ชีวประวัติอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน

ชีวประวัติอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน27%

ชีวประวัติอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน ผู้เขียน:
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม: ห้องสมุดประวัติศาสตร์

ชีวประวัติอิมามฮุเซน ชีวประวัติอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 157 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 43215 / ดาวน์โหลด: 5319
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน

ชีวประวัติอิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

และในหนังสือเล่มนี้ ท่านได้สรุปบทดุอาอ์ของท่านอิมาม (อฺ) ที่ยังไม่มีอยู่ในหนังสือ

“ อัศ-ศ่อฮีฟะตุซ-ซัจญาดียะฮฺ ” ซึ่งต่อมาท่านมิรซา อับดุลลอฮฺ อัล-อิศฟะฮานี ก็ได้ดำเนินการแก้ไขผลงานของท่านชัยคฺ อัล-อามิลี กล่าวคือ ท่านได้รวบรวม “ อัศ-ศ่อฮีฟะตุซ-ซัจญาดียะฮฺ ” ขึ้นเป็นครั้งที่ ๓ ต่อจากนั้นท่านชัยคฺ นูรีก็ได้ดำเนินการแก้ไขในส่วนที่ท่านมิรซาอับดุลลอฮฺบกพร่องไป โดยรวบรวมหนังสือ “ อัศ-ศ่อฮีฟะตุซ-ซัจญาดียะฮฺ ” ขึ้นเป็นครั้งที่๔ ต่อมาท่านซัยยิดมุฮฺซิน อัล-อามีน ศ่อฮีฟะตุซ-ซัจญาดียะฮฺ ” ขึ้นเป็นครั้งที่ ๕ และรวบรวมเป็นครั้งที่ ๖ โดยท่านมุฮัมมัด บาเก็ร บิน มุฮัมมัด ฮะซัน

อัล-บีรญันดี ต่อมาได้มีการรวบรวมเป็นครั้งที่ ๗ โดยท่านฮาดี กาชิฟ

อัล-ฆิฏออ์ และครั้งที่ ๘ โดยท่านมิรซา อฺะลี อัล-มัรอะชี หนังสือ

“ อัศ-ศ่อฮีฟะตุซ-ซัจญาดียะฮฺ ” ฉบับนี้ได้รับการพิมพ์ครั้งแล้วครั้งเล่า

หากเราทำจิตใจของเราให้เที่ยงธรรม แน่นอนที่สุดเราจะต้องถือว่าบทดุอฺาอ์ต่าง ๆเหล่านี้ก็คือ การยอมโดยสิ้นเชิงต่อพระผู้มีความประเสริฐสุด เป็นการก้าวไปสู่เกียรติยศ เป็นแนวทางอันเที่ยวตรงแก่วิถีชีวิตโดยทั่วไปของเรา และแน่นอนเราจะได้พบกับความผาสุกในชีวิจทางโลก

และปรภพ

ในบทนี้เราจะกล่าวถึงบทดุอฺาอ์บทสั้น ๆ ที่เราคัดมาจากหนังสือ

“ อัศศ่อฮีฟะตุซ-ซัจญาดียะฮฺ ” และจากที่อื่น ๆ ของท่านอิมามอะลี บิน

ฮุเซน อัซ-ซัจญาด(อฺ) ดังต่อไปนี้

ดุอฺาอ์

บทที่ ๑

บทดุอฺาอ์ที่ท่านฮัมมาด บินฮะบีบ อัล-กูฟี(ร.ฏ.)ได้ยินท่านอิมาม ซัจญาด(อฺ)อ่านที่ “ บีดาอ์ ” ตรงเส้นทางระหว่างมักกะฮฺกับมะดีนะฮฺ มีดังนี้:

“ ข้าแต่พระองค์ บรรดาคนหลงผิดทั้งหลายต่างหมายมุ่งหาพระองค์ซึ่งพวกเขาจะประสบกับพระองค์ในฐานะผู้ได้รับการชี้นำ บรรดาคนยำเกรงทั้งหลายต่างนอบน้อมยังพระองค์ แล้วพวกเขาจะพบพระองค์ในฐานะผู้มีสติปัญญา บรรดาคนที่หวนกลับต่างเข้าหาพระองค์ซึ่งพวกเขาจะพบพระองค์ได้ในฐานะผู้มีความมุ่งหวัง เมื่อไรกันที่ร่างกายเขาจะหยุดพักจากการทุ่มเทเพื่อสิ่งอื่นนอกจากพระองค์ เมื่อไรกันเขาถึงจะพอใจในการแสวงหาสิ่งอื่น นอกจากพระองค์ที่พระองค์ทรงสร้างสรรค์มันขึ้นมา ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าบัดนี้ความมืดมิดแผ่กระจายออกไปหมดแล้ว แต่หัวใจของ

ข้าฯยังไม่บรรลุถึงความสำเร็จในการอ้อนวอนต่อพระองค์ ขอได้ทรงประทานพรแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของท่าน และทรงโปรดอำนวยให้ข้าฯได้มีสิทธิในกิจการของโลกทั้งสองด้วยเถิด ข้าแต่พระผู้ทรงเมตตาเหนือกว่าผู้เมตตาใดๆ ” ( ๔)

(๔) อัล-มะนากิบ เล่ม ๒ , หน้า ๒๔๕

ดุอฺาอ์

บทที่ ๒

เป็นบทดุอฺาอ์ที่ท่านอิมามซัจญาด(อฺ)ได้สอนบุตรของท่าน(อฺ)

ซึ่งท่านอะบูฮัมซ์ะฮฺ อัษ-ษุมาลี(ร.ฏ.)กล่าวว่า :

ท่านอฺะลี บินฮุเซน(อฺ)ได้พูดกับบุตรชายว่า

“ ลูกเอ๋ย หากภัยพิบัติใด ๆ ของโลกนี้มาประสบแก่เจ้า หรือพวกเจ้าต้องตกที่นั่งลำบากก็ให้คนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเจ้า ทำน้ำวุฏอฺเพื่อนมาซและให้เขานมาซ ๔ หรือ ๒ ร่อกะอัต เมื่อนมาซ

เสร็จแล้วก็ให้เขากล่าวว่า

ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงเป็นที่พึ่งของคนมีความทุกข์

ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงได้ยินเสียงกระซิบทั้งปวง

ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงบำบัดรักษาเภทภัยทั้งหลาย

ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งที่เร้นลับทั้งหลาย

ข้าแต่พระองค์ ผู้แก้ไขเหตุการณ์ใด ๆ ตามที่ทรงประสงค์

ข้าแต่พระองค์ ผู้เป็นที่วิงวอนของบูชา

ข้อแต่พระองค์ ผู้ทรงคัดเลือกมุฮัมมัด

ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงเป็นสหายของอิบรอฮีม

ข้าฯขอวิงวอนต่อพระองค์ในฐานะผู้ประสบความทุกข์โศกมหันต์

ข้าฯอ่อนแอจนเกินกำลัง หนทางแก้ของข้าฯมีน้อยนัก

ข้าฯขอวิงวอนในฐานะคนที่จมอยู่กับความยากแค้นอันลี้ลับ ซึ่งไม่มีใครช่วยแก้ไขสภาพความเป็นอยู่นี้ได้ นอกจากพระองค์

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเมตตาที่เหนือกว่าผู้เมตตาใดๆ

มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ แท้จริงข้าฯคือ ผู้มีความผิด

ท่านอฺะลี บินฮุเซน(อฺ)ได้กล่าวว่า

“ ผู้ใดที่อ่านดุอฺาอ์บทนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะประสบกับทุกข์เภทภัยใดๆ ก็จะได้รับการปลดเปลื้องทั้งสิ้น ” ( ๕)

( ๕) อัล-ฟุศูลุล มุฮิมมะฮฺ หน้า ๑๙๒

ดุอฺาอ์

บทที่ ๓

เป็นบทดุอฺาอ์ที่ท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)วิงวอนในตอนย่ำรุ่ง

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า การวิงวอนขออภัยโทษของข้าฯนี้มีเฉพาะต่อพระองค์ ในขณะนี้ข้าฯเป็นคนที่ติดอยู่กับสิ่งที่พระองค์ห้าม นั่นคือ

การขาดซึ่งความละอายและละเว้นการขออภัยทั้งที่รู้ดีว่า

ความเมตตาของพระองค์มีมหาศาล อันเป็นการทำลายสิทธิของความหวัง

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้ความบาปของข้าฯ มั่นจะทำให้ข้าฯรู้สึกสิ้นหวังในการขอต่อพระองค์ แต่ข้าฯก็รู้ดีว่า ความเมตตาต่อพระองค์นั้นแผ่ไพศาลจนข้าฯมั่นใจว่า จะสามารถทำให้ข้าฯยำเกรงพระองค์ได้ ดังนั้นขอได้ทรงโปรดประทานพรแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของมุฮัมมัด และทรงบันดาลให้ความหวังของข้าฯที่มีต่อพระองค์เป็นจริงขึ้น และให้สิ่งที่ข้าฯหวาดกลัวจากพระองค์อยู่นั้นอย่าได้เป็นความจริงเลย โดยความมีจิตสำนึกของข้าฯ ที่มีความดีงามต่อพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเกรียงไกรเผื่อแผ่เหนือกว่าผู้ให้ความเผื่อแผ่ใด ๆ (๖)

( ๖) อัล-ญันนะตุล วากิยะฮฺ ของดามาด

ดุอฺาอ์

บทที่ ๔

เป็นบทดุอฺาอ์ของท่านอิมามอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) ที่มีใจความดังนี้

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าฯขอความคุ้มครองต่อพระองค์ กรณีที่สภาพอันเปิดเผยของข้าฯเป็นที่น่ายินดีในสายตาอันหื่นกระหาย ในขณะที่สภาพอันซ่อนเร้นของข้าฯเป็นที่ชิงชัง ณ พระองค์ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าข้าฯทำความชั่วก็ขอจากพระองค์ให้ข้าพระองค์ดีขึ้น ถ้าข้าฯกลับตัวมุ่งสู่พระองค์

ก็ขอให้พระองค์หวนกลับมาหาข้าพระองค์(๗)

( ๗) ตัซฺกิเราะตุล-ค่อว๊าศ หน้า ๑๘๔. และศิฟะตุศ-ศ็อฟวะฮฺ เล่ม ๒ หน้า ๓๓.

ดุอฺาอ์

บทที่ ๕

เป็นบทดุอฺาอ์หนึ่งของท่านอิมามซัจญาด(อฺ) มีใจความดังนี้

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าฯเป็นใครกันที่พระองค์ถึงกับทรงโกรธกริ้วข้าฯ ดังนั้น ข้าฯขอวิงวอนต่อพระองค์ว่า ได้โปรดให้มวลอาณาจักรของพระองค์เป็นเครื่องประดับแก่ความดีของข้าฯ และอย่าให้มันเป็นความน่าชังจนก่อความชั่วให้แก่ข้า ฯ อย่าให้ความมั่งคั่งของข้าฯบกพร่องจากของที่อยู่ใน

คลังของพระองค์ และอย่าให้สิ่งนั้นๆ เพื่อความยากแค้นให้แก่ข้าพระองค์เลย(๘)

( ๘) บิฮารุล-อันวารฺ เล่ม ๑๑ , หน้า ๒๙

ดุอฺาอ์

บทที่ ๖

ดุอฺาอ์ของอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)บทนี้ กล่าวเมื่อบรรลุถึงความดีงามทั้งมวล

ข้าแต่พระองค์ การรำลึกถึงพระองค์คือ ความประเสริฐสุดสำหรับผู้รำลึก

ข้าแต่พระองค์ การขอบคุณต่อพระองค์คือ ชัยชนะสูงสุดของผู้ขอบคุณ

ข้าแต่พระองค์ การเคารพเชื่อฟังพระองค์คือความปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้เคารพเชื่อฟัง

ขอได้โปรดประทานพรแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของมุฮัมมัด

ขอได้โปรดให้หัวใจของเรามีภาระอยู่กับการรำลึกถึงพระองคื จนหมดเวลาครุ่นคิดถึงผู้อื่น

โปรดให้ลิ้นของเรา มีภาระกับการขอบคุณพระองค์จนหมดเวลาจากการพูดกับคนอื่น

โปรดให้อวัยวะแห่งเรือนร่างของเรมีภาระกับเคารพเชื่อฟังพระองค์จนหมดเวลาในการเคารพเชื่อฟังผู้อื่น

แต่ถ้าหากทรงบันดาลให้เราหมดภาระ ก็ขอให้การหมดภาระนั้นๆ เป็นไปด้วยความปลอดภัย อย่าให้มีโทษทัณฑ์ใด ๆ รังควานเรา และอย่าให้ความเดือดร้อนใด ๆ แผ้วพานเรา

จนกระทั่งให้บัญชีที่บันทึกความชั่วคลาดแคล้วไปจากเรา จนไม่มีการกล่าวถึงความชั่วใดๆ ของเรา

และให้เราได้รับบัญชีที่บันทึกความดีงานตามที่เราพอใจ เพราะความดีงามต่าง ๆของเราได้รับการบันทึก และในเมื่อชีวิตของเราผ่านพ้นไป และอายุขัยของเราหมดสิ้นไปและเมื่อการเรียกร้องของพระองค์ที่เราหลีกเลี่ยงมิได้มาถึงยังเรา ก็ได้โปรดประทานพรแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของมุฮัมมัด

และขอได้โปรดให้ตอนลงท้ายแห่งบัญชีบันทึกการงานของเราถูกระบุว่า มีการให้อภัยโทษที่ถูกยอมรับ และหลังจากนี้แล้ว โปรดอย่าให้เราได้รับความบาปใดๆ ที่ร่างกายของเราก่อขึ้น และโปรดอย่าเปิดโปงความลับใดๆ ที่พระองค์ทรงปกปิดไว้ให้เป็นที่ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ในวันที่เรื่องราว

ของบรรดาบ่าวทั้งหลายได้รับการเปิดเผย แท้จริงพระองค์คือ ผู้ทรงเมตตาอยู่เป็นนิจนิรันดร์ สำหรับผู้ที่เรียกร้องยังพระองค์ และทรงเป็นผู้ขานรับต่อคนที่อ้อนวอนต่อพระองค์(๙)

( ๙) “ อัศ-ศ่อฮีฟะตุซ-ซัจญาดียะฮฺ ” หน้า ๔๔

ดุอฺาอ์

บทที่ ๗

ดุอฺาอ์ของอิมามที่ ๔ บทนี้ กล่าวเมื่อคลาดแคล้วจากสิ่งที่น่ากลัวหรือให้ได้รับสิ่งที่ต้องการโดยพลัน

ข้าแต่อัลลอฮฺ มวลการสรรเสริญเป็นของพระองค์ ตามคุณงามความดีแห่งพระบัญชาของพระองค์ และโดยที่ทรงบันดาลให้เภทภัยของพระองค์คลาดแคล้วไปจากข้าฯ ขอได้โปรดอย่าทำให้โชคของข้าฯ อันได้มาจากความเมตตาของพระองค์ต้องมีอันเป็นเหตุให้การผ่อนผันของพระองค์พลาดไปเสียจากข้าฯ

แล้วข้าฯต้องเป็นคนโชคร้ายเพราะสิ่งที่ข้าฯรัก ในขณะที่คนอื่นโชคดีมีสุข เพราะสิ่งที่ข้าฯรังเกียจ และถ้าหากให้ข้าฯใช้ชีวิตอยู่โดยได้รับการผ่อนผัน ท่ามกลางเภทภัยอันไม่หยุดยั้ง และท่ามกลางความหนักหน่วงอันไม่บรรเทาแล้วไซร้ ก็ขอได้นำสิ่งที่พระองค์ประวิงอยู่ มาให้ข้าฯเสียเถิดและโปรดประวิงสิ่งที่ข้าฯประสบอยู่ ออกไปจากข้าฯเสียเถิด เพราะการรับโทษในโลกอันต้องสูญเสีย ใช่ว่าจะมากมายแต่ประการใด และการรับโทษในโลกอันถาวร ใช่ว่าจะน้อยแต่ประการใด และขอได้โปรดประทานพรแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของมุฮัมมัด(๑๐)

(๑๐) “ อัศ-ศ่อฮีฟะตุซ-ซัจญาดียะฮฺ ” หน้า ๖๕

ดุอฺาอ์

บทที่ ๘

ดุอฺาอ์บทนี้ท่านอิมามซัจญาด(อฺ)กล่าวเมื่อยามประสบความเดือนร้อนหรือความทุกข์ทรมานต่าง ๆ

ข้าแต่พระองค์ เงื่อนงำแห่งความเดือนร้อนทั้งปวงล้วนคลี่คลายไปโดยสิทธิอำนาจของพระองค์ ความทุกข์ทรมานย่อมหมดสิ้นไปได้โดยการบันดาลของพระองค์

ข้าแต่พระองค์ อันทางออกเพื่อไปสู่หนทางรอดพ้นย่อมเป็นไปได้ด้วยการบันดาลจากพระองค์ ความยุ่งยากใดๆ ล้วนสยบต่อเดชานุภาพของพระองค์ความเดือดร้อนใดๆ ย่อมมีทางแก้ไขด้วยความอนุเคราะห์ของพระองค์ พระบัญชาทั้งปวงล้วนดำเนินไปโดยเดชาสามารถแห่งพระองค์ สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนดำเนินไปตามเจตจำนงของพระองค์

นั่นคือ เจตจำนงของพระองค์ที่ไม่อาจมีใครตั้งข้อหาใดๆ ได้ และเป็นไปโดยเจตนาของพระองค์ที่ไม่มีใครหยุดยั้งเอาชนะได้

พระองค์คือผู้ที่ได้รับการเรียกหาจากคนมีทุกข์ พระองค์คือผู้ทรงช่วยแก้ไขให้กับคนที่ได้รับการทรมาน ไม่มีใครสกัดกั้นสิ่งใด ๆ ได้ นอกจากโดยการสกัดกั้นของพระองค์ และไม่มีใครแก้ไขอะไรได้ นอกจากการแก้ไขของพระองค์

ข้าแต่พระผู้อภิบาล บัดนี้ข้าฯต้องตกอยู่ในสภาพอันเต็มไปด้วยความทุกข์อันหนักหน่วง ข้าฯต้องทรมารกับภาระอันหนักอึ้งที่ข้าฯเผชิญอยู่ ขอให้ทรงอนุเคราะห์ให้แก่ข้าฯ โดยเดชาสามารถของพระองค์ และทรงโปรดมอบพลังให้แก่ข้าฯ ด้วยอำนาจของพระองค์ เพราะไม่มีผู้ใดที่สามารถให้ความช่วยเหลือใด ๆ ในกรณีที่พระองค์จะทรงให้ความช่วยเหลือ ไม่มีใครสามารถขจัดออกไปได้ในกรณีที่พระองค์ทรงประสงค์จะประทานให้ ไม่มีใครเปิดอะไรได้ในกรณีทีพระองค์ทรงปิดและไม่มีใครสามารถปิดได้ในกรณีที่พระองค์ทรงเป็ดและไม่มีใครให้ความสะดวกได้ในกรณีที่

พระองค์บันดาลให้เกิดอุปสรรคและไม่มีใครให้ความช่วยเหลือได้ในกรณีของบุคคลที่พระองค์ทรงบั่นทอนดังนั้นขอได้โปรดประทานพรแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของมุฮัมมัด

ข้าแต่พระผู้อภิบาล ขอได้ทรงเปิดประตูแห่งความแคล้วคลาดของข้าฯ ด้วยความกรุณาของพระองค์เถิด และจงทำลายอำนาจแห่งความทุกข์ให้สลายไปจากข้าฯ และโปรดมอบความปรารถนาดีตามสิ่งที่ข้าฯอุทรณ์มาให้ข้าฯด้วยเถิด และโปรดบันดาลให้ข้าฯได้สิ้มรสแห่งความหวานชื่นของ

การงานตามที่ข้าฯขอ และขอได้ประทานความเมตตาของพระองค์ให้แก่ข้าฯ รวมทั้งทางรอดพ้นอันสุขสบาย และโปรดบันดาลให้ข้าฯได้รับทางออกและการมีชีวิตชีวาจากพระองค์

และอย่าให้ข้าฯทนทุกข์อยู่จนไม่มีเวลาทำหน้าที่ตามกฎข้อบังคับของพระองค์ และปฏิบัติงานตามกฎเกณฑ์ของพระองค์

ข้าแต่พระผู้อภิบาล บัดนี้ข้าฯได้รับความลำบากอย่างแสนสาหัส ภาระที่ข้าฯเผชิญอยู่สร้างความทุกข์ให้แก่ข้าฯอย่างเต็มเปี่ยม พระองค์เท่านั้นที่สามารถแก้ไขปัญหาที่ข้าฯกำลังประสบอยู่ได้

ขอได้โปรดดำเนินการในเรื่องนี้ให้แก่ข้าฯด้วยเถิด ถึงแม้จะไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ จากพระองค์ก็ตาม

ข้าแต่พระผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งบัลลังก์อันยิ่งใหญ่(๑๑)

(๑๑) “ อัศ-ศ่อฮีฟะตุซ-ซัจญาดียะฮฺ ” หน้า ๓๘

ดุอฺาอ์

บทที่ ๙

ท่านอิมามอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) วิงวอนดังนี้ เมื่อยากที่ประสบความยากแค้นในการครองชีพ

ข้าแต่อัลลอฮฺ พระองค์ทรงทดสอบเราในเรื่องการครองชีพว่า จะมีความคิดที่ผิดพลาดหรือไม่ และทรงทดสอบในชีวิตแห่งโลกนี้ว่า เราจะตั้งความหวังอย่างเลื่อนลอยหรือไม่ จนกระทั่งเราแสวงหาหาเครื่องยังชีพจากทางของผู้ที่อยู่ในฐานะต้องรับเครื่องยังชีพ และเราต้องทุ่มเท

ความหวังอย่างเดียวกับคนที่ใช้ชีวิตอย่างทุ่มเท

ขอทรงโปรดประทานพรแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของมุฮัมมัด และทรงประทานความเชื่อมั่นอย่างจริงใจให้แก่เรา จนเรามีความสมบูรณ์พอสำหรับการตั้งความหวัง

และโปรดบันดาลให้เราเข้าใจในความเชื่อถืออันจริงใจ เพื่อเราจะได้รับการผ่อนผันให้แพ้จากความเดือนร้อน และได้โปรดบันดาลให้เป็นไปตามสัญญาของพระองค์ที่สัญญาไว้ในพระบัญชาของพระองค์ และโปรดดำเนินไปตามคำสาบานของพระองค์ที่มีอยู่ในคัมภีร์ เพื่อเป็นการแก้ปัญหาความเดือนร้อนของเรา

เรื่องราวการครองชีพที่พระองค์ทรงให้การรับรองไว้และเพื่อเป็นการขจัดความยุ่งยากต่างๆ ที่พระองค์ทรงรับรองในการช่วยเหลือไว้

ข้าฯขอยืนยันว่า พระคำของพระองค์ทรงสัจจะ และขอสาบานว่า คำสาบานของพระองค์ย่อมมีอันเป็นไปอย่างถูกต้องบริบูรณ์

ดังโองการที่ว่า

“ และในฟากฟ้านั้น คือเครื่องยังชีพ(ริซกฺ)ของสูเจ้า

พร้อมกับสิ่งที่สูเจ้าได้รับการสัญญาไว้ ”

( อัซฺ-ซฺาริยาต: ๒๒)

จากนั้นทางมีโองการอีกว่า

“ ดังนั้น ขอสาบานต่อพระผู้อภิบาลแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินว่า แน่นอนยิ่ง สิ่งนี้(สัญญาที่จะให้ปัจจัยยังชีพ)เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งเหมือนกับที่สูเจ้าพูดกันไว้ ”

( อัซฺ-ซฺาริยาต: ๒๓)( ๑๒ )

(๑๒) อัศ-ศ่อฮีฟะตุซ-ซัจญาดียะฮฺ หน้า ๑๐๓

การตอบสนองตอบต่อดุอฺาอ์คุณสมบัติพิเศษ

ของอิมามอฺะลี บินฮุเซน(อฺ)

คุณสมบัติพิเศษอีกประการหนึ่งของบรรดาอิมาม(อฺ)ของเราคือ มีดุอฺาอ์ที่ได้รับการตอบสนองจากอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ได้มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ของ

ท่านทั้งหลายเป็นอันมาก ในเล่มที่ผ่านมา

เราได้เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการตอบสนองต่อดุอฺาอ์ของบรรดาอิมาม

๓ ท่านแรกไปแล้ว อีกทั้งได้

กล่าวถึงผลอันเกิดขึ้นจากการสนองตอบที่พระผู้เป็นเจ้ามีต่อดุอฺาอ์ของท่าน ในบทนี้เราจะกล่าวถึงบางเรื่องที่รายงานกันมา ในเรื่องการตอบสนองรับที่มีต่อดุอฺาอ์ของท่านอิมามท่านที่ ๔ อฺะลี บินฮุเซน(อฺ)

บทที่ ๑

ท่านมินฮาล บินอุมัรได้กล่าวว่า : ข้าพเจ้าได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์แล้วได้พบท่านอิมามอฺะลิ บิน ฮุเซน(อฺ) ท่านได้กล่าวว่า

“ ฮัรมะละฮฺ บินกาฮิล เป็นอย่างไรบ้าง ?”

ข้า ฯ ได้ตอบว่า “ ข้าพเจ้ายังปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ที่เมืองกูฟะฮฺ ”

ท่าน(อฺ)ได้ยกมือขึ้นกล่าวคำวิงวอนว่า

“ ข้าแต่อัลลอฮฺ ขอให้เขาได้ลิ้มรสของเหล็กอันร้อนเถิด

ข้าแต่อัลลอฮฺ ขอให้เขาได้ลิ้มรสของไฟนรกเถิด ”

ท่านมินฮาลได้เล่าว่า : คนกลุ่มหนึ่งเข้าพบท่านมุคตาร(ร.ฏ.) ซึ่งเข้ามาพบอย่างนอบน้อมพลางกล่าวว่า

“ ขอแสดงความยินดีกับท่านประมุข ”

ขณะนั้นเขาได้จับตัวของฮัรมะละฮฺมาได้ แล้วท่านมุคตารสั่งให้ตัดมือตัดเท่าทั้งสองข้างของเขา และจับเขาโยนลงไปเผาในกองไฟ(๑)

(๑) อัล-มะนากิบ เล่ม ๒ , หน้า ๒๓๘.กัชฟุล-ฆุมมะฮฺ หน้า ๒๐๙

บิฮารุล-อันวารฺ เล่ม ๑๑ , หน้า ๑๖

บทที่ ๒

ปรากฏว่าท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ) ได้วิงวอนขอทุกวันว่า

ให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)บันดาลให้ท่านได้เห็นคนที่สังหารบิดาของท่าน(อฺ)ถูกฆ่าด้วย

ครั้นเมื่อท่านมุคตาร(ร.ฏ.)ได้สังหารคนที่ฆ่าท่านอิมามฮุเซน(อฺ)แล้วเขาก็จัดส่งศีรษะของอุบัยดิลลาฮฺ บินซิยาด กับศีรษะของอัมรฺ บินอัลอาศไปกับทูตของตน เพื่อไปมอบให้แก่ท่านอิมาม

ซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ) เขาได้พูดกับผู้เป็นทูตของเขาว่า

“ แท้จริง เขา(อฺ)นมาซในยามกลางคืน ครั้นพอรุ่งเช้า เขา(อฺ)ก็จะนมาซในยามเช้า ต่อจากนั้น จะถึงเวลาที่เขา(อฺ)รับประทานอาหาร ฉะนั้นเมื่อเจ้าไปถึงประตูบ้านเขา(อฺ)แล้ว ก็จงขออาหารจากเขา(อฺ) เมื่อมีการบอกกับเจ้าว่า อาหารพร้อมแล้ว เจ้าก็จงอนุญาต แล้ววางศีรษะทั้งสองนี้ที่สำรับอาหารของเขา(อฺ)แล้วจงกล่าวว่า :

“ มุคตารฝากสลามมาถึงท่าน ”

แล้วกล่สวกับเขา(อฺ)ว่า

“ ข้าแต่ผู้เป็นบุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) บัดนี้

อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ได้ให้การตอบรับต่อการวิงวอนขอของท่านแล้ว ”

ผู้เป็นทูตได้ทำตามในเรื่องนี้ทุกประการ เมื่อท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)ได้แลเห็นศีรษะทั้งสองบนสำรับอาหารแล้ว ท่าน(อฺ)ทรุดการลงกราบ(ซุญูด)พระผู้เป็นเจ้า แล้วกล่าวว่า

“ ข้าฯขอสรรเสริญอัลลอฮฺ ที่ทรงให้การสนองตอบต่อคำวิงวอนของ

ข้าฯ และทำให้ข้าฯสามารถแก้แค้นคนที่ฆ่าบิดาของข้าฯได้สำเร็จ ”

แล้วท่าน(อฺ)ได้ยกมือขออฺาอ์ให้มุคตาร(ร.ฏ.)ได้รับการตอบแทนใน

คุณงามความดีของเขา(๒)

(๒) อัล-มะนากิบ เล่ม ๒ , หน้า ๒๔๗

บทที่ ๓

เมื่อครั้งที่ท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดี(อฺ)ทราบข่าวว่า มุซัรริฟ บิน อุกบะฮฺ มุ่งหน้ามาที่นครมะดีนะฮฺเพื่อทำร้ายท่าน อิมาม(อฺ)ได้อ่านดุอฺาอ์ว่า

ข้าแต่พระผู้อภิบาลของข้าฯ ความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานแก่ข้าฯ นั้นมีมากมาย

แต่การขอบพระคุณของข้าฯที่มีต่อพระองค์นั้นน้อยมาก การทดสอบของพระองค์ทีทรงทดสอบข้าฯนั้นมีมากมาย แต่ความอดทนของข้าฯที่มีต่อสิ่งนั้นมีน้อยมาก

ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงได้รับการขอบพระคุณจากข้าฯเพียงเล็กน้อยสำหรับความโปรดปรายอันมากมายมหาศาลของพระองค์

แต่พระองค์ก็ไม่ทรงหวงห้ามจากข้าฯ

ข้าแต่พระองค์ ผู้ซึ่งประจักษ์ถึงความอดทนของข้าฯว่า มีเพียงน้อยนิดต่อการทดสอบของพระองค์ แต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็มิได้ทรงบั่นทอน

ข้าแต่ผู้ทรงไว้ซึ่งความดีงามที่ไม่เคยขาดหายอย่างเด็ดขาด

ข้าแต่พระผู้ทรงเผื่อแผ่ความดีงามที่ไม่อาจคำนวณนับได้

ขอทรงประทานพรแด่มุฮัมมัดและวงศ์วานของมุฮัมมัด ได้โปรดสะกัดกั้นความชั่วร้ายของเขาให้พ้นไปจากข้าฯ ขอให้พระองค์ทรงรับรองแทนข้าฯ และขอให้ทรงคุ้มครองข้าฯให้พ้นจากความชั่วของเขาด้วยเถิด

ครั้นเมื่อมุซัรริฟได้เดินทางมาถึงนครมะดีนะฮฺแล้ว เขาได้กล่าวว่าเขาไม่ต้องการทำอะไรกับท่านอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) ฉะนั้นเขาจึงได้เข้าไปพบแล้วคารวะท่าน(อฺ) ยกย่องให้เกียรติ และแสดงความรักอย่างไมตรีจิต(๓)

(๓) อัล-อิรชาด หน้า ๒๗๗

บทที่ ๔

ท่านญาบิร บินยะซีดได้รับคำบอกเล่าจากท่านอิมามมุฮัมมัดบาเก็ร(อฺ)ว่า :

ครั้งหนึ่งท่านอิมามอฺะลี บินฮุเซน(อฺ)ได้กล่าวว่า

“ ความตายอย่างกระทันหัน เป็นเรื่องที่มีการผ่อนปรนแก่บรรดาผู้ศรัทธา และเป็นเรื่องที่น่าเสียใจสำหรับพวกมิจฉาทิฎฐิ เพราะผู้ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้านั้น เขาจะได้รู้จักคนที่อาบน้ำศพเขาและหามเขา ถ้าหากเขามีความดีรออยู่ ณ พระผู้อภิบาล เขาก็จะเร่งให้ผู้ที่หามศพของเขาไปเร็ว ๆ ( เพื่อไปพบกับมรรคผล) แต่ถ้าเขามิได้เป็นคนเช่นนี้ เขาก็จะเรียกร้องผู้ที่หามศพของเขาให้ทำอย่างช้าๆ (เพราะไม่ต้องการไปพบกับการลงทัณฑ์) ”

- 7-

ท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)ได้ไปหาบุตรชายของลุงของท่าน(อฺ)คนหนึ่งในยามกลางคืน แล้วมอบเงินดีนารฺให้ไปเป็นจำนวนมาก

เขากล่าวกับท่าน(อฺ)ว่า

“ อฺะลี บินฮุเซนไม่เคยผิดต่อสัมพันธ์กับข้าพเจ้าเลย ขออย่าให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ตอบแทนความดีให้แก่เขาเลย ”

เมื่อท่าน(อฺ)ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจแต่อดกลั้นไว้ เพราะเขาไม่รู้จักท่าน(อฺ) ครั้นเมื่อท่าน(อฺ)ถึงแก่การวายชนม์ การกระทำดังกล่าวก็หายไปด้วย เขาจึงได้รู้ว่าที่แท้คนๆ นั้นก็คือ ท่านอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) นั่นเอง

แล้วเขาก็มายืนร้องไห้คร่ำครวญที่สุสานของท่าน(อฺ)(7)

(7) อ้างเล่มเดิม

-8-

ท่านอิมามศอดิก(อฺ)ได้กล่าวอีกว่า : ท่านอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) โปรดปรานลูกองุ่นมาก วันหนึ่ง

มีองุ่นพันธุ์ดีที่สุดถูกนำเข้ามาในนครมะดีนะฮฺ ภรรยาของท่าน(อฺ)จึงซื้อมาฝากท่าน(อฺ)เพื่อเป็น

อาหารสำหรับละศีลอด ซึ่งท่าน(อฺ)ก็พอใจมาก แต่พอท่าน(อฺ)ทำท่าจะเอื้อมมือไปรับเท่านั้นเอง ก็

ปรากฏว่ามีคนมาขอรับบริจาคมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านพอดี

ท่าน(อฺ)จึงกล่าวกับภรรยาว่า :

“ มอบให้เขาไปเถอะ ”

ภรรยาของท่าน(อฺ)กล่าวว่า :

“ โอ้ ท่านผู้เป็นนาย ให้เพียงบางส่วนก็พอแล้ว ”

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า “ ไม่ได้ ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺให้เขาไปทั้งหมดนั่นแหละ ”

วันรุ่งขึ้นนางก็ไปซื้อมาให้ท่าน(อฺ)อีก คนขอรับบริจาคก็มายืนขอเหมือนเดิม และท่าน(อฺ)ก็

ทำอย่างนั้นอีก นางก็ไปซื้อมาให้ท่าน(อฺ)อีกเป็นคืนที่สาม ปรากฎว่าคราวนี้ไม่มีคนขอรับบริจาค

ท่าน(อฺ)จึงได้รับประทาน

แล้วท่าน(อฺ)ก็กล่าวว่า :

“ ขอสรรเสริญต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)ที่ไม่มีสิ่งใดขาดหายไปจากเรา ” ( 8)

(8) บิฮารุล-อันวารฺ เล่ม 11 , หน้า 26.

- 8-

ท่านซุฟยาน บินอุยยินะฮฺได้กล่าวว่า : กล่าวท่านซุ์ฮฺรีได้เห็นท่านอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) ในคืนวันหนึ่งมีหิมะอันหนาวเหน็บตกลงมาอย่างหนัก และที่หลังของท่านมีสัมภาระอยู่ด้วยในขณะที่ท่านเดิน เขาจึงกล่าวขึ้นว่า :

“ ข้าแต่ผู้เป็นบุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ของเหล่านี้เป็นอะไร ?”

ท่านอิมาม(อฺ)ตอบว่า “ ฉันต้องการเดินทาง ฉันเตรียมของพวกนี้เป็นเสบียงที่ต้องนำไปจนถึงที่หมาย ณ ป้อมปราการนอกเมือง ”

เขากล่าวว่า “ ขออนุญาตให้คนรับใช้คนนี้ของข้าพเจ้าแบกให้ท่านเอง ”

แต่ท่าน(อฺ)ปฏิเสธ และเขากล่าวอีกว่า :

“ ถ้าเช่นนี้ ข้าพเจ้าจะขอแบกเองเพื่อแบ่งเบาภาระของท่าน ”

ท่านอฺะลี(อฺ)กล่าวว่า “ แต่ฉันจะไม่เอาของที่จะทำให้ฉันปลอดภัยในการเดินทางออกไปจากตัวฉัน น้ำดื่มของฉันที่ดีที่สุดได้แก่ น้ำดื่มที่ฉันนำมาเอง ฉันขอร้องท่านโดยอ้างถึงสิทธิของอัลลอฮฺว่า ให้ท่านดูแลหน้าที่ที่จำเป็นสำหรับตัวท่านเองและอย่าได้สนใจเรื่องของฉัน ”

ครั้นเวลาผ่านไปหลายวัน เขาได้กล่าวแก่ท่าน(อฺ)ว่า :

“ ข้าแต่บุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ข้าพเจ้ายังไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำใดๆ ที่ท่านพูดเมื่อตอนเดินทางในคราวนั้น ”

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า “ ถูกแล้ว ซุ์ฮฺรีเอ๋ย ความจริงมันมิได้เป็นอย่างที่ท่านคิดหรอก แต่ทว่าความตายนั้นคือ สิ่งที่ท่านต้องเตรียมตัว อันว่าการเตรียมตัวรับความตายนั้นคือ การหลีกเลี่ยงจากสิ่งต้องห้ามทั้งปวง และเสียสละในส่วนที่คิดว่า ดีที่สุด ” ( 9)

9) อะอฺยานุช-ชีอะฮฺ เล่ม 4 , หน้า 464.บิฮารุล-อันวารฺ เล่ม 11 , หน้า 20.

- 10-

ท่านอิบนุอฺาอิชะฮฺได้กล่าวว่า : ข้าพเจ้าได้ฟังชาวเมืองมะดีนะฮฺพูดกันว่า “ พวกเราได้รับการบริจาคอย่างลับๆ อยู่ไม่เคยขาด นอกจากในช่วงหลังที่ท่านอฺะลี บินฮุเซน (อฺ) ได้วายชนม์ไปแล้ว ” ( 10)

( 10) ศิฟะตุศ-ศ็อฟฟะฮฺ เล่ม 2 , หน้า 54. นูรุล-อับศ็อร หน้า 127.

กัชฟุล-ฆุมมะฮฺหน้า 199.

-11 -

ท่านอะบูฮัมซะฮฺ อัษ-ษุมาลี(ร.ฏ.) กล่าวว่า : ท่านซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)จะนำถุงขนมปังจากแป้งข้าวสาลีแบกบนหลังในยามค่ำคืน แล้วเอาไปแจกจ่ายเสมอ

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวว่า

“ แท้จริงการทำกุศลกรรมโดยลับนั้น จะเป็นการดับความกริ้วของพระผู้อภิบาลได้ ” ( 11)

(11) มะฏอลิบุซ-ซุอูล เล่ม 2 , หน้า 48. กัซฟูล-ฆุมมะฮฺ หน้า 200.

ศิฟะตุศ-ศ็อฟวะฮฺ เล่ม 2 , หน้า 56. บิดายะตุวัน-นิฮายะฮฺ เล่ม 9 , หน้า 105.

-12 -

ท่านมุฮัมมัด บินอิซฮาก (ร.ฏ.)กล่าวว่า : ชาวเมืองมะดีนะฮฺกลุ่มหนึ่งมีชีวิตอยู่โดยไม่รู้ว่าเครื่องยังชีพของพวกเขามาจากที่ไหนแต่เมื่อท่านอฺะลี บินฮุเซน(อฺ)วายชนม์ พวกเขาก็สูญเสีบสิ่งที่เขาเคยได้รับในยามค่ำคืนไป(12)

( 12) นูรูล-อับศ็อร หน้า 127. กัชฟุล-ฆุมมะฮฺหน้า 100 , มะฏอลิบุซ-ซุอูล เล่ม 2 หน้า45.

- 13-

เมื่อครั้งที่มุสลิม บินอุตบะฮฺเข้าล้อมเมืองมะดีนะฮฺ ปรากฎว่าท่านซัยนุลอฺาบิดีน(ร.ฏ.) ได้อุปการะสุภาพสตรีจำนวนมากถึง 400 คน รวมทั้งเด็กๆ และสัมภาระต่างๆ ของพวกนาง ท่าน(อฺ)ได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูคนเหล่านี้ จนกระทั่งอิบนุอุตบะฮฺถอยออกไปจากเมืองมะดีนะฮฺ

สุภาพสตรีแต่ละคนต่างสาบานด้วยความจริงใจว่า :

พวกเธอไม่เคยพบบรรยากาศที่อบอุ่น และมีความสุขความสบายจากบ้านบิดารมารดาของตนให้ เท่ากับที่ได้มาพบเห็นในบ้านของท่านอฺะลีบินฮุเซน(ร.ฏ.)เลย(13)

(13) อิมามซัยนุลอฺาบิดีน โดยอะฮฺหมัด ฟะฮ์มี มุฮัมมัด หน้า 64

- 14-

เมื่อท่านอิมามซัจญาด(อฺ)ถึงแก่การวายชนม์ ประชาชนก็เข้ามาอาบน้ำมัยยัตของท่าน(อฺ)เขาเหล่านั้นได้เห็นรอยบางอย่างปรากฏที่บริเวณแผ่นหลัง

แล้วพากันถามว่า “ นี่เป็นรอยอะไร ”

มีคนบอกว่า “ เขาแบกแป้งข้าวสาลรในยามกลางคืนเพื่อนำไปแจกจ่ายแค่คนยากจนในเมืองมะดีนะฮฺอย่างลับๆ เสมอ ” ( 14)

(14) กัชฟุล-ฆุมมะฮฺ หน้า 199. มะฏอลิบุซ-ซุอูล เล่ม 2 , หน้า 45.

นูรุล-อับศ็อร หน้า 127.

- 15-

เมื่อท่านอิมามอฺะลี บินฮุเซน(อฺ)จากไป ชาวมะดีนะฮฺจำนวนนับร้อยครอบครัวถึงรู้ว่า ท่าน ( อฺ) นี่เองที่ให้การเลี้ยงดูพวกเขา และนำสิ่งที่พวกเขาต้องการไปให้ (15)

(15) นูรุล-อับศ็อร หน้า 127. กัชฟุล-ฆุมมะฮฺ หน้า 194.

ศิฟะตุศ-ศ็อฟวะฮฺ หน้า 2 , หน้า 54.

ปลดปล่อยทาสสร้างสัมพันธ์มนุษย์

ศาสนาอิสลามได้อุบัติขึ้น ในขณะที่โลกนี้เต็มไปด้วยระบบทาส ดังนั้นจึงได้มีการพยายามทุกวิถีทางเพื่อปลดปล่อยโซ่ตรวนที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อผูกสายสัมพันธ์เพื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันประการแรกที่อิสลามดำเนินการก็คือ ปิดประตูการสำนึกในการตกเป็นทาส เพราะไม่บังควรที่มนุษย์จะยอมตกเป็นบ่าวของเพื่อนมนุษย์

ต่อจากนั้นก็ดำเนินวิธีการแก้ไขปัญหาของทาส และหาวิธีการในการปลดปล่อยทาส โดยชี้ให้เห็นว่า การปลดปล่อยทาสคือ การบำเพ็ญคุณงามความดีอย่างสูงสำหรับอัลลอฮฺ(ซ.บ.)และเป็นงานที่พระองค์ทรงให้ความรักความโปรดปรานเป็นยิ่งนัก ในขั้นต่อมา อิสลามถือว่า เรื่องนี้เป็นข้อบังคับประการหนึ่งและการปลดปล่อยทาสคือการปลดเปลื้องความบาปได้

เช่น ความบาปเนื่องจากเจตนาไม่ถือศีลอดในเดือนรอมฏอน และอื่นๆ

แนวทางในการปลดปล่อยทาสของอิสลามได้ดำเนินเรื่อยมา ในลักษณะนี้ จนถึงสมัยของท่านอิมามอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) ท่าน(อฺ)ได้ทำการปลดปล่อยทาสไปจำนวนนับพันคน

------------------------------------------------------ 1---------------------------------------------------------

ท่านซัยยิดุลอะฮฺลิได้กล่าวว่า : ท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)ซื้อทาสแต่มิได้มุ่งหวังอะไรจากทาสเลย ทว่าท่าน(อฺ)ซื้อมาเพื่อปลดปล่อยเขาเหล่านั้น

พวกเขากล่าวว่า

“ ท่านได้ปลดปล่อยทาสจำนวน 10 , 000 คน ” ( 1)

(1) อัล-อิมามซัยนุลอฺาบิดีน ของซัยยิดุอะฮฺลิ หน้า 7

------------------------------------------------------ 2---------------------------------------------------------

ในยามที่พวกทาสทำความผิด ท่านอิมามอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) จะปลดปล่อยพวกเขาทันที และได้วางหลักไว้ว่า

“ การปลดปล่อยทาสคือ ผลตอบแทนสำหรับความผิดนั้น ๆ ” ( 2)

(2) โปรดดูรายละเอียดในบทวิถีชีวิตของท่านจากหนังสือเล่านี้อีกครั้ง

------------------------------------------------------ 3

ท่านซัยยิด อัล-อามีน (ขอให้ท่านได้รับความเมตตาจากอัลลอฮฺ)ได้กล่าวว่า :

ทุกปีเมื่อถึงปลายเดือนร่อมะฏอน ท่าน(อฺ)จะต้องปล่อยทาสเป็นอิสระราวๆ ไม่ต่ำกว่า 20คนเสมอ

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวว่า

“ แท้จริงทุกคืนของเดือนร่อมะฏอน ณ อัลลอฮฺ(ซ.บ.) จะมีการปลดปล่อยชาวนรกออกมาถึง70 , 000 คน ทั้งๆที่ทุกคนล้วนมีความผิดต้องตกนรกดังนั้นเมื่อถึงวันสุดท้ายของเดือนรอมฏอน

ฉันก็จะปลดปล่อยทาสเช่นกันเพราะฉันชอบที่จะให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงประจักษ์ว่า ฉันได้ปลดปล่อยทาสในครอบครองของฉันในโลกนี้แล้ว เพื่อพระองค์จะกรุณาปลอปล่อยฉันให้พ้นจากนรก ”

ท่านซัยยิด อัล-อะมีน(ร.ฮ.)กล่าวว่า :

ท่าน(อฺ)ไม่เคยให้คนใช้ทำงานเกินกำลัง ถ้าหากท่าน(อฺ)ครอบครองทาสคนใดมาตั้งแต่ต้นปีหรือกลางปี ครั้นพอถึงวันออกอีด ท่าน(อฺ)จะปลดปล่อยทันทีและจะทำอย่างนี้อีกในปีที่ 2 แล้วท่าน ( อฺ) ก็จะปลดปล่อยอีกท่าน (อฺ) ทำอย่างนี้จนถึงวาระคืนกลับสู่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) พวกเขาให้เป็นอิสระทันที และมอบทรัพย์สินเพื่อเป็นรางวัลแก่คนเหล่านั้นอีกด้วย (3)

(3) อะอฺยานุช-ชีอะฮฺ เล่ม 4 , หน้า 468.

------------------------------------------------------ 4

ท่านอุซด๊าซซัยยิดุลอะฮฺลิ ได้กล่าวว่า :

เมื่อบรรดาทาสทั้งหลายรู้เรื่องนี้ต่างก็พากกันเสนอตัวขายให้แก่ท่าน(อฺ)และต่างพากันเลือกท่าน(อฺ)เป็นนาย ต่างพากันออกจากการปกครองของเจ้านายเดิมเพื่อมาอยู่กับท่าน(อฺ)

เพราะท่าน(อฺ)ให้ความสะดวก ครั้นเวลาผ่านไปท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)ก็ปลดปล่อยทาสเป็นประจำทุกๆ ปีทุกๆ เดือนและทุกวันในทุกครั้งที่ทาสทำความผิด จนกระทั่งในเมืองมะดีนะฮฺเต็มไปด้วยอิสระชน

ทุกคนอยู่ในความดูแลของท่านอิมาซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)คนเหล่านั้นมีจำนวนมากถึง 50 , 000 คน หรือมากกว่านั้น(4)

(4) ซัยนุลอฺาบิดีน ของ ท่านซัยยิดุลอะฮฺลิ หน้า 47.

คำเทศนาของอิมามซัยนุลอฺาบิดีน (อฺ)

อัลลอฮฺ(ซ.บ.) ทรงให้การลงโทษอย่างสาสมกับพฤติกรรมของพวกวงศ์อุมัยยะฮฺและอับบาซียะฮฺที่ก่อกรรมทำเข็ญกับบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)

ความชั่วร้ายเลวทรามเหล่านั้นไม่เพียงแต่จะกระทบต่อบรรดาอิมาม(อฺ)ฝ่ายเดียว หากแต่ยังเกิดขึ้นกับสังคมของประชาชาติอิสลามอีกด้วย โดยสกัดกั้น

มิให้มวลมุสลิมได้รับการชี้นำและคำสั่งสอนของบรรดาอิมาม(อฺ) อีกทั้งยังได้ขวางกั้นมิให้ยอมรับฐานะภาพอันสำคัญที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงประสงค์ให้แก่พวกเขาเป็นการเฉพาะ จึงทำให้บรรดาอิมาม(อฺ)ดำเนินงานสอนศาสนาโดยซ่อนเร้น และต้องปกป้องตนเองต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอในการทำงาน แต่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ก็ทรงให้การสนับสนุนจนงานสอนศาสนาในลักษณะนี้แพร่หลายในท่ามกลางหมู่ประชาชน

เนื้อหาของคำเทศนามีจุดมุ่งหมายในเรื่องเสรีภาพทางด้านการเผยแผ่และการปฏิบัติภาระกิจ สิ่งนี้เองที่บรรดาอิมาม(อฺ) ได้รับการสกัดกั้นคำเทศนาของบรรดาอิมาม(อฺ)นั้นสามารถทำได้แต่เพียงส่วนน้อยตามความเหมาะสม ในบทนี้จะมีการนำเสนอคำเทศนาของท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน ( อฺ) เพียงบางตอนเท่านั้น

คำเทศนาบทที่ 1

ที่เมืองกูฟะฮฺ

หลังจากที่ท่านหญิงอุมมุกุลษูม(อฺ)กล่าวคำปราศรัยแล้ว

ท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)ก็พยุงกายขึ้นกล่าวต่อหน้าประชาชนชาวกูฟะฮฺทั้งหลายว่า

“ ท่านทั้งหลายจงเงียบ จงเงียบ ”

เมื่อท่าน(อฺ)ยืนตรงได้แล้วก็กล่าวสดุดี สรรเสริญต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)และรำลึกถึงท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ต่อจากนั้นท่าน(อฺ)ก็ได้กล่าวว่า

“ ประชาชนทั้งหลายใครที่รู้จักข้า ก็ย่อมรู้จักข้าดีแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักก็ขอให้ทราบว่า ข้าคือ อฺะลี บินฮุเซน บินอฺะลี บินอะบีฏอลิบ ข้าคือบุตรของคนที่ถูกเชือดคอที่ริมแม่น้ำอัล-ฟะรอต โดยมิได้มีการแก้แค้นข้าคือบุตรของผู้ที่ได้รับการเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ถูกริบสมบัติ ถูกช่วงทรัพย์สินและครอบครัวถูกจับเป็นเชลย ข้าคือบุตรของนักต่อสู้ที่ทรหด ผู้มีความภาคภูมิใจในเรื่องนี้มากที่สุด ประชาชนทั้งหลาย ข้าขอให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.) เป็นพยาน พวกเจ้ารู้ไหมว่า พวกเจ้าเขียนจดหมายไปหลอกลวงบิดาของข้าพวกเจ้าเอาตัวเองยืนยันรับรองกับท่าน ด้วยข้อผูกพันสัญญา แต่แล้วพวกเจ้าก็ร่วมกันต่อสู้และทำลายท่าน ดังนั้นความพินาศจึงตกอยู่กับพวกเจ้าเพราะสิ่งที่พวกเจ้ากระทำไป ด้วยเจตนาที่ชั่วร้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับคำพูดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ที่เคยกล่าวกับพวกเจ้าว่า :

“ ถ้าพวกเจ้าฆ่าเชื้อสายของข้า และเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของข้า พวกเจ้าก็หาใช่ประชาชาติของข้าไม่ ”

ถึงตอนนั้นประชาชนทั้งหลายต่างก็พากันร้องไห้ระงมไปหมดขณะที่บางคนก็เปรยแก่กันว่า

“ พวกเจ้าพินาศแล้ว แต่ไม่รู้ตัวกันเอง ”

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวต่อไปว่า

“ ขอให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)เมตตากับคนที่ยอมรับคำเตือนของข้า และรักษาคำสั่งสอนของข้าในเรื่องของอัลลอฮฺ ของศาสนทูตของพระองค์ และของอะฮฺลุลบัยตฺของท่าน แท้จริงแล้วสำหรับเรานั้น มีแบบอย่างที่ดีงามอยู่ที่ตัวของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ”

“ ขอให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)เมตตากับคนที่ยอมรับคำเตือนของข้าและรักษาคำสั่งสอนของข้าในเรื่องของอัลลอฮฺ ของศาสนทูตของพระองค์ และของอะฮฺลุลบัยตฺของท่าน แท้จริงแล้วสำหรับเรานั้น มีแบบอย่างที่ดีงามอยู่ที่ตัวของท่านศาสนทูตแห่งอัลลฮฺ(ศ) ”

พวกเขากล่าวพร้อมกันทั้งหมดว่า

“ ข้าแต่บุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) พวกเราเป็นผู้เคารพเชื่อฟัง และจะให้การพิทักษ์เกียรติของท่าน จะไม่ผละจากท่านไป และจะไม่ชิงชังท่านต่อไป ดังนั้นขอให้ท่านดำเนินการกับพวกเราได้เลย ขอให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงเมตตาท่าน พวกเราจะต่อสู้กับท่าน พวกเราจะให้สันติภาพกับคนที่ให้ความสันติแก่ท่าน เพื่อเราจะได้อยู่ร่วมกับท่าน ไม่ว่าในยามที่ท่านได้รับความไม่เป็นธรรม หรือในยามที่เราได้รับความไม่เป็นธรรม ”

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวว่า

“ ช้าก่อน เหล่าบรรดาคนลวงเอ๋ย อารมณ์ต่ำของพวกเจ้าครอบงำจิตใจของพวกเจ้าเองเสียสิ้นแล้ว พวกเจ้าต้องการที่จะทำกับข้าเหมือนอย่างที่ทำกับบิดาของข้ากระนั้นหรือ ? มิได้หรอก

พวกเจ้าฆ่าบิดาของข้าและสมาชิกครอบครัวของท่านไปเมื่อวาน ข้ายังไม่ลืมเลือนการลูบไล้ของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ของบิดาของข้า และของบุตรหลานของบิดาข้าที่ข้าเคยพบในยามที่ข้าวิ่งเล่นและยังไม่ลืมการระแวดระวังดูแลที่ท่านมีต่อการพะเน้าพะนอคลอเคลียของข้า และในยามที่ข้าใช้อกซอกซอนบนที่นอน จุดประสงค์ของข้าก็คือ ถ้าไม่เป็นพวกของเราก็ขออย่าเป็นศัตรูกับเราเลย ”

คำเทศนาบทที่ 2

ที่เมืองชาม

ยะซีดได้สั่งให้คนกล่าวปราศรัยประณามเหยียดหยามท่านอิมามฮุเซน(อฺ)และผู้เป็นบิดา เมื่อผู้กล่าวคำปราศรัยขึ้นบนมิมบัรแล้ว เขาก็กล่าวสรรเสริญ สดุดีอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ก่อน ต่อจากนั้นก็ได้กล่าวประณามท่านอฺะลี

อะมีรุลมุมินีน(อฺ) และท่านอิมามฮุเซน(อฺ)อย่างรุนแรง และได้ยกย่องชมเชย

มุอาวิยะฮฺกับยะซีดอย่างไพเราะเพราะพริ้ง

ท่านอิมามอฺะลิ บินฮุเซน(อฺ) ได้ตะโกนด้วยเสียอันดังว่า

“ ความวิบัติจะได้แก่เจ้า โอ้นักพูด ในฐานะที่เจ้าเอาความพอใจของผู้ถูกสร้างแลกเปลี่ยนกับความชิงชังของผู้สร้าง ดังนั้นขอให้เจ้าเตรียมที่นั่งไว้ในไฟนรกเถิด ”

ต่อจากนั้นท่านอิมาม(อฺ)ได้กล่าวอีกว่า

“ ยะซีดเอ๋ย เจ้าจะอนุญาตให้ข้าขึ้นบทแท่นปราศรัยนี้ได้ไหมเพื่อที่ข้าจะได้กล่าวถึงถ้อยคำต่างๆ อันเป็นที่พอพระทัยของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)เพื่อผู้ฟังทั้งหลายจะได้รับรางวัลและผลบุญ ”

แต่ยะซีดกลับปฏิเสธ ประชาชนทั้งหลายกล่าวว่า

“ ข้าแต่อะมีรุลมุมินีน อนุญาตให้เขาขึ้นกล่าวคำปราศรัยบนแท่นปราศรัยเถิด เพื่อพวกเราจะได้รับฟังอะไรบางอย่าง ”

เขากล่าวว่า “ ถ้าหากปล่อยให้เขาขึ้นกล่าวคำปราศรัยแล้ว เขาจะไม่ยอมลงมาจนกว่าจะได้สบประมาทข้า และสบประมาทบรรดาวงศ์วานของอะบีซุฟยานก่อน ”

มีคนถามว่า “ อะไรทำให้เขามีความสามารถดีอย่างนี้ ?”

เขาตอบว่า “ พวกอะฮฺลุลบัยตฺได้รับการฟูมฟักทางวิชาการอย่างเต็มที่ ”

ต่อมาไม่ทันไรเขาก็อนุญาตให้ท่าน(อฺ)ขึ้นกล่าวคำปราศรัย หลังจากที่ได้สรรเสริญสดุดีอัลลอฮฺ(ซ.บ.)แล้ว ท่าน(อฺ)ก็ได้กล่าวคำปราศรัยด้วยน้ำตานองหน้า และสะเทือนใจอย่างรุนแรง

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

“ ประชาชนทั้งหลาย พวกเราได้รับพร 6 ประการ และได้รับความดีเด่น 7 ประการ กล่าวคือ พวกเราได้รับความรู้ ความมีน้ำใจอารี ความมีเกียรติความสันทัดทางวาจา ความกล้าหาญ และความรักในจิตใจของผู้ศรัทธา พวกเราได้รับเกียรติสูงก็เพราะว่าคนในหมู่พวกเราได้รับการคัดเลือกให้เป็นนบี นั่นคือ มุฮัมมัด (ศ)

คนของเรามีผู้ได้รับฉายานามว่า

“ เจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ” ( ในอัล-กุรอานกล่างถึงท่านอิมามอฺะลี(อฺ)ว่าเป็น อัศ-ศอดิก) “ ผู้ที่มีปีก ” ( เหมือนมะลาอิกะฮฺ-หมายถึง ท่านญะอฺฟัร บินอะบีฏอลิบ(ร.ฏ.)) “ ราชสีห์ของอัลลอฮฺและราชสีห์ของศาสนทูต ” ( หมายถึง ท่านฮัมซะฮฺ บินอับดุลมุฏฏอลิบ ( ร.ฏ.)

“ ประมุขแห่งสตรีทั้งมวลโลกในสากลโลก ” ( หมายถึง ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อฺ))

“ ทายาทของศาสดาแห่งประชาชาติ ” ( หมายถึงท่านฮะซัน(อฺ)และท่านฮุเซน(อฺ))

ใครรู้จักข้าก็ย่อมรู้ดี แต่ใครที่ยังไม่รู้จัก ข้าก็จะบอกให้รู้ในฐานะภาพของข้าเท่าที่ข้ามี

ประชาชนทั้งหลาย

ข้าคือ บุตรแห่งนครมักกะฮฺและมินา( 1)

ข้าคือ บุตรแห่งซัมซัมและศ่อฟา( 2)

ข้าคือ บุตรของหินโค้งที่อยู่ริมเชิงอัร-ร่อดา( 3)

ข้าคือ บุตรของคนที่ดีที่สุดในหมู่ผู้สวมใส่ชุดเสื้อผ้า( 4)

ข้าคือ บุตรของคนที่ดีที่สุดในหมู่ผู้ที่สวมรองเท้า( 5)

ข้าคือ บุตรของคนที่ดีที่สดุในหมู่ผู้เที่เวียนฏ่อวาฟและเดินซะแอ( 6)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่ดีที่สุดในหมู่ผู้บำเพ็ญฮัจญ์ และกล่าว “ ลับบัยกฺ ” ต่อพระผู้เป็นเจ้า ( 7)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่ขี่ม้าอัล-บุรอกฺในห้วงอากาศ( 8)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่เดินทางในยามค่ำคืนจากมัสญิดอัล-ฮะรอมสู่อัล-อักศอ( 9)

ข้าคือ บุตรของคนที่เข้าถึงญิบรออีล ณ ซิดเราะตุล-มุนตะฮา( 10)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่ถูกเรียกหาและขานรับอย่างใกล้ชิดประมาณปลายคันธนูหรือยิ่งกว่านั้น (11)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่นมาซร่วมกับมะลาอิกะฮฺแห่งชั้นฟ้า( 12)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่ได้รับสภาวะอัล-วะฮฺยูอันประเสริฐยิ่ง( 13)

ข้าคือ บุตรของมุฮัมมัด อัล-มุศฏ่อฟา

ข้าคือ บุตรของมุฮัมมัด อัล-มุศฏ่อฟา

ข้าคือ บุตรของอฺะลี อัล-มุรตะฏอ

ข้าคือ บุตรของผู้มีสิทธิประหารชีวิตคน จนกว่าเขาจะกล่าวปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ

ข้าคือ บุตรของผู้ที่สามารถใช้ดาบคู่และใช้หอกคู่ในการรบต่อหน้าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่อพยพถึงสองครั้งให้สัตยาบันสองครั้ง ต่อสู้ทั้งในบะดัรฺและฮุนัยนฺ ไม่เคยบิดเบือนต่ออัลลอฮฺ แม้แต่ในชั่วพริบตา

ข้าคือ บุตรของผู้ทรงธรรมในหมู่บรรดาผู้ศรัทธาและทายาทของบรรดา

นบี ศัตรูของผู้ทรยศ หัวหน้าของมวลมุสลิม เป็นรัศมีของบรรดานักสู้เป็นเครื่องประดับแห่งปวงบ่าวผู้ภักดี เป็นมงกุฎของคนหลั่งน้ำตาเพื่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นคนมีความขันติอดทนเป็นเลิศ เป็นผู้ที่ดำรงนมาซที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาวงศ์วานของยาซีนศาสนทูตของอัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก

ข้าคือ บุตรของผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากญิบรออี เป็นผู้ได้รับการช่วยเหลือจากมีกาอีล

(1)- (13) คำกล่าวที่อ้างถึงฐานะภาพของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ)

ข้าคือ บุตรของคนที่ปกป้องเกียรติภูมิของมวลมุสลิม ผู้พิฆาตคนทรยศและตระบัดสัตย์และต่อสู้กับศัตรูทุกคน อีกทั้งเป็นผู้ยังความภูมิใจในบรรดาชาวกุเรชทั้งมวลเมื่อย่างไปที่ใด เป็นคนแรกที่ยอมรับและให้การตอบสนองข้อเรียกร้องของอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ ท่ามกลางบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เป็นผู้บำเพ็ญคุณธรรมล้ำหน้าคนทั้งปวง เป็นผู้ทำลายบรรดาคนที่ขัดขวางสัจธรรม ผู้ทำลายล้างพวกตั้งภาคี และร่วมในการขว้างบรรดาผู้กลับกลอกต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) เป็นผู้มีวาจาที่ให้วิทยปัญญาแก่ปวงบ่างของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นผู้ช่วยส่งเสริมศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า

- 7-

ท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)ได้ไปหาบุตรชายของลุงของท่าน(อฺ)คนหนึ่งในยามกลางคืน แล้วมอบเงินดีนารฺให้ไปเป็นจำนวนมาก

เขากล่าวกับท่าน(อฺ)ว่า

“ อฺะลี บินฮุเซนไม่เคยผิดต่อสัมพันธ์กับข้าพเจ้าเลย ขออย่าให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ตอบแทนความดีให้แก่เขาเลย ”

เมื่อท่าน(อฺ)ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจแต่อดกลั้นไว้ เพราะเขาไม่รู้จักท่าน(อฺ) ครั้นเมื่อท่าน(อฺ)ถึงแก่การวายชนม์ การกระทำดังกล่าวก็หายไปด้วย เขาจึงได้รู้ว่าที่แท้คนๆ นั้นก็คือ ท่านอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) นั่นเอง

แล้วเขาก็มายืนร้องไห้คร่ำครวญที่สุสานของท่าน(อฺ)(7)

(7) อ้างเล่มเดิม

-8-

ท่านอิมามศอดิก(อฺ)ได้กล่าวอีกว่า : ท่านอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) โปรดปรานลูกองุ่นมาก วันหนึ่ง

มีองุ่นพันธุ์ดีที่สุดถูกนำเข้ามาในนครมะดีนะฮฺ ภรรยาของท่าน(อฺ)จึงซื้อมาฝากท่าน(อฺ)เพื่อเป็น

อาหารสำหรับละศีลอด ซึ่งท่าน(อฺ)ก็พอใจมาก แต่พอท่าน(อฺ)ทำท่าจะเอื้อมมือไปรับเท่านั้นเอง ก็

ปรากฏว่ามีคนมาขอรับบริจาคมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านพอดี

ท่าน(อฺ)จึงกล่าวกับภรรยาว่า :

“ มอบให้เขาไปเถอะ ”

ภรรยาของท่าน(อฺ)กล่าวว่า :

“ โอ้ ท่านผู้เป็นนาย ให้เพียงบางส่วนก็พอแล้ว ”

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า “ ไม่ได้ ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺให้เขาไปทั้งหมดนั่นแหละ ”

วันรุ่งขึ้นนางก็ไปซื้อมาให้ท่าน(อฺ)อีก คนขอรับบริจาคก็มายืนขอเหมือนเดิม และท่าน(อฺ)ก็

ทำอย่างนั้นอีก นางก็ไปซื้อมาให้ท่าน(อฺ)อีกเป็นคืนที่สาม ปรากฎว่าคราวนี้ไม่มีคนขอรับบริจาค

ท่าน(อฺ)จึงได้รับประทาน

แล้วท่าน(อฺ)ก็กล่าวว่า :

“ ขอสรรเสริญต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)ที่ไม่มีสิ่งใดขาดหายไปจากเรา ” ( 8)

(8) บิฮารุล-อันวารฺ เล่ม 11 , หน้า 26.

- 8-

ท่านซุฟยาน บินอุยยินะฮฺได้กล่าวว่า : กล่าวท่านซุ์ฮฺรีได้เห็นท่านอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) ในคืนวันหนึ่งมีหิมะอันหนาวเหน็บตกลงมาอย่างหนัก และที่หลังของท่านมีสัมภาระอยู่ด้วยในขณะที่ท่านเดิน เขาจึงกล่าวขึ้นว่า :

“ ข้าแต่ผู้เป็นบุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ของเหล่านี้เป็นอะไร ?”

ท่านอิมาม(อฺ)ตอบว่า “ ฉันต้องการเดินทาง ฉันเตรียมของพวกนี้เป็นเสบียงที่ต้องนำไปจนถึงที่หมาย ณ ป้อมปราการนอกเมือง ”

เขากล่าวว่า “ ขออนุญาตให้คนรับใช้คนนี้ของข้าพเจ้าแบกให้ท่านเอง ”

แต่ท่าน(อฺ)ปฏิเสธ และเขากล่าวอีกว่า :

“ ถ้าเช่นนี้ ข้าพเจ้าจะขอแบกเองเพื่อแบ่งเบาภาระของท่าน ”

ท่านอฺะลี(อฺ)กล่าวว่า “ แต่ฉันจะไม่เอาของที่จะทำให้ฉันปลอดภัยในการเดินทางออกไปจากตัวฉัน น้ำดื่มของฉันที่ดีที่สุดได้แก่ น้ำดื่มที่ฉันนำมาเอง ฉันขอร้องท่านโดยอ้างถึงสิทธิของอัลลอฮฺว่า ให้ท่านดูแลหน้าที่ที่จำเป็นสำหรับตัวท่านเองและอย่าได้สนใจเรื่องของฉัน ”

ครั้นเวลาผ่านไปหลายวัน เขาได้กล่าวแก่ท่าน(อฺ)ว่า :

“ ข้าแต่บุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ข้าพเจ้ายังไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำใดๆ ที่ท่านพูดเมื่อตอนเดินทางในคราวนั้น ”

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า “ ถูกแล้ว ซุ์ฮฺรีเอ๋ย ความจริงมันมิได้เป็นอย่างที่ท่านคิดหรอก แต่ทว่าความตายนั้นคือ สิ่งที่ท่านต้องเตรียมตัว อันว่าการเตรียมตัวรับความตายนั้นคือ การหลีกเลี่ยงจากสิ่งต้องห้ามทั้งปวง และเสียสละในส่วนที่คิดว่า ดีที่สุด ” ( 9)

9) อะอฺยานุช-ชีอะฮฺ เล่ม 4 , หน้า 464.บิฮารุล-อันวารฺ เล่ม 11 , หน้า 20.

- 10-

ท่านอิบนุอฺาอิชะฮฺได้กล่าวว่า : ข้าพเจ้าได้ฟังชาวเมืองมะดีนะฮฺพูดกันว่า “ พวกเราได้รับการบริจาคอย่างลับๆ อยู่ไม่เคยขาด นอกจากในช่วงหลังที่ท่านอฺะลี บินฮุเซน (อฺ) ได้วายชนม์ไปแล้ว ” ( 10)

( 10) ศิฟะตุศ-ศ็อฟฟะฮฺ เล่ม 2 , หน้า 54. นูรุล-อับศ็อร หน้า 127.

กัชฟุล-ฆุมมะฮฺหน้า 199.

-11 -

ท่านอะบูฮัมซะฮฺ อัษ-ษุมาลี(ร.ฏ.) กล่าวว่า : ท่านซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)จะนำถุงขนมปังจากแป้งข้าวสาลีแบกบนหลังในยามค่ำคืน แล้วเอาไปแจกจ่ายเสมอ

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวว่า

“ แท้จริงการทำกุศลกรรมโดยลับนั้น จะเป็นการดับความกริ้วของพระผู้อภิบาลได้ ” ( 11)

(11) มะฏอลิบุซ-ซุอูล เล่ม 2 , หน้า 48. กัซฟูล-ฆุมมะฮฺ หน้า 200.

ศิฟะตุศ-ศ็อฟวะฮฺ เล่ม 2 , หน้า 56. บิดายะตุวัน-นิฮายะฮฺ เล่ม 9 , หน้า 105.

-12 -

ท่านมุฮัมมัด บินอิซฮาก (ร.ฏ.)กล่าวว่า : ชาวเมืองมะดีนะฮฺกลุ่มหนึ่งมีชีวิตอยู่โดยไม่รู้ว่าเครื่องยังชีพของพวกเขามาจากที่ไหนแต่เมื่อท่านอฺะลี บินฮุเซน(อฺ)วายชนม์ พวกเขาก็สูญเสีบสิ่งที่เขาเคยได้รับในยามค่ำคืนไป(12)

( 12) นูรูล-อับศ็อร หน้า 127. กัชฟุล-ฆุมมะฮฺหน้า 100 , มะฏอลิบุซ-ซุอูล เล่ม 2 หน้า45.

- 13-

เมื่อครั้งที่มุสลิม บินอุตบะฮฺเข้าล้อมเมืองมะดีนะฮฺ ปรากฎว่าท่านซัยนุลอฺาบิดีน(ร.ฏ.) ได้อุปการะสุภาพสตรีจำนวนมากถึง 400 คน รวมทั้งเด็กๆ และสัมภาระต่างๆ ของพวกนาง ท่าน(อฺ)ได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูคนเหล่านี้ จนกระทั่งอิบนุอุตบะฮฺถอยออกไปจากเมืองมะดีนะฮฺ

สุภาพสตรีแต่ละคนต่างสาบานด้วยความจริงใจว่า :

พวกเธอไม่เคยพบบรรยากาศที่อบอุ่น และมีความสุขความสบายจากบ้านบิดารมารดาของตนให้ เท่ากับที่ได้มาพบเห็นในบ้านของท่านอฺะลีบินฮุเซน(ร.ฏ.)เลย(13)

(13) อิมามซัยนุลอฺาบิดีน โดยอะฮฺหมัด ฟะฮ์มี มุฮัมมัด หน้า 64

- 14-

เมื่อท่านอิมามซัจญาด(อฺ)ถึงแก่การวายชนม์ ประชาชนก็เข้ามาอาบน้ำมัยยัตของท่าน(อฺ)เขาเหล่านั้นได้เห็นรอยบางอย่างปรากฏที่บริเวณแผ่นหลัง

แล้วพากันถามว่า “ นี่เป็นรอยอะไร ”

มีคนบอกว่า “ เขาแบกแป้งข้าวสาลรในยามกลางคืนเพื่อนำไปแจกจ่ายแค่คนยากจนในเมืองมะดีนะฮฺอย่างลับๆ เสมอ ” ( 14)

(14) กัชฟุล-ฆุมมะฮฺ หน้า 199. มะฏอลิบุซ-ซุอูล เล่ม 2 , หน้า 45.

นูรุล-อับศ็อร หน้า 127.

- 15-

เมื่อท่านอิมามอฺะลี บินฮุเซน(อฺ)จากไป ชาวมะดีนะฮฺจำนวนนับร้อยครอบครัวถึงรู้ว่า ท่าน ( อฺ) นี่เองที่ให้การเลี้ยงดูพวกเขา และนำสิ่งที่พวกเขาต้องการไปให้ (15)

(15) นูรุล-อับศ็อร หน้า 127. กัชฟุล-ฆุมมะฮฺ หน้า 194.

ศิฟะตุศ-ศ็อฟวะฮฺ หน้า 2 , หน้า 54.

ปลดปล่อยทาสสร้างสัมพันธ์มนุษย์

ศาสนาอิสลามได้อุบัติขึ้น ในขณะที่โลกนี้เต็มไปด้วยระบบทาส ดังนั้นจึงได้มีการพยายามทุกวิถีทางเพื่อปลดปล่อยโซ่ตรวนที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อผูกสายสัมพันธ์เพื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันประการแรกที่อิสลามดำเนินการก็คือ ปิดประตูการสำนึกในการตกเป็นทาส เพราะไม่บังควรที่มนุษย์จะยอมตกเป็นบ่าวของเพื่อนมนุษย์

ต่อจากนั้นก็ดำเนินวิธีการแก้ไขปัญหาของทาส และหาวิธีการในการปลดปล่อยทาส โดยชี้ให้เห็นว่า การปลดปล่อยทาสคือ การบำเพ็ญคุณงามความดีอย่างสูงสำหรับอัลลอฮฺ(ซ.บ.)และเป็นงานที่พระองค์ทรงให้ความรักความโปรดปรานเป็นยิ่งนัก ในขั้นต่อมา อิสลามถือว่า เรื่องนี้เป็นข้อบังคับประการหนึ่งและการปลดปล่อยทาสคือการปลดเปลื้องความบาปได้

เช่น ความบาปเนื่องจากเจตนาไม่ถือศีลอดในเดือนรอมฏอน และอื่นๆ

แนวทางในการปลดปล่อยทาสของอิสลามได้ดำเนินเรื่อยมา ในลักษณะนี้ จนถึงสมัยของท่านอิมามอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) ท่าน(อฺ)ได้ทำการปลดปล่อยทาสไปจำนวนนับพันคน

------------------------------------------------------ 1---------------------------------------------------------

ท่านซัยยิดุลอะฮฺลิได้กล่าวว่า : ท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)ซื้อทาสแต่มิได้มุ่งหวังอะไรจากทาสเลย ทว่าท่าน(อฺ)ซื้อมาเพื่อปลดปล่อยเขาเหล่านั้น

พวกเขากล่าวว่า

“ ท่านได้ปลดปล่อยทาสจำนวน 10 , 000 คน ” ( 1)

(1) อัล-อิมามซัยนุลอฺาบิดีน ของซัยยิดุอะฮฺลิ หน้า 7

------------------------------------------------------ 2---------------------------------------------------------

ในยามที่พวกทาสทำความผิด ท่านอิมามอฺะลี บินฮุเซน(อฺ) จะปลดปล่อยพวกเขาทันที และได้วางหลักไว้ว่า

“ การปลดปล่อยทาสคือ ผลตอบแทนสำหรับความผิดนั้น ๆ ” ( 2)

(2) โปรดดูรายละเอียดในบทวิถีชีวิตของท่านจากหนังสือเล่านี้อีกครั้ง

------------------------------------------------------ 3

ท่านซัยยิด อัล-อามีน (ขอให้ท่านได้รับความเมตตาจากอัลลอฮฺ)ได้กล่าวว่า :

ทุกปีเมื่อถึงปลายเดือนร่อมะฏอน ท่าน(อฺ)จะต้องปล่อยทาสเป็นอิสระราวๆ ไม่ต่ำกว่า 20คนเสมอ

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวว่า

“ แท้จริงทุกคืนของเดือนร่อมะฏอน ณ อัลลอฮฺ(ซ.บ.) จะมีการปลดปล่อยชาวนรกออกมาถึง70 , 000 คน ทั้งๆที่ทุกคนล้วนมีความผิดต้องตกนรกดังนั้นเมื่อถึงวันสุดท้ายของเดือนรอมฏอน

ฉันก็จะปลดปล่อยทาสเช่นกันเพราะฉันชอบที่จะให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงประจักษ์ว่า ฉันได้ปลดปล่อยทาสในครอบครองของฉันในโลกนี้แล้ว เพื่อพระองค์จะกรุณาปลอปล่อยฉันให้พ้นจากนรก ”

ท่านซัยยิด อัล-อะมีน(ร.ฮ.)กล่าวว่า :

ท่าน(อฺ)ไม่เคยให้คนใช้ทำงานเกินกำลัง ถ้าหากท่าน(อฺ)ครอบครองทาสคนใดมาตั้งแต่ต้นปีหรือกลางปี ครั้นพอถึงวันออกอีด ท่าน(อฺ)จะปลดปล่อยทันทีและจะทำอย่างนี้อีกในปีที่ 2 แล้วท่าน ( อฺ) ก็จะปลดปล่อยอีกท่าน (อฺ) ทำอย่างนี้จนถึงวาระคืนกลับสู่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) พวกเขาให้เป็นอิสระทันที และมอบทรัพย์สินเพื่อเป็นรางวัลแก่คนเหล่านั้นอีกด้วย (3)

(3) อะอฺยานุช-ชีอะฮฺ เล่ม 4 , หน้า 468.

------------------------------------------------------ 4

ท่านอุซด๊าซซัยยิดุลอะฮฺลิ ได้กล่าวว่า :

เมื่อบรรดาทาสทั้งหลายรู้เรื่องนี้ต่างก็พากกันเสนอตัวขายให้แก่ท่าน(อฺ)และต่างพากันเลือกท่าน(อฺ)เป็นนาย ต่างพากันออกจากการปกครองของเจ้านายเดิมเพื่อมาอยู่กับท่าน(อฺ)

เพราะท่าน(อฺ)ให้ความสะดวก ครั้นเวลาผ่านไปท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)ก็ปลดปล่อยทาสเป็นประจำทุกๆ ปีทุกๆ เดือนและทุกวันในทุกครั้งที่ทาสทำความผิด จนกระทั่งในเมืองมะดีนะฮฺเต็มไปด้วยอิสระชน

ทุกคนอยู่ในความดูแลของท่านอิมาซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)คนเหล่านั้นมีจำนวนมากถึง 50 , 000 คน หรือมากกว่านั้น(4)

(4) ซัยนุลอฺาบิดีน ของ ท่านซัยยิดุลอะฮฺลิ หน้า 47.

คำเทศนาของอิมามซัยนุลอฺาบิดีน (อฺ)

อัลลอฮฺ(ซ.บ.) ทรงให้การลงโทษอย่างสาสมกับพฤติกรรมของพวกวงศ์อุมัยยะฮฺและอับบาซียะฮฺที่ก่อกรรมทำเข็ญกับบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ(อฺ)

ความชั่วร้ายเลวทรามเหล่านั้นไม่เพียงแต่จะกระทบต่อบรรดาอิมาม(อฺ)ฝ่ายเดียว หากแต่ยังเกิดขึ้นกับสังคมของประชาชาติอิสลามอีกด้วย โดยสกัดกั้น

มิให้มวลมุสลิมได้รับการชี้นำและคำสั่งสอนของบรรดาอิมาม(อฺ) อีกทั้งยังได้ขวางกั้นมิให้ยอมรับฐานะภาพอันสำคัญที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงประสงค์ให้แก่พวกเขาเป็นการเฉพาะ จึงทำให้บรรดาอิมาม(อฺ)ดำเนินงานสอนศาสนาโดยซ่อนเร้น และต้องปกป้องตนเองต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอในการทำงาน แต่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ก็ทรงให้การสนับสนุนจนงานสอนศาสนาในลักษณะนี้แพร่หลายในท่ามกลางหมู่ประชาชน

เนื้อหาของคำเทศนามีจุดมุ่งหมายในเรื่องเสรีภาพทางด้านการเผยแผ่และการปฏิบัติภาระกิจ สิ่งนี้เองที่บรรดาอิมาม(อฺ) ได้รับการสกัดกั้นคำเทศนาของบรรดาอิมาม(อฺ)นั้นสามารถทำได้แต่เพียงส่วนน้อยตามความเหมาะสม ในบทนี้จะมีการนำเสนอคำเทศนาของท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน ( อฺ) เพียงบางตอนเท่านั้น

คำเทศนาบทที่ 1

ที่เมืองกูฟะฮฺ

หลังจากที่ท่านหญิงอุมมุกุลษูม(อฺ)กล่าวคำปราศรัยแล้ว

ท่านอิมามซัยนุลอฺาบิดีน(อฺ)ก็พยุงกายขึ้นกล่าวต่อหน้าประชาชนชาวกูฟะฮฺทั้งหลายว่า

“ ท่านทั้งหลายจงเงียบ จงเงียบ ”

เมื่อท่าน(อฺ)ยืนตรงได้แล้วก็กล่าวสดุดี สรรเสริญต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)และรำลึกถึงท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ต่อจากนั้นท่าน(อฺ)ก็ได้กล่าวว่า

“ ประชาชนทั้งหลายใครที่รู้จักข้า ก็ย่อมรู้จักข้าดีแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักก็ขอให้ทราบว่า ข้าคือ อฺะลี บินฮุเซน บินอฺะลี บินอะบีฏอลิบ ข้าคือบุตรของคนที่ถูกเชือดคอที่ริมแม่น้ำอัล-ฟะรอต โดยมิได้มีการแก้แค้นข้าคือบุตรของผู้ที่ได้รับการเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ถูกริบสมบัติ ถูกช่วงทรัพย์สินและครอบครัวถูกจับเป็นเชลย ข้าคือบุตรของนักต่อสู้ที่ทรหด ผู้มีความภาคภูมิใจในเรื่องนี้มากที่สุด ประชาชนทั้งหลาย ข้าขอให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.) เป็นพยาน พวกเจ้ารู้ไหมว่า พวกเจ้าเขียนจดหมายไปหลอกลวงบิดาของข้าพวกเจ้าเอาตัวเองยืนยันรับรองกับท่าน ด้วยข้อผูกพันสัญญา แต่แล้วพวกเจ้าก็ร่วมกันต่อสู้และทำลายท่าน ดังนั้นความพินาศจึงตกอยู่กับพวกเจ้าเพราะสิ่งที่พวกเจ้ากระทำไป ด้วยเจตนาที่ชั่วร้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับคำพูดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ที่เคยกล่าวกับพวกเจ้าว่า :

“ ถ้าพวกเจ้าฆ่าเชื้อสายของข้า และเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของข้า พวกเจ้าก็หาใช่ประชาชาติของข้าไม่ ”

ถึงตอนนั้นประชาชนทั้งหลายต่างก็พากันร้องไห้ระงมไปหมดขณะที่บางคนก็เปรยแก่กันว่า

“ พวกเจ้าพินาศแล้ว แต่ไม่รู้ตัวกันเอง ”

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวต่อไปว่า

“ ขอให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)เมตตากับคนที่ยอมรับคำเตือนของข้า และรักษาคำสั่งสอนของข้าในเรื่องของอัลลอฮฺ ของศาสนทูตของพระองค์ และของอะฮฺลุลบัยตฺของท่าน แท้จริงแล้วสำหรับเรานั้น มีแบบอย่างที่ดีงามอยู่ที่ตัวของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ”

“ ขอให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)เมตตากับคนที่ยอมรับคำเตือนของข้าและรักษาคำสั่งสอนของข้าในเรื่องของอัลลอฮฺ ของศาสนทูตของพระองค์ และของอะฮฺลุลบัยตฺของท่าน แท้จริงแล้วสำหรับเรานั้น มีแบบอย่างที่ดีงามอยู่ที่ตัวของท่านศาสนทูตแห่งอัลลฮฺ(ศ) ”

พวกเขากล่าวพร้อมกันทั้งหมดว่า

“ ข้าแต่บุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) พวกเราเป็นผู้เคารพเชื่อฟัง และจะให้การพิทักษ์เกียรติของท่าน จะไม่ผละจากท่านไป และจะไม่ชิงชังท่านต่อไป ดังนั้นขอให้ท่านดำเนินการกับพวกเราได้เลย ขอให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงเมตตาท่าน พวกเราจะต่อสู้กับท่าน พวกเราจะให้สันติภาพกับคนที่ให้ความสันติแก่ท่าน เพื่อเราจะได้อยู่ร่วมกับท่าน ไม่ว่าในยามที่ท่านได้รับความไม่เป็นธรรม หรือในยามที่เราได้รับความไม่เป็นธรรม ”

ท่านอิมาม(อฺ)กล่าวว่า

“ ช้าก่อน เหล่าบรรดาคนลวงเอ๋ย อารมณ์ต่ำของพวกเจ้าครอบงำจิตใจของพวกเจ้าเองเสียสิ้นแล้ว พวกเจ้าต้องการที่จะทำกับข้าเหมือนอย่างที่ทำกับบิดาของข้ากระนั้นหรือ ? มิได้หรอก

พวกเจ้าฆ่าบิดาของข้าและสมาชิกครอบครัวของท่านไปเมื่อวาน ข้ายังไม่ลืมเลือนการลูบไล้ของศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ของบิดาของข้า และของบุตรหลานของบิดาข้าที่ข้าเคยพบในยามที่ข้าวิ่งเล่นและยังไม่ลืมการระแวดระวังดูแลที่ท่านมีต่อการพะเน้าพะนอคลอเคลียของข้า และในยามที่ข้าใช้อกซอกซอนบนที่นอน จุดประสงค์ของข้าก็คือ ถ้าไม่เป็นพวกของเราก็ขออย่าเป็นศัตรูกับเราเลย ”

คำเทศนาบทที่ 2

ที่เมืองชาม

ยะซีดได้สั่งให้คนกล่าวปราศรัยประณามเหยียดหยามท่านอิมามฮุเซน(อฺ)และผู้เป็นบิดา เมื่อผู้กล่าวคำปราศรัยขึ้นบนมิมบัรแล้ว เขาก็กล่าวสรรเสริญ สดุดีอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ก่อน ต่อจากนั้นก็ได้กล่าวประณามท่านอฺะลี

อะมีรุลมุมินีน(อฺ) และท่านอิมามฮุเซน(อฺ)อย่างรุนแรง และได้ยกย่องชมเชย

มุอาวิยะฮฺกับยะซีดอย่างไพเราะเพราะพริ้ง

ท่านอิมามอฺะลิ บินฮุเซน(อฺ) ได้ตะโกนด้วยเสียอันดังว่า

“ ความวิบัติจะได้แก่เจ้า โอ้นักพูด ในฐานะที่เจ้าเอาความพอใจของผู้ถูกสร้างแลกเปลี่ยนกับความชิงชังของผู้สร้าง ดังนั้นขอให้เจ้าเตรียมที่นั่งไว้ในไฟนรกเถิด ”

ต่อจากนั้นท่านอิมาม(อฺ)ได้กล่าวอีกว่า

“ ยะซีดเอ๋ย เจ้าจะอนุญาตให้ข้าขึ้นบทแท่นปราศรัยนี้ได้ไหมเพื่อที่ข้าจะได้กล่าวถึงถ้อยคำต่างๆ อันเป็นที่พอพระทัยของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)เพื่อผู้ฟังทั้งหลายจะได้รับรางวัลและผลบุญ ”

แต่ยะซีดกลับปฏิเสธ ประชาชนทั้งหลายกล่าวว่า

“ ข้าแต่อะมีรุลมุมินีน อนุญาตให้เขาขึ้นกล่าวคำปราศรัยบนแท่นปราศรัยเถิด เพื่อพวกเราจะได้รับฟังอะไรบางอย่าง ”

เขากล่าวว่า “ ถ้าหากปล่อยให้เขาขึ้นกล่าวคำปราศรัยแล้ว เขาจะไม่ยอมลงมาจนกว่าจะได้สบประมาทข้า และสบประมาทบรรดาวงศ์วานของอะบีซุฟยานก่อน ”

มีคนถามว่า “ อะไรทำให้เขามีความสามารถดีอย่างนี้ ?”

เขาตอบว่า “ พวกอะฮฺลุลบัยตฺได้รับการฟูมฟักทางวิชาการอย่างเต็มที่ ”

ต่อมาไม่ทันไรเขาก็อนุญาตให้ท่าน(อฺ)ขึ้นกล่าวคำปราศรัย หลังจากที่ได้สรรเสริญสดุดีอัลลอฮฺ(ซ.บ.)แล้ว ท่าน(อฺ)ก็ได้กล่าวคำปราศรัยด้วยน้ำตานองหน้า และสะเทือนใจอย่างรุนแรง

ท่าน(อฺ)กล่าวว่า

“ ประชาชนทั้งหลาย พวกเราได้รับพร 6 ประการ และได้รับความดีเด่น 7 ประการ กล่าวคือ พวกเราได้รับความรู้ ความมีน้ำใจอารี ความมีเกียรติความสันทัดทางวาจา ความกล้าหาญ และความรักในจิตใจของผู้ศรัทธา พวกเราได้รับเกียรติสูงก็เพราะว่าคนในหมู่พวกเราได้รับการคัดเลือกให้เป็นนบี นั่นคือ มุฮัมมัด (ศ)

คนของเรามีผู้ได้รับฉายานามว่า

“ เจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ” ( ในอัล-กุรอานกล่างถึงท่านอิมามอฺะลี(อฺ)ว่าเป็น อัศ-ศอดิก) “ ผู้ที่มีปีก ” ( เหมือนมะลาอิกะฮฺ-หมายถึง ท่านญะอฺฟัร บินอะบีฏอลิบ(ร.ฏ.)) “ ราชสีห์ของอัลลอฮฺและราชสีห์ของศาสนทูต ” ( หมายถึง ท่านฮัมซะฮฺ บินอับดุลมุฏฏอลิบ ( ร.ฏ.)

“ ประมุขแห่งสตรีทั้งมวลโลกในสากลโลก ” ( หมายถึง ท่านหญิงฟาฏิมะฮฺ(อฺ))

“ ทายาทของศาสดาแห่งประชาชาติ ” ( หมายถึงท่านฮะซัน(อฺ)และท่านฮุเซน(อฺ))

ใครรู้จักข้าก็ย่อมรู้ดี แต่ใครที่ยังไม่รู้จัก ข้าก็จะบอกให้รู้ในฐานะภาพของข้าเท่าที่ข้ามี

ประชาชนทั้งหลาย

ข้าคือ บุตรแห่งนครมักกะฮฺและมินา( 1)

ข้าคือ บุตรแห่งซัมซัมและศ่อฟา( 2)

ข้าคือ บุตรของหินโค้งที่อยู่ริมเชิงอัร-ร่อดา( 3)

ข้าคือ บุตรของคนที่ดีที่สุดในหมู่ผู้สวมใส่ชุดเสื้อผ้า( 4)

ข้าคือ บุตรของคนที่ดีที่สุดในหมู่ผู้ที่สวมรองเท้า( 5)

ข้าคือ บุตรของคนที่ดีที่สดุในหมู่ผู้เที่เวียนฏ่อวาฟและเดินซะแอ( 6)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่ดีที่สุดในหมู่ผู้บำเพ็ญฮัจญ์ และกล่าว “ ลับบัยกฺ ” ต่อพระผู้เป็นเจ้า ( 7)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่ขี่ม้าอัล-บุรอกฺในห้วงอากาศ( 8)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่เดินทางในยามค่ำคืนจากมัสญิดอัล-ฮะรอมสู่อัล-อักศอ( 9)

ข้าคือ บุตรของคนที่เข้าถึงญิบรออีล ณ ซิดเราะตุล-มุนตะฮา( 10)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่ถูกเรียกหาและขานรับอย่างใกล้ชิดประมาณปลายคันธนูหรือยิ่งกว่านั้น (11)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่นมาซร่วมกับมะลาอิกะฮฺแห่งชั้นฟ้า( 12)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่ได้รับสภาวะอัล-วะฮฺยูอันประเสริฐยิ่ง( 13)

ข้าคือ บุตรของมุฮัมมัด อัล-มุศฏ่อฟา

ข้าคือ บุตรของมุฮัมมัด อัล-มุศฏ่อฟา

ข้าคือ บุตรของอฺะลี อัล-มุรตะฏอ

ข้าคือ บุตรของผู้มีสิทธิประหารชีวิตคน จนกว่าเขาจะกล่าวปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ

ข้าคือ บุตรของผู้ที่สามารถใช้ดาบคู่และใช้หอกคู่ในการรบต่อหน้าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)

ข้าคือ บุตรของผู้ที่อพยพถึงสองครั้งให้สัตยาบันสองครั้ง ต่อสู้ทั้งในบะดัรฺและฮุนัยนฺ ไม่เคยบิดเบือนต่ออัลลอฮฺ แม้แต่ในชั่วพริบตา

ข้าคือ บุตรของผู้ทรงธรรมในหมู่บรรดาผู้ศรัทธาและทายาทของบรรดา

นบี ศัตรูของผู้ทรยศ หัวหน้าของมวลมุสลิม เป็นรัศมีของบรรดานักสู้เป็นเครื่องประดับแห่งปวงบ่าวผู้ภักดี เป็นมงกุฎของคนหลั่งน้ำตาเพื่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นคนมีความขันติอดทนเป็นเลิศ เป็นผู้ที่ดำรงนมาซที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาวงศ์วานของยาซีนศาสนทูตของอัลลอฮฺ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก

ข้าคือ บุตรของผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากญิบรออี เป็นผู้ได้รับการช่วยเหลือจากมีกาอีล

(1)- (13) คำกล่าวที่อ้างถึงฐานะภาพของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ)

ข้าคือ บุตรของคนที่ปกป้องเกียรติภูมิของมวลมุสลิม ผู้พิฆาตคนทรยศและตระบัดสัตย์และต่อสู้กับศัตรูทุกคน อีกทั้งเป็นผู้ยังความภูมิใจในบรรดาชาวกุเรชทั้งมวลเมื่อย่างไปที่ใด เป็นคนแรกที่ยอมรับและให้การตอบสนองข้อเรียกร้องของอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ ท่ามกลางบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เป็นผู้บำเพ็ญคุณธรรมล้ำหน้าคนทั้งปวง เป็นผู้ทำลายบรรดาคนที่ขัดขวางสัจธรรม ผู้ทำลายล้างพวกตั้งภาคี และร่วมในการขว้างบรรดาผู้กลับกลอกต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) เป็นผู้มีวาจาที่ให้วิทยปัญญาแก่ปวงบ่างของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นผู้ช่วยส่งเสริมศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า


4

5

6

7

8

9

10

11