วนในการเจริญเติบโตของร่างกาย และความรู้สึกทางเพศ

การเอามันออกจากร่างกายอาจมีผลทำให้อวัยวะส่วนที่สร้างความรู้สึกทาง

เพศผิดปกติ ทำให้แคระแกรนได้

(2) ต่อม “เอพพิฟีซ”

อยู่ในสมอง มีความสลับซับซ้อนยิ่งกว่าต่อม “ธัยมัส” เสียอีก ก่อนนี้นักสรีรวิทยา บางคนคิดว่ามันไม่มีประโยชน์อันใด แต่ในปัจจุบันกลับเชื่อว่าต่อมนี้มีหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตทางเพศ และยับยั้งการโตวัยก่อนกำหนด และยังมีหน้าที่อื่นอีก การไม่มีต่อมนี้อาจมีผลถึงเสียชีวิตได้

(3) ต่อม “ทอนซิล”

สมัยก่อนแพทย์เชื่อว่า ต่อมนี้ไม่มีประโยชน์ ถ้ามันเกิดบวมขึ้นมา เขาจะสั่งผ่าตัดมันออกทันที แต่ในทุกวันนี้ ผู้ชำนาญการให้ความสนใจพิเศษต่อต่อม “ทอนซิล” ในร่างกาย การเอามันออกถือว่าเป็นผลเสียต่อร่างกาย

พวกเขาจะไม่อนุญาตให้เอามันออก

ต่อม “ทอนซิล” จะสร้างสิ่งหนึ่งขึ้นมาทำหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคในสภาพเหมือนเขื่อนที่แข็งแกร่งอยู่ในช่องหลอดลม ทำหน้าที่ฟอกอากาศที่เข้าใช้ในการหายใจเข้าให้สะอาด และทำลายเชื้อโรคที่แฝงเข้ามา

บางทีมีสิ่งสกปรกในอากาศปะปนอยู่มาก หรือมีเชื้อโรคที่แข็งแรงปนเข้ามา ต่อมนี้ก็จะทำหน้าที่มากขึ้นจนกระทั่งสิ่งสกปรกถูกขจัดไปในที่สุด

การเอาต่อม “ทอนซิล” เหล่านี้ออกเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะ

1) เป็นการปล่อยให้เชื้อโรคเข้าไปอย่างอิสระในลำคอเข้าสู่ทรวงอก และระบบการหายใจ ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบหายใจ

 

2) ถ้าเอาต่อม “ทอนซิล” ออกเยื่อในโพรงจมูกจะบางกว่าปกติทำให้ลำคอและจมูกแห้ง ไม่เพียงเท่านั้น

เมื่อภายในลำคอเกิดอกการเหม็นและเน่า ต่อม”ทอนซิล”

 จะทำหน้าที่เหมือนกับสัญญาณอันตรายหนึ่งที่จะบอก

ให้แพทย์ทราบอาการที่เกิดขึ้นภายในลำคอ แต่ถ้าไม่มีต่อมนี้ เป็นไปได้ว่าการเน่าที่ลำคอและหลอดเสียงไม่อาจถูกตรวจสอบได้ และยังจะมีผลข้างเคียงอื่นอีก คือ “โรครูมาติสซั่ม”

(4) “ไส้ติ่ง”

นักวิชาการกลุ่มหนึ่ง หลังจากที่ได้ค้นคว้าอย่างละเอียดแล้วจึงได้บทสรุปว่า “ไส้ติ่ง” มีส่วนอย่างมากในการต่อสู้กับโรคมะเร็ง การเอามันออกก่อนถึงเวลาจำเป็น อาจมีผลทำให้โรคมะเร็งกำเริบขึ้นมาได้

วารสารการแพทย์ “ญามา” เขียนว่า:

“การตัดไส้ติ่งของบุคคลที่มีโอกาสเป็นมะเร็งออก มีผลอย่างน่าเป็นห่วงว่าจะเกิดเป็นมะเร็งขึ้นได้”

การพิจารณาตัวอย่างข้างต้น และตัวอย่างอื่น ๆ ทำให้เรากระจ่างว่า :

หากเราไม่พบสิ่งที่มีคุณค่าในสิ่งหนึ่ง เราก็จะต้องไม่คิดว่ามันไร้ค่า แต่ควรรอคอยว่า สักวันหนึ่งคุณค่าของมันอาจจะถูกค้นพบได้ เพราะขณะที่วิชาการของมนุษยชาติได้ก้าวล้ำนำหน้าไปเท่าใดก็เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น

 และเมื่อเปรียบเทียบกับตำราธรรมชาติอันยิ่งใหญ่แล้ว มันก็เป็นเพียงหนึ่งบรรทัดเท่านั้นเอง

ไอน์สไตน์ เขียนในหนังสือ “ปรัชญาสัมพันธ์” ว่า:

“สิ่งที่เราได้เรียนรู้จาก “ตำราธรรมชาติ” นั้น สอนให้เราได้รู้ในหลายอย่างแต่เราก็ต้องรู้ไว้ด้วยว่า จนถึงเดี๋ยวนี้เรายังห่างไกลจากการค้นพบอันสมบูรณ์ของความเร้นลับทางธรรมชาติอีกมาก”

วิลเลียม เจมส์ กล่าวว่า :

“ความรู้ของเราเมื่อเทียบกับความไม่รู้ของเราแล้ว เปรียบได้ดังเช่น หยดนํ้าหนึ่งหยดเมื่อเทียบกับมหาสมุทรกระนั้น”

แต่ก็ยังมีนักวัตถุนิยมบางคนคิดว่ามันไม่มีคุณค่าใดๆ เพียงเพราะเขาไม่รู้ถึงความเร้นลับ และคุณลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตต่างๆ

 การคิดอย่างนี้ไม่ผิดดอกหรือ? ขณะที่ ถ้าเขาพิจารณาอย่างรอบคอบ

 เขาจะพบได้อย่างง่ายดายว่า “ความไม่รู้” กับ “การไม่มี”นั้น

ห่างไกลกันเหลือเกิน เป็นการไม่ถูกต้องเลยที่มนุษย์คนหนึ่งไม่สามารถค้นพบสิ่งหนึ่งเป็นสาเหตุให้เขาปฏิเสธว่า มันไม่มี

เป็นที่กระจ่างว่า การไม่รู้ถึงคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตนับล้านๆ อย่างจะต้องไม่เป็นตัวอุปสรรคอันใดต่อการที่มนุษย์จะพยายามทำความเข้าใจกับความลี้ลับของโลกที่ถูกสร้าง และระบบอันน่าอัศจรรย์นี้ ซึ่งนำพาสู่การรู้จักต่อผู้สร้างอันชาญฉลาด และรู้แจ้งในทุกสิ่ง

ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า เพียงการศึกษาสิ่งที่มีอยู่ในโลกเพียงอย่างเดียว หรือแม้กระทั่งบางส่วน ก็เพียงพอแล้วสำหรับการชี้นำสู่ “ผู้วางระบบ” และ “พระผู้สร้างผู้ทรงเกรียงไกร”

ตัวท่านเอง หากพบตำราเล่มหนึ่งที่เพียบพร้อมไปด้วยข้อมูลทางวิชาการและมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ แต่บางวรรคบางตอนของมันไม่อาจทำให้ท่านเข้าใจได้ ท่านจะตัดสินตำราเล่มนี้อย่างไร ? ท่านจะไม่สนใจต่อข้อมูล

วิชาการที่เป็นผลิตผลทางความคิดอันสูงส่ง และยิ่งใหญ่ส่วนอื่นกระนั้นหรือ ? แน่นอนต้องไม่ใช่ เช่นนั้น มันจะไม่ดีกว่าหรือที่เราจะต้องคิดอยู่เสมอว่า

 “โลกนี้ก็เหมือนกับดวงตา ขนตา และคิ้ว

อยู่ ณ ที่ ๆ ของมันก็ดีอยู่แล้ว” (สำนวน)

บทที่ 6

กฎ “ลาวัวซิเย” และกฎแห่งการสร้าง

เราทุกคนรู้จัก และเคยเห็นเปลวไฟ เมื่อไฟลุกโชนเราไม่เคยคิดเลยหรือว่าไฟ คืออะไร ? ทุกวันนี้เรารู้ว่า

ไฟประกอบขึ้นมาจากก๊าซออกซิเจนถูกเผาไหม้ในอากาศ แต่นักเล่นแร่แปรธาตุสมัยก่อนเคยคิดว่า มีสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็นอยู่ในถ่าน หรือน้ำมัน เมื่อมันถูกเผา มันก็จะออกมาในรูปของเปลวไฟ !

ทัศนะเช่นนี้ ค่อยๆ แพร่กระจายออกไปมีคนเชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีนักวิชาการ จำนวนไม่น้อยสนับสนุนทัศนะดังกล่าว และตั้งชื่อวัตถุที่มองไม่เห็นว่า “ฟลอจิสตอน”

สตาฮล์ กล่าวว่า :

“วัตถุที่ชื่อว่า “ฟลอจิสตอน” (แก่นแท้ และหัวใจของไฟ) มีอยู่ในใจกลางของวัตถุที่ถูเผาไฟ เมื่อมันถูกเผามันจะออกมาในรูปของเปลวไฟ”

และเขายังให้คำอธิบายอีกว่า สาเหตุที่ไม้ ถ่าน และนํ้ามันจะถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็วนั้น ก็เป็นเพราะว่า

ในสสารเหล่านี้มี “ฟลอจิสตอน” อยู่เป็นจำนวนมาก แต่ในสสารจำพวกโลหะจะมี “ฟลอจิสตอน” อยู่น้อย

เขา และพรรคพวกของเขายังเชื่ออีกว่า เมื่อเราเผาเหล็กด้วยความร้อน “ฟลอจิสตอน” จะออกมา และที่เหลือจะอยู่ในรูปของ “เสียง” (มีเสียงเวลาเผาไฟ)


3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23