ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม42%

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม ผู้เขียน:
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 133

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 133 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 63337 / ดาวน์โหลด: 5545
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

 อัตชีวประวัติอิมามอะอฺศูมีน ๗

อิมามมูซา กาซิม(อ)

เขียน

ศาสตราจารย์เชคอฺะลีมุฮัมมัด อะลีดุคัยยิล

แปล

อาจารย์อัยยูบ ยอมใหญ่

บทนำ

แนวความเชื่อของเราเกี่ยวกับอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ (อฺ) ก็คือ พวกท่านเป็นผู้ถูกเลือกสรรที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงเลือกพวกท่านเหล่านั้นให้เป็นเครื่องหมายชี้นำสำหรับปวงบ่าวของพระองค์

อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงเลือกเฟ้นพวกท่าน(อฺ)เหล่านั้นเพื่อนำทางสิ่งถูกสร้างทั้งมวลของพระองค์ เป็นทายาทของนบี(ศ)ของพระองค์ เป็นอิมามสำหรับบ่าวทั้งหลายของพระองค์ เป็นผู้ปกครองของสรรพสิ่งทั้งหลาย พวกท่านเหล่านั้นคือผู้ดูแลสาส์นของมุฮัมมัด(ศ) และเป็นหลักในการให้ทุกคน

ปฏิบัติตามนั้น กฎบัญญัติศาสนาถูกถ่ายทอดมาจากพวกท่าน(อฺ) สิ่งที่อนุมัติ(ฮะลาล) และสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม) ทั้งหมดถูกรู้จักได้จากท่าน(อฺ)เหล่านั้น

พวกท่าน(อฺ)ทั้งหมดคือหลักฐานอันชัดแจ้งที่มียังอัลลอฮฺ(ซ.บ.) คือ

 ผู้นำทางสู่(การรู้จัก)พระองค์ คือผู้เรียกร้องเชิญชวนสู่ศาสนาของพระองค์

ณ พวกท่าน(อฺ)เหล่านั้นมีความรู้แห่งคัมภีร์และสัญลักษณ์ที่มีมาพร้อมกับคัมภีร์นั้น

ท่านร่อซูลุลลอฮฺ(ศ)สั่งให้ประชาชาติของท่าน(ศ)ปฏิบัติตามและเชื่อฟังพวกท่านเหล่านั้น(อฺ) แต่ทว่า….หลังการจากไปของท่านศาสดา (ศ) พวกเขากลับมาร่วมชุมนุมกันในเรื่องนี้อีก ขณะที่ท่านศาสดา (ศ) ถูกปล่อยเอาไว้ยังไม่จัดการฝังท่าน (ศ) พวกเขากลัวปัญหาความยุ่งยากทั้งมวล

 (กระนั้นหรือ?) แต่ก็จมปลักอยู่ในความยุ่งยากสับสนปั่นป่วน(ฟิตนะฮฺ)ในที่สุด

ประชาชาติมุสลิมกีดกันตำแหน่งผู้ปกครอง(คิลาฟะฮฺ)ให้ออกไปจากบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อฺ)

และเริ่มผลัดเปลี่ยนฐานภาพนั้นไปให้แก่บุคคลอื่น แล้วในที่สุดก็ตกไปถึงมือของมุอาวิยะฮฺ บิน อะบีซุฟยาน (ศัตรูตัวฉกาจของอิสลามและท่านศาสดา) เขาไม่หยุดยั้งเพียงเท่านั้น

 แต่ยังส่งผ่านฐานภาพอันทรงเกียรตินั้นไปให้แก่ทรราชเยี่ยงยะซีด คนโสมม แล้วก็ดำเนินเรื่อยมาในมือของวงศ์วานแห่งความต่ำต้อย

หลังจากพวกเขา วงศ์วานบะนีอับบาซก็ขึ้นมามีอำนาจ ประชาชาติได้ถูกปรับเปลี่ยนจากความอธรรมหนึ่งไปสู่อีกความอธรรมหนึ่ง จากความเลวร้ายหนึ่งไปสู่อีกความเลวร้ายหนึ่ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้บรรดาอิมาม(อฺ)ได้คอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ภายในบ้านของตัวเอง ท่าน(อฺ)เหล่านั้นไม่มีอำนาจที่จะสั่งหรือห้ามปรามสิ่งใดๆ เลย

บรรดาผู้ปกครองแห่งวงศ์อุมัยยะฮฺและอับบาซียะฮฺ ใช่ว่าจะหยุดยั้งเพียงการเข้าสวมอำนาจการปกครองเท่านั้น พวกเขากลับตามจองล้างจองผลาญพวกท่านเหล่านั้น ถึงขนาดที่ติดตามสังหารจับกุมคุมขังและทำลายล้างพวกท่านเหล่านั้น(อฺ)

ท่านอิมาม(อฺ)ไม่ได้ใส่ใจต่อการบีบคั้น และการทารุณกรรมต่างๆ ซึ่งท่านได้รับมา ท่าน(อฺ)เหล่านั้นยังคงทำหน้าที่เผยแผ่สาส์นของพวกท่านในการทำให้พระดำรัสของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) สูงส่งยิ่งขึ้น สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอิสลามและสะกัดกั้นแนวความคิดอันเลวทรามและเสื่อมเสีย

 ท่านเหล่านั้นได้บรรจุโลกนี้ให้เต็มไปด้วยวิชาความรู้ และการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งถือว่าเป็นการยกธงอิสลามให้สูงเด่นที่ดีที่สุด

มิได้พูดเกินเลยที่จะบอกว่า ท่าน(อฺ)เหล่านั้นมีคุณสมบัติเหล่านี้ เพราะตัวของพวกท่านเหล่านั้นถือว่าทรงสิทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้นพวกท่าน(อฺ)ยังรับหน้าที่ในการเผยแผ่สาส์นอิสลาม

ต่อจากท่านศาสดา(ศ)เป็นผู้ปกปักษ์รักษาจริยวัตร และกฎเกณฑ์ต่างๆ ของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)

หนังสือเล่มนี้เป็นเสมือนรัศมีอันจำรัสหนึ่งแห่งอัตชีวประวัติของท่าน

อิมามมูซา บินญะอฺฟัร อัล-กาซิม(อฺ) เป็นการนำเสนอแง่มุมบางอย่างของ

การอิบาดะฮฺ วิถีชีวิต และการมีคุณธรรมของท่าน(อฺ) อีกทั้งยังมีการกล่าวถึงถ้อยคำอันทรงคุณค่าและคำสั่งเสียอันทรงเกียรติของท่าน(อฺ)

เราได้นำเสนอหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้าท่านนี้โดยปรารถนาที่จะให้มวลมุสลิมทั้งหลายได้รู้จักสิทธิอันชอบธรรมของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์(อฺ)

 อันเป็นสิ่งที่บรรพชนรุ่นก่อนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ต่ออำนาจแห่งการได้รับการจงรักภักดีของพวกท่าน(อฺ)เหล่านั้น ให้พวกเราได้รับรู้ถึงความรู้สึกโกรธแค้นของศัตรูของพวกท่าน(อฺ)เหล่านั้น อีกทั้งปรารถนาที่จะให้มวลมุสลิมทั้งหมดยึดเอาแนวทางคำสั่งสอนของพวกท่าน(อฺ) ปฏิบัติตามคำสั่งของพวกท่าน(อฺ) ละเว้นจากข้อห้ามทั้งปวงของพวกท่าน(อฺ)เพื่อปฏิบัติตามคำบัญชาที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.) และร่อซูลของพระองค์(ศ)ได้สั่งไว้ในเรื่องของอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ) อันหมายถึงความไพบูลย์ทั้งโลกนี้และปรโลก

ดังพระดำรัสของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ที่ว่า :

“พวกเขาเหล่านั้นรับฟังถ้อยคำนั้น แล้วปฏิบัติตามอย่างดีที่สุด พวกเหล่านั้นเองที่อัลลอฮฺทรงชี้นำพวกเขา และพวกเขาคือกลุ่มชนผู้รู้แจ้ง”

(อัซ-ซุมัร: ๑๘)

ชีวประวัติของอิมามมูซา บิน ญะอฺฟัร(อฺ)

นามจริง

อิมามมูซา บิน ญะอฺฟัร อัล-กาซิม(อฺ)

ปู่

อิมามมุฮัมมัด บาเก็ร(อฺ)

บิดา

อิมามญะอฺฟัร ศอดิก(อฺ)

มารดา

ท่านหญิงฮะมีดะฮฺ บินติ ศออิด อัล-มัฆริบี

สถานที่เกิด

ณ ตำบลอับวาอ์(ระหว่างมักกะฮฺกับมะดีนะฮฺ) เมื่อวันอาทิตย์ที่

๗ เดือนศ่อฟัร ฮ.ศ. ๑๒๘ ในตอนที่ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ) ถือกำเนิดมา ท่านอิมามศอดิก(อฺ)ได้จัดเลี้ยงอาหารแก่ประชาชนทั่วไปเป็นเวลา ๓ วัน

บุคลิกลักษณะ

ท่าน(อฺ)เป็นคนผิวขาว เรือนร่างสมส่วน เคราดกงาม

สมญานาม

อะบูอิบรอฮีม

อะบุลฮะซัน

อะบูอฺะลี

อะบูอิสมาอีล

ฉายานาม

อับดุศศอลิฮฺ

อัล-กาซิม

อัศ-ศอบิร

อัล-อะมีน บาบุลฮะวาอิจญ์

ลายสลักบนแหวน

อัล-มุลกุ ลิลลาฮิ วะฮฺตะฮฺ

ความหมาย : มวลอาณาจักรเป็นของอัลลอฮฺองค์เดียว

บุตรชาย

อฺะลี ริฎอ อิบรอฮีม อัล-อับบาซ

อัล-กอซิม อิซมาอีล ฮารูน

ฮะซัน อะฮฺมัด มุฮัมมัด

ฮัมซะฮฺ อัลดุลลอฮฺ อิซฮาก

อะบัยดุลลอฮฺ เซด อัล-ฮะซัน

อัล-ฟัฎลฺ ซุลัยมาน

บุตรสาว

ฟาฏิมะฮฺ อัล-กุบรอ ฟาฏิมะฮฺ อัศ-ศุฆรอ

กุลษุม อุมมุญะอฺฟัร

ลับบาละฮฺ ซัยนับ

รุก็อยยะฮฺ ฮะกีมะฮฺ

อุมมุอะบีฮา รุก็อยยะฮฺ ศุฆรอ

ค่อดีญะฮฺ อามินะฮฺ

ฮะซะนะฮฺ บะรีฮะฮฺ

อาอิซะฮฺ อุมมุซะละมะฮฺ

มัยมูนะฮฺ อุมมุกุลษูม

(ดังกล่าวนี้มาจากริวายะฮฺของเชคอัล-มุฟีด และมีบางท่านระบุว่าบุตรของท่าน (อฺ) มีมากกว่านี้)

กวีเอกในสมัยของท่าน(อฺ)

ซัยยิด อัล-ฮะมีรี

คนสนิท

มุฮัมมัด บินมุฟัฎฎ็อล

กษัตริย์ที่ปกครองในสมัยของท่านอิมามกาซิม(อฺ)

มันศูรฺ

มุฮัมมัด มะฮฺดี

มูซา อัล-ฮาดี

ฮารูน อัร-ร่อชีด

ช่วงชีวิตของท่านอิมามมูซา(อฺ)

ส่วนใหญ่ท่าน(อฺ)ใช้ชีวิตอยู่ในคุก ซึ่งมะฮฺดีแห่งวงศ์อับบาซียะฮฺสั่งกักขัง ต่อมาก็ได้ปล่อยตัวท่าน(อฺ)ออกมา และฮารูน ร่อชีด ก็ได้ขังท่าน(อฺ) อีกที่เมืองบัศเราะฮฺ จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่กรุงแบกแดด อยู่ภายใต้การควบคุมของซินดี บินชาฮิก เป็นเวลา ๔ ปี บางรายงานบอกว่ามากกว่านั้น

วายชนม์

ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)ถึงแก่วะฟาต เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ เดือนร่อญับ

 ฮ.ศ. ๑๘๓ เพราะถูกวางยาพิษ โดยคำสั่งของฮารูน ร่อชีด

ช่วงเวลาแห่งการเป็นอิมาม

ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ) ดำรงตำแหน่งอิมามนานถึง ๓๕ ปี

สุสานของท่าน(อฺ)

อยู่ในเมือง ‘กุรคฺ’ อันเป็นที่รวมสุสานของชาวกุเรช ปัจจุบันนี้สุสานของท่าน (อฺ) ถูกให้เกียรติ โดยได้รับการประดับประดาตกแต่งอย่างสวยงามเป็นที่เยี่ยมเยียนของมวลมุสลิมจำนวนมากมาย ที่เดินทางมาจากภาคตะวันออกและตะวันตกของโลก

บทบัญญัติการเป็นค่อลีฟะฮฺของท่านอิมามที่ ๗

เป็นเรื่องที่น่าแปลกอย่างยิ่งสำหรับกรณีที่ฝ่ายอื่นอ้างว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ได้เสียชีวิตไป โดยมิได้สั่งเสียให้ใครดำรงตำแหน่งผู้นำภายหลังจากท่าน(ศ) กล่าวคือ ท่าน(ศ)ได้ละทิ้งประชาชาติที่อยู่ข้างหลังให้บริหารกิจการงานของประชาชาติกันเอง ควบคุมกันเอง และให้อธิบายแบบอย่างกฎเกณฑ์ต่างๆ กันเอง

ขณะเดียวกัน ประชาชาติอิสลามต่างมีความเข้าใจตรงกันว่า

 ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)นั้นเคยแต่งตั้งผู้ปกครองไว้ในเมืองมะดีนะฮฺ เมื่อตอนที่ท่าน(ศ)ต้องการเดินทาง และจะไม่ส่งทหารออกศึกจนกว่าจะได้แต่งตั้งแม่ทัพให้เป็นที่แน่นอนเสียก่อน และในบางครั้งท่าน(ศ) ได้แต่งตั้งแม่ทัพไว้

สำหรับกองทัพหนึ่งมากกว่า ๑ คน

สิ่งที่น่าเสียใจประการหนึ่งก็คือ เมื่อเราต้องการจะปลีกให้พ้นจากบุคคลคนหนึ่งหรือคณะหนึ่ง เรายังต้องสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผลงานของพวกเขา และเราต้องขอขมาต่อพวกเขาด้วยการขอขมาที่ดีงาม แน่นอนเรามอบเป็นหน้าที่ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)และศาสนทูต(ศ) สำหรับกรณีความเจ็บปวดต่าง ๆ ที่นักปกครองผู้ถืออำนาจได้กระทำไว้ให้ทุกประการเหล่านี้เป็นเพราะวิธีการ

ตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ว่าถูกต้องโดยบรรดานักปราชญ์ในอดีตนั่นเอง

อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีโองการว่า :

“ผู้นำทางไปสู่สัจธรรม ทรงสิทธิในการถูกปฏิบัติตามมากกว่า ผู้ที่มิได้นำทางอะไรเลย อีกทั้งยังถูกนำทางด้วย มิใช่หรือ ? แล้วพวกเจ้าจะตัดสินความกันอย่างไร ?”

(ยูนุซ: ๓๕)

ถ้าหากคนทั้งหลายจะกล่าวถึงตำแหน่งอิมามของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน(อฺ) ย่อมรับรู้ได้เต็มที่จากข้อบัญญัติในเหตุการณ์ที่ “ฆ่อดีรคุม” เพียงแห่งเดียว โดยไม่ต้องพิสูจน์ต่อข้อบัญญัติอื่นๆ อีกที่ยังมีมากมาย กล่าวคือ ได้พิสูจน์ถึงการให้สัตยาบันในวันสำคัญที่ “ฆ่อดีรคุม”โดยชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งและได้ประจักษ์อย่างถ่องแท้ต่อพิธีกรรมที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ (ศ) ได้กระทำขึ้นในวันนั้น

และข้อความหนึ่งของอัล-กุรอานที่ถูกประทานมาในเรื่องนั้น

แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกตรงที่ว่า ประชาชาติมุสลิมได้พากันลืมเลือนเหตุการณ์ในวันนั้นหลังจากที่ท่านศาสนทูต(ศ)วะฟาตไปแล้ว

๑๐

เรื่องราวในเหตุการณ์นี้ยืดยาวและขมขื่น บรรดามุสลิมจะมิได้รับสิ่งใด นอกจาก ณ ตรงจุดนี้ และพวกเขาจะไม่แตกแยกกัน นอกจากเพราะขัดแย้งกันในเรื่องนี้

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่านอิมามอะมีรุลมุอ์มินีน(อฺ)ได้รับบทบัญญัติจากท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ดำรงตำแหน่งค่อลีฟะฮฺ และทำนองเดียวกับบุตรหลานของท่าน(อฺ)ด้วย แน่นอน

ตำแหน่งอิมามมีขึ้นโดยข้อบัญญัติที่แต่ละท่านมีให้ไว้ต่อกัน โดยที่ท่าน(อฺ)ผู้ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนได้แต่งตั้งคนที่จะดำรงตำแหน่งถัดมา บิดาจะแต่งตั้งบุตร เพื่อเป็นการดำรงไว้ซึ่งข้อพิสูจน์ และหลักฐานสำหรับประชาชาติ ในบทนี้เราจะกล่าวถึงข้อบัญญัติที่มีการระบุถึงการแต่งตั้งท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ) โดยท่านอิมามศอดิก(อฺ) ผู้เป็นบิดา

ข้อบัญญัติที่ ๑.

ท่านมุฮัมมัด บินวะลีด(ร.ฎ.)ได้กล่าวว่า :

ข้าพเจ้าได้ยินท่านอฺะลี บินญะอฺฟัร บินมุฮัมมัดกล่าวว่า : ฉันได้ยินบิดาของฉัน กล่าวเป็นการส่วนตัวต่อบุคคลกลุ่มหนึ่งว่า

“ฉันจะขอสั่งเสียเรื่องทายาทไว้กับมูซา บุตรชายของฉัน เพราะเขาคือบุตรที่ประเสริฐที่สุดของฉัน และเป็นผู้ดำรงตำแหน่งสืบต่อภายหลังจากฉัน เขาคือผู้จะมาดำรงตำแหน่งของฉัน และจะเป็นข้อพิสูจน์หนึ่งของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ต่อบรรดามวลมนุษย์ทั้งหลาย ภายหลังจากฉัน”(๑)

๑๑

ข้อบัญญัติที่ ๒.

ท่านอีซา บินอับดุลลอฮฺ(ร.ฎ.)ได้ถามท่านอิมามศอดิก(อฺ)ว่า :

“ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแก่ท่าน แล้วใครจะเป็นอิมามต่อไป ?”

ปรากฏว่า ท่านอิมามศอดิก(อฺ)ได้ชี้มือไปที่ท่านมูซา(อฺ) แล้วเขาก็ถามท่านอิมามศอดิก(อฺ)ต่อไปอีกว่า

“แล้วถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับท่านมูซาอีกเล่า ใครจะเป็นอิมามต่อไป ?”

ท่าน(อฺ) กล่าวว่า

“บุตรชายของเขา”(๒)

ข้อบัญญัติที่ ๓.

ท่านฟัยฎฺ บินมุคตารฺ(ร.ฎ.)กล่าวว่า :

ข้าพเจ้าเคยพูดกับท่านอิมามศอดิก(อฺ)ว่า

“โปรดช่วยฉุดมือของข้าพเจ้าให้พ้นจากนรกด้วยเถิด ใครจะเป็นอิมามของเราภายหลังจากท่าน ?”

อ้างอิง

(๑) อัล-อิรชาด หน้า ๓๑๐.

(๒) อิษบาตุลฮุดา เล่ม ๕ หน้า ๔๖๘.

๑๒

ครั้นแล้วท่านอะบูอิบรอฮีม(อิมามมูซา)(อฺ) ได้เข้ามาหาท่าน(อฺ) ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเด็กอยู่

ท่าน(อฺ)จึงกล่าวว่า

“นี่แหละคืออิมามของพวกท่าน ดังนั้นจงยึดมั่นต่อเขาเถิด”(๓)

ข้อบัญญัติที่ ๔.

ท่านอิมามศอดิก(อฺ)กล่าวว่า

“มูซาบุตรของฉัน คืออิมามภายหลังจากฉัน”(๔)

ข้อบัญญัติที่ ๕.

ท่านซุลัยมาน บินคอลิด(ร.ฎ.)กล่าวว่า

วันหนึ่งท่านอิมามศอดิก(อฺ)ได้เรียกท่านอิมามมูซา(อฺ)มาในขณะที่พวกเราอยู่กับท่าน(อฺ)

ท่าน(อฺ)กล่าวกับพวกเราว่า

“พวกท่านต้องยึดถือคน ๆ นี้ ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ เขาคืออิมามของพวกท่านภายหลังจากฉัน”(๕)

อ้างอิง

(๓) อิษบาตุลฮุดา เล่ม ๕ หน้า ๔๖๘.

(๔) อิษบาตุลฮุดา เล่ม ๕ หน้า ๔๙๓.

(๕) อะอฺยานุช-ชีอะฮฺ ๔ ก๊อฟ เล่ม ๓ หน้า ๑๔

๑๓

อิบาดะฮฺ :รูปจำลองแห่งการภักดีของอิมามกาซิม(อฺ)

เมื่อกล่าวถึงบรรดาอิมาม(อฺ)แห่งอะฮฺลุลบัยตฺ ก็ทำให้นึกไปถึงวิชาการอันมากมายมหาศาล

การทำอิบาดะฮฺอย่างต่อเนื่อง การวิงวอนขอดุอาอ์ การบริจาคอันมากมาย จริยธรรมอันสูงส่ง ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง การอภัยต่อคนที่ทำบาป

และทำความผิดพลาด เพราะท่านเหล่านี้คือผู้มีเกียรติ มีบารมีที่ดีงามเป็นอาภรณ์ประดับเรือนร่าง

ในบทนี้จะกล่าวถึงเรื่องการทำอิบาดะฮฺของท่านอิมามมูซากาซิม(อฺ) บุตรของอิมามญะอฺฟัร(อฺ)ซึ่งมีฉายานามเป็นที่ประจักษ์ด้วยการทำอิบาดะฮฺ กล่าวคือเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่า

‘ซัยนุลมุจญ์ตะฮิดีน’(เครื่องประดับของบรรดาผู้พากเพียร)

‘อัล-อับดุศศอลิฮฺ’(บ่าวผู้มีคุณธรรมสูง)

‘อัน-นัฟซุซซะกียะฮฺ’(ผู้มีดวงจิตอันใสสะอาด)

‘อัศ-ศอบิร’(ผู้อดทน)

และยังมีฉายานามอื่น ๆ อีกมากมายอันแสดงถึงลักษณะอันบริสุทธิ์ของท่าน(อฺ)

นักประวัติศาสตร์มิได้กล่าวถึงผู้ถูกจำคุกคนใดนอกจากท่านอิมามมูซา(อฺ)ที่ว่า ท่าน(อฺ)ได้ขอบพระคุณต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) ในการที่ประสงค์ให้โอกาสแก่ท่าน(อฺ)ทำอิบาดะฮฺตลอดเวลาที่อยู่ในกำแพงคุก โดยท่าน(อฺ)ถือว่า สิ่งนี้คือความโปรดปรานอย่างหนึ่ง และควรแก่การได้ขอบพระคุณ

๑๔

ท่านอิบนุศิบาฆ อัล-มาลิกีได้กล่าวว่า :

“ท่านอีซา บิน ญะอฺฟัรได้ยินคำวิงวอนของอิมามมูซาในคุกมีใจความว่า

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์ทรงรู้ว่าข้าพระองค์ได้ขอจากพระองค์ให้ข้าฯมีเวลาว่างเพื่อทำการอิบาดะฮฺต่อพระองค์ บัดนี้พระองค์ทรงประทานให้แล้ว ขอการสรรเสริญพึงมีแด่พระองค์”(๑)

ในบทนี้จะกล่าวถึงเรื่องราวบางประการเกี่ยวกับการทำอิบาดะฮฺของท่านอิมามมูซา บิน ญะอฺฟัร(อฺ)

-๑-

ครั้งหนึ่งท่านอิมามมูซา(อฺ)ได้เข้าไปในมัสญิดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ที่เมืองมะดีนะฮฺ ท่าน(อฺ)ได้ทำการซุญูดในตอนหัวค่ำ มีคนได้ยินคำกล่าวของท่าน(อฺ)ในตอนซุญูดว่า

“ความผิดอันยิ่งใหญ่อยู่ในตัวของข้าฯ ดังนั้นโปรดมอบการอภัยที่ดีงามจากพระองค์ให้ด้วยเถิด

โอ้... ผู้ทรงเป็นเจ้าของอัต-ตักวา

โอ้... ผู้ทรงเป็นเจ้าของการอภัย”

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวอย่างนั้นจนถึงยามรุ่งอรุณ(๒)

อ้างอิง

(๑) อัล-ฟุศูลุล-มุฮิมมะฮฺ หน้า ๒๒๒.

(๒) ตารีคบัฆดาด เล่ม ๑๓ หน้า ๒๗.

๑๕

-๒-

ท่านอะบูฮะนีฟะฮฺ(ร.ฮ.)ได้เข้าพบท่านอิมามญะอฺฟัร ศอดิก(อฺ) แล้วกล่าวว่า

 “ข้าพเจ้าเห็นมูซา บุตรของท่าน นมาซในขณะที่ประชาชนเดินผ่านไปมาข้างหน้า”

ท่านอิมามศอดิก(อฺ)จึงเรียกท่านอิมามมูซา(อฺ)เข้ามาหา แล้วกล่าวถึงเรื่องนี้

ท่านอิมามมูซา(อฺ)ได้ตอบว่า

“ใช่แล้ว ท่านพ่อ แท้จริงผู้ที่ฉันนมาซให้นั้น พระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดต่อฉันยิ่งกว่าเขาเหล่านั้น

อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีโองการว่า :

“และเราอยู่ใกล้ชิดเขายิ่งกว่าเส้นเลือดที่คอหอยของเขาเสียอีก”

(ก็อฟ: ๑๖)

ท่านอิมามศอดิก(อฺ)ดึงตัวมูซา(อฺ)บุตรของท่าน(อฺ)มากอด แล้วกล่าว พรรณนาสรรเสริญต่อพระผู้เป็นเจ้าในความปราดเปรื่องของท่าน(อฺ)

-๓-

ท่านอิมามมูซา(อฺ)เคยทำนมาซนะวาฟิลตลอดทั้งคืน แล้วติดตามด้วยนมาซศุบฮฺ หลังจากนั้นก็นั่งอ่านคำวิงวอนต่าง ๆ จนดวงอาทิตย์ขึ้น แล้วทรุดตัวลงซุญูดต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) ขอดุอาอ์สรรเสริญพระองค์โดยไม่ยกศีรษะขึ้นเลยจนดวงอาทิตย์เกือบบ่ายคล้อยและดุอาอ์ที่ท่าน(อฺ)ขอมากที่สุดคือ

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงข้าพระองค์ขอความสะดวกสบายในยามตาย และขอการอภัยในยามตัดสิน”

๑๖

ท่าน(อฺ)กล่าวซ้ำ ๆ อยู่อย่างนี้(๓)

-๔-

ท่านฮิชาม บินอะฮฺมัร(ร.ฎ.)ได้กล่าวว่า :

ข้าพเจ้าเคยเดินทางพร้อมกับท่านอะบุลฮะซัน(อฺ)ในเส้นทางแห่งหนึ่งที่ไปยังมะดีนะฮฺ เมื่อท่าน(อฺ)ย่างเท้าลงบนพื้น ท่าน(อฺ)จะก้มซุญูดเป็นเวลานาน ต่อจากนั้นท่าน(อฺ)ได้ขึ้นพาหนะแล้วเดินทางต่อไป

ข้าพเจ้าถามท่าน(อฺ)ว่า

“ทำไมจึงได้ซุญูดนานเหลือเกิน ?”

ท่าน(อฺ)ตอบว่า

“แท้จริง ฉันนั้นรำลึกถึงความโปรดปรานที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงประทานให้ ดังนั้นฉันจึงทำการขอบคุณพระองค์”(๔)

-๕-

ท่านอิมามมูซา(อฺ)เคยร้องไห้ด้วยความเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)จนแก้มของท่านเปียกชุ่มด้วยน้ำตา(๕)

-๖-

ท่านอฺะลี บินญะอฺฟัร(ร.ฎ.) ได้กล่าวว่า

“เราได้ออกเดินทางร่วมกับท่านมูซา บินญะอฺฟัร พี่ชายของฉันไปยังเมืองมักกะฮฺพร้อมกับสมาชิกครอบครัว หลายครั้ง บางครั้ง ๒๖ วัน บางครั้ง ๒๕ วัน” (๖)

(๓) กัชฟุล-ฆุมมะฮฺ หน้า ๒๔๗.

(๔) บิฮารุล-อันวารฺ เล่ม ๑๑ หน้า ๒๖๖.

(๕) กัชฟุล-ฆุมมะฮฺ หน้า ๒๔๗.

๑๗

-๗-

ท่านอิมามมูซา(อฺ)เป็นคนที่อ่านอัล-กุรอานได้ไพเราะมาก

เมื่อเวลาท่าน(อฺ)อ่าน ผู้ฟังจะเศร้าใจและร้องไห้ และตัวท่าน(อฺ)เองก็ร้องไห้จนเคราของท่าน(อฺ)เปียกชุ่มด้วยน้ำตา(๗)

-๘-

ท่านอิบรอฮีม บินอะบิลบิลาด(ร.ฎ.) ได้กล่าวว่า:

ท่านอะบุลฮะซัน(อิมามมูซา)(อฺ)กล่าวกับข้าพเจ้าว่า

“แท้จริง ฉันขอการอภัยโทษต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) ทุกวัน ๆ ละ ๕,๐๐๐ ครั้ง” (๘)

-๙-

เมื่อท่านอิมามมูซา(อฺ)มีอายุได้ ๑๐ ปี ท่าน (อฺ) ได้ซุญูดตั้งแต่เวลาดวงอาทิตย์แรกแย้มจนถึงตอนบ่ายคล้อยทุกวัน (๙)

(๖) บิฮารุล-อันวารฺ เล่ม ๑๑ หน้า ๒๖๒.

(๗) อัล-มะนากิบ เล่ม ๒ หน้า ๓๗๙.

(๘) เล่มเดิม หน้า ๒๖๗.

(๙) อัล-มะนากิบ เล่ม ๒ หน้า ๓๗๙.

-๑๐-

กษัตริย์รอชีดได้ตรวจดูสถานที่คุมขังท่านอิมามมูซา(อฺ)อยู่เป็นประจำ ซึ่งที่นั่นเขาได้เห็นท่านอิมาม(อฺ)ซุญูด เขาได้กล่าวกับคนใกล้ชิดว่า

“ทำไมหรือ ฉันจึงเห็นผ้าผืนนั้นอยู่ที่ตรงนั้นทุกวัน ?

๑๘

คนใกล้ชิดตอบเขาว่า

“นั่นมิใช่ผ้าดอก หากแต่นั่นคือ มูซาบุตรของญะอฺฟัร ทุกวันเขาจะซุญูดตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนบ่ายคล้อย”

ฮารูนกล่าวว่า

“แน่นอน นี่คือผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งของบะนีฮาชิม”(๑๐)

-๑๑-

ท่านอะฮฺมัด บินอับดุลลอฮฺ อัล-ฟัรอี(ร.ฎ.) จากบิดาของเขาได้กล่าวว่า : ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้เข้าไปพบท่านฟัฎลฺ บินรอบีอฺ ซึ่งเขากำลังนั่งอยู่กลางลานกว้าง เขาพูดกับข้าพเจ้าว่า

“จงดูไปที่บ้านหลังนั้นซิ ท่านเห็นอะไรบ้าง ?”

เมื่อข้าพเจ้าขยับเข้าไปดู เขาก็ถามว่า

“ท่านเห็นอะไรบ้าง ?”

ข้าพเจ้าตอบว่า

“ผ้าผืนหนึ่งถูกทิ้งอยู่”

เขากล่าวว่า

“ดูให้ดี ๆ ซิ”

(๑๐) อะอฺยานุช-ชีอะฮฺ ๔ ก็อฟ เล่ม ๓ หน้า ๔๒.

๑๙

ข้าพเจ้าจึงพยายามดูอย่างพินิจพิเคราะห์ จึงกล่าวว่า

“ชายคนหนึ่งกำลังซุญูดอยู่”

เขากล่าวกับข้าพเจ้าอีกว่า

“ท่านรู้จักเขาไหม ?”

ข้าพเจ้าตอบว่า

“ไม่”

เขากล่าวว่า

“นี่แหละคือนายของท่าน”

ข้าพเจ้าถามว่า

“ใครกัน เป็นนายของฉัน”

เขากล่าวว่า

“ท่านจะแกล้งทำเป็นโง่กับฉันหรือ ?”

ข้าพเจ้าตอบว่า

“เรื่องอะไรข้าพเจ้าจะแกล้งทำเป็นโง่ แต่ข้าพเจ้าไม่รู้จริง ๆ ว่า นายของข้าพเจ้าคือใคร ?”

๒๐

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

   ความเป็นหนึ่งเดียวในด้านความหมายและความเป็นจริง

(วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์และวะฮ์ดัตอัยนีย์)

    ในขณะที่มีการกล่าวกันว่า ความเป็นหนึ่งเดียวที่มีในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้ากับคุณลักษณะของพระองค์ นั้นมีความหมายเป็นหนึ่งเดียวกัน (วะฮ์ดัต) ดังนั้น ความเป็นหนึ่งเดียว(วะฮ์ดัต) ดังกล่าวมีความหมายว่าอย่างไร? และเราสามารถแบ่งออกเป็นได้ กี่ประเภทด้วยกัน

ซึ่งจะกล่าวได้ว่า เราสามารถแบ่งประเภทของความเป็นหนึ่งเดียว (วะฮ์ดัต )ได้ ๒ ประเภท ด้วยกัน มีดังต่อไปนี้

๑. ความเป็นหนึ่งเดียวในด้านความหมาย  (วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์)

๒. ความเป็นหนึ่งเดียวในความเป็นจริง (วะฮ์ดัตอัยนีย์)

 วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์ หมายถึง คำสองคำที่มีความแตกต่างกันในตัวอักษร แต่ในด้านความหมายนั้น มีความหมายเดียวกัน เช่น ในภาษาอาหรับ คำว่า วุญูด คือ การมีอยู่ และคำว่าเกาน์ ก็แปลว่า  การมีอยู่ ด้วยเช่นกัน

 ดังนั้น วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์ จึงถูกนำไปใช้ในด้านของความหมายของคำเท่านั้น

ส่วนวะฮ์ดะฮ์อัยนี หมายถึง คำสองคำที่มีสองความหมาย แต่ว่ามีตัวอย่างอันเดียวกันในความเป็นจริงหรือภายนอก เช่น คำว่า คัมภีร์ของมุสลิม และคำว่า ปฏิหาริย์ของท่านศาสดามุฮัมมัด ดังนั้น สองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงนั้น มีตัวอย่างอันเดียวกัน  นั่นคือ

พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เป็น คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม

๑๐๑

   ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว สามารถบอกได้ถึง ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ ซึ่งในระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า และในระหว่างคุณลักษณะประการหนึ่งกับอีกคุณลักษณะประการอื่นๆของพระองค์ นั้นมีความหมายที่แตกต่างกัน

 ในอีกนัยหนึ่ง กล่าวได้ว่า มีความเป็นวะฮ์ดัตอัยนี กล่าวคือ ในความเป็นจริง นั้นมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า  ในความหมายของอาตมันกับคุณลักษณะ เช่น ความรอบรู้ อานุภาพ ก็มีความแตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริง ความรอบรู้ของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับอาตมันของพระองค์ที่มีมาแต่เดิม และไม่มีที่สิ้นสุด

ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับคุณลักษณะบางประการของพระเจ้า คือ คุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันของพระองค์ ซึ่งตรงกันข้ามกับคุณลักษณะใน กิริยา การกระทำ อีกทั้ง คุณลักษณะซุบูตีย์ (คุณลักษณะที่มีอยู่ในพระเจ้า) ก็ตรงกันข้ามกับคุณลักษณะซัลบีย์ (คุณลักษณะที่ไม่มีในพระองค์)อย่างเห็นได้ชัด

เราสามารถแบ่งประเด็นต่างๆของความเป็นเอกานาภาพในคุณลักษณะของพระเจ้า ได้ด้วยกัน ๓ ประเด็นหลัก นั่นก็คือ

๑.ประเด็นแรก อาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า ที่มีความหมายที่แตกต่างกัน

๒.ประเด็นที่สอง อาตมันกับคุณลักษณะที่มีในอาตมันของพระองค์ ที่ในความเป็นจริงนั้น มีตัวอย่างหนึ่งเดียวเท่านั้น

๑๐๒

๓.ประเด็นที่สาม คุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันกับคุณลักษณะประการอื่นของพระองค์ และในความเป็นจริงก็มีตัวอย่างหนึ่งเดียวเช่นกัน

หากพึงสังเกตุว่า ในประเด็นสุดท้าย ซึ่งก็เป็นประเด็นเดียวกันกับประเด็นที่สอง เพราะว่า การที่มีการกระทำหลายอย่างในสิ่งหนึ่ง แน่นอนที่สุด สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งเดียวที่มีหลายกริยา การกระทำด้วยเช่นกัน และเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่สิ่งหนึ่งจะมีความแตกต่างในตัวตนของสิ่งนั้นเอง

   เหตุผลของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

    ดั่งที่ได้อธิบายในความหมายของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะผ่านไปแล้ว จะมาอธิบายกันในเหตุผลที่ใช้พิสูจน์ในหลักการนี้ บรรดานักปรัชญาและเทววิทยาอิสลาม มีเหตุผลในการพิสูจน์ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ  ๓ เหตุผล ด้วยกัน ดังนี้

เหตุผลที่หนึ่ง

เหตุผลนี้ประกอบด้วย ๒ ข้อพิสูจน์เบื้องต้น คือ

๑.การมีความสมบูรณ์ที่สุด(กะมาล มุตลัก)ในพระผู้เป็นเจ้า  บ่งบอกถึง การมีความสัมพันธ์จากอาตมันไปยังคุณลักษณะของพระองค์ ในสภาพที่มีความสมบูรณ์ที่สุด

๒.การมีความสมบูรณ์ที่สุดในสิ่งหนึ่ง  หมายถึง การมีความสัมพันธ์ของสิ่งนั้นด้วยกับตัวของมันเอง โดยที่ไม่ต้องการสิ่งอื่นใด

๑๐๓

ผลที่จะได้รับของข้อพิสูจน์ดังกล่าวนี้ ก็คือ : ความสมบูรณ์ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งบ่งบอกถึง อาตมันของพระองค์ และคุณลักษณะทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้น นอกจากคุณลักษณะเหล่านั้นเกิดขึ้นด้วยอาตมันของพระองค์เท่านั้น

สิ่งที่ได้รับจากเหตุผลนี้ ก็คือ ความเป็นหนึ่งและความเป็นเอกานุภาพของคุณลักษณะ และอาตมันของพระเจ้า

การเปรียบเทียบกันระหว่างข้อถกเถียง และโต้แย้งในข้อพิสูจน์นี้ เป็นที่กระจ่างชัดโดยที่ไม่มีความต้องใช้การพิสูจน์ใดๆจากการวิเคราะห์ในความหมายของ กะมาล มุตลัก (ความสมบูรณ์ที่ไม่มีขอบเขต) หมายถึง ความสมบูรณ์ที่มีอยู่ในทุกภาวะด้วยกับตัวของตนเองโดยมีความสัมผัสสะกับคุณลักษณะทั้งหลาย ในอีกมุมมองหนึ่ง กล่าวว่า การเปรียบเทียบกันระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า มี ๒ สภาพด้วยกัน ดังนี้

สภาพแรก ความเป็นหนึ่งและเอกะในสิ่งทั้งสอง กล่าวคือ ทั้งในอาตมันของพระเจ้ากับคุณลักษณะของพระองค์ หมายความว่า สภาพนี้ เป็นระดับขั้นที่อาตมันมีความสมบูรณ์ที่สุด และไม่มีขอบเขตจำกัด

สภาพที่สอง ความแตกต่างในอาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า

๑๐๔

   เหตุผลที่สอง

    องค์ประกอบของเหตุผลนี้ มีดังต่อไปนี้

๑.อาตมันของพระเจ้า เป็นวาญิบุลวุญูด (ความจำเป็นที่ต้องมีอยู่) และเป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งหลาย ส่วนสิ่งอื่น เป็นมุมกินุลวุญูด (ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้) และยังเป็นผลของปฐมเหตุอีกด้วย

๒.ความสมบูรณ์ทั้งหมดของผลขึ้นอยู่กับต้นเหตุของมัน

๓.ถ้าหากว่า การเกิดขึ้นของคุณลักษณะของพระเจ้า มิได้ผ่านยังอาตมันของพระองค์ ก็หมายถึง ในอาตมันของพระเจ้านั้น มีข้อบกพร่องและความไม่สมบูรณ์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ผลหรือข้อสรุปที่จะได้รับ ก็คือ จากองค์ประกอบที่หนึ่งและที่สองของเหตุผลนี้ ได้กล่าวถึง อาตมันของพระเจ้าว่า มีความสมบูรณ์ที่สุด และองค์ประกอบที่สาม ก็กล่าวว่า การเกิดขึ้นของคุณลักษณะทั้งหลายนั้น จะต้องเกิดมาจากอาตมันของพระองค์เท่านั้น และก็หมายความว่า จะต้องมีความเป็นหนึ่งหรือความเป็นเอกานุภาพอยู่อีกด้วย

สามารถสรุปได้ว่า การเกิดขึ้นของคุณลักษณะที่มีในอาตมันของพระเจ้านั้น จะต้องมีความสมบูรณ์ในตัวของตัวเอง และความไม่สมบูรณ์หรือข้อบกพร่องจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน  เพราะว่าอาตมันของพระองค์เป็นปฐมเหตุของผลทั้งหลาย และเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่ แสดงให้เห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่คุณลักษณะของพระเจ้าจะไม่มีความสมบูรณ์อยู่เลย ดังนั้น กล่าวได้ว่า คุณลักษณะของพระเจ้าต้องมีความสมบูรณ์ที่สุด และไม่มีขอบเขตจำกัด อีกทั้งเป็นหนึ่งเดียวและเป็นเอกานุภาพกับอาตมันของพระองค์ด้วย

๑๐๕

   เหตุผลที่สาม

    ถ้าหากว่า คุณลักษณะของพระเจ้ามิได้มีความเป็นหนึ่งเดียว หรือเป็นเอกานุภาพกับอาตมันของพระองค์แล้วไซร้ จะเกิดการสมมุติฐานได้ สองประเด็น ด้วยกัน ดังนี้

๑.คุณลักษณะของพระเจ้าต้องเป็นส่วนหนึ่งในอาตมันของพระองค์

๒.คุณลักษณะของพระเจ้าต้องเกิดจากภายนอกอาตมันของพระองค์

สมมุติฐานแรก ถือว่าเป็นโมฆะและไม่ถูกต้อง เพราะว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้มีความเชื่อว่าพระเจ้ามีส่วนประกอบและได้พิสูจน์ในบท ความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้าไปแล้วว่า อาตมันของพระองค์นั้นไม่มีส่วนประกอบใดทั้งสิ้น

และจากสมมุติฐานที่สอง ก็ถือว่าเป็นโมฆะและไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสมมุติฐานว่า ถ้าคุณลักษณะของพระเจ้าเกิดจากภายนอกจริง คุณลักษณะนั้นจะต้องเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่ หรือสิ่งที่สามารถมีอยู่ ถ้าเป็นสิ่งแรก ก็เป็นสาเหตุให้เกิดมีพระเจ้าหลายองค์ ซึ่งความเชื่อนี้ขัดแย้งกับความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า และถ้าคุณลักษณะของพระองค์ เป็นสิ่งที่สามารถมีอยู่ จะเกิดคำถามขึ้นว่า แล้วอะไร เป็นสาเหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ซึ่งได้อธิบายไปแล้วว่า ทุกสิ่งที่เป็นสิ่งที่สามารถมีอยู่ ไม่ว่าในสภาพใดก็ตาม เป็นผลของสิ่งจำเป็นต้องมีอยู่ทั้งสิ้น และถ้าหากว่าเหตุผลการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น เกิดจากสิ่งจำเป็นต้องมีอยู่หลายๆอย่าง ที่เป็นสาเหตุให้มีพระเจ้าหลายองค์ ซึ่งก็มีความขัดแย้งกับเตาฮีดในอาตมันของพระเจ้าเช่นกัน เพราะฉะนั้น การสมมุติฐานทั้งหมด ถือว่าเป็นโมฆะ และคงเหลือเพียงสมมุติฐานเดียวก็คือ คุณลักษณะของพระเจ้าเกิดจากภายนอกอาตมัน และเป็นผลของอาตมัน

๑๐๖

 ดังนั้น การยอมรับในสมมุติฐานนี้ ก็คือ พระเจ้าไม่มีคุณลักษณะใดๆอยู่เลย เช่น พระองค์ไม่มีชีวิต ไม่มีพลานุภาพ ไม่มีความสามารถ ในตอนแรกได้เอาคุณลักษณะทั้งหลายเหล่านี้มาจากภายนอกอาตมันของพระองค์ แล้วนำไปใช้กับสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์

ด้วยเหตุนี้ การสมมุติฐานนี้ ก็ถือว่าเป็นโมฆะเช่นกัน เพราะว่า ด้วยกับกฏของเหตุและผล ได้กล่าวไปแล้วว่า เหตุของผลทั้งหลายจะไม่มีคุณสมบัติของผลของมัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะปราศจากความสมบูรณ์แล้วเอาความสมบูรณ์นั้นไปให้กับสิ่งอื่น เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ สำหรับพระเจ้า ในขณะที่พระองค์ไม่มีชีวิตอยู่และไม่มีพลานุภาพ และไม่มีความสามารถแล้ว พระองค์จะเป็นผู้ทรงสร้างชีวิตทั้งหลายได้อย่างไร?

สามารถสรุปได้ว่า สมมุติฐานที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ถือว่าเป็นโมฆะ และการสมมุติฐานระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า มีความแตกต่างกัน ก็เป็นโมฆะเช่นเดียวกัน ผลลัพท์คือ ระหว่างอาตมันและคุณลักษณะของพระองค์ในความเป็นจริง เป็นสิ่งเดียวกัน แต่มีความหมายที่แตกต่างกัน

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สติปัญญาของมนุษย์ยอมรับในการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงบริสุทธิ์ และมิได้มีขอบเขตจำกัด ซึ่งบ่งบอกถึงการมีอยู่ของคุณลักษณะที่มากมายในพระองค์ เช่น ความรู้ ความสามารถ การมีชีวิต และได้นำไปใช้กับอาตมันของพระเจ้าซึ่งในความเป็นจริงก็มิได้มีความแตกต่างกันเลย

๑๐๗

   ความแตกต่างทางด้านความหมายของคุณลักษณะ (ซิฟัต)

    ได้กล่าวไปแล้วว่า ในความเป็นจริงของอาตมัน และคุณลักษณะของพระเจ้านั้น มีความเป็นหนึ่งเดียวและเป็นเอกะ ซึ่งในคุณลักษณะของพระองค์ก็มิได้มีความแตกต่างกับอาตมัน และมิได้เป็นส่วนประกอบใดของอาตมัน แต่ในอาตมันและคุณลักษณะมีความเป็นหนึ่งเดียวและเป็นเอกะ 

ประเด็นหลักของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ  ก็คือ การยืนยันด้วยเหตุผลถึงความแตกต่างในความหมายระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะ เพราะว่าบุคคลใดก็ตามที่ใช้สติปัญญาเพื่อเข้าใจใน

ความหมายของคุณลักษณะ เช่น ความรอบรู้ ความปรีชาญาณ ความสามารถและอื่นๆ  ซึ่งทั้งหมดนั้นมีความหมายแตกต่างกัน  ดั่งเช่น ชาวอาหรับได้เรียกพระเจ้าว่า ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงความสามารถ บ่งบอกถึงความหมายที่แตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริง มีตัวตนหนึ่งเดียว

๑๐๘

                      

   ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ในมุมมองทางประวัติศาสตร์

    บรรดานักเทววิทยาในสำนักคิดทั้งหลายของอิสลามมีทัศนะที่แตกต่างกันเกี่ยวกับคุณลักษณะกับการให้ความสัมพันธ์ไปยังอาตมันของพระเจ้า ซึ่งมีดังนี้

๑.ทัศนะที่มีความเชื่อว่า คุณลักษณะกับอาตมันมีความเป็นหนึ่งเดียวกันตามความเป็นจริง แต่ในความหมายมีความแตกต่างกัน ทัศนะนี้  เป็นทัศนะของสำนักคิดชีอะฮ์อิมามียะฮ์ และสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์บางคน ซึ่งมีเหตุผลมากมายจากการใช้สติปัญญา และวจนะของอิสลามที่พิสูจน์ในทัศนะนี้

๒.ทัศนะที่มีความเชื่อในการมีมาแต่เดิมของคุณลักษณะในพระเจ้า และความไม่เหมือนกันของคุณลักษณะกับอาตมัน ทัศนะนี้ เป็นทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์ ที่กล่าวว่า คุณลักษณะในพระเจ้ามีความเหมือนกันกับคุณลักษณะของสิ่งที่ถูกสร้างและมีความแตกต่างกับอาตมัน หมายความว่า คุณลักษณะของพระองค์นั้นมีมาแต่เดิม แต่คุณลักษณะของสิ่งถูกสร้างมิได้มีมาแต่เดิม

ความผิดพลาดของทัศนะนี้ ก็คือ เป็นข้อสงสัยที่ทำให้เกิดความสับสนระหว่างคุณลักษณะของพระเจ้ากับคุณลักษณะของสิ่งที่ถูกสร้าง และการยอมรับว่า คุณลักษณะมีมาแต่เดิมเหมือนกับอาตมัน ซึ่งบ่งบอกถึงการมีอยู่ของสิ่งที่มีมาแต่เดิมหลายสิ่ง และเป็นสาเหตุทำให้เกิดการตั้งภาคี

๑๐๙

 กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สำนักคิดอัชอะรีย์มีความเชื่อในการมีอยู่ของสิ่งเจ็ดประการที่มีมาแต่เดิมเหมือนกับอาตมันของพระเจ้า นั่นก็คือ คุณลักษณะเจ็ดประการ ความรอบรู้ ความปรีชาญาณ และฯลฯ และในทัศนะนี้ได้ยอมรับว่า พระเจ้ามีความต้องการในความสมบูรณ์ของพระองค์ ซึ่งมีความขัดแย้งกับการไม่มีความต้องการใดของพระองค์ แต่ในทัศนะของความเป็นเอกานุภาพได้กำหนดไว้ว่า อาตมันของพระเจ้ามีหนึ่งเดียวและมีมาแต่เดิม ส่วนสิ่งทั้งหลายนอกเหนือจากพระองค์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ และเป็นสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์ 

๓.ทัศนะที่มีความเชื่อในการเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ของคุณลักษณะของพระเจ้า และความไม่เหมือนกันของคุณลักษณะและอาตมัน ทัศนะนี้เป็นทัศนะของสำนักคิดกะรอมียะฮ์ ที่กล่าวว่า คุณลักษณะของพระเจ้ามิได้มีมาแต่เดิม กล่าวคือ คุณลักษณะของพระเจ้าเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ และมิได้เหมือนกันกับอาตมัน ดังนั้น ทัศนะนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะ ด้วยกับเหตุผลต่างๆทางสติปัญญาที่ได้อธิบายไปแล้ว

๔.ทัศนะที่มีความเชื่อในการเป็นตัวแทน (นิยาบัต) ของอาตมันจากคุณลักษณะ ทัศนะนี้เป็นทัศนะของนักเทววิทยาในสำนักคิดมุอ์ตะซิละฮ์บางคน เช่น อะบูอะลีและอะบูฮาชิม ญุบบาอีย์

 (ผู้ก่อตั้งสำนักคิดมุอ์ตะซิละฮ์) และทัศนะของ อับบาด บิน สุลัยมาน พวกเขากล่าวว่า พระเจ้าทรงปราศจากคุณลักษณะที่สมบูรณ์ เช่น ความรอบรู้ ความปรีชาญาณ ในขณะเดียวกันอาตมันของพระองค์ก็ได้แสดงผลของคุณลักษณะทั้งหลายนั้นออกมา ตัวอย่างเช่น อาตมันของพระเจ้าทรงปราศจากคุณลักษณะความรู้ แต่การกระทำต่างๆของพระองค์ เป็นการกระทำของผู้ที่มีความรู้

๑๑๐

ดังนั้น เหตุผลของทัศนะนี้ ก็คือ พวกเขาไม่ยอมรับในทัศนะที่สาม เพราะว่า มีความขัดแย้งกับความเป็นเอกานุภาพ และในขณะเดียวกัน พวกเขาไม่รู้ในความเป็นจริงของคุณลักษณะทั้งหลายที่มีอยู่ในอาตมันของพระเจ้า ทัศนะนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะเช่นกัน เพราะว่าถ้ายอมรับในทัศนะนี้ก็เท่ากับมีความเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีความสมบูรณ์ เช่น การมีความรู้ ความสามารถ การมีชีวิต เป็นต้น

   ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ในมุมมองของวจนะ

    ได้อธิบายไปแล้วว่า ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ หมายถึง การมีความเชื่อในความเป็นหนึ่งเดียวของคุณลักษณะกับอาตมันของพระเจ้าในความเป็นจริง แต่ในความหมายนั้นมีความแตกต่างกัน ดังนั้น คุณลักษณะของพระเจ้าก็เหมือนกันกับอาตมันของพระองค์ที่มีมาแต่เดิม ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีความแตกต่างกันในอาตมันและคุณลักษณะของพระองค์ 

ท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวไว้ในสุนทรโรวาทหนึ่งเกี่ยวกับความสวยงามในความเป็นจริงของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ความว่า

 “พระเจ้า พระองค์ผู้ซึ่งมีคุณลักษณะที่ไม่มีขอบเขตจำกัดและไม่สามารถจะพรรณาในคุณลักษณะทั้งหลายของพระองค์ได้”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑ )

๑๑๑

หลังจากนั้นท่านอิมามได้อธิบายถึงความสมบูรณ์ของความบริสุทธิ์ใจในการรู้จักพระเจ้าและเตาฮีด(ความเป็นเอกานุภาพ)ว่า

“ความสมบูรณ์ของความเป็นเอกานุภาพ คือ การมีความบริสุทธิ์ใจต่อพระเจ้า และความสมบูรณ์ของความบริสุทธิ์ใจ คือ การไม่ปฏิเสธการมีคุณลักษณะในพระองค์ เพราะว่า การมีอยู่ของคุณลักษณะ บ่งบอกถึงสิ่งทำให้คุณลักษณะเกิดขึ้น และการมีของสิ่งที่ทำให้คุณลักษณะเกิดขึ้น มิใช่เป็นการมีคุณลักษณะ”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑ )

ท่านอิมามอะลีกล่าวอีกว่า

”บุคคลใดก็ตามที่ได้ทำให้พระเจ้ามีคุณลักษณะ ก็เท่ากับว่าเขาได้เข้าใกล้ชิดต่อพระองค์ และใครก็ตามที่เขาได้เข้าใกล้ชิดพระองค์ ก็เท่ากับเขาได้ทำให้พระเจ้ามีหลายองค์ และใครก็ตามที่ทำให้พระเจ้ามีหลายองค์ก็เท่ากับว่าเขานั้นไม่รู้จักพระองค์”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑ )

ท่านอิมามริฎอ (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

”พระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และทรงสูงส่ง พระองค์ทรงมีความรอบรู้ ,ความสามารถ, มีชีวิต, ได้ยิน, มองเห็น และ มีมาแต่เดิม

๑๑๒

 ฉัน (ผู้รายงาน) ได้ถามท่านอิมามว่า โอ้บุตรแห่งศาสนทูต กลุ่มชนหนึ่งได้พูดกันว่า พระองค์อัลลอฮ์มิได้ทรงมีความรู้, สามารถ, มีชีวิต, ได้ยิน, มองเห็น และ มีมาแต่เดิม

ท่านอิมามได้ตอบกับเขาว่า “ใครก็ตามที่มีความเชื่อเช่นนี้ แน่นอนที่สุดเขาได้ยืดเอาพระเจ้าอื่นเคียงข้างพระองค์อัลลอฮ์และตำแหน่งวิลายะฮ์ (ความเป็นผู้นำ) ของเราจะไม่ไปถึงเขา และท่านอิมามได้กล่าวอีกว่า พระองค์อัลลอฮ์ทรงมีความรู้, ความสามารถ, มีชีวิต ได้ยิน, มองเห็น และมีมาแต่เดิมด้วยกับอาตมันของพระองค์ และพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่บรรดาพวกตั้งภาคีและพวกที่คิดว่าพระองค์มีรูปร่าง”

(อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่ ๑๑ วจนะที่ ๓ )

 จากวจนะของท่านอิมามริฎอ ได้บ่งบอกถึง คุณลักษณะทั้งหลายของพระเจ้าที่มีมาแต่เดิม อาทิ เช่น ความรอบรู้, ความสามารถและ การมีชีวิต ผู้รายงานได้ถามอิมามเกี่ยวกับกลุ่มชนหนึ่งที่มีความเชื่อว่า การมีมาแต่เดิมของคุณลักษณะในพระเจ้าและความไม่เป็นหนึ่งเดียวกันกับอาตมันของพระองค์ อิมามได้ตอบว่า การมีความเชื่อเช่นนี้ เป็นสาเหตุของการตั้งภาคีและการเชื่อว่ามีพระเจ้าหลายองค์ ส่วนการมีอยู่ของคุณลักษณะในพระเจ้าได้เกิดขึ้นด้วยกับอาตมันของพระองค์ และมีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาตมัน

๑๑๓

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

ซิฟาตซาตีย์ หมายถึง คุณลักษณะที่มีในอาตมัน                                  

ซิฟาต คอริญีย์ หมายถึง คุณลักษณะที่มีในภายนอก

เตาฮีด ซิฟาตีย์ หมายถึง       ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

วะฮ์ดัต มัฟฮูมีย์ หมายถึง     ความเป็นหนึ่งเดียวในความหมาย

วะฮ์ดัต อัยนีย์  หมายถึง       ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริง

   สรุปสาระสำคัญ

๑.ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ ได้มีคำถามเกิดขึ้นว่า คุณลักษณะทั้งหลายของพระเจ้ามีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาตมันของพระองค์หรือไม่?

๒.ความเป็นหนึ่งเดียว (วะฮ์ดัต) สามารถแบ่งออกเป็น สองประเภท

(๑.)ความเป็นหนึ่งเดียวในความหมาย (วะฮ์ดัต มัฟฮูมีย์) หมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียวในความหมายของคำทั้งสองคำ

(๒.)ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริง (วะฮ์ดัต อัยนีย์) หมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริง แต่ในความหมายแตกต่างกัน

๓.ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะมี ๓ ประเด็นหลัก ดังนี้

(๑.)อาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้าในความหมายที่แตกต่างกัน

(๒.)อาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้าในความจริง มีความเป็นหนึ่งเดียวกันและเหมือนกัน

(๓.)คุณลักษณะของพระเจ้ากับคุณลักษณะประการอื่นในความเป็นจริง มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และเหมือนกัน

๑๑๔

๔.การปฏิเสธการมีส่วนประกอบในอาตมันของพระเจ้า เป็นประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

๕.มีหลายเหตุผลทางสติปัญญาที่ใช้ในการพิสูจน์ถึงความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

๖.การพิจารณาความหมายทางภาษาของคุณลักษณะในพระเจ้า บ่งบอกถึงความหมายที่แตกต่างกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทัศนะของความเป็นหนึ่งเดียวในความหมายของคุณลักษณะในพระเจ้านั้น มีความขัดแย้งกับการเข้าใจทางภาษาของคุณลักษณะในมนุษย์

๗.สำนักคิดอัชอะรีย์มีความเชื่อในการมีมาแต่เดิมของคุณลักษณะในพระเจ้า และมีความหมายที่แตกต่างกันกับอาตมันของพระองค์ ความเชื่อนี้ เป็นสาเหตุทำให้เกิดการตั้งภาคี และความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์

๘.ทัศนะของนักเทววิทยาบางคนในสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์ มีความเชื่อในอาตมันของพระเจ้าว่าไม่มีคุณลักษณะประการใด พวกเขากล่าวว่า  อาตมันของพระองค์มีผลที่มีคุณลักษณะ ในขณะที่ไม่มีคุณลักษณะประการใด ดังนั้น การยอมรับในทัศนะนี้ มีความเชื่อในความไม่สมบูรณ์ในอาตมัน และการไม่มีคุณลักษณะในพระองค์

๙.ท่านอิมามอะลีได้กล่าวในสุนทรโรวาทหนึ่งในนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ว่า

 “คุณลักษณะของพระเจ้ามิได้อยู่นอกเหนือจากอาตมันของพระองค์ และใครก็ตามที่มีความเชื่อว่า พระเจ้ามีคุณลักษณะอยู่ภายนอกอาตมันของพระองค์ แน่นอนที่สุดเขานั้นไม่รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง”

๑๐.ท่านอิมามอะลี ริฎอ ได้กล่าวเน้นย้ำว่า การมีความเชื่อในการมีคุณลักษณะของพระเจ้าที่มีความหมายที่แตกต่างกันกับอาตมัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการตั้งภาคี และได้เปรียบพระเจ้าเหมือนกับสิ่งที่มีชีวิตในโลก หมายถึง พระองค์มีรูปร่างและสรีระ

   บทที่ ๔

   ความเป็นเอกานุภาพใน กิริยา การกระทำ (เตาฮีด อัฟอาลีย์) ตอนที่หนึ่ง

   บทนำเบื้องต้น

    ตามทัศนะของบรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลาม มีความเห็นว่า พระเจ้าทรงมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุด และทรงเป็นแหล่งที่มาของอากัปกิริยา การกระทำ เช่น การสร้าง  , การประทานปัจจัยยังชีพ ,การบริหารกิจการงานทั้งหลาย, การมีเมตตาปรานี และอื่นๆ ซึ่งการกระทำทั้งหมดนั้น เป็นการกระทำของพระองค์

เมื่อได้สังเกตุในสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลก จะพบว่า มีกิริยา การกระทำเกิดขึ้นมากมาย  ซึ่งทั้งหมดของการกระทำจะต้องมีแหล่งที่มาหรือสาเหตุในการเกิดขึ้น เช่น สภาพการเป็นสะสาร ,การเจริญเติบโตของพรรณพืช, การเกิดขึ้นของสัตว์ และการถือกำเนิดของมนุษย์ หากมองดูอย่างผิวเผิน จะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆในโลกนี้ เกิดขึ้นจากการกระทำของหลายผู้กระทำและในทัศนะของความเป็นเอกานุภาพในอิสลาม มีความเชื่อว่า ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ต้องมีแหล่งที่มาอันเดียวกัน และพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้กระทำการงานเหล่านั้นเพียงองค์เดียว และไม่มีผู้กระทำ (ฟาอิล) ใดที่เป็นอิสระเสรี นอกจากพระองค์

๑๑๕

 ดังนั้น ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ จึงหมายถึง

๑.การมีความเชื่อว่า พระเจ้า เป็นผู้กระทำเพียงองค์เดียว ในการกระทำทั้งหลาย โดยที่ไม่มีผู้ที่ช่วยเหลือพระองค์

๒.การมีความเชื่อว่า การกระทำของพระเจ้า เป็นการกระทำที่เป็นอิสระเสรี ส่วนการกระทำของสิ่งอื่นๆ มิได้มีความเป็นอิสระเสรีเหมือนกับการกระทำของพระองค์ และการกระทำเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยกับความประสงค์ตามเจตนารมณ์ของพระองค์เท่านั้น ดังนั้น การสร้างทุกสรรพสิ่ง  ,การให้ปัจจัยยังชีพ, การบริหารการงานทั้งหลาย และอื่นๆ เป็นการกระทำของพระเจ้าแต่เพียงองค์ดียว โดยที่ไม่มีการช่วยเหลือจากผู้อื่น

   บทบาทของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำในมุมมองของโลกทรรศน์

    ความหมายที่กว้างของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ ซึ่งครอบคลุมไปถึงทุกการกระทำที่มีอยู่ในสากลจักวาล  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระเจ้ามีความสัมพันธ์กับจักวาล ดังนั้น การเชื่อหรือไม่เชื่อในความเป็นเอกานุภาพประเภทนี้ จึงมีผลต่อโลกทรรศน์และวิสัยทรรศน์ของมนุษย์ทุกคน เมื่อมนุษย์มีความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำแล้ว มนุษย์จะมีความเชื่อในอานุภาพ และความประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย ในขณะเดียวกัน เมื่อเวลาใดก็ตามที่มนุษย์มองไปในทุกทิศทาง  ก็จะพบกับพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นอานุภาพของพระองค์ครอบคลุมไปทั่วทุกสรรพสิ่งที่มีในโลกนี้และในจักวาล ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งใหญ่ที่สุดเหมือนดั่งจักวาล หรือสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งเล็กที่สุดเหมือนกับอะตอม ทั้งหมดนั้น อยู่ภายใต้อานุภาพของพระเจ้าทั้งสิ้น

๑๑๖

ด้วยเหตุนี้ การมีความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพนิกริยา การกระทำ จึงมีผลต่อโลกทรรศน์ และในความคิด ความศรัทธา ยังรวมทั้งในการปฏิบัติของมนุษย์อีกด้วย ซึ่งจะอธิบายในรายละเอียดของประเด็นเหล่านี้ เป็นอันดับต่อไป

   การกระทำของสิ่งถูกสร้างอยู่ภายใต้การกระทำของผู้สร้าง

    ความหมายที่ลึกซึ้งของ ความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ หมายถึง การกระทำทั้งหมดของสรรพสิ่ง เป็นการกระทำของพระเจ้าเพียงองค์เดียว โดยเกิดขึ้นจากอาตมันอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และเมื่อได้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองในความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ ได้มีคำถามและข้อสงสัยเกิดขึ้นมากมาย เช่น ถ้ายอมรับว่า มีความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำแล้ว การกระทำของสิ่งอื่น จะเป็นอย่างไร ? และทุกวันนี้ เราก็ได้เห็นสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา ที่ตัวของมันเป็นผู้กระทำการกระทำของมันขึ้นมาเอง เช่น เราได้เห็นไฟว่า มันมีความร้อน และได้เห็นแม่เหล็ก ว่า มันมีแรงดึงดูดที่สามารถดึงเอาเศษเหล็กทั้งเล็กใหญ่ไปยังตัวของมันได้, พวกพืชก็ได้รับอาหารจากใต้พื้นดิน ,สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างก็ได้ออกไปหาอาหารด้วยกับตัวของมัน แม้แต่มนุษย์เองก็เป็นผู้กระทำกิจการงานต่างๆด้วยตัวเอง และเมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้ความสัมพันธ์ของการกระทำเหล่านี้ไปยังพระเจ้าได้อย่างไร?  ถ้าเรายอมรับในการกระทำทั้งหลายเป็นการกระทำของพระองค์ เราก็ต้องปฏิเสธการกระทำของสิ่งอื่นด้วยหรือไม่?  หรือว่ายังมีหนทางอื่นอีกที่ยืนยันในการกระทำของสิ่งเหล่านั้นว่าอยู่ภายใต้การกระทำของพระเจ้าหรือไม่?

๑๑๗

สำหรับคำตอบของคำถามเหล่านี้ ต้องมาพิจารณาในทัศนะต่างๆของบรรดานักวิชาการว่า ได้มีความเห็นกันอย่างไร

 ด้วยเหตุนี้ บรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลามได้จัดแบ่งการกระทำของพระเจ้าออกเป็น สอง ประเภทได้ ด้วยกัน ดังนี้

๑.การกระทำที่เป็นแนวนอน หมายถึง มีผู้กระทำหลายคนในการกระทำหนึ่ง ที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับการกระทำนั้น มีความเสมอภาคกัน ตัวอย่างเช่น การช่วยเหลือของหลายคน ในการยกสิ่งของชิ้นหนึ่งจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ในสภาพเช่นนี้ การกระทำหนึ่ง จึงมีผู้กระทำหลายคน

๒.การกระทำที่เป็นแนวตั้ง หมายถึง การกระทำของหลายคน ที่มีผลต่อการกระทำหนึ่ง และในบางส่วนมีความสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ ซึ่งในการกระทำนี้มีผู้กระทำสองคน คือ ผู้กระทำโดยตรง (ฟาอิล มุบาชิร) และผู้กระทำโดยใช้สื่อ (ฟาอิล บิซตัซบีบ)

ผู้กระทำโดยตรง คือ ผู้ที่ทำให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น แต่การกระทำนั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านผู้กระทำอีกคนหนึ่ง คือ ผู้กระทำโดยใช้สื่อ จากประเภททั้งสองของการกระทำ การเปรียบเทียบการกระทำของพระเจ้ากับการกระทำของสิ่งที่ถูกสร้าง กล่าวคือ การกระทำของพระองค์ คือ การกระทำที่เป็นแนวตั้ง เหมือนกับการนั่งและการเดินของคนๆหนึ่งซึ่งเขาเป็นผู้กระทำเองโดยตรง แต่ไม่ใช่ว่าการกระทำของเขา จะอยู่นอกเหนืออำนาจของพระเจ้า ถ้าหากว่าการกระทำของเขาไม่ได้เกิดขึ้นด้วยอำนาจของพระองค์แล้ว แน่นอนที่สุดการกระทำนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น จากความแตกต่างของการกระทำที่เป็นแนวนอนกับการกระทำที่เป็นแนวตั้ง ทำให้มีความเข้าใจในความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

๑๑๘

 แต่ในความเป็นจริงนั้น การเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำนั้น มีความยากและละเอียดอ่อน ซึ่งจะพยายามทำให้มีความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น โดยการอาศัยตัวอย่างต่างๆ ทั้งที่เป็นการกระทำที่เป็นแนวนอนและการกระทำที่เป็นแนวตั้ง เช่น ความสัมพันธ์ของจิตกับร่างกายของมนุษย์ โดยการสมมุติฐาน เช่น การเขียนของมนุษย์ ในขณะที่เขาคิดว่า เขานั้นเป็นผู้กระทำโดยตรง แต่ความเป็นจริง มิได้เป็นเช่นนั้น การกระทำดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นได้จากการมีความสัมพันธ์ของจิตไปสู่ร่างกายของเขา ด้วยกับการใช้มือเป็นสื่อในการเขียน ซึ่งการกระทำนั้นเกิดขึ้นในสภาพที่เป็นแนวตั้ง เพราะฉะนั้นในสภาพเช่นนี้ ผู้ที่กระทำโดยตรง คือ มือของมนุษย์ การเกิดขึ้นได้โดยการสั่งงานหรือได้รับคำสั่งจากจิต ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวไปสู่การจับปากกาแล้วเอามาเขียนลงบนกระดาษ

ซึ่งจะเห็นได้ว่า การกระทำของพระเจ้ากับการกระทำของสิ่งถูกสร้างนั้น มีความสัมพันธ์คล้ายคลึงกันกับความสัมพันธ์ของจิตกับร่างกายของมนุษย์ กล่าวคือ การกระทำของสิ่งถูกสร้างมีความสัมพันธ์ไปสู่การกระทำของพระเจ้า โดยสรุปได้ว่า  การจำกัดของการกระทำที่เป็นอิสระเสรีในพระเจ้ากับการให้มีความสัมพันธ์กับการกระทำอื่นที่มิได้มาจากพระเจ้า ถือว่า ไม่ถูกต้อง

ด้วยเหตุนี้ ก็สามารถที่จะให้ความสัมพันธ์ของกระทำนั้นไปสู่พระเจ้า และสิ่งถูกสร้างได้โดยปราศจากความขัดแย้งและข้อผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น

๑๑๙

   บทบาทของสื่อกลางในการเกิดขึ้นของการกระทำในพระเจ้า

    มีคำถามเกิดขึ้นว่า ถ้าหากว่าพระเจ้ามีความเป็นอิสระเสรีในการกระทำของพระองค์ โดยที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใด แล้วทำไมในการเกิดขึ้นของการกระทำบางสิ่งบางอย่างต้องใช้สื่อกลางในการกระทำด้วย เช่น ในการสร้างหรือการบันดาล ซึ่งเป็นการกระทำหนึ่งของพระเจ้า แต่ทว่าการเกิดขึ้นของต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้องผ่านปัจจัยและองค์ประกอบหลายอย่าง อาทิเช่น การได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์ ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ ต้นไม้ต้นนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้

สำหรับคำตอบของคำถามนี้ ก็คือ สภาพในกิริยา การกระทำของพระเจ้า สามารถแบ่งออกเป็น ๒ สภาพ ด้วยกัน ดังนี้

๑.สภาพของโลกเหนือธรรมชาติ หมายถึง โลกที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุและสสาร ดังนั้น การเกิดขึ้นของการกระทำในพระเจ้า  จึงไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆหรือปัจจัยใด เพียงเพราะความประสงค์ของพระองค์เท่านั้น การกระทำนั้นก็จะเกิดขึ้นในทันทีทันใด  สภาพนี้จึงถูกเรียกว่า โลกแห่งการกระทำ

 (อาลัม มุน อัมร์)

๒. สภาพของโลกแห่งธรรมชาติ คือ โลกที่เกี่ยวข้องกับวัตถุหรือสสาร ถูกเรียกว่า โลกแห่งการสร้างสรรค์ (อาลัม มุน ค็อลก์)

ดังนั้น การเกิดขึ้นของการกระทำของพระเจ้า ในสภาพเช่นนี้ จึงมีความต้องการเงื่อนไขและปัจจัยอื่นๆ เพราะว่า การเกิดขึ้นของสิ่งที่เป็นวัตถุด้วยกับกฏระบบและระเบียบของโลก หากว่าการเกิดขึ้นของสิ่งที่เป็นวัตถุ ปราศจากการมีอยู่ของเงื่อนไขหรือปัจจัยอื่นใด สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น

๑๒๐

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133