ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม42%

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม ผู้เขียน:
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 133

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 133 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 63341 / ดาวน์โหลด: 5545
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

พระองค์ทรงมีโองการอีกว่า :

“จงรู้ไว้ว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงทำให้แผ่นดินมีชีวิต หลังจากที่มันได้ตายไปแล้ว แน่นอนยิ่งเราได้สาธยายแก่สูเจ้าซึ่งโองการต่าง ๆ เพื่อสูเจ้าจักได้ใช้สติปัญญา”(อัล-ฮะดีด : ๑๗)

พระองค์ตรัสอีกว่า :

“และสวนต่าง ๆ นั้นมีทั้งองุ่น พืชพันธุ์ต่างๆ อินทผลัม อีกทั้งพืชที่มีหน่อ และไม่มีหน่อ พระองค์ทรงให้มันรับน้ำฝนชนิดเดียวกันและทรงให้คุณประโยชน์ในการรับประทานแก่บางอย่างมากกว่า อีกบางอย่าง แท้จริงในเรื่องนี้เป็นสัญญาณสำหรับปวงชนที่ใช้สติปัญญา”(อัร-เราะอฺด์ : ๔)

พระองค์ตรัสอีกว่า :

“และส่วนหนึ่งในสัญญาณของพระองค์นั้นได้แก่สายฟ้าแลบที่ทำให้สูเข้าเห็น มีทั้งความน่ากลัวและมีทั้งความปรารถนา และพระองค์ทรงประทานน้ำฝนลงมาจากฟากฟ้า แล้วพระองค์ได้ทรงทำให้แผ่นดินมีชีวิตขึ้นมา หลังจากที่มันได้ตายไปแล้ว แท้จริงในเรื่องเหล่านี้เป็นสัญญาณ

สำหรับบรรดาผู้ที่ใช้สติปัญญา”(อัร-รูม : ๒๔)

๔๑

พระองค์ตรัสอีกว่า :

“จงกล่าว มานี่เถิดท่านทั้งหลาย ฉันได้ถูกบัญชาให้แจ้งถึงสิ่งที่พระผู้อภิบาลของพวกท่านทรงห้ามพวกท่านไว้ อันได้แก่ พวกท่านจะต้องไม่ยกสิ่งใด ๆ ขึ้นเป็นภาคีกับพระองค์ และกับบิดา มารดานั้นต้องทำความดี และจงอย่านำลูก ๆ ของพวกท่านเพราะกลัวความยากจน เราได้ประทานเครื่องยังชีพให้แก่สูเจ้า และแก่พวกเขาเองและสูเจ้า จงอย่าเข้าใกล้ความชั่วร้ายทั้งโดยเปิดเผยและโดยซ่อนเร้น และจงอย่าฆ่าชีวิตใดชีวิตหนึ่งที่อัลลอฮฺทรงหวงห้ามไว้ นอกจากด้วยความชอบธรรมนี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งเสียแก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้ใช้สติปัญญา”

(อัล-อันอาม: ๑๕๑)

พระองค์ตรัสอีกว่า :

“สำหรับสูเจ้านั้น มีบุคคลที่อยู่ในการปกครองของสูเจ้ามิใช่หรือ อันเป็นผู้มีส่วนร่วมในการที่เราได้ประทานเครื่องยังชีพให้แก่สูเจ้า ดังนั้นสูเจ้าทั้งหลายจึงเสมอภาคกันในเรื่องนี้ สูเจ้ายำเกรงพวกเขา เช่นเดียวกับที่สูเจ้ายำเกรงเพื่อตัวของสูเจ้าเอง ดังนี้แหละที่เราได้อธิบายสัญญาณต่าง ๆอย่างละเอียดสำหรับพวกที่ใช้สติปัญญา”(อัร-รูม : ๒๘)

ฮิชามเอ๋ย หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงแนะนำผู้มีสติปัญญา และทรงสอนให้เขาเหล่านั้นมีความปรารถนาในปรโลก

๔๒

ดังที่พระองค์ตรัสว่า :

“ชีวิตในโลกนี้มิใช่อื่นใด นอกจากเป็นเพียงการละเล่น และความเพลิดเพลินเท่านั้น แต่สำหรับปรโลกย่อมประเสริฐยิ่งนักสำหรับพวกที่ยำเกรงแล้วสูเจ้าไม่ใช้สติปัญญาอีกหรือ”

(อัล-อันอาม: ๓๒)

ฮิชามเอ๋ย ต่อจากนั้นพระองค์ยังได้กำชับให้พวกที่ไม่ใช้สติปัญญาได้เกรงกลัวถึงการลงโทษของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)

โดยพระองค์ได้ตรัสว่า :

“ต่อจากนั้น เราได้ทำลายคนกลุ่มหนึ่ง และแท้จริงสูเจ้าทั้งหลายก็ได้ผ่านไปพบเห็นพวกเขาทั้งในยามเช้าและในยามค่ำคืน สูเจ้าจะไม่ใช้สติปัญญาอีกหรือ”(อัล-ศอฟฟาต : ๑๓๖-๑๓๘)

พระองค์ตรัสอีกว่า :

“แท้จริง เราได้บันดาลให้การลงโทษลงมาจากฟากฟ้ามายังชาวเมืองเหล่านี้ด้วยเหตุที่ว่าพวกเขาละเมิด และแท้จริงเราได้ละทิ้งสัญญาณอันหนึ่งอย่างชัดเจนยิ่งไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อพวกเขาจะได้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญ”

(อัล-อันกะบูต: ๓๔-๓๕)

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงสติปัญญานั้นย่อมอยู่กับความรู้

ดังที่พระองค์ตรัสว่า :

“และบรรดาอุทาหรณ์เหล่านั้น เราได้ยกมาเปรียบเทียบไว้เพื่อมวลมนุษย์ แต่ไม่มีผู้ใดใช้สติปัญญานอกจากผู้ที่มีความรู้เท่านั้น”

(อัล-อันกะบูต: ๔๓)

๔๓

ฮิชามเอ๋ย ต่อจากนั้นพระองค์ทรงตำหนิพวกที่ไม่ใช้สติปัญญา

ดังที่พระองค์ตรัสว่า :

“และในเมื่อมีคนกล่าวกับพวกเขาว่า จงปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฺทรงประทานมา พวกเขากล่าวว่าหามิได้ เราจะปฏิบัติตามแต่สิ่งที่เราพบมาว่าบรรพบุรุษของเราอยู่กับมันเท่านั้น แล้วถ้าหากว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่ใช้สติปัญญา และพวกเขามิได้รับทางนำเลยเล่า”

(อัล-บะกอเราะฮฺ: ๑๗๐)

พระองค์ตรัสว่า :

“และเปรียบพวกปฏิเสธได้เหมือนอย่างกับพวกที่ผงกคอรับ โดยไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากการเรียกและการกู่ร้อง เป็นพวกใบ้ หูหนวก และตาบอด กล่าวคือพวกเขาไม่ใช้สติปัญญา”

(อัล-บะกอเราะฮฺ: ๑๗๑)

พระองค์ตรัสว่า :

“และในหมู่พวกเขาก็มีผู้ที่ยอมรับฟังเจ้า แล้วเจ้าจะทำให้คนหูหนวกรับฟังได้หรือ ถ้าหากพวกเขาไม่ใช้สติปัญญา” (ยูนุซ: ๔๒)

พระองค์ตรัสว่า :

“เจ้าคิดหรือว่า ส่วนมากของพวกเขาจะรับฟังหรือใช้สติปัญญา

 พวกเขามิใช่อื่นใดนอกจากเสมือนสัตว์เดรัจฉาน ยิ่งกว่านั้นยังหลงผิดจากหนทางอย่างยิ่ง”(อัล-ฟุรกอน : ๔๔)

๔๔

พระองค์ตรัสอีกว่า :

“และสูเจ้าลืมตัวของสูเจ้าเอง ในขณะที่สูเจ้าก็อ่านคัมภีร์และสูเจ้าไม่ได้ใช้สติปัญญาดอกหรือ ?”

(อัล-บะกอเราะฮฺ: ๔๔)

ฮิชามเอ๋ย ต่อจากนั้นอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงตำหนิคนส่วนมากดังนี้ :

“ถ้าหากเจ้าปฏิบัติตามคนส่วนมากในแผ่นดิน พวกเขาก็จะทำให้เจ้าหลงออกจากทางของอัลลอฮฺ”

(อัล-อันอาม: ๑๑๖)

พระองค์ตรัสอีกว่า :

“และแน่นอน ถ้าหากเจ้าถามคนเหล่านั้นว่าใครสร้างฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พวกเขาจะต้องกล่าวว่า “อัลลอฮฺ” จงกล่าวเถิด มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ แต่ส่วนมากพวกเขาไม่ปฏิบัติตาม(การงานที่ดี)”

(ลุกมาน: ๒๕)

พระองค์ตรัสว่า :

“และแน่นอนยิ่ง ถ้าหากเจ้าได้ถามเขาเหล่านั้นว่าใครคือผู้ประทานน้ำฝนลงมาจากฟากฟ้าแล้ว ได้ทรงทำให้แผ่นดินมีชีวิตขึ้นมาหลังจากที่มันได้ตายไปแล้ว แน่นอนที่สุดพวกเขาจะต้องกล่าวว่า “อัลลอฮฺ”

 จงกล่าวเถิด มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ แต่คนส่วนมากในหมู่พวกเขาไม่ใช้สติปัญญา”(อัล-อันกะบูต : ๖๓)

๔๕

ฮิชามเอ๋ย ต่อจากนั้นพระองค์ได้ทรงยกย่องคนส่วนน้อย

ดังที่พระองค์ตรัสว่า :

“และคนส่วนน้อยในหมู่ปวงบ่าวของฉัน เป็นผู้ที่รู้จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง”(ซะบะอ์ : ๑๓)

พระองค์ตรัสอีกว่า :

“และชายผู้ศรัทธาคนหนึ่งจากพวกพ้องของฟิรเอาน์ ซึ่งซ่อนเร้นความศรัทธาของตนเองไว้ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะสังหารบุคคลหนึ่งเพราะเนื่องจากการที่เขาเพียงแต่กล่าวว่า “พระผู้อภิบาลของฉันคืออัลลอฮฺ” กระนั้นหรือ ?”(ฆอฟิร: ๒๘)

พระองค์ตรัสว่า :

“และไม่มีใครศรัทธาต่อเขา นอกจากเพียงส่วนน้อยเท่านั้น”

(ฮูด: ๔๐)

และตรัสว่า

“แต่คนส่วนมากในหมู่พวกเขาไม่รู้”

(อัล-อันอาม: ๓๗)

และตรัสอีกว่า :

“แต่คนส่วนมากในหมู่พวกเขาไม่ใช้สติปัญญา”

(อัล-มาอิดะฮฺ: ๑๐๓)

โอ้ ฮิชามเอ๋ย ต่อจากนั้นพระองค์ตรัสถึงบรรดาผู้มีสติปัญญาลุ่มลึกไว้อย่างดียิ่ง และทรงตบแต่งเขาเหล่านั้นด้วยเครื่องประดับที่ดีงาม

๔๖

ดังที่พระองค์ตรัสว่า :

“พระองค์ทรงมอบวิทยปัญญาให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดก็ตามที่พระองค์ทรงมอบวิทยปัญญาให้ ก็เท่ากับผู้นั้นได้รับคุณงามความดีอย่างมากมาย แต่ไม่มีใครคิดใคร่ครวญนอกจากบรรดาผู้มีสติปัญญาอันล้ำเลิศเท่านั้น”(อัล-บะกอเราะฮฺ : ๒๖๙)

พระองค์ตรัสว่า :

“และบรรดาผู้สันทัดในวิชาการอย่างสูงนั้นกล่าวว่าเราศรัทธาต่อพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระผู้อภิบาลของเรา และไม่มีใครคิดใคร่ครวญ นอกจากบรรดาผู้มีสติปัญญาอันล้ำเลิศ”

(อาลิอิมรอน: ๗)

และพระองค์ตรัสว่า :

“ผู้ที่รู้ว่า สิ่งที่ถูกประทานมายังเจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้านั้นคือสัจธรรม จะเหมือนกันหรือกับคนที่ตาบอด อันที่จริงผู้จะคิดใคร่ครวญได้นั้น

ก็คือผู้มีสติปัญญาอันล้ำเลิศเท่านั้น”

(อัร-เราะอฺด์: ๑๙)

พระองค์ตรัสอีกว่า :

“ผู้มีสมาธิในยามค่ำคืนโดยการซุญูดและยืนนมาซมิใช่หรือ ที่เขาหวั่นเกรงในปรโลก และหวังความเมตตาจากพระผู้อภิบาลของเขา

จงกล่าวเถิดผู้ที่มีความรู้กับผู้ที่ไม่มีความรู้นั้น จะเสมอเหมือนกันได้หรือ?

อันที่จริงแล้วบรรดาผู้มีสติปัญญาเท่านั้นที่จะคิดใคร่ครวญได้”

(อัซ-ซุมัร: ๙)

๔๗

พระองค์ตรัสอีกว่า :

“คัมภีร์อัล-กุรอานที่เราได้ประทานลงมายังเจ้านั้นเป็นสิ่งโปรดปรานให้ความจำเริญ เพื่อเขาเหล่านั้น จักได้ใคร่ครวญต่อโองการทั้งหลายของพระองค์ และเพื่อปวงผู้มีสติปัญญาอันเลอเลิศจะได้คิดพินิจพิเคราะห์”

(ศ็อด: ๒๙)

พระองค์ตรัสอีกว่า :

“และแน่นอนยิ่ง เราได้ประทานทางนำให้แก่มูซาและเราให้

บะนีอิสรออีลได้รับมรดกแห่งคัมภีร์อันเป็นทางนำและข้อเตือนสติสำหรับผู้มีสติปัญญาอันเลอเลิศ”(ฆอฟิร : ๕๓-๕๗)

และพระองค์ตรัสอีกว่า :

“จงตักเตือน แท้จริงการเตือนสติย่อมมีคุณค่าสำหรับบรรดาผู้มีศรัทธา”

(อัซฺ-ซาริยาต : ๕๕)

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ตรัสไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า :

“แท้จริง ในเรื่องนี้ย่อมเป็นข้อเตือนสติสำหรับบุคคลผู้มีหัวใจ”

(ก็อฟ: ๓๗)

“หัวใจ” ในที่นี้ก็คือ “สติปัญญา”

และพระองค์ตรัสอีกว่า :

“โดยแน่นอนยิ่งเราได้ประทานวิทยปัญญาให้แก่ลุกมาน”

(ลุกมาน: ๑๒)

๔๘

อันหมายถึงความเข้าใจและสติปัญญา

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงลุกมานนั้นได้กล่าวแก่บุตรของตนว่า ให้ยอมรับต่อสัจธรรม แล้วจะเป็นคนที่มีปัญญาเลิศที่สุดในหมู่ชน โดยท่านได้กล่าวว่า

“โอ้ลูกเอ๋ย แท้จริงโลกนี้คือทะเลอันล้ำลึก แน่นอนคนที่มีความรู้เป็นอันมากได้จมลงในทะเลแห่งนี้ เพราะฉะนั้นเจ้าจงกำหนดให้ความยำเกรงที่มีต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)เป็นนาวาสำหรับเจ้า และจงมีความศรัทธาเป็นเครื่องคุ้มกัน อีกทั้งจงมีดวงจิตที่มอบหมายเป็นเครื่องมือในการทำงาน และจงให้สติปัญญาเป็นเครื่องควบคุม และจงให้ความรู้เป็นเครื่องชี้นำ และจงให้ความอดทนเป็นพื้นฐาน”

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงทุกสิ่งทุกอย่างนั้นย่อมขึ้นอยู่กับหลักฐานชี้นำ

ส่วนหลักฐานชี้นำของสติปัญญานั้นได้แก่ การคิดใคร่ครวญ ส่วนหลักฐานชี้นำความคิดใคร่ครวญนั้น ได้แก่ การใช้สติอย่างสุขุม และทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีคู่ประกอบ ส่วนคู่ประกอบของสติปัญญานั้นได้แก่ การถ่อมตนเพียงพอแล้วที่จะกล่าวว่าท่านเป็นผู้โง่เขลา หากท่านได้กระทำสิ่งที่ต้องห้าม

ฮิชามเอ๋ย อัลลอฮฺ(ซ.บ.)มิได้ส่งศาสนทูตและนบีของพระองค์มายังปวงบ่าวของพระองค์เพื่ออื่นใดนอกจากเพื่อให้พวกเขาใช้ความคิดในเรื่องของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ดังนั้นผู้ที่ดีที่สุดที่เหมาะสม

สำหรับการตอบรับดุอฺาอ์ คือ ผู้ที่รู้จักพระองค์ดีที่สุด และผู้มีความรู้ในเรื่องคำสั่งของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ถือเป็นผู้ที่มีสติปัญญาที่ดีเลิศของพวกเขา ผู้มีสติปัญญาที่เพียบพร้อมบริบูรณ์นั้น

๔๙

 พระองค์จะทรงยกย่องให้สูงส่งทั้งในโลกนี้และปรโลก

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมอบข้อพิสูจน์มาให้แก่มนุษย์สองประการ นั้นคือ ข้อพิสูจน์ที่เปิดเผยและข้อพิสูจน์ที่ซ่อนเร้น ข้อพิสูจน์ที่เปิดเผยคือ ‘บรรดาศาสนทูตและนบี’ ส่วนข้อพิสูจน์ที่ซ่อนเร้นคือ “สติปัญญา”

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงผู้มีสติปัญญาที่ไม่ขัดแย้งกับสิ่งอนุมัติ(ฮะลาล)นั้น ย่อมขอบพระคุณต่อพระองค์ และความอดทนของเขาจะไม่พ่ายแพ้ต่อสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม)

ฮิชามเอ๋ย ใครก็ตามที่ปล่อยให้ ๓ อย่างเอาชนะ ๓ อย่างได้ก็เท่ากับเขาช่วยส่งเสริมให้ทำลาย

“สติปัญญา” ของตนเอง นั่นคือ

- คนที่ดับรัศมีแห่งความคิดของตนเองด้วยการตั้งความหวังอันเลือนลาง

- คนที่ลบเลือนวิทยปัญญาของตนเองด้วยคำพูดที่ไร้ประโยชน์

-คนที่ดับรัศมีแห่งความเข้าใจของตนเองด้วยกิเลสฝ่ายต่ำ

 เพราะเปรียบเสมือนว่า เขาช่วยกิเลสฝ่ายต่ำทำลายสติปัญญาของตนเอง

ผู้ใดทำลายสติปัญญาของตนเอง ก็เท่ากับทำลายศาสนาและชีวิตทางโลกของตน

โอ้ ฮิชามเอ๋ย การทำงานของท่านจะใสสะอาดในทัศนะของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจของท่านยังพะวักพะวงอยู่กับคำสั่งของพระผู้อภิบาล(เกิดความไม่แน่ใจ) และท่านยังทำตามอารมณ์ฝ่ายต่ำที่ครอบงำสติปัญญาของท่านอยู่

๕๐

ฮิชามเอ๋ย ความอดทนต่อการอยู่โดดเดี่ยวนั้น คือ เครื่องหมายของสติปัญญาที่มีพลัง ดังนั้นผู้ใดที่ใช้สติปัญญาในเรื่องของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)

 เขาจะปลีกตัวให้พ้นจากชาวโลกและผู้ที่ปรารถนาอย่างดูดดื่มกับชีวิตทางโลกได้แล้ว เขาก็จะมีความปรารถนาในสิ่งที่อยู่ ณ อัลลอฮฺ(ซ.บ.) และอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงทำให้เขามีความอบอุ่นใจในยามที่เขาเปล่าเปลี่ยว และทรงอยู่กับเขาในยามที่เขาอยู่ตามลำพัง ทรงให้เขามั่งคั่งในยามที่เขายากจน ทรงให้ความรักแก่เขาในยามที่เขาขาดญาติมิตร

ฮิชามเอ๋ย มวลมนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) เขาไม่สามารถจะปลอดภัยได้ นอกจากอาศัยการปฏิบัติตาม(ฏออัต)และการปฏิบัติตามนั้นย่อมขึ้นอยู่กับความรู้ และความรู้นั้นย่อมขึ้นอยู่กับการเรียน และการเรียนนั้นย่อมผูกพันอยู่กับ “สติปัญญา” ความรู้จะมีไม่ได้นอกจากอาศัยผู้มีความรู้ในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า การเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในความรู้ขึ้นอยู่กับ”สติปัญญา”

ฮิชามเอ๋ย การทำงานเพียงน้อยนิดของผู้มีความรู้นั้น ย่อมถูกยอมรับหลายเท่านัก ส่วนการทำงานอย่างมากมายของพวกที่ถือตามอารมณ์และความโง่ย่อมได้รับการปฏิเสธ

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงผู้มีความรู้ย่อมมีความยินดีต่อการจากไปของชีวิตทางโลก ในเมื่ออยู่กับวิทยปัญญา แต่จะไม่พอใจกับการจากไปของวิทยปัญญา ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่กับโลก ดังนั้น เพราะเหตุนี้เองการทำงานของพวกเขาจึงได้รับรางวัล

๕๑

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงบรรดาผู้มีสติปัญญานั้นย่อมละทิ้งส่วนเกินที่ไม่มีประโยชน์ของโลก แล้วเขาจะมีความบาปได้อย่างไร เขาละทิ้งชีวิตทางโลกในส่วนที่ไร้ประโยชน์ เขาละทิ้งความบาปในส่วนที่เป็นความจำเป็นต่างๆ

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงผู้มีสติปัญญานั้น จะพิจารณาไปยังโลกและชาวโลก เมื่อนั้นเขาจะรู้ว่าจะไม่มีใครเข้าถึงได้ นอกจากอาศัยความยากลำบากเท่านั้น และจะพิจารณาไปยังปรโลก เขาก็จะรู้ว่าไม่มีใครเข้าถึงได้นอกจากอาศัยความยากลำบาก ดังนั้น เขาจึงแสวงหาความยากลำบากเพื่อการดำรงอยู่ในโลกทั้งสอง

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงบรรดาผู้มีสติปัญญานั้น มีความมักน้อยในชีวิตทางโลก แต่จะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในปรโลก เพราะเขาเหล่านั้นรู้ดีว่า โลกนี้เป็นสิ่งที่ต้องการและถูกต้องการส่วนโลกหน้านั้นก็เป็นสิ่งที่ปรารถนาและถูกต้องการด้วย ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่แสวงหาชีวิตในโลกหน้า โลกหน้านั้นก็ต้องการเขา จนกระทั่งเครื่องยังชีพทางโลกของเขาจะเพียงพอครบถ้วน และผู้ใดที่แสวงหาแต่เรื่องของโลกนี้ โลกหน้าก็ต้องการเขาเช่นกัน ครั้นเมื่อความตายมาถึงเขา ชีวิตของเขาก็จะเสียหายลงทั้งหมด ไม่ว่าเรื่องของโลกนี้ หรือโลกหน้า

ฮิชามเอ๋ย บุคคลใดที่ต้องการความมั่งคั่งโดยที่ไม่มีทรัพย์สิน มีจิตใจที่สงบปราศจากความริษยา และมีความสันติสุขอยู่กับศาสนา ก็พึงได้

นอบน้อมถ่อมตนต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) ในเรื่องข้อเรียกร้องของเขา ผู้ใดพอใจในสิ่งที่มีอยู่เขาจะเป็นผู้พอเพียงแล้ว เพราะใครก็ตาม ถ้าหากยังไม่พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เขาก็มิอาจเข้าถึงความมั่งคั่งได้เลยตลอดกาล

๕๒

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ทรงบอกเล่าเกี่ยวกับประวัติของบรรดาผู้มีคุณธรรมกลุ่ม

หนึ่ง ที่พวกเขากล่าวว่า :

“โอ้พระผู้อภิบาลของเรา โปรดอย่าได้หันเหจิตใจของเรา หลังจากที่ได้ทรงชี้นำให้แก่เรา แล้วและโปรดประทานคลังแห่งความเมตตาของพระองค์ให้แก่เราเถิด แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ให้โดยแท้”

(อาลิอิมรอน: ๘)

ทั้งนี้ก็เพราะพวกเขารู้ว่าจิตใจนั้น มันเป็นสิ่งโลเล และพลิกผันไปมาอยู่เสมอเป็นอาจิณที่แท้นั้น คนที่ไม่เกรงกลัวอัลลอฮฺ(ซ.บ.) และคนที่ไม่ใช้สติปัญญานั้น จิตใจของเขาย่อมจะไม่ตระหนักกับความรู้อันแน่นอน ซึ่งเขามองเห็นอยู่แล้ว และเขาจะไม่พบเลยว่า ในจิตใจของเขานั้น จะมีความรู้อย่างแท้จริงแต่ประการใด จะไม่มีใครเป็นอย่างนี้ได้เลยนอกจากคนที่มีคำพูดและการกระทำที่สอดคล้องกัน ความเป็นอยู่ทั้งโดยลับและเปิดเผยที่ตรงต่อกัน เพราะอัลลอฮฺ(ซ.บ.)นั้นมิทรงให้หลักฐานเกี่ยวกับความเร้นลับโดยซ่อนเร้นจากสติปัญญา หากแต่เป็นไปตามที่เปิดเผยและที่ได้อธิบายไว้นั่นเอง

ฮิชามเอ๋ย ท่านอฺะลี อะมีรุลมุอ์มินีน(อฺ)ได้กล่าวว่า

“อัลลอฮฺ(ซ.บ.)จะไม่ถูกเคารพภักดีด้วยสิ่งใดที่ดีเลิศไปกว่าการใช้สติปัญญา และสติปัญญาของมนุษย์นั้นจะไม่สมบูรณ์จนกว่าในสติปัญญานั้นจะประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ ดังนี้ คือ ปลอดภัยจากการตั้งภาคีและการปฏิเสธ มุ่งหวังความชอบธรรมและความดีงาม และทรัพย์สินที่ประเสริฐของเขาอยู่ที่การบริจาค คำพูดที่ประเสริฐของเขาอยู่ที่การยับยั้ง ส่วนได้ของเขาจากโลกนี้คือส่วนที่เสียหายไป

๕๓

 ชีวิตของเขาไม่เคยอิ่มต่อความรู้ ความต่ำต้อยต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)เป็นสิ่งที่เขารักยิ่งกว่าการมีเกียรติต่อคนอื่น การถ่อมตัวเป็นสิ่งที่เขาชอบมากกว่าการมีเกียรติ เขาถือว่าความดีเล็กๆ น้อยๆ จากคนอื่นนั้นมากมายเสมอ และถือว่าความดีอันมากมายของตนเองนั้นน้อยเสมอ และเห็นว่ามนุษย์ทุกคนดีกว่าตนเอง ส่วนตนนั้นยังเป็นคนไม่ดีสำหรับคนเหล่านั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ การงานของเขาจะประสบความสำเร็จ”

ฮิชามเอ๋ย แท้จริง ผู้มีสติปัญญานั้น จะไม่โกหก ถึงแม้เขาจะตกอยู่ในอารมณ์ฝ่ายต่ำก็ตาม

ฮิชามเอ๋ย ไม่มีศาสนาสำหรับคนที่ไม่มีมนุษยธรรม และการมีมนุษยธรรมนั้นย่อมไม่มีอะไรกับคนที่ไม่มีสติปัญญา แท้จริง ผู้ที่มีความสามารถอันยิ่งใหญ่นั้น ได้แก่ ผู้ที่มองไม่เห็นว่าโลกนี้จะเป็นอันตรายแก่ตนเองเลย

ฮิชามเอ๋ย ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน(อฺ)ได้กล่าวว่า

“แท้จริง เครื่องหมายของคนมี “สติปัญญา” มีสามประการ คือ

๑. เมื่อถูกถามก็จะตอบ

๒. จะพูดเมื่อคนอื่นไม่มีความสามารถจะพูด

๓. จะเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์แก่พรรคพวกของตน

ส่วนคนที่ไม่มีสามประการนี้อยู่ในตัวย่อมเป็นคนโง่เขลา”

๕๔

แท้จริงท่านอะมีรุลมุอ์มินีน(อฺ)ได้กล่าวว่า

“จะไม่มีใครกล้านั่งแถวหน้าของที่ประชุม นอกจากคนที่มีสามประการนี้อยู่ในตัว หรือมีสักประการหนึ่งก็ยังดี ครั้นถ้าคนที่ไม่มีสักประการหนึ่งอยู่ในตัวเลย แล้วนั่งอยู่แถวหน้าเขาคือคนเขลา”

ท่านฮะซัน บินอฺะลี(อฺ)กล่าวว่า

“เมื่อท่านต้องการขอความช่วยเหลือ ก็จงขอจากคนที่เป็นเจ้าของ

เรื่องนั้นๆ”

มีคนหนึ่งถามว่า

“โอ้ บุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ แล้วใครเล่าคือเจ้าของ

เรื่องนั้นๆ ?”

ท่าน(อฺ)ตอบว่า

“เจ้าของเรื่องนั้นๆ คือ บรรดาผู้ที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงบอกเล่าไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า :

“อันที่จริงบรรดาผู้มีสติปัญญาอันลุ่มลึกนั้นจะมีการรำลึกใคร่ครวญได้”

(อัร-เราะอฺด์: ๑๙)

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

“พวกเขาคือบรรดาผู้มีสติปัญญา”

๕๕

ท่านอะลี บิน ฮุเซน(อฺ)ได้กล่าวว่า

“การคบหากับผู้มีคุณธรรมย่อมนำไปสู่การขัดเกลา จริยธรรมของนักปราชญ์ คือการเพิ่มพูนสติปัญญา การเชื่อฟังผู้มีความเที่ยงธรรมย่อมทำให้มีเกียรติคุณสมบูรณ์ ทรัพย์สินจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อการมีมนุษยธรรมเป็นไปอย่างสมบูรณ์ เรื่องร้ายแรงจะหยุดยั้ง เพราะความสมบูรณ์ของสติปัญญา และในนั้นมีความสุขแก่ชีวิตร่างกายทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”

ฮิชามเอ๋ย แท้จริงผู้มีสติปัญญาจะไม่พูดกับคนที่เขากลัวว่า คนผู้นั้นจะว่าเขาโกหก และจะไม่ขอสิ่งใดจากคนที่เขากลัวว่า จะไม่ให้แก่เขา เขาจะไม่คิดถึงในสิ่งที่เขาไม่มีความสามารถ เขาจะไม่มุ่งหวังในสิ่งที่สุดวิสัยซึ่งความสมหวัง และจะไม่เดินหน้าเข้าหาในสิ่งที่เขากลัวว่า มันอาจจากเขาไปด้วยการไร้ความสามารถของตัวเอง”(๕)

(๕) อุศูลุล-กาฟี เล่ม ๑ หน้า ๒๐.

๕๖

สาส์นของอิมามมูซา กาซิม(อฺ)

บทเรียนอันสูงค่า

ชีวิตในทุกๆ ด้านของท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)นั้นล้วนเป็นตัวอย่างอันสูงส่งซึ่งเราอาจถือได้ว่า เป็นหลักการแห่งคำสอนของศาสนาอิสลาม ที่เราต้องนำมาเป็นบทเรียนอันอำนวยประโยชน์สุขแก่ชีวิตที่แท้จริงของเรา

ในบทนี้ เราขอเสนอเรื่องราวจากสาส์นบางฉบับของท่านอิมามมูซา

กาซิม(อฺ)ที่ส่งไปยังชีอะฮฺของท่าน(อฺ)และศัตรูของท่าน(อฺ) ซึ่งทุกฉบับนั้นล้วนเป็นบทเรียนและมีคุณค่าอย่างสูง

สาส์นฉบับที่ ๑

จากอิมามมูซา กาซิม(อฺ)

ถึงผู้พิพากษาคนหนึ่ง

เป็นสาส์นของท่านอิมามกาซิม(อฺ)ที่ส่งไปยังผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ตัดสินลงโทษชายคนหนึ่ง

ดังมีใจความว่า

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ, อัมมาบะอฺดุ:

จงรับรู้ไว้ว่า แท้จริงภายใต้บัลลังก์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)นั้นมีร่มเงาหนึ่งซึ่งจะไม่มีผู้ใดพักพิงได้ นอกจากคนที่สนับสนุนพี่น้องของเขาให้ได้รับความดีงาม หรือปกป้องชีวิตหนึ่งให้พ้นจากอันตรายหรือจะต้องนำความปลื้มปิติไปสู่หัวใจของเขา และนี่คือจดหมายจากพี่น้องของท่าน

วัสลาม

๕๗

สาส์นฉบับที่ ๒

จากอิมามมูซา กาซิม(อฺ)

ถึงคอลีฟะฮฺฮารูน ร่อชีด

ข้อความบางตอนจากสาส์นของท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)ที่ส่งไปยัง

คอลีฟะฮฺฮารูน รอชีด เพื่อเป็นการตอบจดหมายฉบับหนึ่งที่เขาเขียนส่งไปยังท่าน(อฺ)เพื่อขอร้องให้ท่าน(อฺ)ช่วยแนะนำสั่งสอน

ท่านอิมาม(อฺ)ตอบเขาว่า

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ

อัลฮัมดุลิลลาฮฺ, อัมมาบะอฺดุ:

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมองเห็นด้วยสายตา ล้วนมีคำแนะนำสั่งสอนในสิ่งนั้นอยู่ทั้งสิ้น

วัสลาม

สาส์นฉบับที่ ๓

จากอิมามมูซา กาซิม(อฺ)

ถึงท่านอฺะลี บินซุวัยดฺ

เป็นสาส์นที่ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)เขียนในคุกเพื่อมอบให้แก่ท่านอฺะลี บินซุวัยดฺ มีใจความว่า

๕๘

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ

อัลฮัมดุลิลลาฮฺ, อัมมาบะอฺดุ:

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงสุด ผู้ทรงยิ่งใหญ่

ซึ่งโดยเกียรติคุณและรัศมีของพระองค์จึงบันดาลให้หัวใจของศรัทธาชนทั้งหลายมองเห็นเด่นชัด โดยเกียรติคุณและรัศมีของพระองค์จึงทำให้พวกโง่เขลาเป็นศัตรูของพระองค์ โดยเกียรติคุณของพระองค์ จึงทำให้สื่อสัมพันธ์พร้อมกับพิธีกรรมอันแตกต่างมุ่งปรารถนายังพระองค์ ซึ่งบ้างก็มีถูก บ้างก็มีผิด บ้างก็หลงทาง บ้างก็อยู่ในทางนำที่ถูก บ้างก็ได้ยิน บ้างก็ไม่ได้ยิน บ้างก็มองเห็น บ้างมองไม่เห็นและเป็นทุกข์

มวลการสรรเสริญจึงเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ผู้ทรงแนะนำรูปลักษณะศาสนาของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ ด้วยกับ(ฐานภาพของ)ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) ท่านคือบุคคลหนึ่งที่มาจากวงศ์วานของมุฮัมมัด(ศ)ผู้มีฐานะพิเศษ ซึ่งความรักจักช่วยทำให้ท่านได้พบความถูกต้อง และมองเห็นสัจธรรมในศาสนา

จงเรียกร้องสู่วิถีทางแห่งพระผู้อภิบาลผู้ซึ่งท่านปรารถนาการตอบรับการวิงวอนในเรื่องเกี่ยวกับพวกเราเถิด จงอย่าปิดบังอำนาจด้วยความเห็นแก่ตัว จงสวามิภักดิ์กับวงศ์วานของมุฮัมมัด(ศ) และจงอย่าพูดอะไรพาดพิงถึงพวกเราในลักษณะที่ผิดพลาด ถึงแม้ท่านจะไม่ขัดแย้งกับเราก็ตาม

เพราะท่านไม่รู้ว่า เรามิได้กล่าวอย่างนั้นไม่ว่าในลักษณะใดๆ ก็ตาม จงศรัทธาในสิ่งที่เราบอกท่าน และจงอย่าแคะคุ้ยในสิ่งที่ซ่อนเร้นจากท่าน

๕๙

ฉันขอบอกท่านว่า สิทธิที่สำคัญอย่างหนึ่งของพี่น้องท่าน ได้แก่ การที่ท่านต้องไม่ซ่อนเร้น เขาไม่ว่าเรื่องใดที่มีประโยชน์ต่อเขาทั้งทางโลกและทางปรโลก

วัสลาม(๑)

(๑) บิฮารุ้ล-อันวารฺ เล่ม ๑๗ หน้า ๒๐๕.

สาส์นฉบับที่ ๔

จากอิมามมูซา กาซิม(อฺ)

ถึงค่อลีฟะฮฺฮารูน ร่อชีด

เป็นสาส์นของท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)ที่ส่งไปยังค่อลีฟะฮฺฮารูน รอชีด เมื่อครั้งที่ท่าน(อฺ)อยู่ในคุก มีใจความว่า

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ

อัลฮัมดุลิลลาฮฺ, อัมมาบะอฺดุ:

วันเวลาแห่งการทดสอบจะไม่ผ่านพ้นล่วงเลยไปจากฉัน จนกว่าวันเวลาแห่งความสุขสบาย จะผ่านพ้นล่วงเลยไปจากท่านพร้อมๆ กัน เมื่อนั้นเราจะผ่านพ้นไปพร้อมๆ กันสู่วันๆ หนึ่งที่ไม่มีการตัดสินอันใดจะยังความพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา

วัสลาม(๒)

(๒) อัล-ฟุศูลุล-มุฮิมมะฮฺ หน้า ๒๒๗.

๖๐

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

   ความเป็นหนึ่งเดียวในด้านความหมายและความเป็นจริง

(วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์และวะฮ์ดัตอัยนีย์)

    ในขณะที่มีการกล่าวกันว่า ความเป็นหนึ่งเดียวที่มีในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้ากับคุณลักษณะของพระองค์ นั้นมีความหมายเป็นหนึ่งเดียวกัน (วะฮ์ดัต) ดังนั้น ความเป็นหนึ่งเดียว(วะฮ์ดัต) ดังกล่าวมีความหมายว่าอย่างไร? และเราสามารถแบ่งออกเป็นได้ กี่ประเภทด้วยกัน

ซึ่งจะกล่าวได้ว่า เราสามารถแบ่งประเภทของความเป็นหนึ่งเดียว (วะฮ์ดัต )ได้ ๒ ประเภท ด้วยกัน มีดังต่อไปนี้

๑. ความเป็นหนึ่งเดียวในด้านความหมาย  (วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์)

๒. ความเป็นหนึ่งเดียวในความเป็นจริง (วะฮ์ดัตอัยนีย์)

 วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์ หมายถึง คำสองคำที่มีความแตกต่างกันในตัวอักษร แต่ในด้านความหมายนั้น มีความหมายเดียวกัน เช่น ในภาษาอาหรับ คำว่า วุญูด คือ การมีอยู่ และคำว่าเกาน์ ก็แปลว่า  การมีอยู่ ด้วยเช่นกัน

 ดังนั้น วะฮ์ดัตมัฟฮูมีย์ จึงถูกนำไปใช้ในด้านของความหมายของคำเท่านั้น

ส่วนวะฮ์ดะฮ์อัยนี หมายถึง คำสองคำที่มีสองความหมาย แต่ว่ามีตัวอย่างอันเดียวกันในความเป็นจริงหรือภายนอก เช่น คำว่า คัมภีร์ของมุสลิม และคำว่า ปฏิหาริย์ของท่านศาสดามุฮัมมัด ดังนั้น สองคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงนั้น มีตัวอย่างอันเดียวกัน  นั่นคือ

พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เป็น คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม

๑๐๑

   ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว สามารถบอกได้ถึง ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ ซึ่งในระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า และในระหว่างคุณลักษณะประการหนึ่งกับอีกคุณลักษณะประการอื่นๆของพระองค์ นั้นมีความหมายที่แตกต่างกัน

 ในอีกนัยหนึ่ง กล่าวได้ว่า มีความเป็นวะฮ์ดัตอัยนี กล่าวคือ ในความเป็นจริง นั้นมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า  ในความหมายของอาตมันกับคุณลักษณะ เช่น ความรอบรู้ อานุภาพ ก็มีความแตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริง ความรอบรู้ของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับอาตมันของพระองค์ที่มีมาแต่เดิม และไม่มีที่สิ้นสุด

ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับคุณลักษณะบางประการของพระเจ้า คือ คุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันของพระองค์ ซึ่งตรงกันข้ามกับคุณลักษณะใน กิริยา การกระทำ อีกทั้ง คุณลักษณะซุบูตีย์ (คุณลักษณะที่มีอยู่ในพระเจ้า) ก็ตรงกันข้ามกับคุณลักษณะซัลบีย์ (คุณลักษณะที่ไม่มีในพระองค์)อย่างเห็นได้ชัด

เราสามารถแบ่งประเด็นต่างๆของความเป็นเอกานาภาพในคุณลักษณะของพระเจ้า ได้ด้วยกัน ๓ ประเด็นหลัก นั่นก็คือ

๑.ประเด็นแรก อาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า ที่มีความหมายที่แตกต่างกัน

๒.ประเด็นที่สอง อาตมันกับคุณลักษณะที่มีในอาตมันของพระองค์ ที่ในความเป็นจริงนั้น มีตัวอย่างหนึ่งเดียวเท่านั้น

๑๐๒

๓.ประเด็นที่สาม คุณลักษณะที่มีอยู่ในอาตมันกับคุณลักษณะประการอื่นของพระองค์ และในความเป็นจริงก็มีตัวอย่างหนึ่งเดียวเช่นกัน

หากพึงสังเกตุว่า ในประเด็นสุดท้าย ซึ่งก็เป็นประเด็นเดียวกันกับประเด็นที่สอง เพราะว่า การที่มีการกระทำหลายอย่างในสิ่งหนึ่ง แน่นอนที่สุด สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งเดียวที่มีหลายกริยา การกระทำด้วยเช่นกัน และเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่สิ่งหนึ่งจะมีความแตกต่างในตัวตนของสิ่งนั้นเอง

   เหตุผลของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

    ดั่งที่ได้อธิบายในความหมายของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะผ่านไปแล้ว จะมาอธิบายกันในเหตุผลที่ใช้พิสูจน์ในหลักการนี้ บรรดานักปรัชญาและเทววิทยาอิสลาม มีเหตุผลในการพิสูจน์ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ  ๓ เหตุผล ด้วยกัน ดังนี้

เหตุผลที่หนึ่ง

เหตุผลนี้ประกอบด้วย ๒ ข้อพิสูจน์เบื้องต้น คือ

๑.การมีความสมบูรณ์ที่สุด(กะมาล มุตลัก)ในพระผู้เป็นเจ้า  บ่งบอกถึง การมีความสัมพันธ์จากอาตมันไปยังคุณลักษณะของพระองค์ ในสภาพที่มีความสมบูรณ์ที่สุด

๒.การมีความสมบูรณ์ที่สุดในสิ่งหนึ่ง  หมายถึง การมีความสัมพันธ์ของสิ่งนั้นด้วยกับตัวของมันเอง โดยที่ไม่ต้องการสิ่งอื่นใด

๑๐๓

ผลที่จะได้รับของข้อพิสูจน์ดังกล่าวนี้ ก็คือ : ความสมบูรณ์ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งบ่งบอกถึง อาตมันของพระองค์ และคุณลักษณะทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้น นอกจากคุณลักษณะเหล่านั้นเกิดขึ้นด้วยอาตมันของพระองค์เท่านั้น

สิ่งที่ได้รับจากเหตุผลนี้ ก็คือ ความเป็นหนึ่งและความเป็นเอกานุภาพของคุณลักษณะ และอาตมันของพระเจ้า

การเปรียบเทียบกันระหว่างข้อถกเถียง และโต้แย้งในข้อพิสูจน์นี้ เป็นที่กระจ่างชัดโดยที่ไม่มีความต้องใช้การพิสูจน์ใดๆจากการวิเคราะห์ในความหมายของ กะมาล มุตลัก (ความสมบูรณ์ที่ไม่มีขอบเขต) หมายถึง ความสมบูรณ์ที่มีอยู่ในทุกภาวะด้วยกับตัวของตนเองโดยมีความสัมผัสสะกับคุณลักษณะทั้งหลาย ในอีกมุมมองหนึ่ง กล่าวว่า การเปรียบเทียบกันระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า มี ๒ สภาพด้วยกัน ดังนี้

สภาพแรก ความเป็นหนึ่งและเอกะในสิ่งทั้งสอง กล่าวคือ ทั้งในอาตมันของพระเจ้ากับคุณลักษณะของพระองค์ หมายความว่า สภาพนี้ เป็นระดับขั้นที่อาตมันมีความสมบูรณ์ที่สุด และไม่มีขอบเขตจำกัด

สภาพที่สอง ความแตกต่างในอาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า

๑๐๔

   เหตุผลที่สอง

    องค์ประกอบของเหตุผลนี้ มีดังต่อไปนี้

๑.อาตมันของพระเจ้า เป็นวาญิบุลวุญูด (ความจำเป็นที่ต้องมีอยู่) และเป็นปฐมเหตุของสิ่งทั้งหลาย ส่วนสิ่งอื่น เป็นมุมกินุลวุญูด (ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้) และยังเป็นผลของปฐมเหตุอีกด้วย

๒.ความสมบูรณ์ทั้งหมดของผลขึ้นอยู่กับต้นเหตุของมัน

๓.ถ้าหากว่า การเกิดขึ้นของคุณลักษณะของพระเจ้า มิได้ผ่านยังอาตมันของพระองค์ ก็หมายถึง ในอาตมันของพระเจ้านั้น มีข้อบกพร่องและความไม่สมบูรณ์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ผลหรือข้อสรุปที่จะได้รับ ก็คือ จากองค์ประกอบที่หนึ่งและที่สองของเหตุผลนี้ ได้กล่าวถึง อาตมันของพระเจ้าว่า มีความสมบูรณ์ที่สุด และองค์ประกอบที่สาม ก็กล่าวว่า การเกิดขึ้นของคุณลักษณะทั้งหลายนั้น จะต้องเกิดมาจากอาตมันของพระองค์เท่านั้น และก็หมายความว่า จะต้องมีความเป็นหนึ่งหรือความเป็นเอกานุภาพอยู่อีกด้วย

สามารถสรุปได้ว่า การเกิดขึ้นของคุณลักษณะที่มีในอาตมันของพระเจ้านั้น จะต้องมีความสมบูรณ์ในตัวของตัวเอง และความไม่สมบูรณ์หรือข้อบกพร่องจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน  เพราะว่าอาตมันของพระองค์เป็นปฐมเหตุของผลทั้งหลาย และเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่ แสดงให้เห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่คุณลักษณะของพระเจ้าจะไม่มีความสมบูรณ์อยู่เลย ดังนั้น กล่าวได้ว่า คุณลักษณะของพระเจ้าต้องมีความสมบูรณ์ที่สุด และไม่มีขอบเขตจำกัด อีกทั้งเป็นหนึ่งเดียวและเป็นเอกานุภาพกับอาตมันของพระองค์ด้วย

๑๐๕

   เหตุผลที่สาม

    ถ้าหากว่า คุณลักษณะของพระเจ้ามิได้มีความเป็นหนึ่งเดียว หรือเป็นเอกานุภาพกับอาตมันของพระองค์แล้วไซร้ จะเกิดการสมมุติฐานได้ สองประเด็น ด้วยกัน ดังนี้

๑.คุณลักษณะของพระเจ้าต้องเป็นส่วนหนึ่งในอาตมันของพระองค์

๒.คุณลักษณะของพระเจ้าต้องเกิดจากภายนอกอาตมันของพระองค์

สมมุติฐานแรก ถือว่าเป็นโมฆะและไม่ถูกต้อง เพราะว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้มีความเชื่อว่าพระเจ้ามีส่วนประกอบและได้พิสูจน์ในบท ความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้าไปแล้วว่า อาตมันของพระองค์นั้นไม่มีส่วนประกอบใดทั้งสิ้น

และจากสมมุติฐานที่สอง ก็ถือว่าเป็นโมฆะและไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสมมุติฐานว่า ถ้าคุณลักษณะของพระเจ้าเกิดจากภายนอกจริง คุณลักษณะนั้นจะต้องเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีอยู่ หรือสิ่งที่สามารถมีอยู่ ถ้าเป็นสิ่งแรก ก็เป็นสาเหตุให้เกิดมีพระเจ้าหลายองค์ ซึ่งความเชื่อนี้ขัดแย้งกับความเป็นเอกานุภาพในอาตมันของพระผู้เป็นเจ้า และถ้าคุณลักษณะของพระองค์ เป็นสิ่งที่สามารถมีอยู่ จะเกิดคำถามขึ้นว่า แล้วอะไร เป็นสาเหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ซึ่งได้อธิบายไปแล้วว่า ทุกสิ่งที่เป็นสิ่งที่สามารถมีอยู่ ไม่ว่าในสภาพใดก็ตาม เป็นผลของสิ่งจำเป็นต้องมีอยู่ทั้งสิ้น และถ้าหากว่าเหตุผลการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น เกิดจากสิ่งจำเป็นต้องมีอยู่หลายๆอย่าง ที่เป็นสาเหตุให้มีพระเจ้าหลายองค์ ซึ่งก็มีความขัดแย้งกับเตาฮีดในอาตมันของพระเจ้าเช่นกัน เพราะฉะนั้น การสมมุติฐานทั้งหมด ถือว่าเป็นโมฆะ และคงเหลือเพียงสมมุติฐานเดียวก็คือ คุณลักษณะของพระเจ้าเกิดจากภายนอกอาตมัน และเป็นผลของอาตมัน

๑๐๖

 ดังนั้น การยอมรับในสมมุติฐานนี้ ก็คือ พระเจ้าไม่มีคุณลักษณะใดๆอยู่เลย เช่น พระองค์ไม่มีชีวิต ไม่มีพลานุภาพ ไม่มีความสามารถ ในตอนแรกได้เอาคุณลักษณะทั้งหลายเหล่านี้มาจากภายนอกอาตมันของพระองค์ แล้วนำไปใช้กับสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์

ด้วยเหตุนี้ การสมมุติฐานนี้ ก็ถือว่าเป็นโมฆะเช่นกัน เพราะว่า ด้วยกับกฏของเหตุและผล ได้กล่าวไปแล้วว่า เหตุของผลทั้งหลายจะไม่มีคุณสมบัติของผลของมัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะปราศจากความสมบูรณ์แล้วเอาความสมบูรณ์นั้นไปให้กับสิ่งอื่น เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ สำหรับพระเจ้า ในขณะที่พระองค์ไม่มีชีวิตอยู่และไม่มีพลานุภาพ และไม่มีความสามารถแล้ว พระองค์จะเป็นผู้ทรงสร้างชีวิตทั้งหลายได้อย่างไร?

สามารถสรุปได้ว่า สมมุติฐานที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ถือว่าเป็นโมฆะ และการสมมุติฐานระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้า มีความแตกต่างกัน ก็เป็นโมฆะเช่นเดียวกัน ผลลัพท์คือ ระหว่างอาตมันและคุณลักษณะของพระองค์ในความเป็นจริง เป็นสิ่งเดียวกัน แต่มีความหมายที่แตกต่างกัน

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สติปัญญาของมนุษย์ยอมรับในการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงบริสุทธิ์ และมิได้มีขอบเขตจำกัด ซึ่งบ่งบอกถึงการมีอยู่ของคุณลักษณะที่มากมายในพระองค์ เช่น ความรู้ ความสามารถ การมีชีวิต และได้นำไปใช้กับอาตมันของพระเจ้าซึ่งในความเป็นจริงก็มิได้มีความแตกต่างกันเลย

๑๐๗

   ความแตกต่างทางด้านความหมายของคุณลักษณะ (ซิฟัต)

    ได้กล่าวไปแล้วว่า ในความเป็นจริงของอาตมัน และคุณลักษณะของพระเจ้านั้น มีความเป็นหนึ่งเดียวและเป็นเอกะ ซึ่งในคุณลักษณะของพระองค์ก็มิได้มีความแตกต่างกับอาตมัน และมิได้เป็นส่วนประกอบใดของอาตมัน แต่ในอาตมันและคุณลักษณะมีความเป็นหนึ่งเดียวและเป็นเอกะ 

ประเด็นหลักของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ  ก็คือ การยืนยันด้วยเหตุผลถึงความแตกต่างในความหมายระหว่างอาตมันกับคุณลักษณะ เพราะว่าบุคคลใดก็ตามที่ใช้สติปัญญาเพื่อเข้าใจใน

ความหมายของคุณลักษณะ เช่น ความรอบรู้ ความปรีชาญาณ ความสามารถและอื่นๆ  ซึ่งทั้งหมดนั้นมีความหมายแตกต่างกัน  ดั่งเช่น ชาวอาหรับได้เรียกพระเจ้าว่า ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงความสามารถ บ่งบอกถึงความหมายที่แตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริง มีตัวตนหนึ่งเดียว

๑๐๘

                      

   ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ในมุมมองทางประวัติศาสตร์

    บรรดานักเทววิทยาในสำนักคิดทั้งหลายของอิสลามมีทัศนะที่แตกต่างกันเกี่ยวกับคุณลักษณะกับการให้ความสัมพันธ์ไปยังอาตมันของพระเจ้า ซึ่งมีดังนี้

๑.ทัศนะที่มีความเชื่อว่า คุณลักษณะกับอาตมันมีความเป็นหนึ่งเดียวกันตามความเป็นจริง แต่ในความหมายมีความแตกต่างกัน ทัศนะนี้  เป็นทัศนะของสำนักคิดชีอะฮ์อิมามียะฮ์ และสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์บางคน ซึ่งมีเหตุผลมากมายจากการใช้สติปัญญา และวจนะของอิสลามที่พิสูจน์ในทัศนะนี้

๒.ทัศนะที่มีความเชื่อในการมีมาแต่เดิมของคุณลักษณะในพระเจ้า และความไม่เหมือนกันของคุณลักษณะกับอาตมัน ทัศนะนี้ เป็นทัศนะของสำนักคิดอัชอะรีย์ ที่กล่าวว่า คุณลักษณะในพระเจ้ามีความเหมือนกันกับคุณลักษณะของสิ่งที่ถูกสร้างและมีความแตกต่างกับอาตมัน หมายความว่า คุณลักษณะของพระองค์นั้นมีมาแต่เดิม แต่คุณลักษณะของสิ่งถูกสร้างมิได้มีมาแต่เดิม

ความผิดพลาดของทัศนะนี้ ก็คือ เป็นข้อสงสัยที่ทำให้เกิดความสับสนระหว่างคุณลักษณะของพระเจ้ากับคุณลักษณะของสิ่งที่ถูกสร้าง และการยอมรับว่า คุณลักษณะมีมาแต่เดิมเหมือนกับอาตมัน ซึ่งบ่งบอกถึงการมีอยู่ของสิ่งที่มีมาแต่เดิมหลายสิ่ง และเป็นสาเหตุทำให้เกิดการตั้งภาคี

๑๐๙

 กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สำนักคิดอัชอะรีย์มีความเชื่อในการมีอยู่ของสิ่งเจ็ดประการที่มีมาแต่เดิมเหมือนกับอาตมันของพระเจ้า นั่นก็คือ คุณลักษณะเจ็ดประการ ความรอบรู้ ความปรีชาญาณ และฯลฯ และในทัศนะนี้ได้ยอมรับว่า พระเจ้ามีความต้องการในความสมบูรณ์ของพระองค์ ซึ่งมีความขัดแย้งกับการไม่มีความต้องการใดของพระองค์ แต่ในทัศนะของความเป็นเอกานุภาพได้กำหนดไว้ว่า อาตมันของพระเจ้ามีหนึ่งเดียวและมีมาแต่เดิม ส่วนสิ่งทั้งหลายนอกเหนือจากพระองค์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาใหม่ และเป็นสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์ 

๓.ทัศนะที่มีความเชื่อในการเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ของคุณลักษณะของพระเจ้า และความไม่เหมือนกันของคุณลักษณะและอาตมัน ทัศนะนี้เป็นทัศนะของสำนักคิดกะรอมียะฮ์ ที่กล่าวว่า คุณลักษณะของพระเจ้ามิได้มีมาแต่เดิม กล่าวคือ คุณลักษณะของพระเจ้าเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ และมิได้เหมือนกันกับอาตมัน ดังนั้น ทัศนะนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะ ด้วยกับเหตุผลต่างๆทางสติปัญญาที่ได้อธิบายไปแล้ว

๔.ทัศนะที่มีความเชื่อในการเป็นตัวแทน (นิยาบัต) ของอาตมันจากคุณลักษณะ ทัศนะนี้เป็นทัศนะของนักเทววิทยาในสำนักคิดมุอ์ตะซิละฮ์บางคน เช่น อะบูอะลีและอะบูฮาชิม ญุบบาอีย์

 (ผู้ก่อตั้งสำนักคิดมุอ์ตะซิละฮ์) และทัศนะของ อับบาด บิน สุลัยมาน พวกเขากล่าวว่า พระเจ้าทรงปราศจากคุณลักษณะที่สมบูรณ์ เช่น ความรอบรู้ ความปรีชาญาณ ในขณะเดียวกันอาตมันของพระองค์ก็ได้แสดงผลของคุณลักษณะทั้งหลายนั้นออกมา ตัวอย่างเช่น อาตมันของพระเจ้าทรงปราศจากคุณลักษณะความรู้ แต่การกระทำต่างๆของพระองค์ เป็นการกระทำของผู้ที่มีความรู้

๑๑๐

ดังนั้น เหตุผลของทัศนะนี้ ก็คือ พวกเขาไม่ยอมรับในทัศนะที่สาม เพราะว่า มีความขัดแย้งกับความเป็นเอกานุภาพ และในขณะเดียวกัน พวกเขาไม่รู้ในความเป็นจริงของคุณลักษณะทั้งหลายที่มีอยู่ในอาตมันของพระเจ้า ทัศนะนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะเช่นกัน เพราะว่าถ้ายอมรับในทัศนะนี้ก็เท่ากับมีความเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีความสมบูรณ์ เช่น การมีความรู้ ความสามารถ การมีชีวิต เป็นต้น

   ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ในมุมมองของวจนะ

    ได้อธิบายไปแล้วว่า ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ หมายถึง การมีความเชื่อในความเป็นหนึ่งเดียวของคุณลักษณะกับอาตมันของพระเจ้าในความเป็นจริง แต่ในความหมายนั้นมีความแตกต่างกัน ดังนั้น คุณลักษณะของพระเจ้าก็เหมือนกันกับอาตมันของพระองค์ที่มีมาแต่เดิม ในขณะเดียวกัน ก็ไม่มีความแตกต่างกันในอาตมันและคุณลักษณะของพระองค์ 

ท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวไว้ในสุนทรโรวาทหนึ่งเกี่ยวกับความสวยงามในความเป็นจริงของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ(เตาฮีด ซิฟาตีย์)ความว่า

 “พระเจ้า พระองค์ผู้ซึ่งมีคุณลักษณะที่ไม่มีขอบเขตจำกัดและไม่สามารถจะพรรณาในคุณลักษณะทั้งหลายของพระองค์ได้”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑ )

๑๑๑

หลังจากนั้นท่านอิมามได้อธิบายถึงความสมบูรณ์ของความบริสุทธิ์ใจในการรู้จักพระเจ้าและเตาฮีด(ความเป็นเอกานุภาพ)ว่า

“ความสมบูรณ์ของความเป็นเอกานุภาพ คือ การมีความบริสุทธิ์ใจต่อพระเจ้า และความสมบูรณ์ของความบริสุทธิ์ใจ คือ การไม่ปฏิเสธการมีคุณลักษณะในพระองค์ เพราะว่า การมีอยู่ของคุณลักษณะ บ่งบอกถึงสิ่งทำให้คุณลักษณะเกิดขึ้น และการมีของสิ่งที่ทำให้คุณลักษณะเกิดขึ้น มิใช่เป็นการมีคุณลักษณะ”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑ )

ท่านอิมามอะลีกล่าวอีกว่า

”บุคคลใดก็ตามที่ได้ทำให้พระเจ้ามีคุณลักษณะ ก็เท่ากับว่าเขาได้เข้าใกล้ชิดต่อพระองค์ และใครก็ตามที่เขาได้เข้าใกล้ชิดพระองค์ ก็เท่ากับเขาได้ทำให้พระเจ้ามีหลายองค์ และใครก็ตามที่ทำให้พระเจ้ามีหลายองค์ก็เท่ากับว่าเขานั้นไม่รู้จักพระองค์”

(นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ สุนทรโรวาทที่ ๑ )

ท่านอิมามริฎอ (ขอความสันติพึงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า

”พระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และทรงสูงส่ง พระองค์ทรงมีความรอบรู้ ,ความสามารถ, มีชีวิต, ได้ยิน, มองเห็น และ มีมาแต่เดิม

๑๑๒

 ฉัน (ผู้รายงาน) ได้ถามท่านอิมามว่า โอ้บุตรแห่งศาสนทูต กลุ่มชนหนึ่งได้พูดกันว่า พระองค์อัลลอฮ์มิได้ทรงมีความรู้, สามารถ, มีชีวิต, ได้ยิน, มองเห็น และ มีมาแต่เดิม

ท่านอิมามได้ตอบกับเขาว่า “ใครก็ตามที่มีความเชื่อเช่นนี้ แน่นอนที่สุดเขาได้ยืดเอาพระเจ้าอื่นเคียงข้างพระองค์อัลลอฮ์และตำแหน่งวิลายะฮ์ (ความเป็นผู้นำ) ของเราจะไม่ไปถึงเขา และท่านอิมามได้กล่าวอีกว่า พระองค์อัลลอฮ์ทรงมีความรู้, ความสามารถ, มีชีวิต ได้ยิน, มองเห็น และมีมาแต่เดิมด้วยกับอาตมันของพระองค์ และพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่บรรดาพวกตั้งภาคีและพวกที่คิดว่าพระองค์มีรูปร่าง”

(อัตเตาฮีด อัศศอดูก บาบที่ ๑๑ วจนะที่ ๓ )

 จากวจนะของท่านอิมามริฎอ ได้บ่งบอกถึง คุณลักษณะทั้งหลายของพระเจ้าที่มีมาแต่เดิม อาทิ เช่น ความรอบรู้, ความสามารถและ การมีชีวิต ผู้รายงานได้ถามอิมามเกี่ยวกับกลุ่มชนหนึ่งที่มีความเชื่อว่า การมีมาแต่เดิมของคุณลักษณะในพระเจ้าและความไม่เป็นหนึ่งเดียวกันกับอาตมันของพระองค์ อิมามได้ตอบว่า การมีความเชื่อเช่นนี้ เป็นสาเหตุของการตั้งภาคีและการเชื่อว่ามีพระเจ้าหลายองค์ ส่วนการมีอยู่ของคุณลักษณะในพระเจ้าได้เกิดขึ้นด้วยกับอาตมันของพระองค์ และมีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาตมัน

๑๑๓

   ศัพท์วิชาการท้ายบท

ซิฟาตซาตีย์ หมายถึง คุณลักษณะที่มีในอาตมัน                                  

ซิฟาต คอริญีย์ หมายถึง คุณลักษณะที่มีในภายนอก

เตาฮีด ซิฟาตีย์ หมายถึง       ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

วะฮ์ดัต มัฟฮูมีย์ หมายถึง     ความเป็นหนึ่งเดียวในความหมาย

วะฮ์ดัต อัยนีย์  หมายถึง       ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริง

   สรุปสาระสำคัญ

๑.ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ ได้มีคำถามเกิดขึ้นว่า คุณลักษณะทั้งหลายของพระเจ้ามีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาตมันของพระองค์หรือไม่?

๒.ความเป็นหนึ่งเดียว (วะฮ์ดัต) สามารถแบ่งออกเป็น สองประเภท

(๑.)ความเป็นหนึ่งเดียวในความหมาย (วะฮ์ดัต มัฟฮูมีย์) หมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียวในความหมายของคำทั้งสองคำ

(๒.)ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริง (วะฮ์ดัต อัยนีย์) หมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียวในความจริง แต่ในความหมายแตกต่างกัน

๓.ความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะมี ๓ ประเด็นหลัก ดังนี้

(๑.)อาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้าในความหมายที่แตกต่างกัน

(๒.)อาตมันกับคุณลักษณะของพระเจ้าในความจริง มีความเป็นหนึ่งเดียวกันและเหมือนกัน

(๓.)คุณลักษณะของพระเจ้ากับคุณลักษณะประการอื่นในความเป็นจริง มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และเหมือนกัน

๑๑๔

๔.การปฏิเสธการมีส่วนประกอบในอาตมันของพระเจ้า เป็นประเภทหนึ่งของความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

๕.มีหลายเหตุผลทางสติปัญญาที่ใช้ในการพิสูจน์ถึงความเป็นเอกานุภาพในคุณลักษณะ

๖.การพิจารณาความหมายทางภาษาของคุณลักษณะในพระเจ้า บ่งบอกถึงความหมายที่แตกต่างกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทัศนะของความเป็นหนึ่งเดียวในความหมายของคุณลักษณะในพระเจ้านั้น มีความขัดแย้งกับการเข้าใจทางภาษาของคุณลักษณะในมนุษย์

๗.สำนักคิดอัชอะรีย์มีความเชื่อในการมีมาแต่เดิมของคุณลักษณะในพระเจ้า และมีความหมายที่แตกต่างกันกับอาตมันของพระองค์ ความเชื่อนี้ เป็นสาเหตุทำให้เกิดการตั้งภาคี และความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์

๘.ทัศนะของนักเทววิทยาบางคนในสำนักคิดมุอฺตะซิละฮ์ มีความเชื่อในอาตมันของพระเจ้าว่าไม่มีคุณลักษณะประการใด พวกเขากล่าวว่า  อาตมันของพระองค์มีผลที่มีคุณลักษณะ ในขณะที่ไม่มีคุณลักษณะประการใด ดังนั้น การยอมรับในทัศนะนี้ มีความเชื่อในความไม่สมบูรณ์ในอาตมัน และการไม่มีคุณลักษณะในพระองค์

๙.ท่านอิมามอะลีได้กล่าวในสุนทรโรวาทหนึ่งในนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ว่า

 “คุณลักษณะของพระเจ้ามิได้อยู่นอกเหนือจากอาตมันของพระองค์ และใครก็ตามที่มีความเชื่อว่า พระเจ้ามีคุณลักษณะอยู่ภายนอกอาตมันของพระองค์ แน่นอนที่สุดเขานั้นไม่รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง”

๑๐.ท่านอิมามอะลี ริฎอ ได้กล่าวเน้นย้ำว่า การมีความเชื่อในการมีคุณลักษณะของพระเจ้าที่มีความหมายที่แตกต่างกันกับอาตมัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการตั้งภาคี และได้เปรียบพระเจ้าเหมือนกับสิ่งที่มีชีวิตในโลก หมายถึง พระองค์มีรูปร่างและสรีระ

   บทที่ ๔

   ความเป็นเอกานุภาพใน กิริยา การกระทำ (เตาฮีด อัฟอาลีย์) ตอนที่หนึ่ง

   บทนำเบื้องต้น

    ตามทัศนะของบรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลาม มีความเห็นว่า พระเจ้าทรงมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุด และทรงเป็นแหล่งที่มาของอากัปกิริยา การกระทำ เช่น การสร้าง  , การประทานปัจจัยยังชีพ ,การบริหารกิจการงานทั้งหลาย, การมีเมตตาปรานี และอื่นๆ ซึ่งการกระทำทั้งหมดนั้น เป็นการกระทำของพระองค์

เมื่อได้สังเกตุในสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลก จะพบว่า มีกิริยา การกระทำเกิดขึ้นมากมาย  ซึ่งทั้งหมดของการกระทำจะต้องมีแหล่งที่มาหรือสาเหตุในการเกิดขึ้น เช่น สภาพการเป็นสะสาร ,การเจริญเติบโตของพรรณพืช, การเกิดขึ้นของสัตว์ และการถือกำเนิดของมนุษย์ หากมองดูอย่างผิวเผิน จะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆในโลกนี้ เกิดขึ้นจากการกระทำของหลายผู้กระทำและในทัศนะของความเป็นเอกานุภาพในอิสลาม มีความเชื่อว่า ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ต้องมีแหล่งที่มาอันเดียวกัน และพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้กระทำการงานเหล่านั้นเพียงองค์เดียว และไม่มีผู้กระทำ (ฟาอิล) ใดที่เป็นอิสระเสรี นอกจากพระองค์

๑๑๕

 ดังนั้น ความหมายของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ จึงหมายถึง

๑.การมีความเชื่อว่า พระเจ้า เป็นผู้กระทำเพียงองค์เดียว ในการกระทำทั้งหลาย โดยที่ไม่มีผู้ที่ช่วยเหลือพระองค์

๒.การมีความเชื่อว่า การกระทำของพระเจ้า เป็นการกระทำที่เป็นอิสระเสรี ส่วนการกระทำของสิ่งอื่นๆ มิได้มีความเป็นอิสระเสรีเหมือนกับการกระทำของพระองค์ และการกระทำเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยกับความประสงค์ตามเจตนารมณ์ของพระองค์เท่านั้น ดังนั้น การสร้างทุกสรรพสิ่ง  ,การให้ปัจจัยยังชีพ, การบริหารการงานทั้งหลาย และอื่นๆ เป็นการกระทำของพระเจ้าแต่เพียงองค์ดียว โดยที่ไม่มีการช่วยเหลือจากผู้อื่น

   บทบาทของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำในมุมมองของโลกทรรศน์

    ความหมายที่กว้างของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ ซึ่งครอบคลุมไปถึงทุกการกระทำที่มีอยู่ในสากลจักวาล  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระเจ้ามีความสัมพันธ์กับจักวาล ดังนั้น การเชื่อหรือไม่เชื่อในความเป็นเอกานุภาพประเภทนี้ จึงมีผลต่อโลกทรรศน์และวิสัยทรรศน์ของมนุษย์ทุกคน เมื่อมนุษย์มีความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำแล้ว มนุษย์จะมีความเชื่อในอานุภาพ และความประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย ในขณะเดียวกัน เมื่อเวลาใดก็ตามที่มนุษย์มองไปในทุกทิศทาง  ก็จะพบกับพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นอานุภาพของพระองค์ครอบคลุมไปทั่วทุกสรรพสิ่งที่มีในโลกนี้และในจักวาล ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งใหญ่ที่สุดเหมือนดั่งจักวาล หรือสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งเล็กที่สุดเหมือนกับอะตอม ทั้งหมดนั้น อยู่ภายใต้อานุภาพของพระเจ้าทั้งสิ้น

๑๑๖

ด้วยเหตุนี้ การมีความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพนิกริยา การกระทำ จึงมีผลต่อโลกทรรศน์ และในความคิด ความศรัทธา ยังรวมทั้งในการปฏิบัติของมนุษย์อีกด้วย ซึ่งจะอธิบายในรายละเอียดของประเด็นเหล่านี้ เป็นอันดับต่อไป

   การกระทำของสิ่งถูกสร้างอยู่ภายใต้การกระทำของผู้สร้าง

    ความหมายที่ลึกซึ้งของ ความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ หมายถึง การกระทำทั้งหมดของสรรพสิ่ง เป็นการกระทำของพระเจ้าเพียงองค์เดียว โดยเกิดขึ้นจากอาตมันอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และเมื่อได้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองในความหมายของ ความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำ ได้มีคำถามและข้อสงสัยเกิดขึ้นมากมาย เช่น ถ้ายอมรับว่า มีความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำแล้ว การกระทำของสิ่งอื่น จะเป็นอย่างไร ? และทุกวันนี้ เราก็ได้เห็นสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา ที่ตัวของมันเป็นผู้กระทำการกระทำของมันขึ้นมาเอง เช่น เราได้เห็นไฟว่า มันมีความร้อน และได้เห็นแม่เหล็ก ว่า มันมีแรงดึงดูดที่สามารถดึงเอาเศษเหล็กทั้งเล็กใหญ่ไปยังตัวของมันได้, พวกพืชก็ได้รับอาหารจากใต้พื้นดิน ,สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างก็ได้ออกไปหาอาหารด้วยกับตัวของมัน แม้แต่มนุษย์เองก็เป็นผู้กระทำกิจการงานต่างๆด้วยตัวเอง และเมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้ความสัมพันธ์ของการกระทำเหล่านี้ไปยังพระเจ้าได้อย่างไร?  ถ้าเรายอมรับในการกระทำทั้งหลายเป็นการกระทำของพระองค์ เราก็ต้องปฏิเสธการกระทำของสิ่งอื่นด้วยหรือไม่?  หรือว่ายังมีหนทางอื่นอีกที่ยืนยันในการกระทำของสิ่งเหล่านั้นว่าอยู่ภายใต้การกระทำของพระเจ้าหรือไม่?

๑๑๗

สำหรับคำตอบของคำถามเหล่านี้ ต้องมาพิจารณาในทัศนะต่างๆของบรรดานักวิชาการว่า ได้มีความเห็นกันอย่างไร

 ด้วยเหตุนี้ บรรดานักปรัชญาและนักเทววิทยาอิสลามได้จัดแบ่งการกระทำของพระเจ้าออกเป็น สอง ประเภทได้ ด้วยกัน ดังนี้

๑.การกระทำที่เป็นแนวนอน หมายถึง มีผู้กระทำหลายคนในการกระทำหนึ่ง ที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับการกระทำนั้น มีความเสมอภาคกัน ตัวอย่างเช่น การช่วยเหลือของหลายคน ในการยกสิ่งของชิ้นหนึ่งจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ในสภาพเช่นนี้ การกระทำหนึ่ง จึงมีผู้กระทำหลายคน

๒.การกระทำที่เป็นแนวตั้ง หมายถึง การกระทำของหลายคน ที่มีผลต่อการกระทำหนึ่ง และในบางส่วนมีความสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ ซึ่งในการกระทำนี้มีผู้กระทำสองคน คือ ผู้กระทำโดยตรง (ฟาอิล มุบาชิร) และผู้กระทำโดยใช้สื่อ (ฟาอิล บิซตัซบีบ)

ผู้กระทำโดยตรง คือ ผู้ที่ทำให้การกระทำนั้นเกิดขึ้น แต่การกระทำนั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านผู้กระทำอีกคนหนึ่ง คือ ผู้กระทำโดยใช้สื่อ จากประเภททั้งสองของการกระทำ การเปรียบเทียบการกระทำของพระเจ้ากับการกระทำของสิ่งที่ถูกสร้าง กล่าวคือ การกระทำของพระองค์ คือ การกระทำที่เป็นแนวตั้ง เหมือนกับการนั่งและการเดินของคนๆหนึ่งซึ่งเขาเป็นผู้กระทำเองโดยตรง แต่ไม่ใช่ว่าการกระทำของเขา จะอยู่นอกเหนืออำนาจของพระเจ้า ถ้าหากว่าการกระทำของเขาไม่ได้เกิดขึ้นด้วยอำนาจของพระองค์แล้ว แน่นอนที่สุดการกระทำนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น จากความแตกต่างของการกระทำที่เป็นแนวนอนกับการกระทำที่เป็นแนวตั้ง ทำให้มีความเข้าใจในความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

๑๑๘

 แต่ในความเป็นจริงนั้น การเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของความเป็นเอกานุภาพในกิริยา การกระทำนั้น มีความยากและละเอียดอ่อน ซึ่งจะพยายามทำให้มีความเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น โดยการอาศัยตัวอย่างต่างๆ ทั้งที่เป็นการกระทำที่เป็นแนวนอนและการกระทำที่เป็นแนวตั้ง เช่น ความสัมพันธ์ของจิตกับร่างกายของมนุษย์ โดยการสมมุติฐาน เช่น การเขียนของมนุษย์ ในขณะที่เขาคิดว่า เขานั้นเป็นผู้กระทำโดยตรง แต่ความเป็นจริง มิได้เป็นเช่นนั้น การกระทำดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นได้จากการมีความสัมพันธ์ของจิตไปสู่ร่างกายของเขา ด้วยกับการใช้มือเป็นสื่อในการเขียน ซึ่งการกระทำนั้นเกิดขึ้นในสภาพที่เป็นแนวตั้ง เพราะฉะนั้นในสภาพเช่นนี้ ผู้ที่กระทำโดยตรง คือ มือของมนุษย์ การเกิดขึ้นได้โดยการสั่งงานหรือได้รับคำสั่งจากจิต ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวไปสู่การจับปากกาแล้วเอามาเขียนลงบนกระดาษ

ซึ่งจะเห็นได้ว่า การกระทำของพระเจ้ากับการกระทำของสิ่งถูกสร้างนั้น มีความสัมพันธ์คล้ายคลึงกันกับความสัมพันธ์ของจิตกับร่างกายของมนุษย์ กล่าวคือ การกระทำของสิ่งถูกสร้างมีความสัมพันธ์ไปสู่การกระทำของพระเจ้า โดยสรุปได้ว่า  การจำกัดของการกระทำที่เป็นอิสระเสรีในพระเจ้ากับการให้มีความสัมพันธ์กับการกระทำอื่นที่มิได้มาจากพระเจ้า ถือว่า ไม่ถูกต้อง

ด้วยเหตุนี้ ก็สามารถที่จะให้ความสัมพันธ์ของกระทำนั้นไปสู่พระเจ้า และสิ่งถูกสร้างได้โดยปราศจากความขัดแย้งและข้อผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น

๑๑๙

   บทบาทของสื่อกลางในการเกิดขึ้นของการกระทำในพระเจ้า

    มีคำถามเกิดขึ้นว่า ถ้าหากว่าพระเจ้ามีความเป็นอิสระเสรีในการกระทำของพระองค์ โดยที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใด แล้วทำไมในการเกิดขึ้นของการกระทำบางสิ่งบางอย่างต้องใช้สื่อกลางในการกระทำด้วย เช่น ในการสร้างหรือการบันดาล ซึ่งเป็นการกระทำหนึ่งของพระเจ้า แต่ทว่าการเกิดขึ้นของต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้องผ่านปัจจัยและองค์ประกอบหลายอย่าง อาทิเช่น การได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์ ดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ ต้นไม้ต้นนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้

สำหรับคำตอบของคำถามนี้ ก็คือ สภาพในกิริยา การกระทำของพระเจ้า สามารถแบ่งออกเป็น ๒ สภาพ ด้วยกัน ดังนี้

๑.สภาพของโลกเหนือธรรมชาติ หมายถึง โลกที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุและสสาร ดังนั้น การเกิดขึ้นของการกระทำในพระเจ้า  จึงไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆหรือปัจจัยใด เพียงเพราะความประสงค์ของพระองค์เท่านั้น การกระทำนั้นก็จะเกิดขึ้นในทันทีทันใด  สภาพนี้จึงถูกเรียกว่า โลกแห่งการกระทำ

 (อาลัม มุน อัมร์)

๒. สภาพของโลกแห่งธรรมชาติ คือ โลกที่เกี่ยวข้องกับวัตถุหรือสสาร ถูกเรียกว่า โลกแห่งการสร้างสรรค์ (อาลัม มุน ค็อลก์)

ดังนั้น การเกิดขึ้นของการกระทำของพระเจ้า ในสภาพเช่นนี้ จึงมีความต้องการเงื่อนไขและปัจจัยอื่นๆ เพราะว่า การเกิดขึ้นของสิ่งที่เป็นวัตถุด้วยกับกฏระบบและระเบียบของโลก หากว่าการเกิดขึ้นของสิ่งที่เป็นวัตถุ ปราศจากการมีอยู่ของเงื่อนไขหรือปัจจัยอื่นใด สิ่งนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น

๑๒๐

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133