ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม28%

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม ผู้เขียน:
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 133

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 133 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 63335 / ดาวน์โหลด: 5545
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม

ชีวประวัติอิมามมูซา อัลกาซิม

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

ถาม~ตอบ

เรื่องที่ ๙

ชาวคริสเตียนคนหนึ่งเดินทางมาเข้าพบค่อลีฟะฮฺร่อชีด เขามีชื่อว่า นะฟีอฺเป็นคนเฉลียวฉลาด วันนั้นเขาปรากฏตัวที่หน้าประตูวังของ “อัร-รอชิด” และมีผู้ติดตามเขาคือ อับดุลอะซีซ บินอุมัร บินอับดุลอะซีซก็เข้ามาพบด้วย ส่วนท่านอิมามมูซา บิน ญะอฺฟัร(อฺ)ก็ได้เดินทางเข้ามาพร้อมกับลาตัวหนึ่ง คนเฝ้าประตูให้การต้อนรับอย่างดี และให้เกียรติกว่าคนอื่นๆ ในที่นั้น พร้อมกับอนุญาตให้ท่าน(อฺ)เข้ามาอย่างรวดเร็ว

นะฟีอฺได้ถามอับดุลอะซีซว่า

“ชายผู้นี้เป็นใคร ?”

อับดุลอะซีซตอบว่า

“ท่านยังไม่รู้จักเขาอีกหรือ? ชายคนนี้คือผู้อาวุโสของตระกูลอะบูฏอลิบ นี่แหละคือท่านมูซา บินญะอฺฟัร(อฺ)”

นะฟีอฺกล่าวว่า

“ข้าพเจ้าแปลกใจกับคนเหล่านี้เป็นอันมาก ที่ให้เกียรติกับคนๆ นี้อย่างลึกซึ้งถึงขนาดถ้าเขาจะให้คนเหล่านี้นอนราบไปบนเตียง เขาก็ทำได้ แต่คอยดูเถอะ ถ้าเขาออกมาเมื่อไหร่ฉันจะสบประมาทเขาให้ดู”

อับดุลอะซีซกล่าวกับเขาว่า

 “ท่านอย่าทำเช่นนั้นเลย เพราะบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺนั้น เมื่อมีใครระรานพวกเขาด้วยถ้อยคำใดๆ พวกเขาจะฝากความต่ำต้อยตลอดกาลไว้กับคนๆ นั้น”

๘๑

เมื่อท่านมูซา(อฺ)ออกมา นะฟีอฺถือโอกาสเข้าไปดึงเชือกลาของท่าน(อฺ) แล้วกล่าวว่า

“เจ้าเป็นใคร ?”

ท่านอิมามมูซา(อฺ)กล่าวว่า

“นี่เจ้า...ถ้าหากว่าเจ้าต้องการจะรู้ถึงเชื้อสาย ฉันจะบอกให้รู้ว่า ฉันคือบุตรของมุฮัมมัด ฮะบีบุลลอฮฺ(ผู้เป็นที่รักของอัลลอฮฺ) บุตรของอิสมาอีล

ซะบีฮุลลอฮฺ(ผู้ถูกเชือดโดยคำสั่งของอัลลอฮฺ)บุตรของอิบรอฮีม คอลีลุลลอฮฺ(ผู้ใกล้ชิดอัลลอฮฺ) ถ้าท่านต้องการจะรู้ถึงบ้านเกิดเมืองนอน ฉันก็จะบอกว่า มันเป็นเมืองที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงบัญญัติไว้ให้แก่เจ้า(ถ้าหากท่านเป็นมุสลิม) และบรรดามุสลิมไปทำฮัจญ์ที่นั่น ถ้าเจ้าต้องการจะรู้ถึงความภาคภูมิใจ

ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)ว่า มุชริก(ผู้ตั้งภาคี)ของกลุ่มชนของฉัน มุสลิมของกลุ่มชนของเจ้าจะไม่รู้สึกเพียงพอเลย จนกว่าเขากล่าวว่า :

โอ้ มุฮัมมัด จงออกมาเพื่อพวกเรา เราก็จะรู้สึกเพียงพอแล้วจากพวกกุเรช

...จงถอยออกไปให้ห่างจากลาเถิด”

ว่าแล้วชาวคริสเตียนคนนั้นก็ถอยออกห่าง ด้วยอาการตื่นตกใจ แล้วผละจากไปอย่างคนแพ้พ่าย

อัลดุลอะซีซกล่าวกับเขาว่า

“ฉันบอกท่านแล้วมิใช่หรือ ?”(๙)

(๙) บิฮารุ้ล-อันวารฺ เล่ม ๑๗ หน้า ๒๐๖.

๘๒

ถาม~ตอบ

เรื่องที่ ๑๐

ท่านฟัฏลฺ บินร่อบีอฺได้กล่าวว่า : ครั้งหนึ่งฮารูน รอชีดได้เข้าไปทำฮัจญ์ โดยเริ่มต้นด้วยการฏอวาฟ โดยที่คนทั่วไปถูกสั่งห้ามในเวลาช่วงนั้น เพราะเขาต้องการจะทำคนเดียว ในขณะที่เขาทำอย่างนั้นอยู่ ก็มีชาวอาหรับคนหนึ่งรีบเร่งออกมายังบัยตุลลอฮฺ ทำการฏอวาฟพร้อมกับเขา

ยามได้เข้าไปกล่าวกับเขาว่า

“นี่เจ้าจงถอยออกไปให้พ้นจากท่านคอลีฟะฮฺก่อนเถิด”

ชาวอาหรับผู้นั้นแสดงอาการไม่พอใจ พร้อมกับกล่าวว่า

“แท้จริงอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงให้สิทธิเสมอภาคแก่มวลมนุษย์ในสถานที่แห่งนั้น โดยทรงมีโองการว่า :

“ทั้งผู้ที่อยู่ในเขตและนอกเขตล้วนเสมอเหมือนกันในสถานที่นี้”

(อัล-ฮัจญ์: ๒๕)

ฮารูนสั่งให้ยามระงับการสกัดกั้นเขา ดังนั้นเมื่อรอชีดเวียนฏอวาฟ

ชาวอาหรับผู้นั้นก็ฏอวาฟนำหน้าเขาไปทุกรอบจนเมื่อไปถึงหินดำ

เขารุดหน้าออกไปเพื่อจะจูบ แต่ชาวอาหรับผู้นั้นก็แย่งเข้าทำการจูบก่อน ต่อมารอชีดหันไปที่อัล-มะกอมเพื่อทำนมาซ ชาวอาหรับคนนั้นก็นมาซ

เบื้องหน้าเขา ครั้นเมื่อฮารูน รอชีดเสร็จจากการนมาซเขาได้ให้คนไปเรียกชาวอาหรับผู้นั้นมา

๘๓

ยามกล่าวกับชาวอาหรับผู้นั้นว่า

“จงตอบรับท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน”

ชายคนนั้นตอบว่า

“ถ้าฉันมีธุระกับเขา ฉันจะไปหาเขาเอง แต่ถ้าเขามีธุระกับฉัน เขาต้องมาหาฉัน”

ยามกล่าวว่า

“จริงของท่าน”

ครั้นแล้วฮารูนก็เข้าไปหาเขา พลางกล่าวสลาม ฮารูนกล่าวว่า

“โอ้ชายอาหรับเอ๋ย จะให้นั่งด้วยได้ไหม ?”

ชาวอาหรับกล่าวว่า

“จำเป็นอะไรแก่ฉันที่จะต้องขออนุญาตนั่ง เพราะนี่เป็นบ้านของ

อัลลอฮฺ(ซ.บ.) ที่ทรงประทานมาให้แก่ปวงบ่างของพระองค์ ถ้าท่านต้องการนั่งก็นั่ง ถ้าท่านต้องการไปก็ไป”

ฮารูนได้นั่งลง แล้วกล่าวว่า

“โอ้ ชายอาหรับเอ๋ย คนอย่างท่านนี้ถือว่าดูหมิ่นราชวงศ์ใช่ไหม ?”

เขาตอบว่า

“ใช่”

ฮารูนกล่าวว่า

“ฉันขอถามท่านสักอย่างหนึ่ง ถ้าตอบไม่ได้ฉันจะให้ท่านเดือดร้อน”

เขากล่าวว่า

“เป็นการถามในฐานะผู้ต้องการรู้หรือว่าแกล้งถาม”

ฮารูนกล่าวว่า

“เป็นการถามในฐานะผู้ต้องการรู้”

๘๔

เขากล่าวว่า

“เชิญนั่งในที่ของผู้ถาม และจงถาม”

ฮารูนกล่าวว่า

“กฎข้อบังคับ(ฟัรฎู)ของท่านมีอะไรบ้าง ?”

เขากล่าวว่า

“แท้จริงกฎข้อบังคับ(ฟัรฎู)ที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงเมตตาให้แก่ท่านนั้นมี ๑ ประการ, ๕ประการ, ๑๗ ประการ, ๓๔ ประการ และ ๙๔ ประการ, ๑๕๓ ประการใน ๑๗ ประการ, ใน ๑๒ ประการมี๑ ประการ, ใน ๔๐ มี ๑, และใน ๒๐๐ มี ๕, เวลาทั้งหมดมี ๑ ประการ และ ๑ ประการต่อ ๑ ประการ”

ฮารูน รอชีด หัวเราะเยาะพลางกล่าวว่า

“ผิดไปแล้ว ฉันถามท่านเกี่ยวกับกฎข้อบังคับ(ฟัรฎู)ของท่าน แต่ท่านกลับคำนวณตัวเลขให้ฉันฟัง”

เขากล่าวว่า

“ท่านยังไม่รู้ดอกหรือว่า เรื่องของศาสนาทุกประการย่อมมีการคำนวณ ในเมื่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) ทรงดำเนินการต่าง ๆ กับมวลมนุษย์ด้วยการคำนวณ”

หลังจากนั้นเขาได้อ่านโองการที่ว่า :

“ถึงแม้มันจะมีน้ำหนักเพียงเมล็ดผักกาด เราก็จะนำมันมาแสดงให้ปรากฏ เพียงพอแก่เราแล้วซึ่งการคำนวณ”

(อัล-อันบิยาอ์: ๔๗)

๘๕

ฮารูนกล่าวว่า

“ดังนั้น จงอธิบายสิ่งที่ท่านพูดมาซิ ไม่เช่นนั้น ฉันจะสั่งฆ่าท่านระหว่างศอฟากับมัรวะฮฺนี่แหละ”

ยามคนนั้นกล่าวว่า

“ขอให้ยกชีวิตเขาไว้เพื่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)เถิด และขอให้เห็นแก่สถานที่มะกอมแห่งนี้”

ชายอาหรับคนนั้นหัวเราะในคำพูดอันนั้น ฮารูน รอชีดกล่าวว่า

“ท่านหัวเราะอะไร หรือคนอาหรับ”

เขากล่าวว่า

“ฉันแปลกใจต่อท่านทั้งสองมาก เพราะไม่รู้ว่า ใครกันแน่ที่โง่กว่ากัน คนหนึ่งขอให้ชะลอความตายในขณะที่วาระสุดท้ายมาถึง ส่วนอีกคนหนึ่งขอให้เอาชีวิตในขณะที่วาระสุดท้ายยังมาไม่ถึง”

ฮารูน รอชีดกล่าวว่า

“อธิบายสิ่งที่ท่านพูดซิ”

เขากล่าวว่า

“ที่ฉันพูดว่า กฎข้อบังคับมี ๑ ประการนั้นคือ “ศาสนาอิสลาม” ทั้งระบบมีเพียงประการเดียว

และเขาต้องนมาซ ๕ เวลา นั่นคือ ๑๗ ร็อกอะฮฺ ๓๔ สุญูด และ ๙๔ ตักบีรฺ และ ๑๕๓ ตัสบีฮฺ ส่วนที่ฉันกล่าวว่าใน ๑๒ ประการ มี ๑ ประการนั้น ได้แก่ การถือศีลอดในเดือนร่อมะฏอน ๑ เดือนจากเดือนทั้งหมดที่มี ๑๒ เดือน ที่ฉันกล่าวว่าใน ๔๐ มี ๑ นั้นก็คือการที่ใครครอบครองเงินไว้ ๔๐ ดีนารฺ

 อัลลอฮฺ(ซ.บ.) กำหนดให้เขาต้องแจกจ่ายออกไป ๑ ดีนารฺ และที่ฉันกล่าวว่า ใน ๒๐๐ มี ๕ นั้น

๘๖

 ได้แก่ ในทรัพย์สินที่ท่านครอบครอง ๒๐๐ ดิรฮัม อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีบทบัญญัติให้จ่าย ๕ ดิรฮัม ส่วนที่ว่าเวลาทั้งหมดมี ๑ ประการ ได้แก่การทำ “ฮัจญะตุ้ลอิสลาม”(สำหรับผู้ที่มีความสามารถและอยู่ในเงื่อนไขที่ต้องทำฮัจญ์ชั่วชีวิต ๑ ครั้ง) และที่ว่า ๑ ประการต่อ ๑ ประการคือ (ผู้ใดหลั่งเลือดของบุคคลอื่น ๑ ชีวิต ไม่เป็นธรรม จำเป็นจะต้องหลั่งเลือดของเขาเช่นกัน

ดังที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ตรัสว่า : “ชีวิตต่อชีวิต”

ฮารูนกล่าวขึ้นว่า

“เขาเก่งจริง ๆ มอบเงินให้เขา ๑ ถุง”

ชายคนนั้นถามขึ้นว่า

“ฉันสมควรได้รับถุงเงินนั้นจากการพูดหรือคำถาม”

ฮารูนตอบว่า

“จากการพูด”

ชาวอาหรับผู้นั้นกล่าวอีกว่า

“ฉันขอถามท่านสัก ๑ คำถาม ถ้าท่านตอบได้ รางวัลจะเป็นของท่านซึ่งท่านจะต้องบริจาคมันไปในสถานที่อันทรงเกียรตินี้ แต่ถ้าท่านตอบไม่ได้ ท่านจะต้องจ่ายรางวัลเพิ่มมาอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งฉันจะจ่ายให้แก่คนยากจนในหมู่ของฉัน”

ฮารูน รอชีดได้สั่งให้นำรางวัลออกมา แล้วกล่าวว่า

“จงถามในสิ่งที่ท่านอยากถาม”

ชายอาหรับผู้นั้นกล่าวว่า

“จงบอกเรื่องแมลงปีกแข็งสีดำว่า มันจะป้อนอาหารหรือให้นมลูกของมันอย่างไร ?”

ฮารูน รอชีดสะดุ้ง พลางกล่าวว่า

“คนอาหรับเอ๋ย ใครเขาถามปัญหาอย่างนี้กันบ้าง ?”

๘๗

ชายอาหรับผู้นั้นกล่าวว่า

“ฉันได้ยินคนที่เคยได้ยินท่านศาสนทูต(ศ)ที่ได้กล่าวว่า

“ใครที่เป็นผู้ปกครองของหมู่ชนใด เขาจะต้องมีสติปัญญาที่เข้ากันได้กับคนหมู่นั้น ท่านเป็นผู้นำในประชาชาตินี้จำเป็นจะต้องไม่ถูกถามปัญหา

ใดๆ เกี่ยวกับศาสนาของท่าน และไม่ต้องถูกถามถึงเรื่องหลักฟัรฎูต่างๆ ด้วย นอกจากต้องคอยเป็นฝ่ายถามอย่างเดียวเท่านั้นหรือ ? แล้วท่านมีคำตอบในเรื่องนี้หรือเปล่า ?”

ฮารูน รอชีดกล่าวว่า

“ขอให้อัลลอฮ์(ซ.บ.)เมตตาท่านเถิด ข้าพเจ้าตอบไม่ได้ ดังนั้นจงอธิบายสิ่งที่ท่านกล่าวเถิด และจงเอารางวัลไปสองเท่า”

ชายอาหรับผู้นั้นกล่าวว่า

“แท้จริง อัลลอฮฺ(ซ.บ.)นั้น เมื่อพระองค์ทรงสร้างโลก พระองค์ทรงสร้างสัตว์โลกทั้งชนิดที่ไม่มีเลือดและไม่มีมูล พระองค์ทรงสร้างมาจากดิน และทรงบันดาลให้มันมีเครื่องยังชีพและชีวิต

การเป็นอยู่ของมันมาจากดิน เมื่อตัวอ่อนแยกออกมาจากผู้ให้กำเนิดมัน แม่ของมันไม่ได้ป้อนอาหาร และนมใด ๆ การเป็นอยู่ของมันทั้งหมดมาจากดิน”

ฮารูน รอชีดกล่าวว่า

“ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า ไม่เคยมีใครเคยผ่านการทดสอบกับคำถามอย่างนี้”

๘๘

ชายอาหรับคนนั้นรับเอารางวัลแล้วเดินออกไป คนทั้งหลายเดินตามหลังเขาไปด้วย แล้ว

ถามไถ่ถึงชื่อของเขา ปรากฏว่า ชื่อเขาคือ มูซา บินญะอฺฟัร(อฺ) เมื่อคนมาบอกเช่นนั้นแก่ฮารูน รอชีด

เขาได้กล่าวว่า

“ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า แน่นอนใบไม้นี้สมควรแล้วที่ต้องมาจากต้นไม้ต้นนั้น”(๑๐)

(๑๐) บิฮารุ้ล-อันวารฺ เล่ม ๑๑ หน้า ๒๗๕.

ถาม~ตอบ

เรื่องที่ ๑๑

มีชายคนหนึ่งกล่าวถึงเรื่องที่คนกลุ่มหนึ่งแอบอ้างว่า

“แท้จริงอัลลอฮฺ(ซ.บ.)จะเสด็จลงมาสู่ชั้นฟ้าแห่งโลกดุนยา”

ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)กล่าวว่า

“แท้จริงอัลลอฮฺ(ซ.บ.)จะไม่เสด็จลงมา เพราะการประจักษ์แจ้งของพระองค์ในสิ่งที่อยู่ใกล้หรือไกลนั้นเท่าเทียมกัน ความไกลมิได้ไกลจากพระองค์เลย และความใกล้มิได้ใกล้ต่อพระองค์เลย

พระองค์ไม่มีความต้องการต่อสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ทุกสิ่งต้องการพระองค์ พระองค์ผู้ทรงครอบครองความสมบูรณ์ทั้งมวล ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.) พระองค์คือผู้ทรงมีอานุภาพ ทรงมีวิทยปัญญา

๘๙

ส่วนคำกล่าวว่า ของพวกที่พรรณนาถึงคุณลักษณะของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ที่กล่าวว่า “อัลลอฮฺ(ซ.บ.) เสด็จลงมานั้น” จะขอกล่าวว่า

“พระองค์ทรงสูงส่งยิ่งกว่าเรื่องนี้ การกล่าวเช่นนั้น เป็นการลดหย่อนและเป็นการเพิ่มเติมให้แก่อัลลอฮฺ(ซ.บ.) สิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ทุกอย่างนั้นย่อมต้องการผู้ทำให้เกิดความเคลื่อนไหว ดังนั้น ผู้ใดสงสัยในเรื่องของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ด้วยความสงสัยอย่างใดอย่างหนึ่งเท่ากับเขาเสียหายไปแล้ว

ดังนั้นจะระวังระไวในเรื่องคุณลักษณะของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ต่อการที่กล่าวออกไปในลักษณะที่กำหนดใดๆ ทำให้เกิดความบกพร่อง หรือเกิดการต่อเติม หรือเกิดความเคลื่อนไหว และเสด็จลงมาสถิตย์ หรือประดับยืนอยู่หรือนั่งอยู่เฉยๆ เพราะแท้จริงอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงยิ่งใหญ่เกินจากการกล่าวถึงคุณลักษณะใดๆ”(๑๑)

(๑๑) อัล-เอียะฮฺติยาจญ์ เล่ม ๒ หน้า ๑๕๖.

ถาม~ตอบ

เรื่องที่ ๑๒

ท่านดาวูด บินก่อบีเศาะฮฺกล่าวว่า : ข้าพเจ้าได้ยินท่านอิมามริฏอ(อฺ)กล่าวว่า บิดาของข้าพเจ้าถูกถามว่า

“อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงยับยั้งกิจการใดๆ ที่ทรงบัญชาไปแล้วด้วยหรือ? หรือว่าทรงห้ามในกิจการใดๆ ที่ทรงมีความประสงค์ หรือว่าพระองค์ทรงช่วยเหลือใด ๆ ที่พระองค์ไม่ทรงต้องการ ?”

๙๐

ท่านอิมามมูซา(อฺ)กล่าวว่า

“ที่ท่านถามว่า อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงยับยั้งกิจการใดๆ ที่ทรงบัญชาไปแล้วด้วยหรือ ? นั้น ขอตอบว่า จะเป็นอย่างนั้นไปมิได้ เพราะถ้าหากเป็นไปอย่างนั้นก็เท่ากับพระองค์ย่อมจะต้องทรงยับยั้งมิให้อิบลีสกราบนบีอาดัม(อฺ) และถ้าทรงยับยั้งอิบลีซโดยให้มีเหตุอุปสรรคจากพระองค์

พระองค์ก็จะไม่ทรงสาปแช่งอิบลีส ส่วนประเด็นที่ท่านถามว่า พระองค์ทรงห้ามในกิจการใดๆ ที่พระองค์ทรงมีความประสงค์ด้วยหรือ ?”

ก็ขอตอบว่า จะเป็นอย่างนั้นไปมิได้ เพราะถ้าหากเป็นไปอย่างนั้น ก็เท่ากับว่า เมื่อทรงห้ามนบีอาดัม(อฺ)มิให้รับประทานผลไม้นั้นแล้ว พระองค์ทรงมีความประสงค์จะให้เขารับประทานมัน? และถ้าพระองค็ทรงประสงค์ให้นบีอาดัม(อฺ)รับประทานผลไม้นั้นแล้ว พระองค์ก็จะไม่ทรงมีโองการว่า :

“และอาดัมได้ละเมิด ดังนั้นเขาจึงผิดพลาด”

(ฎอฮา: ๑๒๑)

ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า เป็นไปมิได้ที่ว่า พระองค์จะทรงบัญชาสิ่งหนึ่งแต่มีความประสงค์อีกอย่างหนึ่ง

ส่วนประเด็นที่ท่านถามว่า : พระองค์ทรงช่วยเหลือในกิจการที่พระองค์มิทรงปรารถนาด้วยหรือ ?”

ขอตอบว่า จะเป็นอย่างนั้นไปมิได้ และอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงสูงส่งเกินกว่าการที่จะช่วยเหลือให้เกิดการสังหารบรรดานบีต่างๆ ช่วยเหลือให้มีการปฏิเสธพวกเขาเหล่านั้น และการสังหารอิมามฮุเซนและบุตรหลานจำนวนมากเหล่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะทรงช่วยเหลือในสิ่งที่พระองค์ไม่ปรารถนา แน่นอนพระองค์ทรงเตรียมไฟนรกญะฮันนัมไว้สำหรับผู้ฝ่าฝืนและทรงสาปแช่งผู้ที่ปฏิเสธการปฏิบัติตามพระองค์

๙๑

 หากเป็นไปได้ว่าพระองค์ทรงช่วยเหลือในสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงปรารถนาก็เท่ากับว่า ทรงให้ความช่วยเหลือฟิรเอาว์นในเรื่องการเป็นผู้ปฏิเสธ และที่เขาอ้างตนว่า เป็นพระผู้เป็นเจ้าในสากลโลก ท่านเห็นด้วยกระนั้นหรือ ที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงปรารถนาให้ฟิรเอาว์นอ้างตนเองว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้า ? ผู้ใดที่กล่าวอย่างนั้นจะต้องขออภัยโทษ เขาจะต้องขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) เนื่องจากการกล่าวเท็จต่อพระองค์ มิเช่นนั้นเขาจะต้องถูกตัดคอ”(๑๒)

(๑๒) อ้างเล่มเดิม หน้า ๑๕๘.

ถาม~ตอบ

เรื่องที่ ๑๓

ฮารูน รอชีดถามท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)ว่า

“ทำไมพวกท่านจึงมีเกียรติยศยิ่งกว่าเรา ทั้ง ๆ ที่เราและพวกท่านต่างก็มาจากตระกูลเดียวกัน คือลูกหลานของอับดุลมุฏฏอลิบ ทั้งเราและพวกท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเราคือลูกหลานของอับบาส พวกท่านคือลูกหลานของอะบูฏอลิบ คนทั้งสองคือลุงของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ความใกล้ชิดของเขาทั้งสองคนต่อท่านนบี(ศ)มีเท่าเทียมกัน ?”

๙๒

ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)กล่าวว่า

“พวกเราใกล้ชิดกว่า”

ฮารูน รอชีดกล่าวว่า

“ใกล้ชิดกว่าอย่างไร ?”

ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)กล่าวว่า

“เพราะอับดุลลอฮฺกับอะบูฏอลิบนั้นร่วมพ่อแม่เดียวกัน

ส่วนอับบาสบรรพบุรุษของพวกท่านมิได้ร่วมมารดาเดียวกับอับดุลลอฮฺและอะบูฏอลิบ”

ฮารูน รอชีดกล่าวอีกว่า

“ทำไมพวกท่านอ้างว่าตนเองเป็นทายาทของท่านนบี(ศ)ทั้งๆ ที่ผู้เป็นลุงย่อมมีสิทธิเหนือผู้เป็นลูกของลุง และท่านศาสนทูต(ศ)นั้นได้เสียชีวิตลงในขณะที่อะบูฏอลิบได้เสียชีวิตไปก่อนแล้ว

ส่วนอับบาสคือลุงที่ยังมีชีวิตอยู่ ?”

ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)กล่าวตอบว่า

“ท่านอะมีรุลมุอ์มินีนจะไม่ถามคำถามนี้ได้ไหม แล้วถามเรื่องอื่นก็ได้ทั้งนั้นตามความประสงค์”

ฮารูน รอชีดกล่าวว่า

“ไม่ ท่านจะตอบหรือไม่ตอบ ?”

ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)กล่าวว่า

“ขอท่านรับรองความปลอดภัยแก่ข้าพเจ้าก่อน”

ฮารูน ร่อชีดกล่าวว่า

“ข้าพเจ้ารับรองความปลอดภัยแก่ท่าน ก่อนจะพูดอยู่แล้ว”

๙๓

ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)กล่าวว่า

“ในคำสอนของท่านอฺะลี บินอะบีฏอลิบ(อฺ)นั้นมีอยู่ว่าสำหรับบุตรแห่งสายโลหิตไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงย่อมไม่มีส่วนของมรดกให้แก่ใคร นอกจากบิดามารดา สามีและภรรยา และเมื่อมีบุตรแห่งสายโลหิตก็ไม่ต้องแบ่งมรดกใด ๆ ให้แก่ลุง คัมภีร์อันทรงเกียรติและหลักซุนนะฮฺก็มิได้กล่าวว่าอย่างนั้น นอกจากพวกตีมและพวกอะดี กับพวกบะนีอุมัยยะฮฺ เท่านั้นที่กล่าวว่า “ลุงคือบิดา”

ความเห็นของพวกเขาไม่ตรงกับความเป็นจริงและไม่มีแบบอย่างมาจากท่านศาสนทูตแต่อย่างใด

ใครก็ตามที่กล่าวโดยคำสอนของท่านอฺะลี(อฺ) ย่อมเป็นนักปราชญ์ที่มีหลักเกณฑ์ตัดสินที่แตกต่างกับ

หลักเกณฑ์ตัดสินของคนเหล่านั้น ท่านนูฮฺ บินดิรอจญ์เองก็ได้กล่าวในปัญหานี้ด้วยคำสอนของท่านอฺะลี(อฺ) และได้ตัดสินไปอย่างนั้น

 เมื่อท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีนแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ปกครองชาวอียิปต์ ชาวกูฟะฮฺ ชาวบัศเราะฮฺ ท่านก็ดำเนินการตัดสินไปตามหลักการนี้”

ฮารูน รอชีดได้ออกคำสั่งให้นำคนที่สอนแย้งกับคำสอนนี้มาพบ เช่น ท่านซุฟยาน อัษเษารี ท่านอิบรอฮีม อัล-มาซินีและท่านฟาฎีล บินอิยาฎ ซึ่งคนเหล่านั้นยืนยันว่า

“นั่นคือคำสอนของท่านอฺะลี(อฺ)ในเรื่องนี้จริง”

เขาจึงกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า

“แล้วทำไมพวกท่านจึงไม่สอนไปตามนั้น ในเมื่อนูฮฺ บินดิรอจญ์ ก็ตัดสินอย่างนั้น ?”

๙๔

พวกเขากล่าวว่า

“เราถูกความจำเป็นบังคับ ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีนก็เคยทราบเรื่องนี้จากคำสอนของบรรพชนรุ่นก่อน อันอ้างถึงคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ที่ว่า ‘อฺะลีคือผู้ตัดสินที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน’

และท่านอุมัร บินค็อฏฏอบเองก็ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า “อฺะลีคือผู้ตัดสินที่ดีที่สุดของเรา” เขาคือคนที่เป็นที่ยอมรับ เพราะเรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดที่ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวยกย่องสาวกของท่าน(ศ)นั้นมีอยู่ในตัวของท่านอฺะลีทั้งสิ้น เช่น ความเป็นเครือญาติ ความเคร่งครัดต่อบทบัญญัติ ความรู้อันเป็นเรื่องภายในแห่งหลักการตัดสิน”

ฮารูน รอชีดกล่าวว่า

“พูดต่อไปเถิด ท่านมูซาเอ๋ย”

ท่านอิมามมูซา (อฺ)กล่าวว่า

“ผู้ที่อยู่ในชุมนุมทั้งหลาย โดยเฉพาะฝ่ายของท่านมีความไว้วางใจได้ใช่ไหม ?”

ฮารูน รอชีดกล่าวว่า

“ไม่เป็นไร”

ท่านอิมามมูซา(อฺ)กล่าวว่า

“ท่านนบี(ศ)มิได้มอบมรดกให้แก่ใคร ถ้าไม่อพยพและจะไม่มอบหมายอำนาจให้นอกจากผู้ที่ได้อพยพ”

ฮารูนกล่าวว่า

“ท่านมีหลักฐานอะไร ?”

๙๕

ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)กล่าวโองการของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ที่ว่า :

“และบรรดาผู้ที่ศรัทธาแต่ไม่อพยพนั้น เจ้าไม่ต้องมอบอำนาจการปกครองใด ๆ แก่พวกเขาจนกว่าพวกเขาจะอพยพ”

(อัล-อันฟาล: ๗๒)

“และอันที่จริงแล้วลุงของฉันคือท่านอับบาส ไม่ได้ทำการฮิจเราะฮฺ(อพยพ)”

ฮารูนถามว่า

“ท่านมูซาเอ๋ย ท่านเคยกล่าวเรื่องนี้กับศัตรูคนใดของเรามาแล้วหรือไม่ หรือว่าเคยบอกพวกนักปราชญ์ฟุก่อฮาอ์ มาบ้างแล้ว ?”

ท่านอิมามมูซา(อฺ)กล่าวว่า

“ขอยืนยันต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)ว่า ไม่ และยังไม่มีใครถามเรื่องนี้เลย นอกจากอะมีรุ้ลมุอ์มินีน”(๑๓)

(๑๓) อ้างเล่มเดิม หน้า ๑๖๓.

๙๖

ถาม~ตอบ

เรื่องที่ ๑๔

ท่านอฺะลี บินยักฏีนกล่าวว่า คอลีฟะฮฺมะฮฺดีได้ถามอิมามมูซา กาซิม(อฺ)เกี่ยวกับเรื่องของ “สุราว่ามันเป็นสิ่งต้องห้ามตามคำสั่งในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)หรือเปล่า เพราะคนทั้งหลายรู้แต่เพียงว่า มีการสั่งห้ามเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ไม่รู้ว่า ต้องห้ามตามศาสนบัญญัติหรือไม่ ?”

ท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)กล่าวว่า

“มันเป็นข้อห้ามตามคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) โอ้ ท่านอะมีรุล มุอ์มินีน”

ค่อลีฟะฮฺมะฮฺดีกล่าวว่า

“โอ้ ท่านอะบุลฮะซัน มันเป็นข้อห้ามตามคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) จาก โองการใด ?”

ท่านอิมามมูซา(อฺ)กล่าวว่า

“อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีโองการว่า :

“อันที่จริง พระผู้อภิบาลของฉันทรงห้ามความชั่วทั้งประเภทที่เปิดเผย และประเภทซ่อนเร้นและห้ามความบาป และการละเมิดโดยไม่ชอบธรรม” (อัล-อะอฺรอฟ : ๓๓)

 หมายเหตุ

(จะเห็นได้ว่าท่านอิมามมูซา (อฺ) เรียกฮารูน ร่อชีดว่า “อะมีรุล มุอ์มินีน”

โดยเหตุผลของการตกอยู่ในภาวะจำยอม)

๙๗

สำหรับคำว่า “ประเภทที่เปิดเผยนั้น” ได้แก่ การล่วงประเวณีอย่างเปิดเผยซึ่งเป็นความชั่วที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในหมู่ชนผู้งมงาย

ส่วนคำว่า ‘ประเภทที่ซ่อนเร้น’ หมายถึง เรื่องของสตรีที่บิดาได้แต่งงานด้วยแล้ว เพราะคนในสมัยก่อนที่จะมีการแต่งตั้งนบี (ศ) นั้น ถ้าใครมีภรรยา แล้วตนเองได้ตายไป บุตรชายจะสามารถแต่งงานกับนางได้ ถ้านางมิใช่มารดาของตน ซึ่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงห้ามในเรื่องนี้

สำหรับคำว่า ‘ความบาป’ มันหมายถึง ‘สุรา’ เพราะอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงมีคำตรัสในที่อื่นว่า:

“พวกเขาถามเจ้า ในเรื่องสุราและการพนัน จงกล่าวเถิด ในเรื่องนั้นเป็นบาปอันใหญ่หลวง”

(อัล-บะกอเราะฮฺ: ๒๑๙)

สำหรับคำว่า “ความบาป”ในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ณ ที่นี้ หมายถึง “สุราและการพนัน” และมันเป็นบาปใหญ่ ดังคำตรัสของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)”

ค่อลีฟะฮฺมะฮฺดีกล่าวว่า

“โอ้อฺะลี บินยักฏีน ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า นี่คือคำวินิจฉัยของพวกตระกูลฮาชิม”

ท่านอฺะลี บินยักฏีนกล่าวว่า

“ท่านพูดความจริง ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ โอ้ ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ ที่ไม่ได้นำความรู้นี้ออกไปจากพวกท่าน

อะฮฺลุลบัยตฺ”

๙๘

แล้วยังกล่าวอีกว่า

“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ อัล-มะฮฺดีไม่รีรอที่จะกล่าวกับข้าพเจ้าว่า เจ้าพูดถูกแล้ว พวกนอกคอก(รอฟิฎี)” (๑๔)

(๑๔) บิฮารุ้ล-อันวารฺ เล่ม ๑๑ หน้า ๒๗๗.

ถาม~ตอบ

เรื่องที่ ๑๕

ท่านมุฮัมมัด บินอะบีอุมัยรฺได้กล่าวว่า : ข้าพเจ้าเคยได้ถามท่านอิมามมูซา(อฺ)ว่า

“บุตรของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)เอ๋ย โปรดสอนเรื่องหลักเตาฮีด(เอกภาพของอัลลอฮฺ(ซ.บ.))ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”

ท่านอิมามมูซา(อฺ)กล่าวว่า

“อะบูอะฮฺมัดเอ๋ย ในเรื่องหลักเอกภาพของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)นั้น

ท่านจงอย่ากล่าวให้เกินเลยไปจากที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ตรัสไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ มิฉะนั้นท่านจะเสียหาย จงรู้ไว้เถิดว่า อัลลอฮฺ(ซ.บ.) ทรงมีองค์เดียว เป็นองค์เดียวอันเป็นที่พึ่ง ไม่ให้กำเนิดเพื่อสืบทายาท และไม่ถูกประสูติเพราะจะเป็นภาคี ไม่มีมเหสี ไม่มีบุตร และไม่มีหุ้นส่วนใด ๆ ทรงดำรงชีวิตอยู่โดยไม่ตาย ทรงมีอานุภาพโดยไม่อ่อนแอ ทรงยิ่งใหญ่เกรียงไกร โดยไม่แพ้พ่าย ทรงสุขุมโดยไม่รีบร้อน ทรงดำรงอยู่ตลอดไปโดยไม่แปรเปลี่ยน ทรงคงอยู่ตลอดไปโดยไม่สูญสลาย ทรงมั่นคงแน่นอน โดยไม่เสื่อมคลาย ทรงมั่งคั่งเหลือล้นโดยไม่ขาดแคลน

๙๙

 ทรงมีเกียรติยศยิ่งโดยไม่ตกต่ำ ทรงมีความรู้โดยไม่โง่เขลา ทรงยุติธรรมโดยไม่อธรรม ทรงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โดยไม่ตระหนี่ สติปัญญาใดๆ ย่อมจำกัด

ขอบเขตของพระองค์มิได้ มโนภาพใดๆ ย่อมไม่ถูกต้องต่อพระองค์ ขอบเขตใด ๆ ไม่อาจโอบล้อมพระองค์ สถานที่ใด ๆ มิอาจรองรับพระองค์ สายตาใด ๆ มิอาจสัมผัสพระองค์ พระองค์ทรงมีความอ่อนโยน ทรงเปิดเผย และไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ ทรงได้ยิน ทรงมองเห็น พระองค์ทรงมีโองการว่า :

 “ที่ได้มีการกระซิบสนทนากันสามคน ย่อมมีพระองค์เป็นบุคคลที่สี่ ที่ใดมีห้าคน พระองค์ย่อมเป็นที่หก ไม่ว่าน้อยกว่านั้นหรือมากกว่านั้น จะต้องมีพระองค์อยู่ด้วยทั้งสิ้น ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ณ ที่ใด”

(อัล-มุญาดะละฮฺ: ๗)

พระองค์นั้นเป็นองค์แรก ซึ่งไม่มีใครดำรงอยู่ก่อนพระองค์ทรงเป็นองค์สุดท้ายที่ไม่มีใครดำรงอยู่ ภายหลังจากพระองค์ พระองค์ทรงเป็นองค์แรกเริ่ม เดิมทีไม่มีสิ่งใดที่เพิ่งถูกสร้างมาคล้ายคลึงพระองค์ ทรงอยู่เหนือลักษณะทั้งหลายของบรรดาสิ่งถูกสร้าง ทรงสูงสุด ทรงยิ่งใหญ่เกรียงไกร”(๑๕)

(๑๕) อัต-เตาฮีด หน้า ๗๗

๑๐๐

ความดีงามพิเศษ :

บทขอพรของอิมามมูซา กาซิม(อฺ)

บรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)นั้นมีความดีงามพิเศษมากมายที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ท่าน(อฺ)เหล่านั้นมีเกียรติคุณที่ดีเด่นเป็นพิเศษกันแต่เพียงกลุ่มเดียวสำหรับความดีงามเหล่านั้นในหมู่ประชาชาตินี้

เรื่องดุอาอ์(บทขอพร)คือลักษณะพิเศษอันมากมายอีกประการหนึ่งที่บรรดาสาวกและตาบีอีนทั้งหลายไม่มีโอกาสเทียบเทียมได้เลย แม้แต่คนเดียว อีกทั้งบรรดานักปราชญ์อื่น ๆ ในรุ่นถัดมาก็ตาม กล่าวคือ ได้มีการบันทึกดุอาอ์ของแต่ละท่านไว้มากมาย ซึ่งบรรดานักปราชญ์ของเราได้เก็บ

รวบรวมไว้นับร้อยๆ เรื่องบรรดาอิมาม(อฺ)เป็นมนุษย์ที่รู้จริงเกี่ยวกับระเบียบแบบแผนที่บ่าวของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)จำเป็นจะต้องดำเนินการปฏิบัติในยามสนทนากับพระองค์ และรู้ว่าควรจะเป็นอย่างไร สำหรับการถ่อมตน

การขอพึ่งพิง และตัดขาด(จากทุกสิ่งทุกอย่าง) เพื่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)

ในหนังสือนี้เราได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการอิบาดะฮฺโดยละเอียดของท่านอิมาม(อฺ)ผ่านมาแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นการบันทึกดุอาอ์บางบทบางตอนของท่าน(อฺ)ดังนี้

๑๐๑

ดุอาอ์

บทที่ 1

เป็นบทดุอาอ์บทหนึ่งของอิมามที่ 7

“ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ข้าฯขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และขอปฏิญานตนว่า มุฮัมมัดเป็นบ่าวและเป็นศาสนทูตของพระองค์ แท้จริงศาสนาอิสลามย่อมเป็นไปตามที่พระองค์ตรัสไว้ ศาสนาย่อมเป็นไปตามที่พระองค์ทรงวางกฎไว้ คัมภีร์ย่อมเป็นไปตามที่

พระองค์ทรงประทานให้ไว้ คำสอนย่อมเป็นไปตามที่พระองค์ตรัสไว้

แท้จริงอัลลอฮฺคือ ผู้ทรงสิทธิอันชัดแจ้ง ความเจริญสิริมงคลของอัลลอฮฺพึงมีแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของท่าน”

“ข้าแต่อัลลอฮฺ ข้าฯดำรงอยู่ในความคุ้มครองของพระองค์ ชีวิตของข้าฯนอบน้อมต่อพระองค์ ใบหน้าของข้าฯหันสู่พระองค์ กิจการงานของข้าฯ ขอมอบหมายยังพระองค์ ร่างกายของข้าฯขอนอบน้อมยังพระองค์ กลัวเกรงพระองค์ และมุ่งหวังต่อพระองค์ ข้าฯศรัทธาต่อคัมภีร์ของพระองค์ที่ทรงประทานมาแก่ศาสนทูตของพระองค์ที่ทรงส่งมา”

“โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงข้าฯเป็นคนยากจน ณ พระองค์ ขอได้ทรงโปรดประทานเครื่องยังชีพแก่ข้าฯโดยอย่าได้คำนวณ

แท้จริงพระองค์ทรงประทานเครื่องยังชีพให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์

โดยไม่มีการคำนวณ”

๑๐๒

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริง ข้าฯวิงวอนขอเครื่องยังชีพที่ดีงามทั้งหลาย และละเว้นความเลวร้ายทั้งหลาย และขอให้พระองค์อภัยโทษให้แก่ข้าฯ”

“โอ้อัลลอฮฺ ข้าพระองค์ขอความกรุณาของพระองค์ที่ทรงเป็นเจ้าของได้โปรดบันดาลให้ข้าฯได้ออกห่างจากความชั่วอันมาจากข้าฯ ด้วยความดีอันมาจากพระองค์ และขอให้พระองค์ประทานความดีอย่างมากมายที่พระองค์มิได้ประทานให้แก่บ่าวคนใดให้แก่ข้าฯ”

“โอ้อัลลอฮฺ ข้าฯขอความคุ้มครองให้พ้นจากทรัพย์สินที่เป็นตัวทดสอบ(ฟิตนะฮฺ)แก่ข้าฯ ให้พ้นจากบุตรที่เป็นศัตรูของข้าฯ ให้พ้นจากบุตรที่เป็นศัตรูของข้าฯ”

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริง พระองค์ทรงเห็นฐานะความเป็นอยู่ของข้าฯ ทรงได้ยินดุอาอ์และคำพูดของข้าฯ ทรงรู้ในความจำเป็นของข้าฯ ข้าฯขอต่อพระนามทั้งมวลของพระองค์ ได้โปรดทำให้ความ ต้องการทั้งหลายในชีวิตทางโลกนี้และปรโลกของข้าฯได้บรรลุผล”

“โอ้อัลลอฮฺ แท้จริงข้าฯขอดุอาอ์ต่อพระองค์อันเป็นดุอาอ์ของบ่าวผู้ซึ่งด้อยในความสามารถเดือดร้อนเป็นยิ่งนัก มีความทุกข์อย่างสาหัส มีความสามารถน้อยนิด และมีการงานที่ตกต่ำเป็นดุอาอ์ของผู้ที่ไม่มีใครช่วยเหลือได้นอกจากพระองค์ เป็นความอ่อนแอที่ไม่มีใครช่วยได้นอกจากพระองค์

๑๐๓

ข้าฯขอความดีต่าง ๆ ทั้งมวล ขอเกียรติคุณ ขอความดีความเมตตาทั้งมวลของพระองค์ ได้โปรดเมตตาต่อข้าฯ และให้ข้าฯพ้นจากไฟนรก”

“โอ้พระองค์ ผู้ทรงบันดาลให้แผ่นดินอยู่เหนือน้ำ ทรงบันดาลให้ฟากฟ้าอยู่ในห้วงอากาศ

โอ้ผู้ทรงเอกะ ก่อนทุกสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว โอ้ ผู้ทรงเป็นหนึ่งหลังจากทุก ๆ สิ่ง โอ้ผู้ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า พระองค์ทรงเป็นอย่างไร นอกจากพระองค์ และไม่มีใครรู้ซึ้งถึงอำนาจของพระองค์ นอกจากพระองค์ โอ้พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่กับกิจการงาน โอ้พระองค์ผู้ทรงให้ความช่วยเหลือ โอ้พระผู้ช่วยบรรดาผู้เดือดร้อน โอ้พระผู้ทรงตอบรับคำขอของคนเดือดร้อน โอ้พระผู้ทรงมีความเมตตาในโลกนี้และปรโลก เป็นพระผู้ทรงกรุณาปรานี โอ้พระผู้อภิบาลของข้าฯ โปรดเมตตาข้าฯ อย่าให้ข้าฯหลงผิด และอย่าชิงชังข้าฯตลอดกาล แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการสรรเสริญยิ่ง

 โปรดประทานพรแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของท่านเทอญ”(1)

(1) อัล-บะละดุล-อะมีน หน้า 101.

๑๐๔

ดุอาอ์

บทที่ 2

เป็นดุอาอ์ของอิมามมูซา กาซิม(อฺ)หลังนมาซซุฮฺริ

ท่านมุฮัมมัด บินซุลัยมานเล่าว่า : บิดาของท่านกล่าวว่า ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ออกเดินทางไปกับท่านอิมามอะบุลฮะซัน(อฺ) หรือมูซา บินญะอฺฟัร เมื่อท่าน(อฺ)นมาซซุฮฺริเสร็จแล้ว ท่าน(อฺ)ได้อ่านดุอฺาอ์ในขณะที่ทรุดตัวลงกราบอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ด้วยอาการเศร้าสร้อย น้ำตาหลั่งไหล ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

 “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าฯ ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยลิ้น ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงให้ข้าฯเป็นใบ้ก็ได้ ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยตา ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯตาบอดเสียก็ได้

ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยหู หากพระองค์ทรงประสงค์อาจทางทำให้ข้าฯหูหนวกเสียก็ได้

ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยมือ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯมือด้วนเสียก็ได้ ข้าพระองค์ทรยศพระองค์ด้วยเท้า ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯขาด้วนเสียก็ได้

ข้าพระองค์ทรยศพระองค์ด้วยอวัยวะสืบพันธุ์ ถ้าพระองค์ทรงประสงค์อาจทรงทำให้ข้าฯเป็นหมันเสียก็ได้ ข้าฯทรยศต่อพระองค์ด้วยอวัยวะทั้งเรือนร่างที่ทรงประทานให้แก่ข้าฯ และสิ่งนี้ข้าฯไม่มีสิ่งใดๆ ตอบแทนแก่พระองค์ได้”

๑๐๕

บิดาของท่านมุฮัมมัด เล่าอีกว่า หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้นับจำนวนครั้ง ในคำที่ท่านกล่าวว่า

“อัล-อัฟว์ อัล-อัฟว์”(ขออภัย ขออภัย) ได้ 1,000 ครั้ง จากนั้นท่าน (อฺ) แนบแก้มขวาลงบนดิน แล้วข้าพเจ้าได้ยินท่าน (อฺ) กล่าวว่า

“ข้าฯล่วงเกินต่อพระองค์ด้วยความผิดของข้าฯ ข้าฯได้กระทำความชั่วและอธรรมต่อตัวของข้าฯเอง ดังนั้นได้โปรดให้อภัยแก่ข้าฯ เพราะไม่มีใครอภัยความผิดพลาดได้ นอกจากพระองค์ โอ้นายของข้าฯ โอ้นายของข้าฯ นายของข้าฯ นายของข้าฯ”

ท่าน(อฺ)ก็แนบแก้มซ้ายลงบนดิน แล้วกล่าวว่า

“โปรดให้ความเมตตาต่อผู้ทำบาป”

อ่านดังนี้สามครั้ง หลังจากนั้นท่าน(อฺ)จึงยกศีรษะขึ้น(2)

(2) อัล-บะละดุล-อะมีน หน้า 101.

๑๐๖

ดุอฺาอ์

บทที่ 3

เป็นดุอฺาอ์อีกบทหนึ่งของอิมามมูซา(อฺ)

“โอ้ ผู้ทรงดำรงอยู่ก่อนสิ่งทั้งหลาย โอ้ผู้ทรงได้ยินทุกเสียงสำเนียง ทั้งดังและค่อย โอ้ผู้ทรงประทานชีวิตให้หลังจากตาย ความมืดมิดอันใดย่อมไม่ครอบคลุมพระองค์เลย ภาษาอันหลากหลายย่อมไม่ทำให้พระองค์ทรงสับสน ไม่มีสิ่งใดทำให้พระองค์วุ่นวาย”

“โอ้พระผู้ซึ่งไม่ทรงวุ่นวายด้วยดุอฺาอ์ของผู้ใดที่อ้อนวอนขอต่อพระองค์จากฟากฟ้า โอ้พระผู้ทรงบันดาลให้ทุกสิ่งที่ได้ยิน ทรงได้ยินได้ฟังและมองเห็น โอ้พระผู้ซึ่งไม่เคยผิดพลาด แม้จะมีการร้องขออย่างมากมาย”

“โอ้พระผู้ทรงดำรงชีวิตในยามที่ไม่มีสิ่งใดดำรงชีวิต โดยทรงดำรงอยู่ตลอดกาล และมั่นคงถาวร โอ้พระผู้ทรงดำรงอยู่สูงสุด แต่ซ่อนเร้นจากสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยรัศมีของพระองค์ โอ้พระองค์ ผู้ทรงบันดาลให้แสงสว่างปรากฏออกมาท่ามกลางความมืด ข้าฯขอวิงวอนต่อพระองค์ด้วย

พระนามของพระองค์ผู้ทรงเอกะ ทรงเป็นหนึ่งเดียวแห่งการพึ่งพิง โปรดประทานความเจริญแด่ท่านศาสดามุฮัมมัดและอะฮฺลุลบัยตฺของท่าน”

จากนั้นท่าน(อฺ)ได้วิงวอนขอในสิ่งที่ท่าน(อฺ)ต้องการ(3)

(3) บิฮารุ้ล-อันวารฺ เล่ม 11 หน้า 239.

๑๐๗

ดุอฺาอ์

บทที่ 4

เป็นดุอฺาอ์อีกบทหนึ่งของท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)

“ข้าฯขอมอบหมายตนเองยังพระองค์ ผู้ซึ่งไม่ตาย และข้าฯขอพึ่งการพิทักษ์คุ้มครอง โดยผู้ทรงเกียรติและอำนาจ ข้าฯขอความช่วยเหลือต่อผู้ทรงเกรียงไกรและมีอำนาจครอบครองข้าฯ โอ้นายของข้าฯขอยอมจำนนต่อพระองค์ ข้าฯขอมอบหมายตนต่อพระองค์ ดังนั้นขออย่าทำลายข้าฯ

ข้าฯขอพึ่งร่มเงาของพระองค์ ดังนั้นจงอย่าผลักไสข้าฯ พระองค์เป็นที่พึ่งอาศัย ทรงรู้สิ่งที่ข้าฯซ่อนเร้นและเปิดเผย ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในสายตาและที่ซ่อนไว้ในจิตใจ ดังนั้นได้โปรดยับยั้งข้าฯให้พ้นจากผู้อธรรมทั้งในหมู่ญิน และหมู่มนุษย์ทั้งมวลด้วยเถิด โอ้พระผู้ทรงกรุณาปราณี ได้โปรดปกปักรักษา

ข้าฯด้วยเถิด”(4)

 (4) มะฮัจญุด-ดะอฺวาต หน้า 300.

๑๐๘

การตอบสนองต่อบทดุอฺาอ์ของท่านอิมามที่ 7

บรรดาอิมาม(อฺ)ทั้งหลายนั้นต่างใช้ชีวิตทั้งหมดในฐานะผู้ถูกกดขี่ข่มเหง ตลอดระยะเวลาการปกครองของวงศ์อุมัยยะฮฺ คนทั้งหลายคาดคิดว่าในการปกครองของสมัยวงศ์อับบาซียะฮฺสิ่งนั้นคงจะบรรเทาเบาบางลงบ้างและภัยอันตรายคงจะยกเลิกจากพวกท่าน(อฺ)ไปบ้าง ซึ่งการคาดคิดของคนทั้งหลายไม่น่าจะผิดพลาด เพราะเชื้อสายของกลุ่มทั้งสองใกล้เคียงกัน ประกอบกับว่า ราชวงศ์อับบาซียะฮฺนั้นแอบอ้างดำเนินการปกครองในนามของเชื้อสายท่านอิมามอฺะลี(อฺ) ธงของท่านอะบูมุสลิมอัล-คุรอซานีที่ได้เข้าไปในเมือง

คุรอซานนั้น ดำเนินการปกครองในนามของเชื้อสายท่านอฺะลี(อฺ)

การเข้าไปในเมืองคุรอซานนั้นก็ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นนอกจากเพื่อสนับสนุนลูกหลานของท่านอฺะลี(อฺ)

แต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้าม ในเมื่อพวกอับบาซียะฮฺได้เริ่มติดตามอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ) ด้วยการลอบสังหาร คุมขัง ฯลฯ จนช่วงหนึ่งในการปกครองของพวกวงศ์นี้ ยังความรุนแรงแก่บรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)ยิ่งกว่าพวกวงศ์อุมัยยะฮฺเสียอีก

บรรดาอิมาม(อฺ)จะไม่อ่านดุอฺาอ์เพื่อขอสาปแช่งบรรดาผู้อธรรม นอกจากในกรณีที่ความอธรรมถึงขีดสุดของความรุนแรงเท่านั้น เมื่อเราได้รู้ถึงเรื่องนี้จากท่าน(อฺ) เราก็สามารถประเมินสถานการณ์ที่รุนแรงอันเกิดขึ้นแก่ท่านอิมาม(อฺ)ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านต้องขอดุอฺาอ์สาปแช่งบุคคลที่อธรรมต่อท่าน(อฺ)

๑๐๙

ในลำดับต่อไปนี้ เราจะเสนอเรื่องดุอฺาอ์ของท่านอิมามมูซา บินญะอฺฟัร(อฺ)ที่ได้รับการตอบสนองจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.)

-1-

เจ้าของหนังสือ “นะษะรุต-ตุรรุล” ได้กล่าวไว้ว่า :

 ท่านอิมามมูซา บินญะอฺฟัร อัล-กาซิม(อฺ)นั้น มีคนแจ้งให้ท่าน(อฺ)ทราบว่า อัล-ฮาดี วางแผนการร้ายต่อท่าน(อฺ) ท่าน(อฺ)ได้พูดกับครอบครัวและผู้ติดตามว่า

“พวกท่านมีความคิดเห็นอะไรเสนอแนะแก่ฉันบ้าง?”

คนเหล่านั้นกล่าวว่า

“เราเห็นว่า ท่านควรออกห่างจากเขา และหลบซ่อนให้พ้นไปจากเขา เพราะความชั่วร้ายของเขานั้นจะไม่ให้ความปลอดภัยแก่ท่าน”

ท่าน(อฺ)ยิ้ม แล้วกล่าวว่า

“คนโฉดคิดว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะพระผู้อภิบาลได้ แน่นอน

ผู้ชนะที่แท้จริงย่อมชนะอยู่แล้ว”

หลังจากนั้นท่าน(อฺ)ยกมือขึ้นขอดุอฺาอ์ แล้วกล่าวว่า

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มากมายเหลือเกินแล้ว สำหรับพวกศัตรูที่มุ่งหมายทำลายข้าฯ ข่มเหงรังแกข้าฯ โดยแผนการเข่นฆ่าด้วยพิษร้ายของมันจนดวงตาของข้าฯไม่เคยหลับไหล เนื่องจากคอยระแวดระไวต่อพวกมัน ครั้นเมื่อพระองค์ทรงเห็นถึงความอ่อนแอของข้าฯ ในการปกป้องโพยภัยและความเกินกำลังที่ข้าฯจะทานทนกับความเจ็บปวดได้ ขออำนาจและอานุภาพของพระองค์ได้โปรดสลัดสิ่งนั้นออกให้พ้นจากข้าฯโดยมิใช่ด้วยความสามารถและอานุภาพของข้าฯ และจงโยนเขาลงไปสู่หลุมลึกที่พวกเขาขุดล่อข้าฯให้ตกลงไปในโลกแห่งวัตถุของเขา จนห่างไกลจากความหวังในปรโลก

๑๑๐

 มวลการสรรเสริญเป็นของพระองค์ที่ได้ทรงกำหนดความโปรดปรานของพระองค์ที่โปรยปรายแก่ข้าฯ และพระองค์มิได้ทรงปฏิเสธความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อข้าฯ

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดลงโทษเขาด้วยอำนาจของพระองค์ โปรดพลิกแผนการของเขาออกจากข้าฯ ด้วยอานุภาพของพระองค์ โปรดบันดาลภาระอันหนักหน่วงจนเกินกำลังให้แก่เขา

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดบันดาลให้ความเป็นศัตรูนั้นกลายเป็นยาบำบัดรักษาแก่ข้าฯ

และบันดาลให้ความแค้นของข้าฯที่มีต่อเขา เป็นการอภัย โปรดประทานแก่ดุอฺาอ์ของข้าฯ ด้วยการตอบรับ และโปรดรับรองคำอุทธรณ์ของข้าฯ และโปรดให้เขาสำนึกเพียงสักเล็กน้อยกับการตอบรับต่อบ่าวของพระองค์

ผู้ถูกกดขี่ แท้จริงพระองค์ทรงมีเกียรติอันยิ่งใหญ่”

ต่อจากนั้นสมาชิกครอบครัวก็ลาจากไป ครั้นต่อมาไม่นาน คนเหล่านั้นมาชุมนุมกันเพื่ออ่านจดหมายที่มีมาถึงท่านอิมามมูซา(อฺ)แจ้งให้ท่าน(อฺ)ทราบว่ามูซา อัล-ฮาดีนั้นได้ตายเสียแล้ว(1)

(1) อัล-ฟุศูลุล-มุฮิมมะฮฺ หน้า 222. มุฮัจญุด-ดะอฺวาต หน้า 29.

๑๑๑

-2-

ท่านอับดุลลอฮฺ บินศอลิฮฺ ได้กล่าวว่า : ท่านศอฮิบุ้ล ฟัฎลฺ บินร่อบีอฺเล่าให้เราทราบว่า : ในคืนหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าอยู่บนที่นอนพร้อมกับภรรยาของข้าพเจ้า พอตกกลางคืนข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังที่ประตูเมือง ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นยืนดู

ภรรยาของข้าพเจ้ากล่าวว่า

“อาจเป็นเสียงของลมพัดก็ได้”

แต่แล้วไม่ทันไร ประตูบ้านที่ข้าพเจ้าอยู่ขณะนั้นก็เปิดออก แล้วคนชื่อ ‘มัซรูร’ก็พรวดพลาดเข้ามา พลางกล่าวว่า

“จงยอมรับคอลีฟะฮฺฮารูน รอชีด”

โดยมิได้ให้สลามแก่ข้าพเจ้าแต่ประการใด ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวังมาก นึกในใจว่า ‘มัซรูร’ ผู้นี้เข้ามาโดยไม่ขออนุญาตและไม่ให้สลาม ฉะนั้นย่อมไม่มีจุดประสงค์อื่นนอกจากมาฆ่า ขณะนั้น

ข้าพเจ้ามีญุนุบอยู่จึงไม่ได้ถามอะไรเขา โดยให้เขาคอยข้าพเจ้าซึ่งต้องอาบน้ำชำระร่างกายเสียก่อน

ภรรยาของข้าพเจ้ากล่าวว่า

“จงยึดมั่นต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)อย่างหนักแน่น แล้วลุกออกไปเถิด”

ข้าพเจ้าจึงลุกออกไปสวมเสื้อผ้า แล้วออกมาพร้อมกับเขาจนถึงอาคาร ข้าพเจ้าได้กล่าว

สลามท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน(คอลีฟะฮฺฮารูน รอชีด) ที่กำลังเอนเอกเขนกอยู่ เขารับสลาม แล้วข้าพเจ้าก็นั่งลง

เขากล่าวว่า

“ท่านกลัวมากใช่ไหม ?”

๑๑๒

ข้าพเจ้าตอบว่า

“ใช่แล้ว โอ้ ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน”

เขาปล่อยให้ข้าพเจ้าพักสงบจิตใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า

“จงออกไปยังคุกของเรา แล้วปล่อยมูซา บินญะอฺฟัร บินมุฮัมมัด ออกมา พร้อมกับจ่ายเงินให้กับเขาสามหมื่นดิรฮัม และให้พาหนะอีกสามชุด และให้ออกเดินทางไปจากเรา ไปที่ไหนก็ได้ตามที่เขาปรารถนา”

ข้าพเจ้าพูดกับเขาว่า

“โอ้ ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน ท่านจะปล่อยตัวมูซา บินญะอฺฟัร กระนั้นหรือ ?”

เขาตอบว่า

“ใช่แล้ว”

ข้าพเจ้าทวนคำถามถึงสามครั้ง เขาก็ตอบว่า

“ใช่แล้ว ท่านต้องการจะให้ฉันผิดคำสัญญากระนั้นหรือ ?”

ข้าพเจ้าถามว่า

“โอ้ ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน คำสัญญาที่ว่านั้นหมายถึงอะไร ?”

ฮารูน รอชีดกล่าวว่า

“ขณะที่ข้านอนอยู่บนเตียงแห่งนี้ มีสิงโตตัวหนึ่งขึ้นมาคร่อมบนหน้าอก และขย้ำตรงคอหอยของข้า มันเป็นสิงโตตัวใหญ่ชนิดที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน และมันพูดกับข้าว่า

“ท่านกักขังมูซา กาซิมด้วยกับความอธรรม”

๑๑๓

ข้าจึงพูดกับมันว่า

“ข้าจะปล่อยตัวเขาและจะมอบสิ่งของให้เขา ข้าขอทำสัญญากับ

อัลลอฮฺ(ซ.บ.)

มันจึงออกไปจากหน้าอกของข้า ซึ่งแทบว่าชีวิตของข้าจะปลิดออกจากร่าง”

ท่านอับดุลลอฮฺ บินศอลิฮฺได้เล่าต่อไปว่า : แล้วข้าพเจ้าก็ออกจากที่นั่น และไปพบท่านอิมามมูซา กาซิม(อฺ)ซึ่งกำลังอยู่ในคุก ข้าพเจ้าเห็นท่าน(อฺ)นมาซ ข้าพเจ้าจึงนั่งรอจนท่าน(อฺ)ให้สลาม

หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เข้าไป แล้วกล่าวว่า

“ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน(ฮารูน รอชีด) ฝากสลามมายังท่าน และแจ้งให้ท่านทราบถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งมา และข้าพเจ้าก็ได้นำคำสั่งนั้นมายังท่านแล้ว”

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

“ถึงแม้ท่านจะถูกสั่งมาให้ทำอย่างอื่น ท่านก็จงกระทำเถิด”

ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า

“หามิได้ ขอสาบานต่อสิทธิของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ว่าข้าพเจ้ามิได้ถูกสั่งมาให้กระทำอย่างอื่นนอกจากสิ่งนี้”

ท่านอิมามมูซา(อฺ)กล่าวว่า

“ไม่มีความจำเป็นอันใดสำหรับข้าพเจ้าในเรื่องการมอบเสื้อผ้า ทรัพย์สิน ยานพาหนะต่างๆในเมื่อสิ่งนั้นๆ เป็นสิทธิของประชาชาติอิสลาม”

ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า

“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) ท่านอย่าได้ปฏิเสธเลย”

๑๑๔

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

“ท่านจงกระทำในสิ่งที่ท่านต้องการเถิด”

ข้าพเจ้าได้จับมือท่านอิมาม(อฺ) แล้วนำท่าน(อฺ)ออกจากคุก จากนั้นจึงได้กล่าวกับท่าน(อฺ)ว่า

“โอ้ท่านผู้เป็นบุตรของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)โปรดบอกข้าพเจ้าซิว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ท่านได้รับความเอื้อเฟื้อจากชายคนนี้เป็นสิทธิของข้าพเจ้าเหนือท่านที่จะต้องแสดงความยินดีกับท่าน และได้รับรางวัลจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.) จากผลงานอันนี้”

ท่านอิมามมูซา(อฺ)กล่าวว่า

“ฉันได้ฝันเห็นศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ในคืนวันพุธที่ผ่านมา ท่าน(ศ)บอกฉันว่า

“มูซา เอ๋ย เจ้าถูกกักขังด้วยกับความอธรรม”

ฉันตอบว่า

“ใช่แล้ว ยารอซูลุลลอฮฺ”

ท่าน(ศ)กล่าวอย่างนี้สามครั้ง แล้วท่าน(ศ)พูดอีกว่า

“หวังว่าสิ่งนี้ จะเป็นการทดสอบสำหรับพวกเจ้า และเป็นความสุขชั่วระยะหนึ่ง เจ้าจงถือศีลอดในพรุ่งนี้เช้า และจงถือติดต่อทั้งวันพฤหัสและวันศุกร์ ครั้นถึงเวลาละศีลอด เจ้าจงนมาซ 12ร็อกอะฮฺ ในทุกร็อกอะฮฺนั้น

 จงอ่านอัล-ฮัมดุ 1 ครั้ง และอ่านกุลฮุวัลลอฮุ อะฮัด 12 ครั้ง ครั้นทำ

นมาซครบ 4 ร็อกอะฮฺ

๑๑๕

แล้วจงซุญูด แล้วให้อ่านดุอฺาอ์บทหนึ่ง ดังนี้ :

“โอ้ผู้ทรงชัยชนะ ผู้ทรงได้ยินเสียงต่างๆ ทั้งหมด ผู้ทรงให้ชีวิตแก่กระดูกที่มันผุกร่อน หลังจากความตาย ข้าฯขอต่อพระนามของพระองค์

พระผู้ทรงยิ่งใหญ่ ขอพระองค์ทรงประทานพรแด่มุฮัมมัด บ่าวของพระองค์และศาสนทูตของพระองค์ และแด่บรรดาอะฮฺลุลบัยตฺผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ และโปรดได้บันดาลให้ข้าฯ ได้รับความรอดพ้นโดยเร็วพลัน”

ฉันได้กระทำอย่างนั้น แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปเหมือนที่ท่านได้เห็น(2)

(2) มะดีนะตุล-มะอาญิช หน้า 394.

คำสดุดี จากบรรดานักปราชญ์ต่ออิมามมูซา บินญะอฺฟัร(อฺ)

บรรดามุสลิมทั้งหลายถึงแม้จะมีมัซฮับแตกต่างกัน แต่ก็ลงความเห็นตรงกันในเรื่องของเกียรติยศของบรรดาอิมามแห่งอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ) ตลอดทั้งยอมรับในเรื่องวิชาการ ตำแหน่งอันสูงส่ง

และความมีสถานภาพที่ใกล้ชิดต่อท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) นักปราชญ์ทั้งหลายต่างได้บันทึกเรื่องดังกล่าวไว้ในตำราของพวกเขาเกี่ยวกับฮะดีษต่าง ๆ ที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)กล่าวถึงท่าน(อฺ)เหล่านั้น มีการอธิบายกันถึงเกียรติประวัติ จริยธรรม ความเฉลียวฉลาดและความรอบรู้ของท่าน(อฺ)เหล่านั้น

๑๑๖

ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ได้ผนวกบุคคลเหล่านั้นให้อยู่ควบคู่กับอัล-กุรอาน เช่น ในฮะดีษที่ว่าด้วย

 ‘อัษ-ษะก่อลัยนฺ’ (สิ่งสำคัญสองประการ) และที่อุปมาว่า

บุคคลเหล่านั้นเหมือนเรือของท่านนบีนูฮฺ(อฺ) ถ้าผู้ใดขึ้นเรือก็จะปลอดภัย ผู้ใดผลักไสก็จะพินาศล่มจม และเปรียบว่าคนเหล่านั้นเหมือนประตูอัล-ฮิฏเฏาะฮฺ ที่ถ้าหากใครเข้าไปก็จะปลอดภัย

อีกทั้งมีฮะดีษมากมายที่รายงานว่าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ได้กล่าวถึงเกียรติคุณของท่าน(อฺ)เหล่านั้นไว้

ในบทนี้เราจะเสนอคำสดุดีของบุคคลต่างๆ ที่มีต่อท่านอิมามมูซา

 กาซิม(อฺ) ดังต่อไปนี้

1. ท่านอิมามศอดิก (อฺ) ได้กล่าวว่า:

ท่านมูซา กาซิมเป็นคนรอบรู้ในกฎเกณฑ์ มีความเข้าใจจริงและรู้จักอย่างถ่องแท้ในเรื่องที่มนุษย์ทั้งหลายจำเป็น ซึ่งเรื่องนั้นๆ คนทั้งหลายขัดแย้งกันในกิจการศาสนา เขาเป็นคนมีจริยธรรมที่ดีงาม เป็นเพื่อนบ้านที่ดี และเป็นประตูบานหนึ่งในหลายๆ ประตูที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงเปิดให้(1)

(1) บิฮารุ้ล-อันวารฺ เล่ม 11 หน้า 234.

๑๑๗

2. ฮารูน รอชีดได้กล่าวว่า:

สำหรับมูซา กาซิมนั้น เขาคือประมุขทางศาสนาของพวกตระกูลฮาซิม(2)

(2) อันวารุล-บะฮียะฮฺ 92.

เขายังได้พูดกับมะอ์มูน ผู้เป็นบุตรชายของเขาอีกว่า

“มูซา ผู้นี้คืออิมามของมนุษยชาติ เป็นข้อพิสูจน์หนึ่งของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ที่มีต่อมวลมนุษย์ และเป็นค่อลีฟะฮฺของพระองค์ในหมู่ปวงบ่าวทั้งหลายของพระองค์”(3)

(3) อะอฺยานุช-ชีอะฮฺ 4 กอฟ เล่ม 3 หน้า 51.

เขาได้กล่าวต่อไปอีกว่า

“โอ้ลูกเอ๋ย มูซา กาซิมผู้นี้เป็นทายาททางความรู้วิชาการของบรรดานบี ถ้าเจ้าต้องการความรู้ที่ถูกต้อง ก็จงไปเอาจากเขาผู้นี้แหละ”(4)

(4) อัล-มะนากิบ เล่ม 2 หน้า 383. อะมาลี ของเชค ศ็อดดูก 307.

๑๑๘

3. มะอ์มูน กษัตริย์ในราชวงศ์อับบาซียะฮฺได้กล่าวถึงอิมามมูซา กาซิม (อฺ) ว่า:

ท่านเป็นคนเคร่งครัดในการทำอิบาดะฮฺอย่างยิ่ง ใบหน้าและจมูกของท่านมีแต่การกราบพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น(5)

(5) อันวารุล-บะฮียะฮฺ 93.

4. ท่านอีซา บินญะอฺฟัรได้เขียนจดหมายไปหาฮารูน รอชีดว่า:

ตลอดเวลาที่ท่านมูซา กาซิมอยู่ในคุกอย่างยาวนานนั้น ฉันไม่เคยเห็นเขาว่างเว้นจากการอิบาดะฮฺเลย ฉันได้จัดคนให้คอยฟังการขอดุอฺาอ์ของเขา ปรากฏว่าเขาไม่เคยขอดุอฺาอ์สาปแช่งท่านและฉันเลย และไม่เคยกล่าวถึงเราในทางที่ไม่ดี และไม่เคยขออะไรให้กับตัวเอง นอกจากการอภัยและความเมตตา(6)

(6) อะอฺยานุช-ชีอะฮฺ 4 ก็อฟ 3/71.

5. ท่านอะบูอฺะลี อัล-คิลาล (นักปราชญ์มัซฮับฮันบะลี) ได้กล่าวว่า:

เมื่อฉันกลุ้มใจในเรื่องใด ฉันจะไปยังสุสานของท่านอิมามมูซา กาซิมเสมอเพื่อขอการตะวัซซุล แล้วอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ก็ทรงให้ความสะดวกในกิจการที่ฉันอยากได้เสมอ(7)

(7) ตารีค บัฆดาด เล่ม 1 หน้า 120.

๑๑๙

6. อิมามชาฟิอีได้กล่าวว่า:

สุสานของอิมามมูซา กาซิมคือสถานที่ที่มีความประเสริฐสูงส่งยิ่ง”(8)

(8) ตุฮฺฟะตุล-อาลิม เล่ม 2 หน้า 22.

7. ท่านอะบูฮาติมได้กล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิม คือผู้ที่น่าเชื่อถือในด้านรายงานฮะดีษ(ษิกเกาะฮฺ) และสัจจริง และเป็นผู้นำ(อิมาม)ของประชาชาติมุสลิมทั้งหลาย(9)

 (9) ตะฮุชีบุต-ตะฮฺชีบ เล่ม 10 หน้า 240.

8. ท่านอับดุรเราะฮฺมาน บินอัล-เญาซีกล่าวว่า:

ท่านอิมามมูซา กาซิมได้ชื่อว่าเป็นบ่าวที่มีคุณธรรม เพราะการอิบาดะฮฺ การอิจญ์ติฮาด และดำรงนมาซในยามกลางคืน และท่านเป็นคนที่มีเกียรติที่สุภาพ เมื่อท่านได้รับข่าวคราวว่า ใครกล่าวร้ายท่าน ท่านจะตอบแทนคนนั้นด้วยทรัพย์สินเสมอ(10)

(10) ศิฟะตุศ-ศ็อฟวะฮฺ เล่ม 2 หน้า 103.

๑๒๐

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133