พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม0%

พื้นฐานอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน: อัลลามะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอีย์
กลุ่ม:

ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24415
ดาวน์โหลด: 3247

รายละเอียด:

พื้นฐานอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 354 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24415 / ดาวน์โหลด: 3247
ขนาด ขนาด ขนาด
พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

สิ่งที่ไม่อาจเปรียบเทียบได้

ความยิ่งใหญ่ และความลี้ลับของจักวาล ไม่อาจนำไปเปรียบได้กับการสร้างเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่สมบูรณ์แบบชิ้นหนึ่ง หรือเครื่องประดิษฐ์อื่น ๆ ของมนุษย์ได้ ความละเอียดถี่ถ้วนที่ปรากฏอยู่ในทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ช่วยสร้างภาพแห่งจินตนาการให้เห็นถึงความรู้อันไร้ขอบเขตของพระผู้เป็นเจ้า

โปรดพิจารณาตัวอย่างข้างล่างนี้

(1) นิวตัน กล่าวว่า :

“เราได้พิจารณาโครงสร้างของ “หูและตา” ทำให้เราเข้าใจได้ว่าผู้สร้าง “หู” รู้กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับเรื่อง“เสียง” เป็นอย่างดี

และผู้สร้าง “ตา” รู้กฎเกณฑ์อันสลับซับซ้อนที่สัมพันธ์กับเรื่อง “แสงสว่าง” เป็นอย่างดี จากการศึกษาวิเคราะห์ระบบจากชั้นฟ้าได้พาให้เราไปค้นพบความจริงอันยิ่งใหญ่หนึ่ง ซึ่งกำลังมองดู และบังคับบัญชาสิ่งนั้นด้วยกฎเกณฑ์อันจำเพาะของมัน”

(2) โครงสร้างแห่งการมีชีวิตของค้างคาวตัวหนึ่งนับเป็นขุมทรัพย์หนึ่งที่ท้าทาย และน่าอัศจรรย์มาก สัตว์ชนิดนี้สามารถคลำทางในความมืดได้ และไม่เคยชนสิ่งกีดขวางอะไรเลย เหมือนกับว่ามีเรดาร์ส่งคลื่นอุลตร้าซาวด์ไปในอากาศ กล่าวคือ เมื่อมีสิ่งกีดขวางอยู่ตามทาง คลื่นนี้จะถูกส่งไปกระทบกับสิ่งนั้นแล้วย้อนกลับมาเป็นเช่นนี้เรื่อยไป (ด้วยความเร็วเหนือเสียง) จึงทำให้ค้างคาวสามารถไปไหนมาไหนได้ในยามค่ำคืน

(3) เยื่อหุ้มสมองถือว่าเป็นอวัยวะภายในที่กว้างใหญ่ที่สุด กล่าวคือ เยื่อที่ห่อหุ้มทุกๆ ช่วงที่อยู่ในสมองมีความบางอย่างมากขนาด 1.5 – 4 มิลลิเมตรเท่านั้นซึ่งทำหน้าที่ปกคลุมยืนทั้งหมดมองมัน

ความกว้างของมัน ประมาณ 2,300 ลูกบาศก์เซนติเมตร ในเยื่อหุ้มสมองหนึ่งมีช่องว่างเล็ก ๆ อยู่ประมาณ 9,300 ล้านเซลล์ซ้อนกันอยู่เป็นชั้น ๆ

(4) พวกแมลงตัวเล็กๆ สามารถทำงานได้อย่างน่าประหลาด ตัวอย่างเช่นพวกมันมีตาชนิดพิเศษแทนตาธรรมดาทั่วไป ตาประกอบของแมลงพวกนี้ประกอบ ขึ้นมาจากชิ้นส่วนของตาที่เรียกว่า “ออมมาติดี” ชิ้นส่วนแต่ละอันนี้ถือเป็นตาหนึ่งดวงนั่นเอง

จำนวนของ “ออมมาติดี” ในแมลงแต่ละชนิดมีจำนวนแตกต่างกันออกไปพวกแมลงเหล่านี้ไม่สามารถส่ายหัวได้จึงอาศัยตาประกอบนี้มองสิ่งที่อยู่ข้างหลังหรือข้างๆ ได้

ตัวอย่างที่กล่าวไปทำให้เกิดความกระจ่างว่า :

ผู้สร้างโลกนี้ได้ให้บังเกิดสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นมา ด้วยกับการมองเห็นที่สมบูรณ์ที่สุด อีกทั้งความรู้อันไร้ขอบเขต

มาถึงคำถามที่ว่า : หลังจากพระผู้เป็นเจ้าสร้างทุกสรรพสิ่งแล้ว พระองค์ยังคงมีความรู้อยู่อีกหรือเปล่า?

ใช่แล้ว พระผู้เป็นเจ้าทรงรอบรู้ในทุกสิ่งและทุกที่

ไม่ว่า ดวงดาวที่อยู่ไหลสุดขอบฟ้า

ไม่ว่า จุลินทรีย์ที่เล็กที่สุดซึ่งอยู่ก้นบึงมหาสมุทรที่ลึกที่สุด

ไม่ว่า สิ่งที่มือเอื้อมไม่ถึงที่อยู่ไกลถึงยอดเขาที่สูงที่สุด

ไม่ว่า เสียงใบไม้ที่สั่นไหวด้วยสายลมอ่อน ๆ

ไม่ว่า เสียงขันของไก่ในความเงียบของป่าดงดิบ

ไม่ว่า จำนวนของปลาที่ไม่อาจนับได้รวมทั้งสีสัน และชนิดนานาชนิดอันนับไม่ถ้วนในท้องน้ำทั่วโลก

ไม่ว่า สิ่งใดที่จินตนาการของมนุษย์มีไปถึง หรือนอกจินตนาการใด ๆ ของมนุษย์ก็ตาม

ใช่แล้ว...พระองค์คือผู้ทรงรอบรู้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ถึงเฉียดภูเขาสูงสุดขอบฟ้าอันไกลโพ้น ความกว้างสุดขอบฟ้าของมหาสมุทร ความลึกที่สุดของธรณี ถ้ำอันลึกลับที่ไม่เคยมีใครสัมผัสมัน และ...จินตนาการอันไร้ขอบเขตของมนุษย์

ดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าช่างสวยงามเหลือเกิน พระองค์ตรัสว่า :

“...พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่อยู่ในพื้นดิน และท้องทะเล ไม่มีใบไม้ที่ล่วงหล่นบนพื้น นอกเหนือจากว่า

พระองค์ต้องทรงรู้ดี และไม่มีเมล็ดพันธ์พืชใดในความมืดมิดแห่งผืนดิน ไม่มีความเปียกชื้น ในโลกนี้ นอกจากต้องถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์อันชัดแจ้ง” (บทอัล – อันอาม: 59)

ทำไมพระผู้เป็นเจ้าทรงรอบรู้ ?

ก็เพราะผู้ให้กำเนิดและผู้สร้างสิ่งใดย่อมต้องรอบรู้ และรู้จักสิ่งถูกสร้างของตัวเองนั้นอย่างสมบูรณ์ที่สุด

และต้องเอาใจใส่ต่อสิ่งนั้นด้วย ดังตัวอย่างเช่น เราไม่เคยละเลยจากภาพจินตนาการที่อยู่ในสมองของเรา เมื่อใดก็ตามที่เราต้องการให้มันคงอยู่มันก็จะยังอยู่ในความนึกคิดของเรา แต่ถ้าเราถอนความรู้สึกจากจินตนาการนั้น มันก็จะลับหายไปทันที

หากท่านได้จินตนาการถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมา แน่นอนท่านต้องรู้รายละเอียด ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของมันได้เป็นอย่างดี ไม่มีการเคลื่อนไหวใดของมันที่ปกปิดท่านได้ นั่นก็คือ ภาพจำลองในจินตนาการที่ถูกสร้างของท่าน ตามความหมายที่ว่า เมื่อก่อนที่ท่านจะจินตนาการถึงมัน มันไม่มีอยู่ แต่พอท่านนึกจินตนาการถึงมัน มันก็อุบัติขึ้นทันที

พระผู้เป็นเจ้าก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงสร้างโลกนี้ และสรรพสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ขึ้นมา ทุกสิ่งมาจากพระองค์ พระองค์ทรงดูแลมัน ทรงเอาใจใส่ต่อมันไม่ทรงละเลยจากมัน อันที่จริงความแตกต่างระหว่างการที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างโลกนี้ และสรรพสิ่งต่างๆ กับการที่มนุษย์สามารถสร้างจินตนาการภาพขึ้นมาได้นั้นก็คือ

ในการกำเนิดแรกนั้นมนุษย์มาจากพระองค์ ต้องการพระองค์ ส่วนพระผู้เป็นเจ้านั้นพระองค์ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งอื่นใด หรือผู้ใดทั้งสิ้น พระองค์เป็นผู้ทรงให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

ด้วยสาเหตุนี้เองที่เราเรียกพระองค์ว่า “ผู้สร้างที่แท้จริง”

ความแตกต่างระหว่างผู้สร้างกับผู้ประดิษฐ์

ผู้ประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดมันอย่างแท้จริง เพราะเขาเป็นเพียงผู้นำเอาวิทยาการ และวัสดุที่มีอยู่มาประกอบกันเข้าเป็นรูปแบบเฉพาะ เขาไม่อาจล่วงรู้ถึงพฤติกรรม และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับนักคิดค้นรายอื่นที่ไม่รู้รายละเอียดของชิ้นส่วนของเครื่องประดิษฐ์ของตนเอง เพราะเขาไม่ได้

เป็นผู้ให้กำเนิดงานสร้างของเขาด้วยตัวของเขาเอง เขาไม่ได้สร้างให้มัน “มี” จากจุดเริ่มต้นที่ “ไม่มี” แต่ทว่า...วัสดุอุปกรณ์ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว พวกเขาทำหน้าที่เพียงเปลี่ยนแปลงรูปแบบของมัน โดยการแยกส่วน หรือ ประกอบชิ้นส่วนขึ้นมา ตัวอย่างเช่น เครื่องบินมีอยู่แล้ว แต่อยู่ในสภาพของวัตถุดิบที่ยังไม่ได้ประกอบชิ้นส่วน

ดังนั้น ผู้ประดิษฐ์จึงไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด “สิ่งประดิษฐ์” ของตนเอง แต่เขาทำหน้าที่ เพียงเปลี่ยนรูปวัตถุดิบเท่านั้นเอง เขาจึงไม่อาจรอบรู้ถึงความเป็นไปของสิ่งนั้นได้ตลอดกาล จากสาเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ชื่อว่า “ผู้ให้กำเนิด” หรือ “ผู้บังเกิด” แม้ว่าในบางกรณีอาจเรียกพวกเขาว่า “ผู้ให้กำเนิด” “ผู้สร้าง” ก็เป็นไปตามการเปรียบเทียบไม่ใช่ตามความหมายที่แท้จริง

แต่ในกรณีของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งนั้นตลอดเวลา และเป็นนิรันดร์กาล เพราะพระองค์คือ “ผู้สร้าง” และ “ผู้ให้กำเนิด” ที่แท้จริงอัล – กุรอานอันทรงเกียรติกล่าวว่า:

“ผู้สร้าง และทรงมีความละเอียดอ่อนอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง จะไม่รู้หรือ?” (อัล – มุลก์: 14)

เราทราบดีว่า : เราและสิ่งถูกสร้างทั้งมวลในโลกนี้ ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากเบื้องหน้าอันสูงส่ง และยิ่งใหญ่ของพระพักตร์แห่งองค์พระผู้อภิบาล ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดหรือเดินทางไปยังแผ่นดินใด ไปยังท้องมหาสมุทรอันสุดหยั่งได้ หรือสุดของฟ้าเขาเขียว เราก็ไม่อาจซ่อนเร้นจากการมองเห็นของพระองค์ได้

เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่มีพระผู้เป็นเจ้าที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ และเชื่อมั่นต่อพระองค์ เขาจะจมปลักอยู่กับความชั่วและความเลวร้อยได้อย่างไร ?

ข้อสังเกต

ตัวเลข หรือศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ที่ปรากฏอยู่ในบทความเหล่านี้ต้องตรวจสอบความถูกต้อง

 และความแน่นอนจากตำราวิทยาศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง บทเรียนนี้มุ่งหวังเพียงการนำเสนอเพื่อวิเคราะห์ตามหลักการทางสติปัญญาในเรื่องการมีอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

บทที่ 10

ความเป็นเอกะในการครอบครองและความปรีชาสามารถ

โลกอันกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยความลี้ลับ

การพิจารณาเพียงน้อยนิดในการถูกสร้างของสรรพสิ่งในโลกนี้จะเปิดเผยให้เห็นอย่างกระจ่างสายตาของผู้มีปัญญาได้เห็นถึงความสามารถอันหาที่เปรียบมิได้ของพระผู้สร้าง เพื่อเป็นตัวอย่างโปรดพิจารณาถ้อยความข้างล่างนี้ :

(1) โครงสร้างของอวัยวะป้องกันของร่างกายมีความสลับซับซ้อนมาก ไม่ว่าจะเป็น ต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้ามและไขสันหลัง เซลล์ที่มีอยู่ในอวัยวะต่างๆ เหล่านี้ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันทางโครงสร้าง แต่กลับทำหน้าที่ร่วมกัน กล่าวคือ : ต่อต้านสิ่งแปลกปลอม (ที่จะเข้ามาในร่างกาย) เช่น เชื้อโรคและสารพิษต่าง ๆ เม็ดเลือดขาวที่รวมตัวอยู่ในต่อมน้ำเหลืองก็มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกเข้ามาในร่างกาย เม็ดเลือดขาวความยาวประมาณ 7 – 30 ไมครอนจะเข้าเผชิญหน้ากับเชื้อโรคนั้นทันที และช่วยปกป้องอันตรายให้แก่ร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ กัน

ด้วยความช่วยเหลือของสิ่งถูกสร้างเหล่านี้ ร่างกายได้สร้างสารขึ้นมาตัวหนึ่งเรียกว่า “แอนตี้ บอดี้” เพื่อต่อกรกับสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้

“แอนตี้ บอดี้” เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในร่างกาย มีหลายชนิดแตกต่างกัน บางตัวทำหน้าที่เพียงย่อยสลายตัวเชื้อโรค และทำลายมันในที่สุด

 ส่วนบางตัวก็ทำหน้าที่หยุดยั้งการเจริญเติบโตของพิษของสัตว์ พิษของแมลง

หรือบางตัวก็ทำหน้าที่หยุดการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ฯลฯ

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ : ในการเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกปลอมจากภายนอก แม้กระทั่งสิ่งที่วิทยาการสมัยใหม่ยังไม่ได้ค้นพบ ร่างกายสามารถที่จะสร้าง “แอนตี้ บอดี้” ที่เหมาะสมขึ้นมาได้

(2) ผู้อำนวยการหอดูดาว “เลอูน” บนภูเขา “พาลูเมอร์” กล่าวว่า :

“ก่อนที่กล้องดูดาวของหอดูดาว “พาลูเมอร์” จะถูกสร้างขึ้น ตามความเห็นของเรา โลกที่เราอยู่นี้มีความกว้างโดยประมาณ 500 ปีแสงเท่านั้น แต่...จากกล้องดูดดาวอันนี้ทำให้ เรารู้ว่า โลกมีความกว้างถึง 1,000 ล้าน

ปีแสงทีเดียว และยังมีบทสรุปอีกว่า มี “กาแล็กซี” ใหม่ๆ ที่ถูกค้นพบซึ่งบางดวงห่างจากโลกเรา 1,000 ล้านปีแสง นอกอาณาเขตนี้ยังมีห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่มืดมิด แต่ไม่อาจเห็นรายละเอียดในนั้นเลยอีกเป็นจำนวนมาก

ซึ่งหมายความว่าแสงไม่อาจผ่านไปถึงที่นั่นได้ กล้องดูดาวจึงไม่อาจรับภาพสะท้อนกลับมาได้

 ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาล และมืดสนิทนั้น ยังมี “กาแล็กซี” อีกเป็นร้อยล้านกาแล็กซี ซึ่งโลกของเรา

ถูกปกป้องด้วยกับแรงดึงดูดของ “กาแล็กซี” เหล่านั้น

จักวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เรารับรู้นี้นั้นมี “กาแล็กซี” มากถึงหมื่นล้านกาแล็กซีก็ยังไม่ใหญ่โตอะไรไปกว่าจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับจักวาลที่กว้างใหญ่กว่านี้ จนถึงขณะนี้ ข้าพเจ้ามั่นใจได้เลยว่า

ท่ามกลางห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ยังมีจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลกว่านี้ปรากฏอยู่...”

ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะลี บิน อบีฏอลิบ (อ) กล่าวว่า :

“โอ้พระผู้อภิบาล เราไม่อาจล่วงรู้ถึงความลุ่มลึกแห่งความสูงส่ง ความงดงามของพระองค์ได้เลย

นอกจากรู้แต่เพียงว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ มั่นคงด้วยตัวของพระองค์เอง การง่วงเหงาหาวนอนไม่อาจครบงำพระองค์ได้

ไม่มีความคิดที่ล่วงไปถึงพระองค์ ไม่มีสายตาใดที่ค้นพบพระองค์ แต่พระองค์ทรงค้นพบดวงตาทั้งหลาย ทรงรู้ถึงอายุขัยของทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงพลานุภาพเหนือสิ่งถูกสร้างทั้งมวล

เราไม่อาจเข้าใจในสิ่งถูกสร้างของพระองค์ได้เลยแม้เพียงน้อยนิด เราจึงตกอยู่ในภวังค์แห่งพลานุภาพของพระองค์ และจำเป็นต้องสรรเสริญ น้อมบัญชาต่อความยิ่งใหญ่ กลานุภาพอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของพระองค์ จนถึง

ขณะนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่เร้นลับสำหรับเรา มันยิ่งใหญ่กว่าเรามาก สายตาของเราไม่ได้ช่วยในการมองเห็นสิ่งนั้นเลย

ปัญญาของเราก็ไม่อาจก้าวไปถึง ยังมีม่านแห่งความฉงนกั้นระหว่างเรากับสิ่งนั้น”

ใช่แล้ว ความสามารถอันหาที่เปรียบมิได้ของพระองค์นั่นเองที่ให้บังเกิดทุกสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่อยู่

นอกขอบเขตพลังอำนาจ และความสามารถของพระองค์ไปได้

จักรวาลนี้เกิดขึ้นจากพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า มันจะยังคงอยู่ตราบเท่าที่พระองค์ทรงประสงค์

ดวงเดือน ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และสุริยจักรวาล ล้วนโคจรตามอำนาจ และการบังคับบัญชาของพระองค์

ระบบแห่งการโคจรอันเป็นระเบียบของสิ่งเหล่านี้อยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ เมื่อไรที่พระองค์ต้องการล้มเลิกและนำระบบใหม่มา พระองค์ก็สามารถจะทำได้ มิใช่ว่าพอพระองค์สร้างโลกนี้แล้ว พระองค์ก็วางมือจากมัน ปล่อยให้มันดำเนินไปด้วยตัวของมันเองตามความประสงค์และต้องการของตัวเอง ไม่...ไม่ใช่ ไม่มีสิ่งใดเลยทีอยู่นอกพระประสงค์ของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดที่คิดจะมีก็มีขึ้นมา คิดจะมลายก็จากไปด้วยตัวเอง

 ดังนั้นผู้ให้กำเนิด ผู้ดูแล ผู้ปกครอง คือ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวนั่นเอง

กฎระเบียบที่เหนือกว่ากฎเกณฑ์ธรรมชาติ

จริงอยู่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้ว่างกฎเกณฑ์ธรรมชาติไว้ในโลกนี้ จากพื้นฐานของกฎเกณฑ์ดังกล่าว สามารถ

ตรวจสอบ คาดคะเน และพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคตได้ แต่ในบางกรณีพระองค์ได้ทรงแสดงให้เห็น

ถึงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ไพศาลของพระองค์ ด้วยการสร้างกฎเกณฑ์หนึ่งขึ้นมาตามความประสงค์ที่เหนือกว่า

และควบคุมกฎเกณฑ์ธรรมชาติเหล่านั้น

ตัวอย่างของกฎเกณฑ์อันสูงส่งนี้มีให้เห็นในประวัติศาสตร์ และในยุคสมัยของเรา

ในกรณีดังกล่าว เราจะเห็นว่า พระองค์มีอำนาจเหนือกิจการของใครด้วยวิธีการอย่างไร บางทีพระองค์ก็เชิดชูผู้ที่ตกต่ำไร้อำนาจวาสนา แต่กลับทำลายผู้หยิ่งยโสทั้งมวล

ด้วยเหตุผลนี้เอง บุคคลซึ่งมีอีหม่านมั่นคงต่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.) พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงปรีชาสามารถ พวกเขาจะไม่มีวันหมดหวังในการดำรงชีวิตเลยไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพคับขันเช่นใด รัศมีแห่งความหวังก็ยังฉายแสงอยู่

ท่ามกลางความมืดมิดแห่งความเศร้าและสับสน หัวใจที่ตื่นแล้วย่อมรับรู้ว่า เขาจะปลอดภัยด้วยกับความช่วยเหลือของพระองค์

ทุกคนคงได้เคยอ่าน หรือเคยยินเรื่องราวของท่านนบีมูซา(อฺ) และฟิรอูน :

ในเรื่องการกดขี่ ฟิรอูนไม่ได้เป็นสองรองใคร เขาได้ฆ่าเด็กชายชาว

บะนีอิสรออีล เพื่อ “ผู้ถูกสัญญา

ชาวบะนีอิสรออีล” (เขาได้ยินว่าบัลลังก์ของเขาจะถูกทำลายด้วยฝีมือของเด็กน้อยนี้) จะเกิดมาไม่ได้ เขาคิดว่าด้วยกับคำสั่ง การจัดการที่เฉียบขาด และการทำลายล้างกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ จะสามารถสกัดกั้นผู้ช่วยเหลือใน

นามของพระผู้เป็นเจ้าได้

แต่ความพยายามของเขาไร้ผลโดยสิ้นเชิง ในที่สุด “ผู้ถูกสัญญา” ก็ลืมตาดูโลกขึ้นมา

แม่ของเด็กน้อยได้รับแรงบันดาลใจว่า ให้ปล่อยลูกน้อยลงในตะกร้า ลอยไปในแม่น้ำไนล์

แม่น้ำไนล์นำเด็กน้อยล่องลอยไปถึงวังของฟิรอูน พอภริยาของฟิรอูนเห็นหล่อนได้เอาตะกร้าขึ้นจากน้ำ

เมื่อเห็นเด็กน้อยหล่อนได้วอนขอต่อฟิรอูนให้รับเด็กน้อยไว้เป็นบุตรบุญธรรม ฟิรอูนยอมรับ เขาถูกรักษาอยู่บนตักของฟิรอูน เจริญเติบโตขึ้นเพื่อเป็นผู้ทำลายมงกุฎ และบัลลังของฟิรอูนในที่สุด

*****

พลานุภาพของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) นั่นเองที่ทำให้ความพยายาม และเล่ห์กลอันสกปรกของพี่น้องของท่านนบียูซุฟ(อฺ) ไร้ผล ท่านนบียูซุฟ(อฺ) ตกอยู่ในบ่อ แต่ในที่สุดก็ได้ครอบครองเมืองอียิปต์

กุฟฟารมักกะฮฺร่าวสัตยาบันกันว่า พวกเขาจะต้องกำจัดท่านศาสดาของอิสลาม(ศ) ให้พ้นไปให้ได้ พวกเขาเริ่มทำร้ายมวลมุสลิม แม้กระทั่งปิดล้อมท่านศาสดา (ศ) และสหายของท่านในหุบเขา “อะบูฎอลิบ” เป็นเวลา

หลายปี

ในที่สุด พวกเขาก็ตกลงที่จะสังหารท่านศาสดาแห่งอิสลาม(ศ) ให้ได้ พวกเขาคาดเดาว่า ด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลโกงที่มีอยู่ สามารถทำให้งานของพวกเขา รุดหน้าไปได้ แต่ด้วยพระประสงค์และอำนาจของเอกองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.) ท่านศาสดา (ศ) ถูกพิทักษ์รักษาไว้ อิสลามเริ่มฉายแสงขึ้นทุกวัน ทำลายให้พวกกุเชและมุชริกีนถึงคราวหายนะ

สิ่งที่เราได้กล่าวไป และตัวอย่างอื่นๆ ทำให้เราได้รู้ความจริงว่า กฎเกณฑ์ของโลกนี้อยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ เมื่อไรก็ตามที่พระองค์ทรงต้องการและเห็นว่าเหมาะสม พระองค์ก็สามารถนำเอากฎเกณฑ์ใหม่ที่มี

อำนาจเหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติออกมาใช้ได้

 

มาถึงขณะนี้ ปัญญาและธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของเราสั่งว่า :

ณ เบื้องหน้าอำนาจอันยิ่งใหญ่ และเอื้ออารี พวกเราจะวิงวอน และวอนขอจากพระองค์ อะไรก็ตามที่ถือว่าเป็นการเคารพภักดีก็จงปฏิบัติมันเสีย จงอย่าได้ทำการใดอันเป็นการขัดแย้งต่อพระผู้สร้างของตัวเอง

พระหัตถ์อันทรงพลังของพระผู้อภิบาล นำพาเราให้ผ่านพ้นจากที่พักพิงอันหลากหลาย และที่อยู่ที่แตกต่างหันสู่ขั้นตอนแห่งการใช้สติปัญญา และความสามารถมันเป็นการสมควรดอกหรือที่เราจะลืมพระองค์ได้ ?

บุคคลที่รู้จักอัลลอฮฺ (ซ.บ.) และรู้ว่าเขามีผูให้การสนับสนุนที่ปรีชาญาณและมีพละกำลังความสามารถ เขาจะไม่มีทางหวั่นกลัวต่อปัญหาใดๆ

ปัญหาอันยุ่งยากสลับซับซ้อนใด และความทุกข์ยากอันยุ่งเหยิงใดที่อยู่ในความคิดของเขา เขาสามารถแก้ไขได้ และในที่สุดเขาก็จะเพียรพยายามให้ไปถึงจุดหมายด้วยความตั้งใจจริงเด็ดเดี่ยว ซึ่งเกิดจากอีหม่านต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขานั่นเอง เขาไม่เกิดความกลัวต่อสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเขาเห็นว่าตัวเขาตกอยู่ในร่มเงาของอำนาจอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมีพละกำลัง ความสามารถที่จะทำให้เขามีชัยชนะเหนืออุปสรรคทั้งมวล

อีหม่าน (ศรัทธา) ต่อพระผู้เป็นเจ้า ต่อพลานุภาพของพระองค์ได้เสริมกำลังให้ท่านศาสดา(ศ) ยืนหยัดด้วยตัวเองต่อการเผชิญหน้ากับกลุ่มชนผู้ยิ่งใหญ่ทำให้ท่าน(ศ) ได้ต่อสู้กับอุปสรรคทั้งมวล เพื่อให้แนวความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวมั่นคง อาศัยสิ่งเหล่านี้เองที่แนวความเชื่อของมนุษย์อันบริสุทธิ์ถูกก่อร่างสร้างขึ้น

มนุษย์คนหนึ่งที่หัวใจของเขาสูบฉีดด้วยอีหม่านที่มีต่อพระผู้อภิบาล เต้นแรงด้วยความรักไหลหลงยังองค์สัจจะ เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเขาอยู่โดดเดี่ยว สิ้นหวัง รัศมีแห่งพระผู้เป็นเจ้ายังคงฉายแสงอยู่ในดวงจิตของเขา

เป็นธรรมดาเหลือเกินที่ว่า มนุษย์คนนี้จะเตรียมพร้อมเพื่อวิถีชีวิตที่ดีกว่า และประเสริฐกว่าด้วยกับความตั้งใจจริงและกระตือรือร้น

บทที่ 11

เฉพาะอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ที่เราต้องเคารพภักดี

นับจากวันแรกที่มนุษย์ถูกบังเกิดขึ้นมาจากดิน เขาก็เริ่มต้นที่จะทำความเข้าใจต่อที่มาและจุดเริ่มต้นของสิ่งถูกสร้างทั้งมวล (รวมทั้งตัวเขา) ซึ่งก็เป็นไปตาม “ฟิฎเราะฮฺ” (ธรรมชาติดั่งเดิมอันบริสุทธิ์) ของเขานั่นเองที่

แสวงหาสาเหตุ และจุดเริ่มต้นแรกเพื่อจะได้เคารพภักดีสิ่งนั้น

มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ห่างไกลจากสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณีของบรรพชน ครั้งแรกที่เขาลืมตาขึ้น เขาจะพินิจพิจารณาถุงตัวเอง มองเห็นผืนแผ่นดินและแผ่นฟ้า กลางวันและกลางคืน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ การขึ้นและตกของสิ่งเหล่านี้ เขาได้สัมผัสสายลมอ่อนๆ สายฝน การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลต่างๆ การเจริญเติบโตของต้นไม้ใบหญ้านานาชนิด สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มีการเคลื่อนไหว การเจริญเติบโต การให้อาหาร

การสืบพันธุ์ ฯลฯ

เมื่อเขาย้อนกลับมาดูตัวเอง กลับมาพิจารณา มือ ขา ดวงตา หู จมูก ปาก ฟัน และอวัยวะอื่น ๆ พวกมันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ ทั้งหมดมีเป้าหมายอันเดียวกัน คือการดำรงชีวิตอยู่

เวลานั้นเมื่อเขาได้คิดไตร่ตรองว่า มันเหล่านี้มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันได้อย่างไร และในที่สุดเขาก็จะพบว่า ทั้งหมดนั้นมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน และรวมตัวกันเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มีแต่ความเป็นระบบ

ระเบียบในความเป็นหนึ่งเดียวและสัมพันธ์กันนี้

ชวนให้เขาพิจารณาในสิ่งต่อไปนี้ :

(1)

จะต้องมีผู้สร้าง และผู้ให้กำเนิดสิ่งเหล่านี้ เพราะความเป็นหนึ่งเดียวอันสูง ส่งนี้ไม่อาจเป็นผลผลิตจากความบังเอิญโดยเด็ดขาด

(2)

ในการบังเกิด และการสร้างของทุกสรรพสิ่ง เฉพาะอย่างซึ่งส่วนหนึ่งของสิ่งถูกสร้างนั้น เช่น มนุษย์มีเป้าหมายหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ถูกสร้างเล่น ๆ อย่างไร้สาระเป็นอันขาด

(3)

ผู้ที่ให้กำเนิดระบบระเบียบที่ว่านี้ จะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถอันสูงส่งและความยิ่งใหญ่อันหาที่เปรียบไม่ได้ และจำเป็นต้องให้เกียรติเขาผู้นั้น ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาจึงจำเป็นที่จะต้องก้มหัวอย่างนอบน้อม

อันเนื่องมาจากความยิ่งใหญ่ของเขา และจะต้องทำการเคารพภักดีเขาแต่เพียงผู้เดียว