พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม0%

พื้นฐานอิสลาม ผู้เขียน:
กลุ่ม: ห้องสมุดหลักศรัทธา

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน: อัลลามะฮ์ ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอีย์
กลุ่ม:

ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24534
ดาวน์โหลด: 3301

รายละเอียด:

พื้นฐานอิสลาม
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 354 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 24534 / ดาวน์โหลด: 3301
ขนาด ขนาด ขนาด
พื้นฐานอิสลาม

พื้นฐานอิสลาม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

 นอกจากกรณีดังกล่าวนี้ ถ้าไม่เป็นไปตามนี้แล้วจุดมุ่งหมายไว้ซึ่งกรณีนี้ย่อมห่างไกลจากวิทยญาณของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน

นี่ก็คือสภาพแห่งความบริสุทธิ์ และเหมาะสมอย่างที่สุดของบรรดาศาสนทูตที่ชักนำผู้คนให้มารายล้อมพวกท่าน จนกระทั่งผู้ติดตามบางคนของพวกท่าน เขามีความรักอย่างสุดซึ้งต่อท่านเหล่านั้น ยอมเสียสละในแนวทางแห่งการเชื่อฟังและปฏิบัติตามท่านเหล่านั้น

ส่วนในกรณีที่ว่า คนธรรดาสามารถที่ถูกปกปักรักษาจากการทำบาปได้อย่างไร? เป็นเรื่องที่จะต้องพูดคุยและหาข้อสรุปกันต่อไปดังนี้

(ก) ความรักที่แท้จริง

บรรดาศาสนทูตของพระผู้เป้ฯเข้าคือผู้ที่รักยิ่งของพระผู้อภิบาลผู้ทรงเมตตาปราณี มิใช่หรือ? พวกท่านเหล่านั้นรู้จักพระผู้เป็นเจ้าดีมากกว่าใครทั้งหมดด้วยกับสายตาอันกว้างไกล และความคิดอ่านที่ยากจะหยั่งได้

พวกท่านเหล่านนั้นรู้ถึงความสูงส่ง ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ว่าเหนือสิ่งอื่นใด ค้นพบแล้วว่า เพียงพระองค์เท่านั้นที่ควรค่าแก่การมอบความรักและการเชื่อฟังให้ ไม่มีอะไรอยู่ในความคิดของคนกลุ่มนี้นอกจากความพึงพอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า จะไม่มอบหัวใจกับผู้ใดนอกจากพระองค์ เสียสละทุกอย่างได้เพื่อพระองค์ และรู้ว่าผู้ใดที่เขาควรเคารพสักการะ

ด้วยเหตุนี้เอง ที่บรรดาศาสนทูตยอมรับความยุ่งยาก และปัญหาทั้งมวลในการเผยแพร่ได้เป็นอย่างดี เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์อันน่าระทดใจ พวกท่านเหล่านั้นก็จะฟันฝ่ามันด้วยดวงหน้าที่เบิกบานระลึกถึงแต่พระผู้เป็นเจ้าด้วยการยิ้มแย้ม

 สิ่งที่พวกเขาประสบความระทมทุกข์ในแนวทางบุคคลอันเป็นที่รัก คือความอิ่มเอมใจในความปิติสุข

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกความเพียรพยายามอย่างไม่หยุดหย่อนของบุรุษแห่งฟากฟ้า และผู้ถือคบเพลิงแห่งทางนำเหล่านี้ อีกทั้งการกระทำอันชั่วร้ายของกลุ่มชนบางกลุ่มที่กระทำต่อพวกท่านเหล่านั้น ถ้าไม่ใช่ด้วยสาเหตุของความรักอันใหลหลงที่มีต้อพระผู้เป็นเจ้า และปฏิบัติทุกอย่างตามคำสั่งพระองค์แล้วในการเผชิญหน้ากับมรสุมดังกล่าว ยังจะมีสาเหตุใดอีกเล่า

พวกเขาเหล่านั้นผู้ตั้งมันในแนวทางของผู้เป็นที่รักของตน จะไม่กล่าวคำพูดใดออกมานอกจากเป็นไปตามประสงค์ของผู้นั้น ไม่มีหัวใจห้องใด จิตวิญญาณดวงใด และความคิดอันใดที่ปราศจากซึ่งการระลึกถึงผู้นั้น

จะเชื่อได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้จะขัดขืนต่อคำสั่งของผู้นั้น (พระผู้เป็นเจ้า) หมายถึง หัวใจคิดใฝ่ชั่ว?

พวกท่านเหล่านั้นจะต้องพยายามอย่างหนักในแนวทางแห่งการเชื่อฟังและยอมมอบตนต่อพระองค์ อีกทั้งมอบความรักอย่างสุดชีวิต

มีคนเคยกล่าวกับท่านร่อซูลุลลอฮฺ (ศ) ว่า

“ทำไมถึงต้องลำบากลำบนในการทำอิบาดะฮฺขนาดนั้น ทั้งๆที่ท่านนั้นสะอาด บริสุทธิ์ปราศจากมลทินทั้งหลายทั้งปวงแล้ว?

ท่านศาสดาผู้ทรงเกียรติ(ศ) ตอบว่า

“จะไม่ให้ฉันเป็นบ่าวผู้รู้คุณต่อพระผู้อภิบาลอย่างนั้นหรือ?” (1)

ท่านอะมีรุลมุมินีน อะลี(อ) ได้ชี้ให้เห็นถึงคุณลักษณะอันสูงส่งของท่านศาสดา(ศ) ไว้หลายอย่างด้วยกัน

ส่วนหนึ่งก็คือ:

“อัลลอฮฺ(ซ.บ) ได้ทรงคัดเลือกและแต่งตั้งมุฮัมมัด (ศ) ให้เป็นศาสดาในสภาวะที่เป็นทั้งพยานยืนยันต่อสิ่งถูกสร้างทั้งมวล ผู้แจ้งข่าวดี และผู้ตักเตือนในวัยเด็ก ท่านเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง พอโตขึ้น

ท่านก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด ทั้งกิริยามารยาท รูปร่างหน้าตาใสสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ผ่องใสมากกว่าผู้ใด ความเอื้ออาทรประดุจดังสายฝนอันเย็นฉ่ำของท่านมีมากกว่าผู้เอื้ออาทรใดในหล้า (2)

“ท่านคือ ผู้นำของมวลผู้ยำเกรง ผู้ส่องประทีปนำทางแก่ผู้ได้รับทางนำ” (3)

ใช่แล้ว การรู้จักพระผู้เป็นเจ้าที่สมบูรณ์แบบของบรรดาศาสนทูตมีความรู้สึกอันมั่นคง และจริงแท้ต่อพระผู้อภิบาลก่อให้เกิดสภาวะการถูกปกปักรักษาให้พ้นมลทิน ไม่เพียงแต่มันจะหักห้ามจากการทำชั่ว และการทำบาปเท่านั้น แม้กระทั่งความคิดที่จะกระทำบาปก็ยังไม่ปรากฏขึ้นเลย

(ข) ญาณทัศนะที่ล้ำลึก และสมบูรณ์ของบรรดาศาสนทูต

ทัศนะของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันออกไป บุคคลหนึ่งรู้ว่ามีเชื้อโรคอยู่ในแก้วน้ำใบหนึ่ง รู้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากเชื่อโรคนั้น เขาจะไม่ยื่นมือไปแตะแก้วน้ำนั้นเป็นอันขาด ส่วนบุคคลที่ไม่รู้อะไรเลย

แม้กระทั่งว่า เชื้อโรคเป็นอย่างไรก็อาจถูกล่อลวงด้วยแก้วใส สวยงาม และดื่มน้ำในแก้วนั้น เด็กที่ยังไม่อาจแยกแยะระหว่างสิ่งดีและสิ่งไม่ดีได้ เขาอาจจะรับประทานสิ่งที่สกปรกเข้าไปได้ แต่... คนที่มีสติสัมปชัญญะสามารถแยกแยะได้แล้ว เป็นไปได้ที่เจาจะทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับกลุ่มชนหนึ่งที่ไมใส่ใจต่อความเสียหายที่ค่อยๆเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ก็มีความรู้สึกกลัวต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน และพยายามที่จะสกัดกั้นมันให้ได้เช่น คนหนึ่งขี้เกียจที่จะถอนฟันที่ผุของตัวเอง ผลัดวันประกันพรุ่งที่จะไปหาหมอฟันจนฟันเน่าเสียหมดปากแล้ว

เขารู้สึกเสียใจอย่างมาก จนกระทั่งเกิดอาการแทรกซ้อนถึงขนาดล้มหมอนนอนเสื่อไปเลย แต่หากชายคนนี้เมื่อตอนที่รู้สึกเจ็บขึ้นมาและคิดว่ามันอาจะเป็นอันตรายละก็ เขาต้องรีบไปหาหมอฟันรักษาทันที

การที่นายแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิคนหนึ่งเกิดเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ก็เพราะไม่รู้ถึงผลเสียของมันทางด้านจิตใจ และความรู้สึกถึงอันตรายที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ถูกบดบังด้วยความอยากของตนเอง

ประชาชนทั่วไปมองเรื่องการทำบาปด้วยทัศนะระดับหนึ่งไม่ได้ใจอย่างถ่องแท้ ถึงผลของมันทั้งหมดในแง่ของวัตถุ และจิตวิญญาณ ทางด้านร่างกายและจิตใจ

ทว่า บรรดาศาสนทูตเหนือกว่าประชาชนทั่วไป ในแง่ที่ว่าท่านเหล่านั้นมีญาณทัศนะและความรู้ที่ได้รับการผลักดันจากพลานุภาพหนึ่งที่เหนือกว่าพลังใดๆ มีความเข้าใจ ในผลข้างเคียงทั้งมวลของการทำบาปอย่าง

ทะลุปรุโปร่ง

 แม้กระทั่งผลแห่งการทำบาปที่จะก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นในโลกปรภพ ด้วยกับการมองเห็นทางด้านภายในเฉพาะ ท่านเหล่านั้นจะไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความต้องการของอารมณ์ใฝ่ต่ำจนเลยเถิดถึงขั้นเกลือกกลั้วกับความบาปได้ แม้แต่ความคิดที่จะกระทำบาปก็จะไม่ผุดขึ้นในดวงใจของท่านเหล่านั้นเป็นอันขาด

บรรดาศาสนทูตประจักษ์ถึงผลแห่งการทำบาปทั้งในโลกแห่งสุสาน (บัรซัค) และปรโลก และอธิบายให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าใจ ดังที่ศาสดาแห่งอิสลาม (ศ) ได้มีวจนะมากมายที่กล่าวในเรื่องนี้ จะขอนำตัวอย่างมากล่าวพอเป็นสังเขปดังนี้:

ท่านอิมามอะลี(อฺ) รายงานว่า:

ฉันและฟาฏิมะฮฺไปหาท่านศาสดา(ศ) พบว่าท่าน (ศ) กำลังร้องไห้อยู่ฉันถามท่าน (ศ) ว่า

“ขอให้บิดาและมารดาของฉันพลีให้แก่ท่าน ท่านร้องไห้ทำไม?”

ท่าน (ศ) ตอบว่า

 “คืนที่ฉันถูกเชิญตัวขึ้นสู่ฟากฟ้า (เมียะอฺฮรอจญ์) นั้น ฉันเห็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่เป็นประชาชาติของฉัน กำลังถูกลงทัณฑ์อย่างแสนสาหัส

ผู้หญิงบางคนถูกกระชากผม สมองเดือดพล่าน บางคนถูกกระชากลิ้นจุ่มลงในน้ำเดือดปุดๆ บางคนกินเนื้อของตัวเอง และมีไฟอยู่รอบๆ เท้าของหล่อน บางคนถูกตัดมือ มันเท้ามีงู แมลงป่องและสัตว์มีพิษจ้องฉกอยู่ ผู้หญิงบางคนก็กำลังเอากรรไกรที่ทำจากไฟ นรกเชือดเฉือนเนื้อของตัวเอง บางคนอยู่ในสภาพสุนัข มีไฟพุ่งเข้ามาทางบั้นท้าย แล้วออกทางปาก มะลาอิกะฮฺผู้ทำหน้าที่ลงทัณฑ์ เอากระบองๆไฟฟาดลงไปที่ห้วยและลำตัวของพวกนาง”

ฟาฏิมะฮฺ บุตรีของท่าน (ศ) กล่าวถามว่า

“ผู้หญิงเหล่านี้เคยทำอะไรไว้ อัลลอฮฺ (ซ.บ) จึงได้ลงโทษพวกนางขนาดนั้น?

ท่านศาสดา (ศ) ตอบว่า

“ผู้หญิงที่ถูกกระชากผมนั้น เพราะตอนอยู่ในดุนยา (โลกนี้) หล่อนไม่ได้ปกปิดเรือนผมจากสายตาของชายแปลกหน้า ส่วนผู้ที่ถูกดึงลิ้น ก็เพราะนางใช้ลิ้นกล่าวด่าว่าร้ายสามีตัวเอง ส่วนผู้หญิงที่กินเนื้อตามร่างกายของตัวเอง เพราะนางแต่งตัวอวดชายแปลกหน้า ส่วนผู้ที่ถูกล่ามมือและเท้า และมีสัตว์พิษคอยทำร้ายอยู่นั้น ก็เพราะนางไม่สนใจการทำวุฎูอ์ ชำระเสื้อผ้าให้สะอาด อาบน้ำญินาบะฮฺให้ถูกต้องตามหลักการ อีกทั้งยังละเลยและไม่เอาใจใส่การนมาซ ส่วนผู้ที่เอากรรไกรเชือดเฉือนเนื้อตัวเอง คือผู้หญิงที่ทอดกายให้ชายแปลกหน้า ส่วนนางที่กลายเป็นสุนัข และมีไฟออกมาจากปากของนาง ก็คือนางเคยเป็นนักร้อง นักแสดงมาก่อน...”

แล้วท่านศาสดา(ศ) ก็กล่าวต่อไปว่า

“ความหายนะ จงประสบแก่ผู้หญิงที่ทำให้สามีตัวเองโกรธ แต่เป็นที่น่ายินดี สำหรับผู้หญิงที่ทำให้สามีของตัวเองเกิดความรักและมีความสุข

ท่าน (ศ) ยังกล่าวอีกว่า

“ฉันพบว่าบางคนถูกเกี่ยวด้วยตะขอไฟนรก ฉันถามญิบรออีลว่า เขาเหล่านั้นเป็นใคร ?

เขาตอบว่า: คนพวกนี้คือ กลุ่มชนที่ไม่สนใจสั่งฮะลาล- ฮะรอมของพระผู้เป็นเจ้า คอยจะทำแต่สิ่งที่เป็นฮะรอม ฉันยังพบคนบางกลุ่ม ตามร่างกายของเขาถูกร้อยไปด้วยเชือกที่ทำจากไฟนรก ฉันถามว่าคนเหล่านี้เป็นใครกัน? ญิบรออีลตอบว่า:

พวกเขาคือชายกลุ่มหนึ่งที่มีสัมพันธ์กับหญิงสาวโดยไม่ถูกต้องตามหลักการศาสนา” (5)

ท่านศาสดา (ศ) ยังกล่าวอีกว่า

“คนที่กินดอกเบี้ยนั้น อัลลอฮฺ(ซ.บ) จะเติมท้องของเขาให้เต็มไปด้วยไฟนรกเท่ากับจำนวนดอกเบี้ยที่เขากินไป” (6)

ท่านศาสดา (ศ) ยังได้อธิบายถึงกลุ่มบุคคลที่ดื่มสุรา และทำความชั่วอื่นๆ ซึ่งสามารถที่จะสกัดกั้นคนทั้งหลายไม่ให้ทำสิ่งนั้นได้ นับประสาอะไรกับบรรดาศาสนทูต และผู้สื่อสาส์นของพระผู้เป็นเจ้าที่เห็นผลแห่งการกระทำสิ่งนั้นในสุสานและปรโลกด้วยตาตัวเอง แล้วจะเป็นผู้กระทำสิ่งนั้นเสียเอง

ขอสรุปว่าไว้ว่า การระลึกอาคิเราะฮฺและเห็นถึงการลงทัณฑ์ที่เป็นผลมาจากการทำบาปในโลกหน้า คือ

ตัวการที่ดีที่สุดที่ระวังรักษาบรรดาศาสนทูตให้รอดพ้นจากการทำบาปใดๆ ทั้งปวง

อัลลอฮฺ (ซ.บ) กล่าวในอัล- กุรอานว่า:

 “จงรำลึกถึงปวงของเรา คือ อิบรอฮีม อิสฮาก ยะอฺกูบ ผู้ที่มีญาณทัศนะอันแจ่มแจ้ง เราได้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ด้วยการบริสุทธิ์ใจในการรำลึกถึงอาคิเราะฮฺ อันที่จริง ณ เรานั้น พวกเขา คือผู้ที่ได้รับการเลือกสรรที่มี

คุณภาพความดีพร้อมมูล” (ศ็อด: 45-47)

บทที่ 17

นบีมูซา (อฺ) กะลีมุลลอฮฺ

ช่วงเวลาที่ท่านนบีมูซา(อฺ) ถือกำเนิดมานั้นมีกลุ่มชนอยู่ 2 กลุ่มอาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ คือ “กิบฏี” และ“ซิบฏี” ผู้ปกครองอียิปต์จะมาจากกลุ่มชน “กิบฏี” ส่วน “ซิบฏี” ก็คือกลุ่มชนที่เป็นลูกหลานของนบียะอฺกูบ(อฺ)

เรียกว่า “บะนีอิสรออีล” แหล่งกำเนิดแรกและดั่งเดิมของ

 “บะนีอิสรออีล” ก็คือ “กันอาน” แต่หลังจากที่นบี ยูซุฟ

(อฺ) ได้รับตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ในอียิปต์แล้ว พวกเขาก็ย้ายจาก “กันอาน” มาอยู่ที่ “อียิปต์” ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น ตอนเริ่มแรกก็มีจำนวนไม่เท่าไร ต่อมาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นคนส่วนใหญ่ และเป็นกลุ่มชนที่มีอำนาจมากยิ่งขึ้น

ด้วยการจากไปของท่านบียูซุฟ(อฺ) ประกอบกับการไม่เชื่อฟังคำสั่งการแข็งขืน เป็นเหตุให้พวกเขาต้องสูญเสียอำนาจไป จนกระทั่งตกอยู่ในการปกครองของพวก “กิบฏี” ซึ่งกดขี่ทำทารุณกรรม ใช้แรงงานพวกเขาเยี่ยงทาส แต่พวกเขาก็ไม่ปกป้องตัวเองจากการกดขี่ดังกล่าวเลย

กษัตริย์อียิปต์ที่มีฉายานามว่า ฟิรอูน เป็นชาว “กิบฏี” ผู้กระหายเลือดชาว “ซิบฏี” ทุกคน เขามีอำนาจถึงขนาดที่ว่า ความคิดที่จะต่อสู้กับเขาไม่เคยผุดออกมาจากความคิดของพวก “ซิบฏี”เลย

 จากความหลงตัวเองขนาดหนัก เขาจึงอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้าบังคับให้ผู้คนมากราบไหว้

ฟิรอูนคิดพลาดไป เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ปล่อยให้ประชาชนตกอยู่ในสภาพไร้ทางนำโดยเด็ดขาด

เขาไม่รู้ว่าแนวทางอันเป็นนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้าก็คือ ทำให้ประชาชนรอดพ้นจาความโง่งม การกดขี่ และความอธรรม ด้วยการแต่งตั้งผู้ที่ทำหน้าที่สื่อสาส์นของพระองค์ เขาไม่เคยคาดการณ์เลยว่า

“มืออันพ้นญาณวิสัยจะยื่นเข้ามาพร้อมกับทำงานของมันทันทีเมื่อถูกสั่ง”

โหรราชสำนักบอกกับฟิรอูนว่า ในไม่ช้านี้จะมีเด็กชาวบะนีอิสรออีลถือกำเนิดมา เขาจะเป็นตัวอันตรายต่อตำแหน่งของฟิรอูน

 เมื่อฟิรอูนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโกรธจัดสั่งให้ตัดศีรษะเด็กชาย

ชาวบะนีอิสรออีลทุกคน เขาทำจนถึงขนาดที่ว่าจะไม่มีเด็กชายชาวบะนีรออีลคนใดหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินเลย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ท่านนบีมูซา(อฺ) ก็ถือกำเนิดขึ้นมา

อันเนื่องมาจากความกลัว มารดาของท่าน(อฺ) ได้เอาเด็กน้อยใส่ลงในตะกร้า จากการดลจิตของพระผู้เป็นเจ้า ประกอบกับความรักที่มีต่อท่าน(อฺ) แล้วเอาไปลอยในแม่น้ำไนล์ให้น้ำพัดพาไปตามยถากรรม...

ฟิรอูนและภรรยาของเขากำลังนั่งเล่นอยู่ชายฝั่งแม่น้ำไนล์ ทันใดนั้นเองพวกเขาก็เห็นตะกร้าลอยน้ำมา

เขาตกตะลึงงันที่เห็นเด็กน้อยอยู่ในตะกร้าที่มาพร้อมกับสายน้ำอันเชี่ยวกราก ภรรยาของฟิรอูนเมื่อเห็นวงหน้าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของเด็กน้อยนั้น ก็ไม่ต้องการที่จะปล่อยเด็กน้อยลงไปในสายน้ำตามเดิม หล่อนรู้สึกรักเด็กน้อยขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ หล่อนวอนขอให้ฟิรอูนรับเด็กน้อยเข้าไปไว้ในวังเลี้ยงอย่างลูก ฟิรอูนก็เห็นด้วยโดยหวังว่า ลูกบุญธรรมของเขาคนนี้ เมื่อโตขึ้นคงจะเป็นประโยชน์กับเขา

เด็กทารกน้อยนี้ไม่ยอมดื่มนมจากผู้ใดทั้งสิ้น จึงเกิดความวุ่นวายขึ้น ในที่สุด มารดาของนบีมูซา(อฺ) ก็มีโอกาสที่จะได้เอาน้ำนมตัวเองเลี้ยงลูกน้อยอีกครั้งหนึ่งกลายเป็นแม่นมในวังของฟิรอูนทันที ได้เลี้ยงดูและให้นมลูกของตัวเอง(1)

ช่างน่าประหลาดใจอะไรเช่นนี้ ฟิรอูนเลี้ยงศัตรูของตัวเองไว้ในอุ้งตัก! ภายใต้สภาพการณ์ดังกล่าว นบีมูซา(อฺ) ก็เจริญวัยขึ้น พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานวิชาความรู้และวิทยปัญญาให้แก่ท่าน(อฺ) เรื่อยมา ท่าน(อฺ) ได้ประจักษ์ด้วยตัวเองถึงความอธรรมและการกดขี่อันหาที่เปรียบมิได้ในวังของฟิรอูน ไม่เพียงแต่ตัวท่าน(อฺ) เองไม่เคยประพฤติเยี่ยงผู้อธรรมเท่านั้น ท่าน(อฺ) ยังรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นการกดขี่เกิดขึ้น และพยายามที่เข้าแก้ไขมัน

วันหนึ่งท่าน(อฺ) เห็นชาวกิบฏีคนหนึ่งกำลังทำร้ายชาวบะนีอิสรออีลชายคนนั้นได้ร้องขอความช่วยเหลือจากท่าน(อฺ)

 ท่าน(อฺ) จึงเข้าไปขัดขวางแล้วกระแทกกำปั้นเข้าใส่หน้าชาวกิบฏี จนเป็นเหตุให้เขาถึงแก่ความตาย

ท่านนบีมูซา(อฺ) ออกมาจากที่นั่นและวันรุ่งขึ้นก็ได้ พบชายคนเดิมที่ร้องของช่วยเหลือจากท่าน (อฺ) เมื่อวานกำลังต่อสู้กับชาวกิบฏีอีกคนหนึ่ง เขาก็ร้องขอความช่วยเหลือจากนบีมูซา(อฺ) อีก

ท่าน(อฺ) รู้สึกโกรธจึงพูดกับเขาว่า:

“เจ้ามันคนหลงผิด” (2)

แล้วท่านก็เดินไปข้างหน้าเพื่อกันเอาออกมา ชาวอิสรออีลคนนั้นคิดว่าท่านนบีมูซา(อฺ) จะทำกับเขา

เหมือนกับคนเมื่อวานนั้น เลยร้อยตะโกนขึ้นมาว่า

“ท่านต้องการจะสังหารข้าเหมือนชายเมื่อวานหรือ?”

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ท่านนบีมูซา(อฺ) ก็เก็บตัวเงียบ กังวลต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้น แต่พวกฟิรอูนก็รู้ได้ทันที ว่าคนที่ฆ่าพวกของเขา ก็คือ นบีมูซา(อฺ) นั่นเอง ด้วยเหตุนี้เอง ฟิรอูนจึงจัดประชุมปรึกษาหารือ เพื่อวางแผนสังหาร

นบีมูซา(อฺ) ให้ได้โดยสั่งให้ทหารคอยติดตามดูพฤติกรรมของนบีมูซา(อฺ) โดยตลอด ท่าน(อฺ) ตกอยู่ในสภาพวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง

จนกระทั่งมีชายผู้ศรัทธาคนหนึ่งได้แจ้งข่าวแก่ท่าน(อฺ) ว่า

“ท่านจงออกไปจากเมืองนี้โดยเร็ว พวกเขาวางแผนฆ่าท่านแล้ว”

ท่านนบีมูซา(อฺ) จึงรีบออกมาจาเมืองด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจโดยมุ่งหน้าสู่เมือง “มัดยัน” พร้อมกับวอนขอการช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ (ซ.บ) ให้พ้นจากเงื้อมมือของผู้อธรรมทั้งมวล

โดยท่าน(อฺ) วิงวอนว่า:

“โอ้พระผู้อภิบาล โปรดช่วยเหลือข้าพระองค์ให้พ้นจากกลุ่มชนผู้กดขี่ด้วยเถิด”{อัล- ก่อศอศ: 21}

ในที่สุดนบีมูซา(อฺ) ก็เดินทางถึงเมือง “มัดยัน” แล้วหยุดพักใกล้กับบ่อน้ำแห่งหนึ่ง รอบๆ บ่อน้ำมีประชาชนกลุ่มหนึ่งกำลังให้น้ำแก่สัตว์เลี้ยงของพวกเขาแต่พอถัดไปอีกหน่อย ท่าน (อฺ) พบผู้หญิง 2 คนยืนคอยอยู่พร้อมฝูงแกะ

ท่าน(อฺ) รีบตรงไปหานางเพื่อช่วยเหลือ และถามไถ่ว่ามายืนรอตรงนี้ทำไมหญิงทั้งสองกล่าวตอบว่า:

“พ่อของเราแก่มากแล้ว เราจึงจำเป็นต้องมาเอาน้ำให้ฝูงแกะด้วยตัวเอง เราคอยที่นี่จนกว่าบ่อน้ำจะว่างเพื่อตักน้ำให้ฝูงแกะได้

ท่าน(อฺ) ก็เลยตรงไปเอาน้ำมาให้ฝูงแกะกิน ส่วนหญิงทั้งสองก็เดินทางกลับบ้าน ส่วนตัวท่าน(อฺ) เองก็เหนื่อยล้า หิว ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย จึงนั่งอยู่ภายใต้ร่มเงาแดด วอนขอจากอัลลอฮฺ(ซ.บ) ให้ช่วยปัดเป่าความหิวของท่าน(อฺ) ด้วย

“โอ้พระผู้อภิบาล ข้าพระองค์ยังต้องการสิ่งที่ดีทั้งหลาย ที่พระองค์เคยประทานมาให้แก่ข้าพระองค์อยู่”

(อัล-ก่อศ็อศ: 24)

จากนั้นไม่นาน หนึ่งในผู้หญิง 2 คนที่ท่าน (อฺ) ได้ช่วยเหลือไปนั้น ก็เดินเข้ามาหาท่าน (อฺ) อย่างเหนียมอาย พลางกล่าวว่า:

“พ่อของฉันเรียกหาท่านเพื่อจะตอบแทนการกระทำของท่าน”

พ่อของหญิงสาวทั้งสองก็คือท่านนบีชุอัยบฺ(อฺ) นั่นเอง ท่านนบีมูซา(อฺ) ลุกขึ้นเดินทางไปพร้อมกับหญิงสาวคนนั้น ในระหว่างทางท่าน(อฺ) ได้ร้องขอไม่ให้หญิงสาวเดินนำหน้าท่าน(อฺ) โดยบอกแก่นางว่า:

“ได้โปรดบอกทางข้างหลังฉัน เพราะฉันคือหนึ่งในครอบครัว (ครอบครัวของนบี) ที่จะไม่มองผู้หญิงด้านหลัง

จนกระทั่งมาพบกับท่านนบีชุอัยบฺ(อฺ) และเล่าเรื่องราวของตัวท่าน(อฺ) เองให้เขาฟัง ท่านนบีชุอัยบฺ(อฺ)กล่าวปลอบใจท่าน(อฺ) ว่า

“อย่าได้กลัวไปเลย ท่านปลอดภัยจากเงื้อมมือของผู้อธรรมแล้ว”

ผู้หญิงคนที่ไปตามท่านนบีมูซา(อฺ) มานั้นกล่าวกับบิดาของนางว่า”พ่อจ๋า จ้างชายคนนี้ไว้เถอะ เขาทั้งแข็งแรง ไว้ใจได้และซื่อสัตย์”

ท่านนบีชุอัยบฺ(อฺ) ซึ่งรู้ถึงการเป็นคนที่รักษาสัญญาและสะอาดบริสุทธิ์ของท่านนบีมูซา(อฺ) มาก่อนแล้ว

จึงได้จัดการแต่งงานลูกสาวคนหนึ่งของเขาให้แก่ท่านนบีมูซา(อฺ) ตามข้อสัญญาที่ได้ทำกันไว้คือ ท่าน(อฺ) จะอยู่กับท่านนบีชุอัยบฺ(อฺ)เป็นเวลา 10 ปี ทำงานให้กับเขา เช่น เลี้ยงสัตว์ เพาะปลูก เป็นต้น

หลังจากครอบกำหนด 10 ปีแล้ว ท่าน (อฺ) และครอบครัวของท่าน(อฺ) จึงได้เดินทางอพยพสู่อิยิปต์ ขณะเดินทางท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น และมืดสนิททุกที่มืดสนิทไม่อาจคลำทางได้เลย ท่าน(อฺ) และครอบครัวของท่าน(อฺ) หลงทางหาทางออกไม่ได้อยู่นาน จนกระทั่งสายตาไปประสบกับดวงไฟลูกหนึ่งขึ้น

ท่าน(อฺ) รีบกล่าวกับภรรยาของท่าน(อฺ) ว่า

“เธอรออยู่ที่นี่ ฉันจะไปตามทางดวงไฟดวงนั้น อาจจะพบใครบางคนที่นำทางใหกับเราได้ หรือไม่ก็นำดวงไฟกลับมา”

ท่าน(อฺ) รีบมุ่งตรงไปยังดวงไฟดวงนั้นทันที เมื่อถึงที่นั่นแล้ว ก็มีเสียงจากทางต้นไม้ดังขึ้นว่า

“...โอ้มูซา ข้าคืออัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก...”

เรื่องราวในช่วงนี้ปรากฏอยู่ในซูเราฮฺอัล-ก่อศ็ฮศ อายะฮฺที่ 15-31 และซูเราฮฺ ฎอฮา อายฮฺ ที่ 13-16 ใน

ที่นี้เราจะขอกล่าวโดยสรุปใจความว่า

“อัลลอฮฺ (ซ.บ) ได้เลือกท่านนบีมูซา (อฺ) และรับสั่งให้เป็นศาสนทูตจงฟังสิ่งที่พระองค์จะดลวะฮฺยูให้แก่เจ้า พระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ จงทำการอิบาดะฮฺเฉพาะพระองค์เท่านั้น

 จงทำการนมาซเพื่อรำลึกถึงพระองค์ วันแห่งการสอบสวนจะมาถึงอย่างแน่นอน เพื่อให้ทุกคนได้รับผลกรรมในสิ่งที่เขาได้กระทำไป”

ท่านนบีมูซา(อฺ) มีไม้ที่ใช้ต้อนฝูงสัตว์อยู่ในมืออันหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นไม้ยันเวลาเดินทาง และเขี่ยใบไม้ใบหญ้าให้สัตว์กิน

 “วะฮฺยู ได้สั่งลงมาว่าให้ขว้างไม้เท้านั้นลงบนพื้น เมื่อท่าน (อฺ) ขว้างมันลงไปแล้ว มันได้กลายเป็นงูใหญ่ ท่าน (อฺ) รู้สึกกลัวจึงรีบวิ่งหนีออกมา ไม่หวนกลับไปมองอีก

“วะฮฺยู ลงมาว่าให้กลับไปอย่ากลัว ทำใจดีๆ เข้าไว้ ท่าน (อฺ) จึงรู้สึกสงบลง แล้วย้อนกลับไป เอามือไปจับงูใหญ่นั้นตามคำสั่งของพระผู้อภิบาล

มันก็ได้กลายเป็นไม้เท้าดั่งเดิม

 มี“วะฮฺยู ลงมาอีกว่าให้แบมือที่อยู่บนต้นคอออกมา เมื่อท่าน (อฺ) ทำตามนั้นก็พบว่า มือของท่านสว่างไสวเป็นรัศมีขาวนวลไปทั่วทั้งฝ่ามือ อีกทั้งไม่ทำอันตรายต่อสายตา