พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม0%

พื้นฐานอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน: อัลลามะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอีย์
กลุ่ม:

ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24451
ดาวน์โหลด: 3265

รายละเอียด:

พื้นฐานอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 354 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24451 / ดาวน์โหลด: 3265
ขนาด ขนาด ขนาด
พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

ยัชดอน และอะฮฺรีมัน

จนถึงขณะนี้ เราก็ได้รู้ถึงความผิดพลาดของแนวความคิดของพวก

 “ษะนะวียะฮฺ” ที่เชื่อในเรื่อง “อะฮฺรีมัน-ยัชดอน” โดยวางอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อในสองสิ่งคือ ดี–ชั่ว เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจต่อปรัชญาของการมีชีวิตของสรรพสิ่งทั้งมวล และไม่ได้สนใจต่อระบบแห่งการสร้างสรรค์เลยจึงแบ่งสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นดีและชั่ว พวกเขาเข้าใจว่า ผู้สร้าง “ความดี” คือยัชดอน ส่วนผู้สร้าง “ความชั่ว” คืออะฮฺรีมัน ยังคงมีภารกิจในการทำความเลวร้ายต่อไป โดยหลอกให้ประชาชนกลัวภูตผีปีศาจ แม้กระทั่งเชื่อว่า ปีศาจแห่งความตายอยู่ในน้ำคอยคร่าชีวิตมนุษย์ ด้วยการมัดมือมัดเท้าให้จมน้ำตาย ในเรื่องดังกล่าว เขาไม่ได้อธิบายมันไว้อย่างพิสดาร สร้างภาพหวาดกลัวให้กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ คิดแต่เพียงว่า ประโยชน์และโทษที่ประสบกับตัวเขา คือ มาตรฐานวัดความดี ความชั่วของสิ่งที่ถูกสร้างอื่นๆ

สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้น ก็คือพวกชาตินิยมสุดโต่งบางพวกถึงขนาดรณรงค์เรื่องการบูชาชาติตัวเอง โดยบอกว่า พวกเขานั้นเป็น “พวกที่รักชาติ คิดว่าตัวเอง” เป็นผู้เจริญรอยตามแนวความเชื่อดังกล่าวข้างต้น เอาแนวความเชื่อที่ถูกฝังอยู่ในประวัติศาสตร์แล้วออกมาบังคับให้ประชาชนเชื่อฟัง

เป็นการถูกต้องที่เราจะต้องรักษาและสืบทอดทรัพย์สมบัติแห่งชาติแล้วไปเชื่อฟังปฏิบัติตามพวกเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ปัจจุบัน อิสลามได้ทำให้แนวความคิดของประชาชาติอิหร่านสว่างไสวขึ้น สายตาทุกคู่จ้องมาที่เรา เราจะต้องไม่ย้อนกลับไปรับแนวความเชื่อที่อุตริของบรรพชนในอดีต ประชาชาติมุสลิมเชื่อว่า “ไฟ” ก็เหมือนกับสรรพสิ่งอื่นๆ

บทที่ 13

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงยุติธรรม

พิจารณาจากบทเรียนก่อน

เราได้อ่านและเรียนรู้ว่า:

1) สรรพสิ่งต่างๆ และระบบอันยิ่งใหญ่วิเศษสุดนี้เป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงการมีอยู่ของพระผู้สร้าง ผู้ทรงรอบรู้และปรีชาญาณ

2) ความรอบรู้และปรีชาญาณของพระผู้เป็นเจ้าไม่อาจประมาณได้กับความคิดและปัญญาอันจำกัดของเราได้ ก็เพราะว่าสิ่งที่เราได้มองเห็นจากพลานุภาพและความรอบรู้อันหาที่เปรียบมิได้ของพระองค์ในโลกของ

สิ่งถูกสร้างนี้ เราจะพบว่า: มันคือ มุมเล็กๆ มุมหนึ่งจากที่รวมอันมหึมาและยิ่งใหญ่ของสิ่งถูกสร้างทั้งมวล ซึ่งหลักฐานแต่ละชิ้นก็คือ

การดำรงอยู่บนพลานุภาพอันไร้ขอบเขตและความรู้อันไม่สิ้นสุดของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง

ในโลก เป็นสิ่งถูกสร้างของอัลลอฮฺเหมือนกับตัวเขา พวกเขาจะไม่กลัวปีศาจลวงพวกนั้นเป็นอันขาด เขาเชื่อว่าโลกแห่งการสร้างสรรค์ มีความสัมพันธ์ต่อกันและดีด้วยกันทั้งนั้น ยัซดอนและอะฮฺรีมัน นั้นเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุด

การศึกษาเรื่องราวในอดีตนั้นเพื่อเป็นบทเรียนเท่านั้น มิใช่จะเกินเลยกว่านี้

ประชาชนไม่อาจรับรู้และแยกแยะอุดมการณ์ที่ถูกต้อง และเข้าไปอยู่ภายใต้อุดมการณ์เหล่านั้นได้

ในทางกลับกัน จากกฎเกณฑ์ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้านั้น ประชาชนสามารถที่จะค้นพบความจริงของสิ่งเหล่านั้น

ด้วยกับ “มุอฺญิซาต” สัญลักษณ์และสัญญาณต่างๆ ที่เป็นความจริง ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้กับบรรดาศาสนทูต เขาสามารถพินิจพิจารณา และเป็นพยานยืนยันได้อย่างสมบูรณ์กับทุกคน แม้กระทั่งกับผู้ปฏิบัติสัจธรรมเองก็ตาม พวกเขาไม่อาจใช้ข้ออ้างที่ว่าไม่รู้จักสัจธรรมเพื่อปฏิบัติการละเมิดได้เลย

ความจำเป็นในการแต่งตั้งศาสนทูต

พอจะประมวลเป็นหัวข้อได้ดังนี้

1) การให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์ในทุกด้าน คือปัจเจกชน สังคม และด้านจิตวิญญาณ ซึ่งก็คือเป้าหมายทั้งมวลของการสร้างนั่นเอง

2) ธรรมชาติดั่งเดิมอันบริสุทธิ์ และสามัญสำนึกเพียงด้านเดียวไม่เพียงพอต่การแสวงหาความสมบูรณ์ที่แท้จริงของมนุษยชาติ

3) อุดมการณ์ทั้งหลายของมนุษย์ (ที่มนุษย์เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา) ไม่สามารถให้คำตอบที่สมบูรณ์ต่อความต้องการอันลุ่มลึกของมนุษย์ได้ และมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นหลักประกันว่า ต้องปฏิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

4) ด้วยกับการมาของบรรดาศาสทูต และการถูกรับรองการเป็นศาสนทูตโดยอาศัย “มุอฺญิซาต” (สิ่งพิสูจน์ที่ทำให้ยอมจำนนโดยสิ้นเชิง) ทำให้สัจธรรมแยกออกจากความหลงผิดโดยชัดแจ้ง ไม่มีใครสามารถที่จะทำผิดโดยอ้างว่า เขาไม่อาจตรวจสอบ และแยกแยะสัจธรรมได้

เราได้พบว่า การมาของบรรดาศาสทูต เพื่อความสมบูรณ์แห่งการเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งจำเป็น รหัสย์ที่บรรดาศาสนทูตถูกแต่งตั้งมา ก็คือมันเปน็ สิ่งที่มนุษยชาติมีความต้องการตามแนวทางแห่งการทำให้สมบูรณ์ยิ่งๆขึ้นไปโดยอาศัยสิ่งอันมีค่านั้น ความคิดพวกเขาถูกทำให้กระจ่างขึ้น เพื่อก้าวย่างไปในแนวทางแห่งความผาสุกที่แท้จริง เป็นไม่ได้เลยที่จะคิดว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงปรีชาญาณ จะทรงปล่อยให้มนุษย์อยู่ในโลกนี้ โดยปราศจากกฎเกณฑ์ และหน้าที่ทั้งมวลหรือปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ในมือผู้หยิ่งยโสทั้งหลาย จนกระทั่งพวกเยาได้นำพวกมนุษยชาติสู่ความต้องการอันไร้แก่นสารและเป็นโมฆะ อีกทั้งยังเป็นตัวหยุดยั้งความสมบูรณ์ที่แท้จริง

บูอาลี (อะบูอะลี ซินา) เขียนไว้ใน “อัชชิฟา” ว่า:

“ความต้องการการแต่งตั้งศาสนทูต ในการคงสายพันธ์ของมนุษย์ และได้มาซึ่งความสมบูรณ์แห่งการมีชีวิตอยู่ของเขานั้น มีความจำเป็นยิ่งกว่าการงอกของคนคิ้ว ขนตาและรอยบุ๋มของอุ้งเท้าเสียอีก” (1)

ดังนั้นการไปให้ถึงยังเป้าหมายแห่งการถูกสร้าง ความสมบูรณ์แห่งการสร้างสรรค์ และความสมบูรณ์ทั้งด้านวัตถุและจิตใจนั้น พระผู้สร้างผู้ทรงยิ่งใหญ่จะต้องส่งบุรุษหนึ่งในตำแหน่งของผู้ถือสาส์น นับตั้งแต่เริ่มต้นสร้างมนุษย์ เพื่อชี้นำประชาชาติด้วยกับรัศมีอันเกรียงไกรและวะฮฺยูอันสูงส่ง

ท่านฮิชาม บินฮะกัม (ร.ฎ.) กล่าวว่า:

ท่านอิมามศอดิก(อฺ) ได้ตอบคำถามที่ไม่มีศรัทธาต่อพระเจ้าคนหนึ่งที่เขาได้ตั้งคำถามว่า ความจำเป็นในการแต่งตั้ง และความถูกต้องในการเป็นผู้ถือสาส์นของบรรดาศาสนทูตต่างๆ นั้น ท่านได้พิสูจน์มาจากไหน?

โดยท่าน(อฺ) ตอบว่า:

“ข้าได้พิสูจน์แล้วว่า ผู้ที่สร้างเราขึ้นมานั้นบริสุทธิ์จาก (คุณลักษณะ) ทุกอย่างที่เป็นของสิ่งที่ถูกสร้าง มีวิทยปัญญาสูงส่งยิ่งกว่า เหนือกว่า (จากคุณลักษณะทั้งปวงของสิ่งที่ถูกสร้าง) คนทั่วไปไม่อาจเห็นพระองค์ได้โดยตรง ไม่อาจสัมผัสหรือพูดคุยสนทนากับพระองค์ได้ (เพื่อสอบถามหน้าที่ของตัวเองได้โดยตรง) ดังนั้นมันจึงเป็นบทพิสูจน์ว่า ในหมู่ประชาชนทั่วไปจะต้องมีทูตหรือตัวแทน ซึ่งเป็นตัวกลางระหว่างพระองค์กับปวงบ่าว

ของพระองค์

และทำการชี้นำเขาเหล่านั้นไปยังสิ่งที่เป็นคุณค่าและเหมาะสมที่สุดสำหรับเขา การคงอยู่หรือการสูญสิ้นของประชาชาติหนึ่งประชาชาติใดเกี่ยวพันกับการปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเขานั่นเอง

ดังนั้น (ความจำเป็นในการมีอยู่ของ) ผู้สั่งใช้ ผู้สั่งห้าม และสื่อกลาง ระหว่างอัลลอฮฺ (ซ.บ) ผู้ทรงปรีชาญาณ และวิทยปัญญาซึ่งได้เป็นที่ประจักษ์ในหมู่ประชาชน จึงเป็นความจำเป็นอันยิ่งยวด ซึ่งพวกเขาก็คือ

บรรดาศาสนทูตและผู้ถูกคัดเลือกสรร ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสั่งสอนจริยธรรมมารยาทด้วยวิทยปัญญาของพระองค์และทรงแต่งตั้งเขาด้วยสิ่งดังกล่าว และด้วยกับสภาพที่ปรากฏในการถูกสร้างที่เหมือนกับบุคคลอื่น แต่คนเหล่านั้นก็ไม่มีส่วนเหมือนในสภาพจิตวิญญาณของพวกเขาเลย

 อัลลอฮฺ (ซ.บ) ผู้ทรงวิทยปัญญาและปรีชาญาณ สนับสนุนเขาเหล่านั้นด้วยกับวิทยปัญญา และปกปักรักษาพวกเขาในพ้นจากความผิดพลาดใดๆ ทั้งมวล จงรู้ไว้ว่า แนวทางการพิสูจน์บรรดาศาสนทูตและผู้สัตย์จริง ที่กล่าวอ้างในการเป็นศาสนทูตในทุกยุคทุกสมัยก็คือ เหตุผล ข้อพิสูจน์และสัญลักษณ์ อันสัจจะ (มุอฺญิซาต) นั้นเอง ซึ่งพวกท่านเหล่านั้นได้นำมันมาเพื่อไม่ให้โลกนี้ว่างเปล่าจากข้อพิสูจน์อันชัดแจ้ง (ที่มาพร้อมกับสัญลักษณ์ซึ่งเป็นตัวยืนยันถึงคำพูดที่เป็นสัจจะ และการกระทำที่เที่ยงตรงของพวกเขา)” (2)

(1) จากหนังสือ “ชิฟา” บทที่ว่าด้วย “อิลาฮียาต” เรื่อง “นุบูวะฮฺ”

อันที่จริงกฎระเบียบที่มาจากฟากฟ้าไม่ได้อ้างอิงเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่มันจะชี้นำและนำทางในทุกๆด้านกล่าวคือ:

การบริหารงานปกครอง การตำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม การเศรษฐกิจ วิทยปัญญา ความบริสุทธิ์ ความมีเกียรติ ความเป็นเพื่อน ความรักสมัครสมาน ความเท่าเทียมกัน การชี้นำ การอบรมสั่งสอนวิชาความรู้ พละกำลัง

หน้าที่ส่วนตัว หน้าที่ทางสังคม การเคารพภักดี และกฎเกณฑ์หลักที่จะเป็นตัวอธิบายปัญหาย่อยๆ มันทั้งหมด คือเป้าหมาย และจุดประสงค์ในการนำเสนออุดมการณ์ของศาสนาต่างๆ (3)

 เฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการดำเนินชีวิตแนวทางสุดท้าย อันหมายถึง “อิสลาม” นี้ จากพื้นฐานความคิดดังกล่าว มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะสามารถไปถึงยังขั้นสุดท้ายแห่งความสมบูรณ์ในสามองค์ประกอบแห่งการดำรงชีวิตของตัวเอง

เช่นเดียวกับ อุดมการณ์แห่งฟากฟ้า (หมายถึงศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า) ไม่ได้ให้ความสนใจแต่เพียงกลุ่มชนเดียว แต่ให้ความสนใจในทุกระดับกลุ่มชน และแยกแยะสิทธิ หน้าที่ของทุกคนไว้แล้ว

 ดังนั้น กลุ่มบุคคลที่ที่คิดว่าศาสนา คือผลผลิตขอกลุ่มผู้ปกครองและผู้มีอันจะกิน พวกนายทุน เจ้าจองที่ดิน ที่สร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองจึงตกอยู่ในความคิดที่ผิดพลาด และเป็นบุคคลที่ไม่ได้ใส่ใจต่อแง่มุมของศาสนาและที่มาของมันเลย ไม่เพียงเท่านั้น ประวัติศาสตร์ คือตัวยืนยันเสมอว่า กลุ่มบุคคลที่มีเกียรติยศ ผู้ร่ำรวย ไม่เคยมีส่วนร่วมในขบวนการของบรรดาศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าเลย

อีกทั้งยังร่วมคัดค้านต่อสู้กับศาสนาแห่งฟากฟ้าอยู่ตลอดเวลา ด้วยกับการกดขี่ รีดนาทาเร้น การล่วงล้ำสิทธิของพวกนายทุนและเจ้าของที่ดิน

ผู้ปกครอง นักวิชาการ คนชนบท คนยากไร้ และกลุ่มบุคคลอื่น ได้ก้าวเข้ามาสู่ศาสนา และค้นพบว่าความปรารถนา ความต้องการทางธรรมชาติ และความรู้สึกอันละเมียดละไมของเขามีอยู่ในกฎระเบียบที่ชัดแจ้งนี้

 และยังรู้สึกว่ามีเพียงศาสนาเท่านั้นที่สามารถจะนำพาพวกเขาไปสู่ความสมบูรณ์พูนสุขที่แท้จริงได้ ความโน้มเอียงของมนุษย์มาสู่ศาสนาก็เป็นไปเพราะเหตุผลดังกล่าว

เป็นที่น่ายินดีว่า ผู้แสวงหาความรู้ความเข้าใจในปัจจุบันได้ค้นพบคุณค่าของศาสนามากยิ่งขึ้น และเชื่อมันว่าความสงบสุขที่แท้จริง

และการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์จะเกิดขึ้น ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งศาสนา และอีหม่านต่อพระผู้เป็นเจ้า

ความจำเป็นในเรื่อง “มุอฺญิซาต”

หลังจากที่มนุษย์รู้แล้วว่า การจะได้มาซึ่งความสมบูรณ์พูนสุขที่แท้จริงในทุกๆ ด้านนั้น มีความจำเป็นอันยิ่งยวดที่ต้องอาศัยทางนำ

ของบรรดาศาสนาทูตต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบ และความพยายามอันยิ่งใหญ่ของพวกท่าเท่านั้นที่จะเป็นฐานสร้างอันยิ่งใหญ่สำหรับความสมบูรณ์อันเป็นนิรันดร์ และความก้าวหน้าแห่งความเป็นมนุษย์ แน่นอนพวกเขาจะต้องเกิดความรู้สึกศรัทธาที่เต็มไปด้วยความตั้งใจจริง และความรักที่มีต่อผู้ขัดเกลาที่หวังดี ผู้นำที่เสียสละ และบริสุทธิ์ปราศจากมลทินเหล่านั้น

ความตั้งใจจริงและศรัทธาที่มั่นคงนี้จะมีถึงขนาดที่ว่า พวกเขาจะไม่รีรอที่จะเสียสละในวิถีทางแห่งการทำให้เป้าหมายของบรรดาศาสนทูตก้าวหน้าต่อไป ส่วนมากแล้วพวกเขาให้ความปรารถนาของท่านเหล่านั้น นำหน้าความปรารถนาและความต้องการของตัวเอง

แต่การมีอำนาจที่เบ็ดเสร็จ อิทธิพลอันกว้างใหญ่ไพศาลและความมั่นคงของบรรดาศาสนทูตเหล่านี้ อีกทั้งความรักและความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพวกท่านเหล่านั้น ทำให้กลุ่มบุคคลที่หวังในลาภยศคิดชั่วช้าตามใจปรารถนาของตัวเองเพื่อหวังจะเป็นผู้มีอิทธิพลและบารมีขึ้นมาบ้าง ด้วยการอวดอ้างการเป็น ศาสนทูตและผู้สื่อสาส์น

จากสาเหตุนี้เอง ถ้ามีใครอ้างตัวว่าเป็น ศาสนทูตและมีกลุ่มคนที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขาก็จะต้องไม่หลงเชื่อโดยปราศจากการตรวจสอบ เพราะบางทีอาจเป็นการล่อลวงก็ได้ แม้ในปัจจุบันก็ยังมีกลุ่มคนเป็นจำนวนมากที่อวดอ้างสรรพคุณและมีกลุ่มชนเชื่อถือตามเขา

เพื่อที่จะทำให้ความเป็นจริงของบุคคลที่แอบอ้างว่าเป็น ศาสนทูตได้กระจ่างขึ้น จำเป็นที่จะต้องมีข้อยืนยันหนึ่งนำมาพิสูจน์ความเป็น ศาสนทูตของตัวเอง เพื่อทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความมั่นใจต่อคำพูดของเขา

และยอมรับการพิสูจน์ของพวกเขา อาศัยสิ่งนี้นั่นเองที่บรรดาศาสนทูตที่แท้จริงได้รับการแบ่งแยกออกมาจากคนที่เป็นศาสดาจอมปลอม ประจักษ์พยานและสัญลักษณ์ที่เป็นตัวทำให้ความเป็น ศาสนทูตที่แท้จริงเปิดเผยขึ้น

“มุอฺญิซาต” ซึ่งอัลลอฮฺ(ซ.บ) ได้ประทานให้แก่บรรดาศาสนทูตของพระองค์สำหรับป้องกันไม่ให้บ่าวของพระองค์ตกอยู่ในความผิดพลาดและปลอดภัยจากความชั่วร้ายของผู้ล่อลวงเหล่านั้น เพื่อโฉมหน้าที่ท้าจริงจะไม่

ถูกปกปิดอีกต่อไป

จนถึงเดี๋ยวนี้ เราก็รู้แล้วว่า บรรดาศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าจะต้องมี “มุอฺญิซาต” เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รู้ว่าพวกเขามาจากพระผู้เป็นเจ้า สิ่งใดที่เขาพูดเป็นความจริงทุกประการ เพื่อให้ตั้งใจฟังในคำสั่งสินของ

พระผู้เป็นเจ้าอย่างมั่นใจและนำคำสอนที่อยู่ในรูปของความเชื่อและความศรัทธาแปรออกมาเป็นการปฏิบัติอย่างแท้จริง

มุอฺญิซาตคืออะไร

“มุอฺญิซาต” คือ การงานที่บรรดาศาสนทูตได้กระทำขึ้นด้วยความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อยืนยันถึงการประกาศสาส์นของตัวเอง โดยที่บุคคลอื่นไม่สามารถทำได้ มุอฺญิซาตมีไว้เพื่อยืนยันสาส์นที่มาจากฟากฟ้า

มีคนบางกลุ่มที่ชอบสร้างเงื่อนไข วอนขอให้บรรดาศาสนทูตแสดงมุอฺญิซาต มิใช่ เพื่อต้องการคำยืนยันในสาส์นนั้นแต่อันเนื่องมาจากความเป็นศัตรูต้องการลองดี

และบางทีต้องการให้ท่านเหล่านั้นทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับสติปัญญา แต่... บรรดาศาสนทูตของท่านเหล่านั้นแล้ว จึงไม่ยอมทำตามความต้องการของพวกเขา และทำให้พวกเหล่านั้นเข้าใจว่า หน้าที่ของบรรดาศาสนทูตคือ ชี้นำ แจ้งข่าวดีและตักเตือน ส่วน “มุอฺญิซาต” นั้นต้องได้รับการอนุญาตจากพระผู้เป็นเจ้าและเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์

ดังที่อัล- กุรอานได้ให้คำตอบไว้ว่า:

“จงกล่าวเถิด อันที่จริงสัญลักษณ์ต่างๆ (อันเป็นสิ่งชี้นำ) ณ อัลลอฮฺ ฉันเป็นเพียงผู้ทำหน้าที่ตักเตือนที่ชัดแจ้งเท่านั้น”

 (อัล-อังกะบูต: 50) และอัล- กุรอาน ยังกล่าวอีกว่า

“ศาสนทูตไม่มสิทธิที่จะนำสัญลักษณ์ต่างๆ มาแสดงได้นอกจากเป็นไปตามคำอนุญาตของอัลลอฮฺ”

(ฆอฟิร: 78)

บทที่ 16

ทำไมบรรดาศาสนทูตต้องเป็นมะศูมด้วยและเป็นอย่างไร

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงวิทยญาณ ทรงแต่งตั้งบรรดา

ศาสนทูตขึ้นมา เพื่อให้สังคมมนุษยชาติได้หวนกลับมาสู่แนวทางที่สุดต้องจากที่เคยอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่หมิ่นต่อความหายนะด้วยกับการนำและชี้นำของพวกท่านเหล่านั้น อีกทั้งยังสามารถที่จะก้าวไปสู่ขั้นสูงสุดแห่งการพัฒนา สู่ความสมบูรณ์ที่แท้จริงและคุณลักษณะอันงดงาม

จากสาเหตุดังกล่าวนั้นเองที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงปราณี และวิทยปัญญาปกป้องศาสนทูตและผู้ถือสาส์นของพระองค์ให้พ้นจากความผิดพลาดทั้งมวล

 กล่าวโดยสรุปก็คือ

พระองค์ประทานเป็นมะอฺศูม (บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน) ให้กับพวกท่านเหล่านั้นเพื่อให้พวกท่านสามารถนำพามนุษย์ชาติสู่ความสมบูรณ์ที่แท้จริงในทุกๆ ด้าน และนำพาคนเหล่านั้นให้เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งพระผู้เป็นเจ้าโดยปราศจากการผิดพลาดใดทั้งสิ้น

เหตุผลที่ชัดเจนยิ่งกว่านั้น ก็คือเหตุผลเดียวกับที่บ่งบอกให้รู้ถึงความจำเป็นในการส่งศาสนทูตมานั่นเอง

บ่งบอกให้รู้ว่า บรรดาศาสนทูตจะต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากความบาป ความสกปรกโสมม และข้อผิดพลาดอื่นใดทั้งปวง

ก็เพราะว่าเป้าหมายและจุดประสงค์ในการแต่งตั้งบรรดาศาสนทูตก็คือ นำพาสังคมสู่การได้รับทางนำและการอบรมสั่งสอน เป้าหมายเหล่านี้จะถูกทำให้ปลอดภัยภายใต้ร่มเงาแห่งความเป็นผู้บริสุทธิ์ของบรรดาศาสนทูต และผู้สื่อสาส์นเท่านั้น แน่นอนเหลือเกินว่า การกระทำที่น่ารังเกียจ ไม่เหมาะสม การกระทำบาป และการมีความผิดพลาดใดๆ ทั้งมวลนั้นจะมีผลทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดี ไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เป้าหมายที่ถูกวางไว้ คือการชี้นำและการอบรม สั่งสอนสังคมนั้นก็จักต้องมีอันมลายไป

อันที่จริง เราก็รู้ดีว่า คนที่มีปัญญานั้นจะไม่วางเป้าหมายไม่สมบูรณ์อะไรก็ตาม ที่มีผลอย่างใหญ่หลวงต่อการนำพาสู่เป้าหมายที่ไดว้ างไว้แล้ว เขาจะต้องระมัดระวังมัน ตัวอย่างก็คือ ชายคนหนึ่งต้องการจัดงานเลี้ยงที่มีคนมีเกียรติเข้าร่วมงาน เขาก็รู้ว่าคนพวกนั้น ถ้าไม่ถูกเชิญอย่างให้เกียรติละก็ จะไม่ยอมมางานโดยเด็ดขาด เขาย่อมจะไม่ส่งคนที่คนพวกนั้นมีความรู้สึกไม่ดีต่อเขาผู้นั้นไปให้คนเหล่านั้นยอมรับคำเชิญ ถ้าเขาไม่ทำเช่นนี้ การกระทำของเขาก็เรียกว่าไม่ใช่การกระทำของคนที่มีความคิด แถมยังน่าเกลียดอีกต่างหาก

อัลลอฮฺ (ซ.บ) ผู้ทรงปรีชาญาณ และผู้ทรงเมตตา ก็เช่นเดียวกัน อะไรที่มีผลในการชี้นำและสั่งสอนประชาชน พระองค์จะต้องเอาใจใส่ พระองค์ไม่ต้องการให้ประชาชนปฏิบัติตาม และเชื่อฟังมนุษย์ที่ไม่บริสุทธิ์

ซึ่งยังมีความผิดต่างๆอยู่ และยังห่างไกลจากความสมบูรณ์อย่างแท้จริง

 ดังนั้นพระองค์จึงต้องส่งบรรดาศาสนทูตที่ไร้มลทินมาเพื่อชี้นำ และอบรมสั่งสอนประชาชนให้ได้ดีที่สุด

เราจะได้อ่านรายละเอียดต่อไปนี้ว่า ทำไมบรรดาศาสนทูตต้องเป็น

1) ในแง่ของการอบรมสั่งสอน

ในบทก่อนๆ ได้ผ่านสายตาไปแล้วว่า สาเหตุของการแต่งตั้งศาสนทูตก็คือ “อบรมสั่งสอนมนุษยชาติ”

เรารู้ว่าในเรื่องการอบรมนั้น การปฏิบัติของผู้ให้การอบรมนั้นมีผลต่อตัวของผู้ถูกอบรมยิ่งกว่าคำพูด และคำชี้นำตักเตือนของเขาเสียอีก

พฤติกรรมของผู้ให้การอบรมสามารถที่จะนำการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่มาสู่ตัวของมนุษย์คนนั้น ก็เพราะว่ามนุษย์นั้นตามหลักทั่วไปของจิตวิทยาจะค่อยๆ ทำให้ตัวเองกลืนไปกับมารยาท และพฤติกรรมของผู้ให้การอบรมของตัวเอง

คำพูดอย่างเดียวไม่อาจมีบทบาทต่อการอบรมสั่งสอนได้ ทว่าการอบรมสั่งสอนประชาชาติ ซึ่งเป็นอุดมการณ์ของสาส์น เผยแพร่นั้น

บรรดาศาสนทูตจะต้องมีคุณลักษณะแลพฤติกรรมที่ดีงามไม่แปดเปื้อนไปด้วยการทำบาป และความผิดพลาดใดๆ เพื่อชักชวนให้ชาวโลกมาสู่เป้าหมายอันศักสิทธิ์ของตัวเอง

เป็นที่กระจ่างว่า ที่ใดก็ตามที่แปดเปื้อนด้วยความบาป ที่นั้นจะไม่มีกำลังที่แข็งแกร่งทางจิตใจที่สามารถบั่นทอน และเขย่าจิตวิญญาณของมนุษยชาติได้ถึงแม้ว่าเขาจะทำบาปโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้เลยก็ตาม

การแสดงความไม่พอใจอย่างมาก และสภาวะที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของบรรดาศาสนทูต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสดาของอิสลาม (ศ) ที่มีต่อการทำความชั่ว และการทำบาปของประชาชน นั้นคือพยานยืนยันที่ดีสุดว่าพวกท่านเหล่านั้นรังเกียจการทำบาปอย่างเข้ากระดูก และไม่มีวันที่จะตกอยู่ในสภาวะอันต่ำช้าอย่างนั้นได้เลย

รหัสย์แห่งความก้าวหน้าที่สำคัญยิ่งของบรรดาศาสนทูต ก็คือความสัมพันธ์กันระหว่างคำพูดกับการกระทำของท่านเหล่านั้น ความสัมพันธ์อันนี้เองที่สามารถเปลี่ยนความคิดของมนุษย์ได้ และนำพาสังคมสู่ความสมบูรณ์อันสูงสุด

2) การยอมรับและให้ความไว้วางใจ

อีหม่านและการไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนที่มีต่อผู้พูดมากเท่าใดการให้การยอมรับของพวกเขาต่อคนนั้นก็จะยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาศาสนทูตผู้ทำหน้าที่อธิบายคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าและเป็นผู้ตักเตือน ห้ามปรามประชาชนจากการทำผิดก็ยิ่งต้องมีคุณลักษณะที่เลอเลิศ ปราศจากมลทิน และการกระทำที่หน้ารังเกียจ อีกทั้งต้องไม่เป็นผู้ที่ทำบาปนั้นๆ เองอีกด้วย เพื่อให้ประชาชนได้ไว้วางใจในตัวเขามากยิ่งขึ้น ยอมรับคำพูดและการชี้นำของเขา พยายามปฏิบัติทุกอย่างที่เป็นกฎเกณฑ์ คำสั่งและข้อบังคับต่างๆ ยอมรับการเป็นผู้นำอันเนื่องจากความสูงส่งทางจิตใจของพวกเขา ทำให้เป้าหมายของการแต่งตั้งศาสนทูตซึ่งก็คือการเชิญชวนสู่ความสมบูรณ์ในทุกๆด้านของมนุษย์เป็นรูปเป็นร่างขึ้น