ชีวประวัติอิมามอะลี

ชีวประวัติอิมามอะลี 22%

ชีวประวัติอิมามอะลี ผู้เขียน:
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม: อิมามอลี
หน้าต่างๆ: 166

ชีวประวัติอิมามอะลี
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 166 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 34232 / ดาวน์โหลด: 4914
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามอะลี

ชีวประวัติอิมามอะลี

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

อัตชีวประวัติอิมามมะศูมีน ๑

อิมามอะลี(อ)

เขียน

ศาสตราจารย์เชคอะลี มุฮัมมัด อะลี ดุคัยยิล

แปล

อาจารย์อัยยูบ ยอมใหญ่

บทนำ

ตำแหน่งอิมาม

เมื่อเราถือว่า เป็นหน้าที่ของอัลลอฮ์(ซ.บ.)ที่พระองค์ทรงเมตตากรุณา ในกรณีที่ส่งมายังมวลมนุษย์ซึ่งบุคคลที่ชี้นำตักเตือน และเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์สู่หนทางอันเที่ยงตรงโดยได้ทรงอธิบายความรู้ในทางศาสนาและกำหนดแบบแผนอันแน่นอนตามที่ทรงประสงค์แก่พวกเขาเพื่อเป็น

หลักฐานข้อพิสูจน์ของพระองค์ที่ให้แก่พวกเขาดังโองการที่ว่า :

“ดังนั้น หลักฐานข้อพิสูจน์อันเป็นเหตุผลลึกซึ้งเป็นของอัลลอฮ์”( )

ผู้ชี้นำและผู้ตักเตือนที่ว่านี้คือท่านศาสนทูตมุฮัมมัด(ศ)ซึ่งได้มีปาฏิหารย์มากมายและมีข้อพิสูจน์หลายประการมาสนับสนุนสัจธรรมและคำสอนของท่านและอัล-กุรอานอันทรงเกียรติเล่มนี้

ก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันอมตะและเป็นข้อพิสูจน์อันเที่ยงธรรมประการหนึ่งของพระองค์ ที่ไม่มีความผิดพลาดใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นในยุคปัจจุบันและอนาคตข้างหน้าก็ตามจะล่วงล้ำกล้ำกลายคัมภีร์เล่มนี้ได้

มันเป็นสิ่งที่ถูกประทานจากพระผู้ทรงเกียรติ พระผู้ทรงปัญญาญาณนับเป็นเวลา ๑๔ ศตวรรษล่วงมาแล้วที่พระองค์ทรงท้าทายมนุษยชาติให้นำเสนอคัมภีร์ที่เหมือนกับเล่มนี้มาต่างหากสักเล่มหนึ่ง ต่อจากนั้นเมื่อทรงประจักษ์ถึงความด้อยในสมรรถภาพ และขีดความสามารถของมนุษย์

------------------------------------------------------------------

(๑)ซูเราะฮ์ อัล-อันอาม: ๑๔๙

พระองค์ตรัสว่า :

“ให้พวกเจ้านำมาเสนอเพียง ๑๐ บทที่เหมือนอย่างนี้” (๒)

ต่อมาตรัสอีกว่า :

“ให้พวกเจ้านำมาเสนอเพียงบทเดียว ที่เหมือนอย่างนี้”(๓)

และหลังจากเป็นที่แน่นอนแล้วว่า มวลมนุษย์ไร้ซึ่งสมรรถภาพ

พระองค์ก็ตรัสอีกว่า :

“จงกล่าวเถิดว่า แน่นอนถึงแม้มวลมนุษย์กับญินจะร่วมกันนำเสนอคัมภีร์สักเล่มหนึ่งให้เหมือนกับอัล-กุรอานนี้ พวกเขาก็มิอาจนำเสนอให้เหมือนเล่มนี้ได้ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือแก่อีกส่วนหนึ่งก็ตามที”(๔)

เพราะท่านเป็นศาสนทูตจากอัลลอฮ์(ศ)สู่มวลมนุษย์เพื่อปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากสภาพความเป็นอยู่แบบงมงาย หลงผิดซึ่งท่านก็ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ตามที่ได้รับมอบหมาย และจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ที่ท่านจำเป็นต้องกลับคืนสู่พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งหมายถึงความตายที่ท่านไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

---------------------------------------------------------------------------

(๒) ซูเราะฮ์ ฮูด: ๑๓

(๓) ซูเราะฮ์ ยูนุส: ๓๘

(๔) ซูเราะฮ์ อัลอิซรออ์: ๘๘

ดังโองการที่ว่า

“แท้จริง เจ้าคือคนที่ต้องตายคนหนึ่งแล้วพวกเขาก็เป็นคนที่ต้องตายด้วย”(๕)

“เป็นกฎของอัลลอฮ์ที่มีแด่บรรดาคนในรุ่นก่อนๆ และเจ้าจะไม่พบว่ากฎใด ๆ ของอัลลอฮ์มีความเปลี่ยนแปลง”(๖)

แน่นอนที่สุด หลังจากท่านได้สิ้นไปแล้วจะต้องมีเหตุหลายประการเกิดขึ้น ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

๑. ศาสนาที่จะต้องเลิกล้ม และบทบัญญัติของอิสลามจะต้องมีอันลบล้างไป ในเหตุผลที่ว่าตำแหน่งศาสดาเป็นของคู่กับชีวิตของท่านเมื่อสิ้นสูญไปด้วยกันแล้ว มวลมนุษยชาติก็จะย้อนกลับสู่สภาพที่ไร้อารยธรรมตามเดิม หรือ

๒. มนุษยชาติถูกทอดทิ้งโดยเจตนา ให้อยู่กับวัฒนธรรมและการควบคุมบริหารของพวกตนเพราะว่าพวกตนสามารถปกครองพวกกันเองด้วยตัวเองได้แล้ว และปล่อยให้พวกเขาดำเนินชีวิตไปตามแบบแผนที่พวกตนกำหนดขึ้นมาเองได้โดยหมดความจำเป็นแก่บทบัญญัติว่า ต้องมีผู้ควบคุมผู้อธิบายกฎเกณฑ์ในบทบัญญัตินั้นๆ และผู้ที่จะคงไว้ซึ่งการกำหนดขอบเขตต่างๆ ของบทบัญญัติดังกล่าวหรือ

----------------------------------

(๕) ซูเราะฮ์ อัซ-ซุมัร: ๓๐

(๖) ซูเราะฮ์ อัล-อะห์ซาบ: ๖๒

๓. มิฉะนั้นประชาชาติในสมัยหลังจากท่านศาสดา (ศ) แล้ว มีอิสระใน การตัดสินใจได้ โดยที่ประชาชนร่วมกันลงคะแนนเสียงเลือกอิมามขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมพวกตนเองได้ หรือ

๔. จะต้องมีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งอิมามสำหรับประชาชาติไว้เพื่อดำรงไว้ซึ่งทางนำสำหรับพวกเขาเหล่านั้น และสั่งให้คนเหล่านั้นปฏิบัติตามและเคารพเชื่อฟัง

หากเราจะพิจารณาให้ถ่องแท้ เราจะต้องถอนความรู้สึกนิยมการถือฝักฝ่ายอันน่าชังออกไปเสียก่อน แล้วเราค่อยวิเคราะห์แต่ละข้อด้วยเหตุผล

แน่นอนที่สุด เราจะพบว่าความในข้อแรกที่ว่า บทบัญญัติต้องมีอันล้มเลิกนั้น ผิดพลาดอย่างแน่นอน เพราะว่าอิสลามคือบทบัญญัติสุดท้ายที่สมบูรณ์แบบ เป็นมาตรการที่อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงประทานมาเพื่อมนุษย์ทั้งมวล

 ดังโองการที่ว่า :

“แท้จริงศาสนาของอัลลอฮ์ คืออัล-อิสลาม”

ฉะนั้นถ้าหากว่า บทบัญญัติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)อันควรค่าแก่การยกย่องนี้เป็นของที่อยู่กันกับชีวิตของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ)

เท่านั้น แน่นอน ศาสนานี้ต้องมีความบกพร่อง เพราะว่า การเผยแพร่ยังมิได้ควบคุมไปยังมวลมนุษย์อีกเป็นจำนวนมหาศาลและยังมิได้เข้าใจกระจ่างแจ้งถึงวิถีทางนำอันถูกต้องและปลอดภัย

จุดบกพร่องอีกประการหนึ่งก็คือ งานเสียสละอันยิ่งใหญ่ที่ท่านนบี (ศ) ได้ทุ่มเทเพื่อศาสนานี้

เป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่ท่านได้มอบไว้แก่ศาสดานี้อีกทั้งยังปล่อยให้เป็นอิสระแก่คนรุ่นหลังที่จะพิทักษ์ปกป้องหรือไม่ แต่ถ้าเราพิจารณาดูผู้ก่อตั้งแนวคิดทางการเมืองและลัทธิความเชื่อทั้งหลายแล้ว

จะพบว่าคนเหล่านั้นวางพื้นฐานรองรับแนวความคิดของพวกตน และกำหนดแนวทางไว้ให้ยืนยาวสำหรับประชาชนในทุกยุคทุกสมัยต่อๆมา

ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลหักล้างข้อความในแง่นี้ให้ยืดยาวแต่อย่างใด เพราะมันหมายถึงความผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัด และคงไม่มีใครเห็นด้วยเลย ไม่ว่าจะเป็นคนในศาสนานี้หรือไม่ก็ตาม

เหตุผลตามข้อ ๒. ที่ว่า ท่านได้ละทิ้งประชาชาติอิสลามโดยเจตนาให้พวกเขาบริหารกิจการกันเองก็ยิ่งผิดพลาดมากกว่าข้อ ๑ เพราะทหารไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยไม่มีผู้บังคับบัญชาและกำกับการ ประชาชนก็ขาดเสียมิได้ซึ่งหัวหน้าบริหารกิจการและพิทักษ์รักษาสิทธิ์ต่างๆ ยิ่งกว่านั้น

แม้กระทั่งร่างกายเล็กๆ ของเรานี้ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ก็ทรงกำหนดให้มีศูนย์ควบคุม และหัวหน้าเอาไว้

นั่นคือ “หัวใจ” และศูนย์สมองความรู้สึกสัมผัสต่าง ๆ ทั่วสารพางค์ล้วนมีศูนย์กลางอยู่ที่หัวใจและศูนย์สมองทั้งสิ้น

เป็นไปได้อย่างไรที่ว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) จะทอดทิ้งมนุษย์ทั้งหลายโดยเจตนาให้พวกเขาดำเนินการกันไปเองตามธรรมชาติหรือความสามารถของพวกเขาเองโดยที่ท่านได้ให้บรรดาสาวก

 และประชาชาติในยุคที่ติดตามมา ซึ่งได้รับพรอันสูงส่งทางด้านวิชาความรู้และการรู้จักพระผู้เป็นเจ้าจนสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ชี้นำและผู้ปกครอง เนื่องจากทุกคนเคยใกล้ชิดท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) แล้วได้รับเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาจากท่านด้วยกัน แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับประชาชนในเมืองอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป ทำอย่างไรจะให้คนในเมืองนั้นๆ ได้มีผู้สอนศาสนาอธิบายบทบัญญัติและควบคุมให้อยู่ในกฎเกณฑ์ และขัดขวางบรรดาผู้ละเมิดตลอดทั้งต่อต้านกับพวกมิจฉาทิฎฐิ (กาฟิร)

ใช่อาจเป็นอย่างนี้ได้ ถ้าหากอัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงเปลี่ยนธรรมชาติของมนุษย์ให้เป็นธรรมชาติของมะลาอิกะฮ์และให้พวกเขาพำนักในโลกนี้เยี่ยงการพำนักในชั้นฟ้า กล่าวคือ อยู่ในระดับสูงเกินกว่าที่จะตั้งข้อกล่าวหาและประเสริฐจนพ้นสภาพที่จะทรยศฝ่าฝืนได้อีก

คำตอบสำหรับเหตุผลตามข้อ๓. ที่ว่าให้ประชาชาติอิสลามเลือกผู้ปกครองของพวกตนกันเองก็คือ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ประชาชนร่วมกันลงมติเลือกคนใดคนหนึ่งขึ้นมา ถึงแม้คนๆ นั้น

จะมีความพร้อมบริบูรณ์และมีความรู้ที่สุดแล้วก็ตาม จะเป็นไปได้อย่างไรที่ประชาชนทุกคนจะร่วมกันลงมติเลือกคนๆ เดียวกัน ในเมื่อต่างคนต่างก็มีความคิดเห็นและทัศนะทางด้านนโยบายแตกต่างกันทั้งนั้น

ปัจจุบันเป็นสมัยที่มีการปกครองกันในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนสามารถเลือกผู้แทนของตน และพวกเขาก็เข้าไปเลือกรัฐบาลโดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างถูกต้อง

แต่พร้อมกันนั้น เราก็พบว่าในทุกประเทศจะมีแต่ปัญหาความขัดแย้งกันเอง และพบว่ามีผู้ตั้งตัวขึ้นเป็นฝ่ายค้านทางการเมืองกับรัฐบาลในทุก ๆ ประเด็น และจะพบว่าตามหน้าหนังสือพิมพ์ล้วนมีการโต้แย้งและขัดค้านการดำเนินงานของรัฐบาลมีการโจมตีกันอย่างมากมาย

 จนกระทั่งรัฐบาลนั้นถูกล้มไปก็จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่กันอีก ในรูปแบบเดียวกันกับที่ผ่านมาแล้วในอดีต ในหมู่ผู้แทนก็จะมีการแบ่งฝักฝ่ายกันไปตามที่ประชาชนเลือกเข้ามา และถึงแม้จะเป็นที่ถูกใจของฝ่ายที่คัดค้านในอดีตแต่ก็ยังขัดแย้งกับฝ่ายค้านอีกกลุ่มหนึ่งต่อไป เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็มีหนังสือพิมพ์ มีพรรคการเมืองสนับสนุนบางครั้งการขัดแย้งก็มิได้น้อยไปกว่าคราวก่อนๆ เลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนไม่สามารถจะร่วมกันลงมติเลือกบุคคลใดๆ ที่แน่นอนขึ้นมาได้ถึงแม้คนๆ นั้นจะเป็นผู้มีความดีเด่นและความรอบรู้

สักเพียงใดก็ตามต่อให้พวกเขาร่วมกันคัดเลือกทั้งทางทิศตะวันออกสุดจนถึงทิศตะวันตกสุด การเลือกของพวกเขาจะดีไปกว่าการเลือกของอัลลอฮ์

(ซ.บ.) กระนั้นหรือ?

ความคิดเห็นของพวกเขาจะดีกว่าทัศนะของอัลลอฮ์(ซ.บ.) กระนั้นหรือ ? อัซตัฆฟิรุลลอฮ์(ข้าขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์) ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่มีมุสลิมคนใดกล้าพูดเช่นนั้น เพราะคนเราไม่ว่าจะมีความรู้ลึกซึ้งมากมายแค่ไหน ก็ยังมีการตัดสินใจผิดพลาดได้เสมอ

ยกตัวอย่าง ท่านนบีมูซา บินอิมรอน(อ)ตามโองการที่ว่า

“และมูซาได้คัดเลือกพวกของตน ๗๐ คนเนื่องในการกำหนดเวลาของเรา”(๗)

โดยเชื่อว่าคนเหล่านั้นเป็นคนดีที่สุดในประชาชาติของท่าน แต่แล้วการสนทนาของคนเหล่านั้นมีต่อท่านตอนหนึ่งว่า :

“เราจะไม่ศรัทธากับท่านจนกว่าเราจะเห็นอัลลอฮ์ (ซ.บ.) อย่างชัดเจน”(๘)

-------------------------------------

(๗) ซูเราะฮ์อัล-อะอ์รอฟ: ๑๕๕

(๘) ซูเราะฮ์อัล-บะเกาะเราะฮ์: ๕๕

และการตักเตือนใดๆของท่านนบีมูซา(อ)ที่มีต่อพวกเขาก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดจนถึงกับมีเสียงกัมปนาทแห่งการลงโทษมาคร่าชีวิตของพวกเขาไปเลยเหตุผลที่แฝงเร้นอยู่ก็คือความไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของพวกเขาในการตัดสินใจเลือกนั่นเอง เพราะมิได้ถูกต้องตรงกับสาวกที่มีคุณสมบัติ

ประเสริฐสุดของท่านจริงๆ ทั้งๆ ที่ท่านเองก็เป็นถึงศาสดาที่พระเจ้าส่งมา

เรื่องการเลือกอิมาม เป็นหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะของอัลลอฮ์(ซ.บ.) ดังโองการที่ว่า :

“และพระผู้อภิบาลของเจ้าทรงสร้างและทรงคัดเลือกตามที่พระองค์ทรงประสงค์อันว่าการคัดเลือกมิได้เป็นเรื่องของพวกเขา”(๙)

เพราะเป็นกิจการภายในศาสนาข้อสำคัญที่สุดข้อหนึ่งในเรื่องศาสนานั้นมวลประชาชาติไม่มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นเช่นในเรื่องจำนวนครั้งของรอกะอัตต่างๆ ในการนมาซ และพระองค์มิได้ปรึกษาหารือกับมนุษย์ในเรื่องอัตราการจ่ายทรัพย์สิน (ซะกาต) และความรู้ต่างๆ ของอิสลามก็มิได้ถ่ายทอดออกมาจากความคิดของพวกเขาด้วย ทั้งนี้รวมไปถึงบทบัญญัติว่า อะไรเป็นของอนุญาต อะไรเป็นของต้องห้าม ยิ่งไปกว่านั้นในเรื่องเหล่านี้อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงบัญชา และวางกฎข้อบังคับให้พวกเขาถือหลักปฏิบัติด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น

-------------------------------------------------

 (๙) ซูเราะฮ์อัล-เกาะศ็อศ: ๖๘

ตำแหน่งอิมามได้รับการยืนยันด้วยอะไร

“ตำแหน่งอิมาม” ได้รับการยืนยันโดยสิ่งสำคัญสองประการ นั่นคือข้อบัญญัติจากอัล-กุรอาน และจากท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) เกี่ยวกับเรื่อง “อิมาม” ที่มีมากมายหลายประการ ดังที่ท่านจะได้อ่านข้อบัญญัติของ

อัลกุรอานและจากท่านศาสนทูต (ศ) เป็นจำนวนมากในเรื่องของ

ท่านอะมีรุลมุมินีน (อ) อินชาอัลลอฮ์(หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์)

ขณะเดียวกัน ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกถึงความยิ่งใหญ่ และคุณสมบัติพิเศษต่างๆ มากมายของท่าน

ในปัจจุบันนี้ ท่านอิมามอะลี บินอะบีฎอลิบ(อ) ได้จากไปแล้ว ๑๔ ศตวรรษ แต่เราก็ยังสามารถศึกษาคำเทศนาทุกๆ บทได้ในหนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ แม้กระทั่งในทุกบทตอนของการปราศรัยในที่ต่างๆ นอกจากนี้ท่านอิมาม(อ)ก็ยังมีการตอบคำถาม และการตัดสินคดีความซึ่งท่านอิมามอะลี(อ)ยังรู้คำตอบของคดีนั้นอย่างสมบูรณ์ก่อนแล้วขนาดที่ถ้าหากคนทั่วไปทั้งหมดร่วมกันนำเอาคำตอบข้อใดข้อหนึ่งของท่านมาพิจารณาหรือค้นคว้าในคำตัดสินคดีความของท่านเพื่อที่จะหาเหตุผลหักล้างแล้ว แน่นอนคนทั้งหลายก็ไม่มีความสามารถจะกระทำได้เลย

ในเมื่อตำแหน่งอิมามของท่านอะมีรุลมุมินีน (อ) ได้รับการยืนยันโดยข้อบัญญัติของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)และโดยการสำแดงความมหัศจรรย์ออกมาด้วยตัวของท่านเองแล้ว ตำแหน่งอิมามของบรรดาลูกหลานของท่าน (อ) ก็ได้รับการยืนยันโดยข้อบัญญัติของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) และข้อบัญญัติของแต่ละท่านที่มีต่อกันและกันและโดยการสำแดงความมหัศจรรย์ออกมาด้วยตัวของท่านเหล่านั้นทั้งหมดเองด้วย

๑๐

ทำไมต้องมีอิมาม?

ในเมื่อท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุด มีความสมถะที่สุด มีความสำรวม เคร่งครัดที่สุด มีความรู้ดีที่สุด มีความกล้าหาญที่สุด

และมีความเผื่อแผ่ที่สุดแล้ว ย่อมหมายความว่า

ท่านคือผู้ที่มีความดีเด่นสูงสุดยอดอย่างบริบูรณ์ มีคุณสมบัติที่ควรแก่

การสรรเสริญ และมีบุคลิกภาพที่ยิ่งใหญ่เพียบพร้อมด้วยจริยธรรมอันทรงเกียรติเพราะถ้าท่านมิได้เป็นคนที่ประเสริฐที่สุด

ท่านก็ยังต้องจำเป็นแสวงหาการชี้แนะจากมนุษย์คนอื่นอีก ถ้าหากท่านมิได้เป็นคนมีความสำรวมและยำเกรงพระเจ้าที่สุดแล้ว ท่านก็ยังเป็นที่ให้ความมั่นใจแก่ศาสนาและโลกนี้ไม่ได้ ถ้าหากท่านมิได้เป็นคนสมถะที่สุดแล้ว ความปรารถนาในทางโลกของท่านก็จะทำให้คนทั่วไปไม่ปรารถนาศาสนาของท่าน หากท่านมิได้เป็นคนมีความรู้มากที่สุด ท่านก็ไม่สามารถอธิบายให้ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้าเข้าใจในการแยกแยะว่า อะไรเป็นของอนุมัติและอะไรเป็นของต้องห้าม ถ้าหากท่านมิได้เป็นคนกล้าหาญที่สุดในการรบและอดทนที่สุดในยามเผชิญหน้ากับศัตรูก็ย่อมจะเป็นข้อบกพร่องอย่างใหญ่หลวงในการควบคุมทหารและจะสร้างความพ่ายแพ้ในการสงคราม

หากท่านมิได้เป็นคนที่มีความเผื่อแผ่ที่สุด แน่นอนภารกิจทางศาสนาของท่านก็มิอาจดำรงอยู่ได้ บรรดาสาวกจะพากันแตกแยกจากท่าน เมื่อนั้นคนทั่วไปก็จะเป็นทาสของโลก และเป็นพวกแสวงหาผลประโยชน์ไปเสีย

๑๑

ดังนั้น ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) จึงต้องมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมด้วยเกียรติและมีบุคลิกภาพทีควรแก่การสรรเสริญที่สุด กล่าวคือประชาชนทั่วไปศึกษาเรียนรู้จริยธรรมอันบริบูรณ์จากท่าน และคุณสมบัติอันประเสริฐใดๆ ก็ตามที่เราถือว่าต้องมีสำหรับนบีนั้น คือ เหตุผลที่ระบุอย่างชัดเจน

สำหรับการเป็นอิมามภายหลังจากท่านศาสดา เพราะเขาผู้นั้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งตามเจตนารมณ์ของท่านศาสดา จะทำหน้าที่ควบคุมและเผยแผ่บทบัญญัติของท่านศาสดา และเป็นผู้อธิบายบทบัญญัติที่อนุมัติ(ฮะลาล)และบทบัญญัติต้องห้าม(ฮะรอม)อย่างชัดเจน

ใครคืออิมาม?

ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับท่านศาสนทูต (ศ) ที่จะต้องดำเนินการให้มีอิมามแก่ประชาชาติตามบัญชาของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เพื่อเขาจะได้ดำเนินการเผยแผ่ศาสนาแก่ประชาชนทั้งหลาย และเพื่อเขาจะได้อธิบายให้ประชาชนมีความรู้ในสิ่งที่ดีงาม ผลตอบแทนสำหรับความดีและการลงโทษสำหรับความชั่ว เพื่อสอนคนเหล่านั้นให้รู้ชัดแจ้งในบทบัญญัติ และรู้ในสิ่งที่เป็น

ของอนุญาต (ฮะลาล) และของต้องห้าม (ฮะรอม) อย่างชัดเจน อีกทั้งทำหน้าที่ดำรงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ทางศาสนาเพื่อประชาชาติจะได้ยึดเป็นหลักการ

แล้วใครกันเล่า คืออิมามที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)ได้แต่งตั้งไว้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นั่นคือ ท่านอะลี บินอะบีฏอลิบ (อ) กล่าวคือ นับแต่วันที่ท่านศาสนทูต(ศ) ถูกแต่งตั้งจนถึงแก่การวายชนม์ ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด ท่านไม่เคยแยกตัวออกห่างจากท่านอะลี (อ) เลย

๑๒

 เมื่อเริ่มได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดา และประกาศศาสนาใหม่ๆ ท่านศาสนทูต (ศ) ได้ประกาศเรียกคนในตระกูลบะนีฮาชิมมาประชุมพร้อมกัน ท่านได้พูดกับคนเหล่านั้นว่า

“ผู้ใดตอบรับงานอันนี้ และจะร่วมดำเนินภารกิจอันนี้กับข้าบ้าง เขาก็คือพี่น้องของข้า และเป็นทายาท เป็นผู้ร่วมภารกิจ เป็นผู้สืบมรดก และเป็นผู้ปกครองแทนข้า หลังจากข้าไปแล้ว”

แต่ไม่มีใครตอบรับท่านเลยสักคน ท่านอะมีรุลมุมินีน (อ) จึงกล่าวขึ้นว่า

“ข้าแต่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) ข้าพเจ้าจะเป็นผู้ร่วมภารกิจนี้กับท่านเอง”

ท่านศาสนทูต(ศ)จึงกล่าวว่า

“เจ้าคือพี่น้องของข้า ทายาทของข้า ผู้ร่วมภารกิจของข้า ผู้สืบมรดกและผู้ปกครองแทนข้าหลังจากข้าไปแล้ว”

คนเหล่านั้นพากันลุกขึ้นยืน พลางกล่าวกับอะบีฎอลิบว่า

“วันนี้ท่านจะต้องวิบัติแน่แล้ว ถ้าท่านยอมรับศาสนาของลูกชายของน้องชายของท่านเพราะว่าเขาได้ตั้งลูกของท่านขึ้นเป็นผู้บัญชาการท่านแล้วนี่”

อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในตอนแรกของการประกาศศาสนาของท่านศาสดา (ศ) กล่าวคือ ครั้งหนึ่งเคยมีคนนำนกย่างเป็นอาหารไปมอบแก่ท่านศาสดา (ศ) ดังนั้นท่านได้อ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า (ดุอาอ์) ว่า

“ข้าแต่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ขอได้ส่งคนที่พระองค์รักมากที่สุดมารับประทานนกย่างตัวนี้พร้อมกับข้าด้วยเถิด”

๑๓

ปรากฏว่าท่านอะลี (อ) ก็เข้ามาทันที อีกครั้งหนึ่งท่านได้กล่าวกับ

ท่านอะลี (อ)ว่า

“เธอกับฉันมีฐานะเช่นฮารูนกับมูซา เพียงแต่ไม่มีนบีคนใดหลังจากฉันอีกแล้ว”

เมื่อครั้งท่านศาสดา (ศ) ได้ส่งท่านอิมามอะลี (อ) ออกไปรบดวลดาบตัวต่อตัวในสงครามคอนดัก(สนามเพลาะ) กับอัมร์ บินอับด์วุด อัลอามิรี แล้วท่าน ก็กล่าวขึ้นว่า

“อีมามทั้งมวลได้ออกไปเผชิญหน้ากับการชิริก(ตั้งภาคี)ทั้งมวล”

แล้วหลังจากที่ท่านอิมามอะลี(อ)ได้สังหารอัมร์เสร็จ ท่านศาสดา (ศ) ได้กล่าวว่า

“การลงดาบเพียงครั้งเดียวของอะลีที่มีต่ออัมร บินอับด์วุด อัล-อามิรีแห่งสงครามคอนดักครั้งนี้นั้น มีค่าเทียบได้กับการเคารพภักดี(อิบาดัต)ต่อพระเจ้า ทั้งโดยหมู่ญินและมนุษย์ทั้งมวลรวมกัน”

ในสงครามคัยบัรท่านศาสดา(ศ)ได้กล่าวว่า

“แน่นอน วันพรุ่งนี้ฉันจะมอบธงชัยให้แก่คนผู้หนึ่งที่รักในอัลลอฮ์(ซ.บ.) และศาสนทูตแห่งพระองค์ (ศ) โดยอัลลอฮ์ (ซ.บ.)และศาสนทูต (ศ)รักเขาเช่นกัน เขาจะไม่กลับจากการรบจนกว่าอัลลอฮ์ (ซ.บ.)จะมอบชัยชนะแก่เขา”

ต่อมาท่านจึงเรียกหาอิมามอะลี (อ) และเมื่ออิมามอะลี (อ) มาแล้วท่านก็มอบธงชัยนั้นให้แก่ท่านอะลี (อ)

๑๔

ซึ่งท่านอะลี (อ) ได้ออกไปพร้อมกับธงชัยทำสงครามอย่างห้าวหาญจนประสบผลสำเร็จโดยได้สังหารแม่ทัพฝ่ายคัยบัรชื่อว่า มัรหับ และมีชัยชนะกลับมาเพราะฝีมือของท่านท่านศาสดาเคยนำท่านอะลี (อ) ออกไปทำพิธีสาบานเพื่อพิสูจน์ความจริง(มุบาฮะละฮ์)เพราะท่านอิมามอะลี (อ) มีค่าเท่ากับตัวของท่านศาสดา (ศ) เอง

ดังโองการในอัล-กุรอานที่ว่า:

“ดังนั้นจงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงมากันเถิดแล้วเราจะเรียกบรรดา

ลูกๆ ของเรามาและท่านเรียกบรรดาลูกๆ ของท่านมา เราเรียกบรรดาสตรีของเรามาและท่านก็เรียกบรรดาสตรีของท่านมาและเราเรียกตัวตนของเรามาและท่านเรียกตัวตนของพวกท่านมา”(๑๐)

ท่านศาสดา(ศ)เคยคลุมตัวท่านอะลี(อ) ด้วยผ้าคลุม “กิซา” ในขณะที่อ่านโองการของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ที่ว่า:

“อันที่จริงอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ประสงค์เพียงการขจัดมลทินออกไปจากพวกเจ้า โอ้อะฮ์ลุลบัยต์และทรงชำระขัดเกลาพวกเจ้าให้บริสุทธ์ยิ่ง”(๑๑)

---------------------------------------------------------------------

(๑๐) ซูเราะฮ์ อาลิ อิมรอน: ๖๑

(๑๑) ซูเราะฮ์ อัลอะหซาบ: ๓๓

๑๕

ท่านศาสดา (ศ) เคยสั่งให้ปิดประตูบานต่างๆ ของบ้านที่ตรงกับมัสยิดยกเว้นประตูบ้านของท่านอะลี (อ) เท่านั้น

ท่านศาสดา(ศ)เคยกล่าวถึงท่านอะลี(อ)ว่า

“ฉันคือนครแห่งความรู้ ส่วนอะลีคือประตูของมัน”

ท่านศาสดา (ศ) เคยพูดกับท่านอะลี (อ) ว่า

“เธอคือทายาทของฉัน ผู้ทำหน้าที่ชำระหนี้สินของฉัน และทำความสมบูรณ์ให้แก่พันธะสัญญาของฉัน”

ตลอดจนถึงวจนะต่าง ๆ จำนวนนับร้อยที่ออกมาจากท่านศาสดา

มุฮัมมัด (ศ) ซึ่งล้วนแต่ให้ความหมายบ่งชี้ถึงการแต่งตั้งให้ท่านอะลี (อ) เป็นอิมามของประชาชาติและประกาศให้ประชาชนได้ตระหนักว่า ท่านมีความรู้และบทสรุปของอัลฮะดีษต่างๆเหล่านั้นที่สำคัญที่สุดได้มาถึงบทสรุป

สุดท้ายแห่งอัลฮะดีษ

ในวันสำคัญที่เฆาะดีรคุม ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ได้ประกาศว่าท่านจะบำเพ็ญฮัจญ์ในปีนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะท่านได้ประจักษ์ว่า ท่านจะต้องตอบรับการเรียกร้องให้คืนกลับสู่พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ฉะนั้นประชาชนต่างมารวมกันจากทั่วทุกสารทิศ หลังจากเสร็จพิธีฮัจญ์ร่วมกับคนเหล่านั้นแล้ว ท่านศาสนทูต (ศ) ก็ได้เดินทางกลับไปยังนครมะดีนะฮ์ พร้อมกับบรรดามุสลิมทั้งหลาย ครั้นพอมาถึงตรงทางแยกที่บรรดาฮุจญาจทั้งหมดต่างจำต้องแยกย้ายกันกลับบ้านเมืองของตนนั้น ท่านศาสทูต (ศ) ได้สั่งให้หยุด และให้เรียกบรรดาพวกที่เดินรุดหน้าไปแล้วกลับมาและให้รอพวกที่ยังเดินทางอยู่ข้างหลังให้มาถึงด้วย

๑๖

 พอบรรดามุสลิมชุมนุมกันพร้อมแล้ว ท่านก็สั่งให้ตั้งมิมบัรที่ทำจาก

อานบนหลังอูฐมาวางลง แล้วท่านก็ขึ้นกล่าวคำเทศนากับคนเหล่านั้นโดยอธิบายอย่างชัดเจนถึงบุคคลที่จะเป็นผู้นำ(อิมาม) ภายหลังจากท่านต่อจากนั้นท่านก็จับมือของท่านอะลี บินอะบีฏอลิบ (อ) ชูขึ้น จนคนสามารถมองเห็นซอกรักแร้ที่ชาวของท่านทั้งสองได้

ท่านศาสดา(ศ) กล่าวว่า

“ดังนั้นบุคคลใดที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา ก็ให้ถือว่า อะลี ผู้นี้เป็นผู้ปกครองของเขาด้วย ข้าแต่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) โปรดคุ้มครองคนที่สวามิภักดิ์ต่อเขา และโปรดเป็นศัตรูต่อคนที่เป็นศัตรูต่อเขาโปรดช่วยเหลือ คนที่ช่วยเหลือเขา โปรดทำลายคนที่ทำลายเขา”

จากนั้นท่านก็จัดให้ท่านอะลี (อ) ยืนโดดเด่นอยู่ภายนอก แล้วออกคำสั่งให้บรรดามุสลิมเข้ามาแสดงการคารวะต่อท่านในฐานะผู้ศรัทธา

 และญิบรออีลได้นำโองการหนึ่งลงมาความว่า

“วันนี้ ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว และข้าได้ให้ความโปรดปรานของข้าครบบริบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว และข้าพอใจให้อิสลามเป็นศาสนาของพวกเจ้า”(อัลมาอิดะฮ์: ๓)

๑๗

ข้อบัญญัติจากท่านศาสนทูต (ศ) ในเรื่องบรรดาอิมาม (อ)

วจนะ (อัล-ฮะดีษ) ของท่านศาสนทูต (ศ) ในประเด็นที่ว่า บรรดาอิมาม (อ)มี ๑๒ ท่านนั้นมีการบันทึกไว้มากมายอย่างน่าอัศจรรย์ บางทีข้าพเจ้าคงไม่ถึงกับเป็นคนพูดเกินเลยแต่อย่างใด

ถ้าจะกล่าวว่าอัลฮะดีษในข้อนี้ มีไม่น้อยไปกว่าอัลฮะดีษต่าง ๆ ที่กล่าวถึงเรื่องนมาซ หรือเรื่องการถือศีลอดเลย

ฮะดีษเหล่านี้มิได้ให้ความหมายในทางอื่น นอกจากว่า บรรดาอิมามทั้ง ๑๒ ท่านนั้นต้องเป็นอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นสิ่งสำคัญหนักยิ่งอันดับที่ ๒ ซึ่งท่านศาสนทูต(ศ)ได้ฝากไว้ให้กับบรรดาประชาชาติและในเมื่อไม่มีคนใดสามารถคัดค้านหรือกล่าวตำหนิสายสืบผู้นำมาบันทึกเนื่องจากการบันทึกไว้ตรงกันอย่างมากมาย ประกอบกับจำนวนของนักรายงานที่มีมาก อีกทั้งจากการบันทึกโดยนักปราชญ์ต่างๆ แล้ว ผู้มีใจอคติบางกลุ่มจึงพยายามที่จะเบนเหตุผลที่มีอยู่ในฮะดีษเหล่านี้ ออกจากความหมายตามความเป็นจริงและตีความตามเหตุผลดังกล่าวไปให้แก่คนกลุ่มอื่นอีกพวกหนึ่ง

ถึงแม้พวกเขาจะใช้ความพยายามในเรื่องนี้ ก็ปรากฏว่า ในส่วนของจำนวนนั้นยังขาดอยู่บ้างหรือเกินไปบ้างกล่าวคือบรรดาคอลีฟะฮ์อัร-รอชิดีนนั้นมิได้ครบตามจำนวน ส่วนคอลีฟะฮ์ในราชวงศ์อุมัยยะฮ์ก็เกินจากจำนวนและราชวงศ์อับบาซียะฮ์ก็ยิ่งเกินจากจำนวนไปเป็นทวีคูณ คนอีกส่วนหนึ่งก็พยายามจะดึงเอาฝ่ายโน้นมาประกอบกับฝ่ายนี้ ดึงฝ่ายนี้ไปประกอบกับฝ่ายโน้นเพื่อให้ได้ครบตามจำนวนตัวเลขทั้ง ๑๒ ท่าน แต่ก็จำเป็นต้องนับรวมเอานักปกครองทรราชย์ที่หลงผิดและเป็นที่ปฏิเสธของคัมภีร์ลงไปด้วยเช่น มุอาวิยะฮ์, ยะซีด, อับดุลมาลิกบินมัรวานและลูกหลานของตน

๑๘

 ถึงกระนั้นก็ยังไม่ครบจำนวนตามตัวเลขดังกล่าว อีกทั้งไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานและมีสมญานามต่างๆ ที่น่าดูแคลนสำหรับพวกเขาอยู่กล่าวคือ พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะเป็นบุคคลตามที่ท่านศาสนทูต (ศ) ประสงค์ที่จะให้เป็นผู้นำของประชาชาติมุสลิม และผู้ร่วมภารกิจกับอันกุรอานอันทรงเกียรติได้ ขณะเดียวกันก็ยังมีฮะดีษของท่านศาสดาอยู่อีกส่วนหนึ่ง ที่ระบุชื่อของบรรดาอิมามอย่างชัดเจนจนไม่อาจมองข้ามได้ เนื่องจากมีหลายรายงานและมีหลักที่มั่นคงอันต้องยอมรับ

เราเชื่อในความสามารถของผู้คัดค้านว่าสามารถล้มล้างฮะดีษบางเรื่องของท่านศาสนทูต (ศ) ได้แต่ต้องไม่ใช่ฮะดีษต่าง ๆ อันเกี่ยวกับข้อบัญญัติในเรื่องอิมาม ๑๒ เนื่องจากการบันทึกที่ตรงกันของรายงานต่าง ๆ มากมายและประกอบกับจำนวนของนักบันทึกที่ได้รายงานกันมากมาย อีกทั้งเป็นฮะดีษที่ถูกนำเสนอโดยบรรดานักปราชญ์จำนวนมาก และเชื่อว่าผู้ที่สันทัดในการตีความก็สามารถตีความหรือแปลความฮะดีษบางเรื่องของท่านศาสดาได้ แต่จะทำไม่ได้กับฮะดีษต่างๆ ในเรื่องนี้ เพราะจะไม่เป็นการถูกต้องเลย

 ถ้าหากมิให้หมายถึงบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์(อ)

ชัยค์ สุลัยมาน อัล-ก็อนดูซี ได้กล่าวว่า นักวิเคราะห์ผู้สันทัดกรณีทางวิชาการอธิบายว่า

 “ฮะดีษต่างๆ ของท่านศาสดาที่ให้เหตุผลในเรื่องคอลีฟะฮ์

 (ผู้สืบทอดการปกครอง) ต่อจากท่าน จำนวน ๑๒ คนนั้น เป็นที่รับรู้กันอย่างแพร่หลายโดยกระแสรายงานหลายฝ่าย กล่าวคือมีการอธิบายและให้

รายละเอียดถึงกาลเวลาและสถานที่ จึงเป็นที่รู้กันว่าจุดมุ่งหมายของ

ท่านศาสนทูตที่มีต่อฮะดีษของท่าน ก็คือ บรรดาอิมาม ๑๒ เหล่านี้ต้องมาจากอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) และวงศ์วานของท่านนั่นเอง

๑๙

ฉะนั้นจึงไม่อาจให้ข้อสันนิษฐานได้เลยว่าฮะดีษข้อนี้ของท่านศาสดา (ศ) จะหมายถึง คอลีฟะฮ์ หลังจากท่านที่เป็นสาวก (ศอฮาบะฮ์) เนื่องจากจำนวนของพวกเขามีน้อยกว่า ๑๒ และไม่อาจสันนิษฐานอีกเช่นกันว่า จะหมายถึงราชวงศ์อุมัยยะฮ์ เนื่องจากพวกเขามีจำนวนเกินกว่า ๑๒ และเนื่องจากความอธรรมอย่างเลวร้ายของคนเหล่านั้นอีกด้วย ยกเว้น อุมัรบิน อับดุลอะซีซ

คนเดียว และเนื่องจากเหตุผลประการหนึ่งคือ พวกนั้นมิใช่ลูกหลานจากตระกูลบะนีฮาชิมตามรายงานที่บันทึกจากท่านอับดุลมาลิกโดยการบอกเล่าของท่านญาบิร และที่ท่านศาสนทูต(ศ)ได้บอกกระซิบถึงข้อนี้ ซึ่งเป็นข้อแม้ของ

รายงานดังกล่าวก็เพราะพวกเขาไม่เห็นชอบกับตำแหน่งคอลีฟะฮ์ของลูกหลานบะนีฮาชิม และไม่อาจสันนิษฐานได้อีกเลยว่า จะหมายถึง

ราชวงศ์อับบาซียะฮ์เนื่องจากพวกเขามิได้รับความคุ้มครอง

โดยโองการที่ว่า

“จงกล่าวเถิดว่า ฉันมิได้ขอรางวัลใด ๆ สำหรับเรื่องนี้จากพวกท่าน นอกจากความจงรักภักดีในญาติสนิทของฉัน” (อัชชูรออ์: ๒๓)

และเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับผ้าคลุมกิซา ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ฮะดีษของท่านศาสดา(ศ)ข้อนี้ ต้องหมายถึงบรรดาอิมาม ๑๒ จาก

อะฮ์ลุลบัยต์ (อ) ซึ่งเป็นวงศ์วานลูกหลานของท่านเท่านั้น เพราะเขาเหล่านั้นเป็นคนมีความรู้มากที่สุดสำหรับคนในยุคนั้น

๒๐

 อีกทั้งมีเกียรติคุณที่สุด มีความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุด มีความสำรวมตนที่สุด มีสายตระกูลที่ดีที่สุด มีสติปัญญาดีที่สุด และมีเกียรติยิ่ง ณ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ซึ่งวิชาความรู้ของพวกเขาอันได้รับมาจากบรรพบุรุษของพวกเขานั้น มีความเชื่อมสัมพันธ์กันกับทวดของพวกเขาเอง นั่นคือ

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)โดยการสืบทอดและถ่ายทอด

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่รู้กันว่า พวกเขาคือ อะฮ์ลุอิลม์ที่ควรค่าแก่ความรู้และการวิเคราะห์ที่ถูกต้องเป็นอะฮ์ลิกัชฟ์ ผู้มีญาณหยั่งรู้ที่ถูกต้อง นั่นคือหมายความว่า จุดมุ่งหมายของท่านนบี (ศ) ในเรื่องอิมาม 12 คืออะฮ์ลุลบัยต์ของท่าน ทั้งนี้ได้รับการสนับสนุนยืนยันโดยฮะดีษ “อัษษะกอลัยน์”

(สิ่งสำคัญที่หนักยิ่งสองประการ) และฮะดีษต่างๆ ของท่านศาสดา (ศ) อีกจำนวนมากที่ได้รับการกล่าวถึงไว้ในหนังสือเล่มนี้ และเล่มอื่นๆ ส่วนของท่านนบี (ศ) ที่ว่า

“พวกเขาทุกคน จะได้รับการยินยอมร่วมกันโดยประชาชาติมุสลิม”

๒๑

ในฮะดีษของท่านศาสดาที่รายงานโดยท่านญาบิร บิน ซะมุเราะฮ์นั้น ก็โดยจุดประสงค์ของท่านศาสดา (ศ) ที่จะให้ประชาชาติมุสลิมรู้ว่า

“ประชาชาตินี้ต้องให้การยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ ในตำแหน่งอิมามของพวกเขาทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ท่านอิมาม-มะฮ์ดีผู้ยังดำรงอยู่ของพวกเขา (ขอให้อัลลอฮ์ประทานความปิติปราโมทย์แก่ท่าน) ปรากฏขึ้นมา”(12)

------------------------------------------------------------

(12) ยะนาบีอุล-มะวัดดะฮ์ หน้า 446ฮะดีษทั้งหลายของท่านศาสดาในเรื่องนี้ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท

1. ประเภทที่ระบุว่าบรรดาอิมาม มี 12 ท่าน แต่มิได้ระบุชื่อของท่านเหล่านั้น

2. ประเภทที่มีการกล่าวถึงชื่อของอิมามเหล่านั้นทั้งหมด หรือด้วยการกล่าวเป็นนัยยะ และระบุชื่อของบางคนไว้

๒๒

ต่อไปนี้เราจะกล่าวถึงวจนะต่าง ๆ ประเภทแรกก่อน

1. ท่านญาบิร บินซะมุเราะฮ์ ได้รายงานไว้ว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านศาสนทูตแห่งอัลลออ์ (ศ) กล่าวว่า

 “จะมีอะมีร 12 (อะมีร-ผู้นำ)คน แล้วท่านก็ได้กล่าวอีกประโยคหนึ่งที่ข้าพเจ้าฟังไม่ได้ยินแต่บิดาของข้าพเจ้าบอกว่า ท่านกล่าวว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นชาวกุเรชทุกคน”(13)

2. ท่านญาบิร บินซะมุเราะฮ์ ได้รายงานไว้ว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี(ศ) กล่าวว่า “กิจการของมนุษย์ยังจะไม่สูญสลายเหมือนแต่ก่อนมาจนกว่าชายทั้ง 12 คนได้มาปกครองพวกเขาจนครบถ้วน”

ต่อจากนั้นท่านนบี (ศ) ก็พูดประโยคหนึ่งที่เบามาก ข้าพเจ้าจึงถามบิดาว่า “ท่านศาสดา (ศ) พูดอะไร?” ท่านตอบว่า “เขาเหล่านั้น จะเป็นชาวกุเรชทุกคน” (14)

3. รายงานจากท่านญาบิร บินซะมุเราะฮ์ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ (ศ) กล่าวว่า “ศาสนานี้ยังคงดำรงอยู่อย่างมีเกียรติไปจนครบ 12 คอลีฟะฮ์” ประชาชนพากันกล่าวตักบีร เสียงดังลั่น ต่อจากนั้นท่านพูดอีกประโยคหนึ่งแผ่วเบามาก ข้าพเจ้าพูดกับบิดาว่า “โอ้บิดาท่านกล่าวว่า อย่างไร?” ท่านตอบว่า “เขาเหล่านั้นจะเป็นชาวกุเรชทุกคน” (15)

--------------------------------------------------------------------

(13) ศอฮีฮ์ อัล-บุคอรี เล่ม 4 หน้า 175

(14) ศอฮีฮ์มุสลิม เล่ม 2 หน้า 191

(15) ศอฮีย์อะบีดาวูด เล่ม 2 หน้า 207

๒๓

4. รายงานจากท่านญาบิร บินซะมุเราะฮ์ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) กล่าวว่า “หลังจากฉัน จะมีอะมีร 12 คน” แล้วท่านก็พูดอีกประโยคหนึ่งแต่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถามคนที่ใกล้เขาบอกว่า ท่านกล่าวว่า “เขาเหล่านั้นจะเป็นชาวกุเรชทุกคน” (16)

5. รายงานจากท่าน อูน บิน ญะฮีฟะฮ์ ผู้ได้บันทึกมาจากบิดาของท่าน ข้าพเจ้ากับลุงเคยอยู่กับท่านนบี(ศ)ในครั้งหนึ่ง ท่านศาสดา (ศ) ได้กล่าวว่า “กิจการแห่งประชาชาติของข้า ยังไม่วายจะเป็นสิ่งที่ดำเนินอยู่ต่อไปเสมอจนกว่าจะผ่าน 12 คอลีฟะฮ์เสียก่อน”

จากนั้นท่านพูดประโยคหนึ่งด้วยเสียงแผ่วเบา ข้าพเจ้าจึงถามลุงซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าของข้าพเจ้าว่า “โอ้ลุง ท่านศาสดากล่าวว่าอย่างไร ?”

ลุงตอบว่าท่านศาสดา(ศ)กล่าวว่า “เขาเหล่านั้นจะเป็นชาวกุเรชทุกคน”

(17)

6. รายงานจากท่าน ดาวูด บิน ฮินด์ ซึ่งได้รับคำบอกเล่าจากท่านอัช-ชุอบีย์ที่ได้รับคำบอกเล่าจากท่าน ญาบิร บินซะมะเราะฮ์ ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี(ศ)กล่าวว่า “สำหรับประชาชาตินี้ จะมี 12คอลีฟะฮ์”18)

------------------------------------------------

(16) ศอฮีฮ์ติรมีซีย์ เล่ม 2 หน้า 45

(17) อัล-มุชตัดร็อก อะลัศ-ศอฮีฮัยน์ เล่ม 3 หน้า 618

(18) มุสนัดอะหมัด เล่ม 5 หน้า 106 ท่านอิมามอะหมัดได้บันทึกไว้ในหนังสือมุสนัดหลาย ข้อบัญญัติด้วยกันเกี่ยวกับเรื่องคอลีฟะฮ์12จากรายงานของญาบิรมี 34 กระแส ในเล่ม 5 หน้า86 มี 1 ฮะดีษ ในหน้า 78 มี 2 ฮะดีษ ในหน้า 89 มี 1 ฮะดีษ ในหน้า 90 มี 3 ฮะดีษ หน้า 92 มี2 ฮะดีษ ในหน้า 93 94 95 มีหน้าละ 1 ฮะดีษ หน้า 96 มี 2 ฮะดีษ หน้า 97 มี 2 ฮะดีษ หน้า 99มี 3 ฮะดีษ หน้า 100 มี 1 ฮะดีษ

๒๔

7. ท่านนบี (ศ) กล่าวว่า “สำหรับประชาชาตินี้จะมี ผู้ทำหน้าที่ควบคุมให้อยู่ยั่งยืน 12 คน เขาเหล่านั้นจะไม่ได้รับอันตรายจากคนที่บั่นทอนพวกเขา เขาเหล่านั้นทุกคนเป็นชาวกุเรช”(19)

8. ท่านนบี (ศ) กล่าวว่า “ศาสนานี้ยังคงดำรงอยู่อย่างมีเกียรติและเข้มแข็ง จนกระทั่งถึง 12 คอลีฟะฮ์ ทุกคนมาจากกุเรช” มีคนถามขึ้นว่า “ต่อจากนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก” ท่านนบี(ศ)ตอบว่า “ต่อจากนั้นจะมีเหตุการณ์วุ่นวายอันน่าตื่นตระหนกสับสน”(20)

9. รายงานจากท่านญาบิร บินซะมุเราะฮ์ กล่าวว่า “ข้าพเจ้าและบิดาเคยอยู่กับท่านนบี (ศ) ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยได้ยินท่านกล่าวว่า “หลังจากฉันแล้ว จะมีคอลีฟะฮ์ 12 คน” จากนั้นเสียงของท่านแผ่วเบามาก ข้าพเจ้าจึงถามบิดาว่า ตอนที่เสียงของท่านแผ่วเบานั้น ท่านพูดว่าอย่างไร? ท่านกล่าวว่า

“เขาเหล่านั้น จะเป็นลูกหลานของตระกูลบะนีฮาชิมทุกคน”(21)

-----------------------------------------

(19) มุนตะคอบ กันซลอุมมาล เล่ม 5 หน้า 312

(20) ตัยซีรุล-วุซูล อิลา ญามิอิลอุศุล เล่ม 2 หน้า 34

(21) ยะนาบีอุล-มะวัดดะฮ์ หน้า 445 อธิบายว่า

 ยะฮ์ยา บินอัล-ฮะซัน กล่าวไว้ในหนังสืออัลอุมดะฮ์ 20 กระแสรายงานว่าคอลีฟะฮ์หลังจากท่าน

นบี(ศ)จะมี 12 คน ทุกคนเป็นชาวกุเรช ในหนังสือบุคอรีมี 3 กระแสรายงาน ในหนังสือมุสลิมมี 9 กระแสรายงานในอะบีดาวูดมี 3 กระแสรายงาน ในติรมีซี มี 1 กระแสรายงาน และในอัล-อุมัยดี มี 3 กระแสรายงาน

๒๕

10. ท่านนบี (ศ) กล่าวว่า “ศาสนานี้ยังคงดำรงอยู่อย่างมีเกียรติและเข้มแข็ง เขาเหล่านั้นจะชนะผู้ที่ทำให้พวกเขาตกต่ำ โดยการนี้จะมี 12

คอลีฟะฮ์ ทุกคนล้วนมาจากกุเรช”(22)

11. จากท่านญาบิร บินซะมุเราะฮ์ กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ยินท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ (ศ) กล่าวว่า “หลังจากฉันแล้วจะมี 12 อะมีร” ต่อจากนั้นท่านได้พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า “ทุกคนจะมาจากกุเรช”(23)

12. รายงานจากท่านอัช-ชุอฺบีย์ อันได้รับคำบอกเล่าจากท่านมัซรูกกล่าวว่า “ขณะที่พวกเรานั่งเปิดหนังสืออ่านอยู่กับท่านอิบนุมัสอูดนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกล่าวกับท่านว่า “ศาสดาของพวกท่านได้สัญญากับพวกท่านหรือไม่ว่า จะมีคอลีฟะฮ์ภายหลังจากท่านอีกกี่คน?” ท่านกล่าวว่า “เธอเป็นเด็กรุ่นใหม่แต่สิ่งที่เธอถาม ยังไม่เคยมีใครถามฉันมาก่อนแม้แต่คนเดียว ใช่

ท่านนบี (ศ) สัญญากับเราว่าหลังจากท่านแล้ว จะมี 12 คอลีฟะฮ์ ซึ่งเท่ากับจำนวนของหัวหน้าในตระกูลบะนีอิสรออีล”(24)

-----------------------------------------

 (22) ตารีคุล-คุละฟาอ์ หน้า 7

(23) ตารีคุล-บัฆดาด เล่ม 14 หน้า 353

(24) อิกมาลุดดีน เล่ม 1 หน้า 387 มีรายงานหลายกระแส

๒๖

13. รายงานจากท่านซิมาก บินฮาร็อบ ได้กล่าวว่า

“ข้าพเจ้าได้ยินท่านญาบิร บิน ซะมุเราะฮ์กล่าวว่า

 “ข้าพเจ้าได้ยินท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) กล่าวเทศนา แล้วท่านกล่าวว่า “แน่นอนอิสลามยังต้องดำรงอยู่อย่างมีเกียรติจนครบ 12 คอลีฟะฮ์” ต่อจากนั้นท่านกล่าวถ้อยคำหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าไม่เข้าใจจึงถามบิดาว่า

 “ท่านพูดอะไร?” ท่านตอบว่า “เขาเหล่านั้นเป็นชาวกุเรชทุกคน”(25)

14. รายงานจากท่านอัช-ชุอบีย์ซึ่งได้รับคำบอกเล่าจากท่านญาบิร บิน

ซะมุเราะฮ์ ได้กล่าวว่า

“ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า “ศาสนานี้ยังคงดำรงอยู่อย่างมีเกียรติตลอดไป จนครบ 12 คอลีฟะฮ์ เขาเหล่านั้นจะชนะผู้ที่ทำให้พวกเขาตกต่ำ” ต่อจากนั้นท่านพูดประโยคหนึ่งซึ่งเสียงของท่านแผ่วเบาจนคนทั่วไปไม่ได้ยิน ข้าพเจ้าจึงถามบิดาของข้าพเจ้าว่า “ท่านพูดอะไร” ท่านตอบว่า

ท่านนบี (ศ) พูดว่า “เขาเหล่านั้นเป็นชาวกุเรชทุกคน” (26)

15. รายงานจากท่านญาบิร บินซะมุเราะฮ์ กล่าวว่า

ข้าพเจ้าได้ยินท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) กล่าวว่า

“อิสลามยังคงดำรงอยู่อย่างมีเกียรติตลอดไปจนครบ 12 คอลีฟะฮ์ ซึ่งเขาเหล่านั้นเป็นชาวกุเรชทุกคน”

-----------------------------

(25) ศอฮีฮ์อะบีดาวูด เล่ม 2 หน้า 180

(26) อัล-มะลาฮิม วัล-ฟิตัน หน้า 132

๒๗

ในอีกรายหนึ่งกล่าวว่า “กิจการของประชาชนทั้งหลายยังคงดำรงอยู่ตลอดไปเหมือนอดีตตราบจนกระทั่งมีบุคคล 12 คนมาทำหน้าที่ปกครองพวกเขา คนเหล่านั้นเป็นชาวกุเรชทุกคน”

อีกรายงานหนึ่งกล่าวว่า “ศาสนานี้ยังคงดำรงอยู่ตลอดไปจนกระทั่งถึงเวลาหนึ่งจะมีคอลีฟะฮ์ในหมู่พวกเขา 12 คนทุกคนมาจากชาวกุเรช”(27)

16. รายงานจากท่านญาบิร บินซะมุเราะฮ์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าและบิดาได้เข้าพบท่านนบี (ศ) แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินท่านพูดว่า “แท้จริงภารกิจอันนี้จะยังไม่ผ่านพ้นไป จนกว่าจะมีคอลีฟะฮ์ 12 คนมาปกครองพวกเขาก่อน”

 ท่านกล่าวอีกว่า ต่อจากนั้นท่านได้พูดประโยคหนึ่งแผ่วเบา เขากล่าวต่อไปว่าแล้วข้าพเจ้าก็ถามบิดาว่า “ท่านพูดอะไร?” ท่านตอบว่า “เขาเหล่านั้นเป็นชาวกุเรชทุกคน” (28)

---------------------------------------------------------

(27) มิชกาตุล-มะชอบีฮ์ ของคอตีบ อัต-ตับรีซี ภาค 2 หน้า 162

(28) ศอฮีฮ์มุสลิม เล่ม 2 หน้า 201 มีบันทึกรายงานหลายกระแสโดยสำนวนที่คล้ายๆ กัน

๒๘

ต่อไปเป็นฮะดีษต่าง ๆ ประเภทที่สอง

1. รายงานจากท่านอิบายะฮ์ บินรุบอีย์ ซึ่งได้รับฟังจากท่านญาบิรว่า ท่านศาสนทูต(ศ)ได้กล่าวว่า “ข้าคือประมุขของศาสดาทั้งหลายและทายาทของข้ามี 12 คน คนแรกคืออะลี คนสุดท้ายคือผู้ดำรงอยู่ อัล-มะฮ์ดี”(29)

2. ท่านอิบนุอับบาส(ร.ฎ.)กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ยินท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

“ตัวฉันและอะลี ฮะซัน ฮุเซนและลูกหลานของฮุเซนอีก 9 คน เป็นผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับการคุ้มครองให้พ้นจากบาปและมลทิน”(30)

3. ท่านศาสนทูต(ศ)ได้กล่าวแก่ ท่านอับบาส บินอับดุลมุฏฏอลิบ ผู้เป็นลุงของท่านว่า “โอ้ท่านลุง ลูกหลานของฉัน 12 คนจะได้ปกครองในตำแหน่งคอลีฟะฮ์ ต่อจากนั้นจะเกิดเหตุการณ์อันน่ารังเกียจ และจะยิ่งมีเหตุร้ายแรงมาก ต่อจากนั้น อัล-มะฮ์ดี ผู้เป็นลูกหลานคนหนึ่งของฉันจะปรากฏ

ขึ้นมาอัลลอฮ์ (ซ.บ.) จะส่งเสริมกิจการของเขาในคืนๆ หนึ่ง ดังนั้น แผ่นดินจะเพียบพร้อมไปด้วยความยุติธรรม อย่างเช่น ที่ความไม่เป็นธรรมเคยเนืองนองมาก่อน เขาจะอยู่ในโลกตราบเท่าที่อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงประสงค์ แล้วดัจญาลจะค่อยปรากฏตามออกมา”(31)

-------------------------------------------

 (29) ยะนาบีอุล-มะวัดดะฮ์ หน้า 445

(30) ยะนาบีอุล-มะวัดดะฮ์ หน้า 445

(31) ฆอยะตุล-มะรอม หน้า 704

๒๙

4. รายงานจากท่านญาบิร ยินยะซีด อัล-ญุอฟี ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ยินท่านญาบิร บินอับดุลลอฮ์ อัล-อันศอรี กล่าวว่า “เมื่อครั้งที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงประทานโองการแก่ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) ว่า

“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาจงเคารพเชื่อฟังอัลลอฮ์(ซ.บ.) และเคารพเชื่อฟัง

ศาสนทูต(ศ) และบรรดาผู้ปกครองในหมู่ของสูเจ้า”(32)

ข้าพเจ้ากล่าวว่า “ข้าแต่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) เรารู้จักอัลลอฮ์ (ซ.บ.) และศาสนทูตของพระองค์ (ศ) แล้ว ฉะนั้นใครอีกเล่าที่เป็นผู้ปกครองทั้งหลาย ที่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงถือเอาการเคารพเชื่อฟังต่อพวกเขาเหมือนกับการเคารพเชื่อฟังท่าน?”

 ท่านนบี (ศ) กล่าวว่า “เขาเหล่านั้นคือคอลีฟะฮ์ของฉัน โอ้ญาบิร พวกเขาเป็นอิมามของมวลมุสลิมภายหลังจากฉัน คนแรกในหมู่พวกเขา ได้แก่ อะลี บินอะบีฏอลิบ ต่อมาคือฮะซัน และฮุเซน ต่อมาได้แก่ มุฮัมมัด บินอะลี

อันเป็นที่รู้จักในคัมภีร์เตารอตว่า อัล-บากิร ญาบิรเอ๋ย เจ้าจะได้อยู่จนพบกับเขาผู้นี้ ฉะนั้นเมื่อเจ้าพบเขา ก็จงบอกเขาว่า ฉันฝากสลามถึง ต่อจากนั้นจะได้แก่อัศ-ศอดิก ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด ต่อจากนั้นได้แก่ มูซา บินญะอฟัร ต่อจากนั้นได้แก่ อะลี บินมูซา ต่อจากนั้นได้แก่มุฮัมมัด บินอะลี ต่อมาได้แก่ อะลี บินมุฮัมมัด ต่อมาได้แก่ อัล-ฮะซัน บินอะลี ต่อจากนั้นเป็นคนที่ใช้ชื่อและสมญานามเช่นเดียวกับของฉัน เขาเป็นข้อพิสูจน์ของอัลลอฮ์(ซ.บ.)ในหน้าแผ่นดินเป็นมรดกของพระองค์ที่ให้ไว้สำหรับปวงบ่าวของพระองค์ เขาคือบุตรของฮะซัน บินอะลี เขาผู้นี้อัลลอฮ์(ซ.บ.)จะให้นามของเขาเป็นที่ระบือทั้งทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของโลก

--------------------------------------------

(32) ซูเราะฮ์ อัน-นิสาอ์: 59

๓๐

 เขาผู้นี้จะยังไม่ปรากฏแก่สายตาของพรรคพวก และมวลมิตรชีอะฮ์ของเขาจนไม่มีใครยืนยันถึงตำแหน่งอิมามของเขาได้ นอกจากคนที่อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทดสอบหัวใจแห่งความศรัทธาของเขาเท่านั้น”

ท่านญาบิร กล่าวว่า “ข้าพเจ้ากล่าวว่า “ข้าแต่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) แล้วจะมีคุณค่าอันใดแก่พรรคพวกของเขาบ้างในการยังไม่ปรากฏของเขา?”

ท่านศาสนทูต(ศ) กล่าวว่า “ขอสาบานต่อพระผู้ทรงแต่งตั้งข้าให้ดำรงตำแหน่งนบีว่า เขาเหล่านั้นจะได้รับแสงสว่างจากรัศมีของเขา เขาเหล่านั้น จะได้รับคุณค่าโดยการปกครองในสภาพแฝงเร้นของเขา ดุจดัง ที่คน ทั้งหลายได้รับประโยชน์จากแสงอาทิตย์ในยามที่มันเลือนลับอยู่ในก้อน

เมฆ”(33)

5. ในฮะดีษของท่านศาสดา(ศ) ที่ว่าด้วยเรื่องความประเสริฐ และเกียรติคุณของท่านอะลี (อ) และลูกหลานของท่านนั้น มีอยู่ว่า ท่านญาบิร บิน

 อับดุลลอฮ์ อัลอันศอรีได้ยืนขึ้นถามว่า “ข้าแต่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ)ในจำนวนลูกหลานของอะลีนั้น มีใครบ้างที่เป็นอิมาม ?”

ท่านศาสนทูต (ศ) ตอบว่า “อัล-ฮะซันและอัล-ฮุเซนซึ่งเป็นสองหัวหน้าของบรรดาชายหนุ่มแห่งสวรรค์

ต่อจากนั้นได้แก่ หัวหน้าแห่งปวงบ่าวผู้ภักดีต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) ในสมัยของเขา นั่นคืออะลี บินฮุเซน

-----------------------

(33) อิกมาลุด-ดีน เล่ม 1 หน้า 365 อิล-ซามุล-นาคิบ เล่ม 1 หน้า 55

 ยะนาบีอุล-มะวัดดะฮ์ หน้า495

๓๑

ต่อมาได้แก่ อัล-บากิร มุฮัมมัด บินอะลี ญาบิรเอ๋ยเจ้าจะได้พบเขาผู้นี้ ครั้นเมื่อเจ้าพบเขาแล้วก็จงบอกเขาว่า ฉันฝากสลามมา ต่อมาได้แก่ ศอดิก

ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด ต่อมาได้แก่ กาซิม มูซา บินญะอ์ฟัร ต่อมาได้แก่ ริฎอ อะลี บินมูซา ต่อมาได้แก่อัต-ตะกี มุฮัมมัด บิน อะลี ต่อมาได้แก่ อัน-นะกี

 อะลี บินมุฮัมมัด ต่อมาได้แก่ อัซ-ซะกี อัล-ฮะซัน บินอะลี ต่อมาได้แก่บุตรชายของเขา นั่นคือผู้ดำรงไว้ซึ่งความชอบธรรม ชื่อว่า มุฮัมมัด มะฮ์ดี แห่งประชาชาติของฉัน ซึ่งแผ่นดินจะเพียบพร้อมไปด้วยความเที่ยงธรรมและยุติธรรม ดังเช่นที่เคยเต็มไปด้วยความไม่ชอบธรรมมาก่อน

 ญาบิรเอ๋ย เขาเหล่านั้นคือคอลีฟะฮ์ของฉัน เป็นทายาทของฉัน เป็นลูกหลานของฉัน และเป็นผู้ถอดแบบไปจากฉัน ใครที่เคารพเชื่อฟังเขาก็เท่ากับเคารพเชื่อฟังฉัน และใครที่ทรยศต่อเขาก็เท่ากับทรยศต่อฉัน ใครที่ปฏิเสธต่อคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเขาก็เท่ากับปฏิเสธฉัน”(34)

6. ท่าน อัมมาร บินยาซิร กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยอยู่ร่วมกับท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) ในการทำสงครามครั้งหนึ่ง และท่านอะลี (อ) ได้สังหารพวกอาลูวียะฮ์สำเร็จ และทำลายคนกลุ่มนั้นจนกระจัดกระจายและท่านยังได้สังหารอัมร บินอับดุลลอฮ์ อัล-ญะมะฮี และชัยบะฮ์ บินนาฟิอ์อีกด้วย

ข้าพเจ้าได้เข้าพบท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) แล้วกล่าวว่า

“ข้าแต่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ศ)

แท้จริง อะลีได้ต่อสู้ในวิถีทางของอัลลอฮ์(ซ.บ.)อย่างสมภาคภูมิโดยแท้”

----------------------------------------

(34) อิล-ชามุล-นาคิบ เล่ม 1 หน้า 185

๓๒

ท่านศาสนทูต(ศ)ได้กล่าวว่า

 “เพราะว่าเขาคือส่วนหนึ่งของฉันเป็นผู้ทำหน้าที่ในข้อสัญญาของฉันจนสมบูรณ์และเป็นคอลีฟะฮ์ภายหลังจากฉัน หากไม่มีเขาแล้วไซร้ ผู้ศรัทธาจะไม่รู้จักความถูกต้องสมบูรณ์ที่แท้จริง ภายหลังจากฉันการต่อสู้กับเขาเท่ากับต่อสู้กับฉัน การยอมรับต่อเขาเท่ากับยอมรับต่อฉันการยอมรับต่อฉัน เท่ากับยอมภักดีต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) แน่นอนเขาคือบิดาของผู้สืบตระกูลสองคนของฉัน และบรรดาอิมามภายหลังจากฉันก็มาจากสายเลือดของเขา ซึ่งอัลลอฮ์

(ซ.บ.) จะทรงนำออกมาให้ดำรงตำแหน่งเป็นอิมามผู้ชี้ทางที่ถูกต้อง

ส่วนคนหนึ่งในหมู่พวกเขา คือ มะฮ์ดี สำหรับประชาชาตินี้”(35)

7. ท่านอับดุลลอฮ์ บินมัสอูด ได้รับฟังฮะดีษหนึ่งจากท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)ที่กล่าวถึงบรรดาอิมาม(อ)ว่า

“บรรดาอิมามนั้นมาจากสายเลือดของฮุเซน (อ) คนที่เก้าของพวกเขาคือมะฮ์ดีสำหรับพวกเขา” (36)

8. ท่านสะอีด บินมะซีบ รายงานจากท่านอัมร บินอุษมาน บินอัฟฟาน ได้กล่าวว่า บิดาของฉันได้กล่าวว่า “ฉันได้ยินท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์ (ศ) กล่าวว่า “อิมามภายหลังจากฉันมี 12 คน เก้าคนจะมาจากสายเลือดของฮุเซน และมะฮ์ดีสำหรับประชาชาตินี้จะมาจากเรา” (37)

--------------------------------------

(35) กิฟายะตุล-อะษัร

(36) กิฟายะตุล-อะษัร

(37) มุนตะค็อบ อัล-อะษัร

๓๓

9. ท่านศาสนทูต(ศ)ได้กล่าวว่า “บรรดาอิมามภายหลังจากฉันมี 12 คน เก้าคนจะมาจากสายเลือดของฮุเซน คนที่เก้าในหมู่พวกเขาคือผู้ดำรงอยู่” ต่อจากนั้น ท่านกล่าวว่า “ไม่มีใครชิงชังเราเลย นอกจากพวกกลับกลอก

(มุนาฟิก)เท่านั้น”(38)

10. ท่านฮุเซน(อ) ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยเข้าพบท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) ผู้เป็นตาของข้าพเจ้า แล้วท่านก็ให้ข้าพเจ้านั่งบนตักของท่านแล้วกล่าวกับฉันว่า “แท้จริงอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงคัดเลือกคนในสายเลือดของเจ้าเก้าคนให้เป็นอิมาม โอ้ฮุเซนเอ๋ย คนที่เก้านั้นคือผู้ดำรงอยู่ ทุกคนมีเกียรติและมีฐานะเท่าเทียมกัน ณ พระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.)” (39)

-----------------------------------------------

 (38) มุนตะค็อบ อัล-อะษัร 82

๓๔

11. จากฮะดีษของท่านศาสนทูต(ศ)ในเรื่องมิอ์ร๊อจญ์ (การเสด็จขึ้นสู่ฟากฟ้า)มีตอนหนึ่งว่า

“ฉันได้มอง และฉันได้เห็นดวงประทีป 12 ดวง และในแต่ละดวง มีเส้นสีเขียวซึ่งปรากฏชื่อของทายาทแต่ละคนของฉัน คนแรกคืออะลี

 คนสุดท้ายคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะอัล-มะฮ์ดี ฉันได้กล่าวว่า

ข้าแต่พระผู้อภิบาล คนเหล่านี้เป็นทายาทในภายหลังจากฉันใช่ไหม ? ทันใดนั้น ฉันก็ถูกเรียกว่า โอ้มุฮัมมัด คนเหล่านี้คือ ผู้เป็นที่รักที่โปรดปรานของข้า เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์สุจริตใจของข้าและของเจ้า ขอสาบานด้วยเกียรติและความยิ่งใหญ่ของข้า แน่นอนข้าจะชำระแผ่นดินให้สะอาดบริสุทธิ์ พ้นจาก

ความอธรรมด้วยอัล-มะฮ์ดีคนสุดท้ายของพวกเขา และแน่นอนข้าจะให้เขาปกครองทั้งภาคตะวันออกและภาคตะวันตกทั้งหมดของโลก และแน่นอนข้าจะให้ก้อนเมฆที่หนักอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา และจะให้ความเป็นไปของสิ่งทั้งหลายคล้อยตามความต้องการของเขา ข้าจะสนับสนุนส่งเสริมเขาด้วยกองทหารของข้า ข้าจะเกื้อหนุนเขาจนกระทั่งข้อเรียกร้องของข้าจะได้

สูงส่งขึ้น และมวลมนุษย์จะร่วมกันอยู่ภายในกรอบเอกภาพของข้า (40)

(40) ยะนาบีอุล-มะวัดดะฮ์ หน้า 486

๓๕

12. ท่านอะมีรุลมุมินีน(อ)ได้กล่าวว่า “ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) เคยกล่าวว่า “อิมามภายหลังจากฉันมี 12 คน โอ้อะลี คนแรกในหมู่พวกเขาคือท่าน ส่วนสุดท้ายคือผู้ดำรงอยู่ที่องค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) เกื้อหนุนให้เขามีอำนาจครอบครองโลกทั้งภาคตะวันออกและภาคตะวันตก” (41)

13. ท่านญุนดุล บิน ญินาดะฮ์เคยถามท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) ในเรื่องทายาทของท่าน

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)ได้กล่าวว่า “คนแรกของพวกเขาเป็นประมุขของบรรดาทายาทเป็นบิดาของบรรดาอิมาม นั่นคืออะลี ต่อจากนั้นได้แก่ฮะซันและฮุเซน ลูกชายสองคนของเขา ดังนั้น เจ้าจงยึดมั่นต่อพวกเขา และจงอย่าให้ความงมงายแบบคนโง่เขลาล่อลวงเจ้าเป็นอันขาด ครั้นเมื่ออะลี

ซัยนุลอาบิดีนบุตรของฮุเซนกำเนิดมาอัลลอฮ์(ซ.บ.)ก็จะทรงให้อายุขัยของเจ้าครบกำหนดไป แล้วในโลกหน้าของเจ้าก็จะมีเสบียงให้เจ้าได้ดูดดื่มได้ดีกว่านมสดในโลกนี้ที่เจ้าเคยดื่ม”

ท่านญุนดุลจึงกล่าวว่า “เราเคยพบเห็นในคัมภีร์เตารอตและในคัมภีร์ของศาสดาต่างๆ ปรากฏชื่อ อีลยา, ชะบัร, ชะบีร แล้วนี้เป็นชื่ออะลี, ฮะซัน,

ฮุเซน แล้วมีใครในภายหลังฮุเซนอีก และพวกเขามีนามว่าอย่างไรบ้าง ?”

ท่านศาสนทูต(ศ)กล่าวต่อไปว่า “เมื่อยุคของฮุเซนผ่านไปแล้ว อะลีผู้เป็นบุตรชายก็จะเป็นอิมามต่อไปเขามีฉายานามว่า ซัยนุลอาบิดีน แล้วถัดจากเขาอีกก็คือมุฮัมมัด บุตรชายของเขา ซึ่งมีฉายาว่าอัล-บากิร ถัดจากนั้นคือ ญะอ์ฟัร บุตรชายของเขา มีฉายาว่าอัศ-ศอดิก ถัดจากนั้นคือ มูซา บุตรชายของเขา ฉายาของเขาคือ กาซิม ถัดจากนั้นคือ ผู้เป็นบุตรมีฉายาว่า อัร-ริฎอ

----------------------------------

 (41) ยะนาบีอุล-มะวัดดะฮ์ หน้า 493

๓๖

ถัดจากนั้นคือมุฮัมมัด ผู้เป็นบุตรชาย ฉายาของเขาคือ อัน-นะกีและอัซ-ซะกี ถัดจากนั้นคืออะลี ผู้เป็นบุตร ฉายาของเขาคืออัต-ตะกีและอัล-ฮาดี

 ถัดจากนั้นคือฮะซัน ฉายาของเขาคืออัล-อัซการี แล้วถัดจากเขาคือ มุฮัมมัด ผู้เป็นบุตร ซึ่งมีฉายานามว่าอัล-มะฮ์ดี อัล-กออิม และอัล-ฮุจญะฮ์ซึ่งเขาจะอำพรางกายอยู่ ต่อจากนั้น เขาจะปรากฎอกมา เมื่อเขาปรากฎออกมา โลกจะเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรมและยุติธรรมดังเช่นที่ความไม่เป็นธรรมเคยเนืองนองมาก่อน ความผาสุกจะเป็นของบรรดาผู้อดทน ในช่วงที่เขายังไม่ปรากฏ ความผาสุกจะเป็นของบรรดาผู้สำรวมตนโดยตั้งอยู่ในความรักที่มีต่อพวกเขา คนเหล่านี้คือ ผู้ที่อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงบอกลักษณะไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ที่ว่า

“เป็นทางนำสำหรับผู้สำรวมตน ซึ่งศรัทธาในสิ่งเร้นลับ”(42)

ต่อจากนั้นพระองค์ยังมีโองการอีกว่า “เขาเหล่านั้น คือพรรคของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) แน่นอนยิ่งพรรคของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) นั้นคือผู้ได้รับความสำเร็จ”

14. ท่านซะละมะฮ์ได้รับคำบอกเล่าจากท่านอะบีซัลมา คนเลี้ยงอูฐของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)ว่า “ข้าพเจ้าเคยได้ยินท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) กล่าวว่า” ในคืนที่พระผู้อภิบาลของฉันทรงนำฉันเดินทางขึ้นสู่ชั้นฟ้านั้น”

พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ศาสนทูตได้ศรัทธาในสิ่งที่พระผู้อภิบาลทรงประทานให้แก่เขาแล้ว”

ฉันกล่าวว่า “และมวลผู้ศรัทธาทั้งหลายด้วย”

พระองค์ตรัสว่า “เจ้าพูดถูกแล้ว มุฮัมมัดแต่ใครเล่าที่เจ้ามอบหน้าที่การปกครองประชาชาติของเจ้าให้?”

------------------------------------

(42) ซูเราะฮ์ อัล-บะเกาะเราะฮ์: 3

๓๗

ฉันตอบว่า “คนที่ประเสริฐที่สุดในประชาชาติ”

พระองค์ตรัสถามว่า “อะลี บินอะบีฎอลิบ หรือ?”

ฉันตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าแต่พระผู้อภิบาล”

พระองค์ตรัสอีกว่า “โอ้ มุฮัมมัด ข้าได้ประกาศิตสู่แผ่นดินเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ข้าได้คัดเลือกเจ้าแทนสิ่งทั้งหลาย กล่าวคือข้าได้แยกเอานามของข้าออกมานามหนึ่งให้เจ้า ซึ่งไม่ว่าข้าจะถูกเอ่ยถึงเมื่อใด เจ้าก็จะถูกเอ่ยถึงพร้อมกับข้าเมื่อนั้น ดังนั้นข้าคือ มะห์มูด (ผู้ได้รับการสรรเสริญ) เจ้าก็คือมุฮัมมัด

(ผู้ได้รับการสรรเสริญ) ต่อจากนั้นข้าก็ได้ประกาศิตเป็นครั้งที่สองว่า

 ข้าได้คัดเลือกอะลี และข้าได้แยกนามของข้าออกมานามหนึ่งให้เป็นนามของเขา ดังนั้น ข้าคือ อัล-อะอ์ลา(ผู้สูงสุด)

ส่วนเขาคือ อะลี(ผู้สูงส่ง) มุฮัมมัดเอ่ย ข้าได้สร้างเจ้าสร้างอะลี ฟาฏิมะฮ์ ฮะซัน ฮุเซน และบรรดาอิมามที่สืบสายเลือดของพวกเขามาจากรัศมี(นูร) ของข้ารัศมีหนึ่ง และข้าได้ประกาศเรื่องการปกครองของพวกเจ้าให้เป็นที่รู้แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในชั้นฟ้าและแผ่นดิน ผู้ใดยอมรับเรื่องนี้ก็เท่ากับเป็น

ผู้ศรัทธาของข้า ผู้ใดปฏิเสธเรื่องนี้ก็เท่ากับเขาเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้ปฏิเสธต่อข้า สำหรับข้า โอ้มุฮัมมัด แม้ว่าบ่าวของข้าคนใดจะเคารพภักดีต่อข้าจนขาดใจตายหรือจนเนื้อหนังฉีกขาดไป แต่เขาผู้นั้นปฏิเสธการปกครองของพวกเจ้า ข้าก็จะไม่ยอมให้อภัยให้แก่เขาเลยนอกจากว่าเขาจะยอมรับใน

การปกครองของพวกเจ้าเท่านั้น โอ้มุฮัมมัด เจ้าชอบที่จะเห็นเขาเหล่านั้นไหม ?”

ฉันตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าแต่พระผู้อภิบาล”

๓๘

พระองค์ตรัสกับฉันอีกว่า “จงหันไปมองทางด้านขวาของบัลลังก์ “อัลอัรช์” แล้วฉันก็หันไปมองทันใดนั้นก็ปรากฏว่ามี อะลี, ฟาฏิมะฮ์, ฮะซัน, ฮุเซน, อะลี บินฮุเซน, มุฮัมมัด บิน อะลี, ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด, มูซา บินญะอ์ฟัร, อะลี บินมูซา, มุฮัมมัด บินอะลี, อะลี บินมุฮัมมัด, ฮะซัน บินอะลี และอัล-มะฮ์ดี อยู่ในแสงเรืองของดวงประทีปในท่ายืนนมาซ และปรากฏว่าเขา(อัล-มะฮ์ดี) อยู่ระหว่างกลางคนเหล่านั้น ลักษณะเหมือนดาวอันสุกใส”

พระองค์ตรัสว่า “มุฮัมมัดเอ๋ย บุคคลเหล่านี้คือข้อพิสูจน์ และเป็นทายาทลูกหลานของเจ้าผู้ที่จะมาปฏิวัติ ขอสาบานด้วยเกียรติยศของข้าว่าเขาเป็นข้อพิสูจน์ที่จำเป็นสำหรับบรรดาบ่าวที่รักของข้า และเขาจะเป็นผู้ชำระแค้นแก่บรรดาศัตรูของข้า” (43)

15. รายงานจากซัลมาน อัล-มุฮัมมะดี กล่าวว่า “ฉันเคยเข้าพบท่านนบี (ศ) ในขณะที่ ฮุเซน (อ) อยู่บนตักของท่าน ท่านบรรจงจูบที่นัยน์ตาทั้งสองและริมฝีปากของเขาพลางกล่าวว่า “เจ้าคือหัวหน้าซึ่งเป็นบิดาของบรรดาหัวหน้า เจ้าคืออิมามบุตรของอิมาม และบิดาของอิมาม เจ้าคือข้อพิสูจน์ผู้เป็นบุตรแห่งข้อพิสูจน์ เป็นบิดาของบรรดาข้อพิสูจน์ (อัล-กออิม) ทั้งเก้าคนซึ่งสืบสายเลือดของเจ้า คนที่เก้าในหมู่พวกเขาคือ ผู้ดำรงอยู่” (44)

-----------------------------------

(43) มักตัล-ฮุเซน ของคอวาริซมี เล่ม 1 หน้า 96

(44) มักตัล-ฮุเซน ของคอวาริซมี เล่ม 1 หน้า 146

๓๙

16. รายงานจากท่านอับดุลลอฮ์ บินอับบาสได้กล่าวว่า

 “ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) เคยกล่าวว่า

 “แท้จริงบรรดาคอลีฟะฮ์ของฉัน และบรรดาทายาทของฉัน และบรรดาข้อพิสูจน์ ของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ที่มีไว้สำหรับมวลมนุษย์ทั้งหลาย ภายหลังจากฉันแล้ว มี 12 คน คนแรกผู้ซึ่งเป็นพี่น้องของฉัน ส่วนคนสุดท้ายคือลูกของฉัน”

มีคนถามว่า “ข้าแต่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) ใครเล่า ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่าน?”

ท่านตอบว่า “อะลี บินอะบีฏอลิบ”

มีคนถามอีกว่า “ใครเล่าที่เป็นลูกชายของท่าน?”

ท่านกล่าวว่า “อัล-มะฮ์ดีผู้ซึ่งทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรมและยุติธรรมเหมือนอย่างที่เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรมมาก่อน ขอสาบานต่อพระผู้ซึ่งแต่งตั้งฉันมาในฐานะผู้ทรงสิทธิ์อย่างแท้จริงสำหรับการเป็นผู้แจ้งข่าวดีและตักเตือนว่า ถึงแม้อายุขัยของโลกจะยังมีเหลือไม่เกิน

หนึ่งวันก็ตาม แน่นอนอัลลอฮ์(ซ.บ.)จะยึดเวลาให้แก่วันนั้น จนกระทั่ง

อัล-มะฮ์ดี บุตรชายของฉันจะออกมาปรากฏ แล้วรูฮุลลอฮ์ อีซา บุตรมัรยัม ก็จะลงมาแล้วยืนนมาซตามหลังเขา โลกสว่างไสวด้วยรัศมีแห่งพระผู้อภิบาล และอำนาจของพระองค์จะแผ่ครอบคลุมทั้งภาคตะวันออกและภาคตะวันตก”(45)

-----------------------------------------

 (45) อิล-ซามุน-นาศิบ เล่ม 1 หน้า 187

๔๐

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166