ชีวประวัติอิมามอะลี

ชีวประวัติอิมามอะลี 0%

ชีวประวัติอิมามอะลี ผู้เขียน:
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม: อิมามอลี
หน้าต่างๆ: 166

ชีวประวัติอิมามอะลี

ผู้เขียน: ศาสตราจารย์เชคอะลีมุฮัมมัด อะลีดุคัยยิล
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม:

หน้าต่างๆ: 166
ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 30300
ดาวน์โหลด: 3225

รายละเอียด:

ชีวประวัติอิมามอะลี
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 166 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 30300 / ดาวน์โหลด: 3225
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามอะลี

ชีวประวัติอิมามอะลี

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

อัตชีวประวัติอิมามมะศูมีน 1

อิมามอะลี(อ)

เขียน

ศาสตราจารย์เชคอะลี มุฮัมมัด อะลี ดุคัยยิล

แปล

อาจารย์อัยยูบ ยอมใหญ่

บทนำ

ตำแหน่งอิมาม

เมื่อเราถือว่า เป็นหน้าที่ของอัลลอฮ์(ซ.บ.)ที่พระองค์ทรงเมตตากรุณา ในกรณีที่ส่งมายังมวลมนุษย์ซึ่งบุคคลที่ชี้นำตักเตือน และเรียกร้องเชิญชวนมนุษย์สู่หนทางอันเที่ยงตรงโดยได้ทรงอธิบายความรู้ในทางศาสนาและกำหนดแบบแผนอันแน่นอนตามที่ทรงประสงค์แก่พวกเขาเพื่อเป็น

หลักฐานข้อพิสูจน์ของพระองค์ที่ให้แก่พวกเขาดังโองการที่ว่า :

“ดังนั้น หลักฐานข้อพิสูจน์อันเป็นเหตุผลลึกซึ้งเป็นของอัลลอฮ์”( 1 )

ผู้ชี้นำและผู้ตักเตือนที่ว่านี้คือท่านศาสนทูตมุฮัมมัด(ศ)ซึ่งได้มีปาฏิหารย์มากมายและมีข้อพิสูจน์หลายประการมาสนับสนุนสัจธรรมและคำสอนของท่านและอัล-กุรอานอันทรงเกียรติเล่มนี้

ก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันอมตะและเป็นข้อพิสูจน์อันเที่ยงธรรมประการหนึ่งของพระองค์ ที่ไม่มีความผิดพลาดใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นในยุคปัจจุบันและอนาคตข้างหน้าก็ตามจะล่วงล้ำกล้ำกลายคัมภีร์เล่มนี้ได้

มันเป็นสิ่งที่ถูกประทานจากพระผู้ทรงเกียรติ พระผู้ทรงปัญญาญาณนับเป็นเวลา 14 ศตวรรษล่วงมาแล้วที่พระองค์ทรงท้าทายมนุษยชาติให้นำเสนอคัมภีร์ที่เหมือนกับเล่มนี้มาต่างหากสักเล่มหนึ่ง ต่อจากนั้นเมื่อทรงประจักษ์ถึงความด้อยในสมรรถภาพ และขีดความสามารถของมนุษย์

------------------------------------------------------------------

(1)ซูเราะฮ์ อัล-อันอาม: 149

พระองค์ตรัสว่า :

“ให้พวกเจ้านำมาเสนอเพียง 10 บทที่เหมือนอย่างนี้” (2)

ต่อมาตรัสอีกว่า :

“ให้พวกเจ้านำมาเสนอเพียงบทเดียว ที่เหมือนอย่างนี้”(3)

และหลังจากเป็นที่แน่นอนแล้วว่า มวลมนุษย์ไร้ซึ่งสมรรถภาพ

พระองค์ก็ตรัสอีกว่า :

“จงกล่าวเถิดว่า แน่นอนถึงแม้มวลมนุษย์กับญินจะร่วมกันนำเสนอคัมภีร์สักเล่มหนึ่งให้เหมือนกับอัล-กุรอานนี้ พวกเขาก็มิอาจนำเสนอให้เหมือนเล่มนี้ได้ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือแก่อีกส่วนหนึ่งก็ตามที”(4)

เพราะท่านเป็นศาสนทูตจากอัลลอฮ์(ศ)สู่มวลมนุษย์เพื่อปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากสภาพความเป็นอยู่แบบงมงาย หลงผิดซึ่งท่านก็ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ตามที่ได้รับมอบหมาย และจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ที่ท่านจำเป็นต้องกลับคืนสู่พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งหมายถึงความตายที่ท่านไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

---------------------------------------------------------------------------

(2) ซูเราะฮ์ ฮูด: 13

(3) ซูเราะฮ์ ยูนุส: 38

(4) ซูเราะฮ์ อัลอิซรออ์: 88

ดังโองการที่ว่า

“แท้จริง เจ้าคือคนที่ต้องตายคนหนึ่งแล้วพวกเขาก็เป็นคนที่ต้องตายด้วย”(5)

“เป็นกฎของอัลลอฮ์ที่มีแด่บรรดาคนในรุ่นก่อนๆ และเจ้าจะไม่พบว่ากฎใด ๆ ของอัลลอฮ์มีความเปลี่ยนแปลง”(6)

แน่นอนที่สุด หลังจากท่านได้สิ้นไปแล้วจะต้องมีเหตุหลายประการเกิดขึ้น ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

1. ศาสนาที่จะต้องเลิกล้ม และบทบัญญัติของอิสลามจะต้องมีอันลบล้างไป ในเหตุผลที่ว่าตำแหน่งศาสดาเป็นของคู่กับชีวิตของท่านเมื่อสิ้นสูญไปด้วยกันแล้ว มวลมนุษยชาติก็จะย้อนกลับสู่สภาพที่ไร้อารยธรรมตามเดิม หรือ

2. มนุษยชาติถูกทอดทิ้งโดยเจตนา ให้อยู่กับวัฒนธรรมและการควบคุมบริหารของพวกตนเพราะว่าพวกตนสามารถปกครองพวกกันเองด้วยตัวเองได้แล้ว และปล่อยให้พวกเขาดำเนินชีวิตไปตามแบบแผนที่พวกตนกำหนดขึ้นมาเองได้โดยหมดความจำเป็นแก่บทบัญญัติว่า ต้องมีผู้ควบคุมผู้อธิบายกฎเกณฑ์ในบทบัญญัตินั้นๆ และผู้ที่จะคงไว้ซึ่งการกำหนดขอบเขตต่างๆ ของบทบัญญัติดังกล่าวหรือ

----------------------------------

(5) ซูเราะฮ์ อัซ-ซุมัร: 30

(6) ซูเราะฮ์ อัล-อะห์ซาบ: 62

3. มิฉะนั้นประชาชาติในสมัยหลังจากท่านศาสดา (ศ) แล้ว มีอิสระใน การตัดสินใจได้ โดยที่ประชาชนร่วมกันลงคะแนนเสียงเลือกอิมามขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมพวกตนเองได้ หรือ

4. จะต้องมีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งอิมามสำหรับประชาชาติไว้เพื่อดำรงไว้ซึ่งทางนำสำหรับพวกเขาเหล่านั้น และสั่งให้คนเหล่านั้นปฏิบัติตามและเคารพเชื่อฟัง

หากเราจะพิจารณาให้ถ่องแท้ เราจะต้องถอนความรู้สึกนิยมการถือฝักฝ่ายอันน่าชังออกไปเสียก่อน แล้วเราค่อยวิเคราะห์แต่ละข้อด้วยเหตุผล

แน่นอนที่สุด เราจะพบว่าความในข้อแรกที่ว่า บทบัญญัติต้องมีอันล้มเลิกนั้น ผิดพลาดอย่างแน่นอน เพราะว่าอิสลามคือบทบัญญัติสุดท้ายที่สมบูรณ์แบบ เป็นมาตรการที่อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงประทานมาเพื่อมนุษย์ทั้งมวล

 ดังโองการที่ว่า :

“แท้จริงศาสนาของอัลลอฮ์ คืออัล-อิสลาม”

ฉะนั้นถ้าหากว่า บทบัญญัติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)อันควรค่าแก่การยกย่องนี้เป็นของที่อยู่กันกับชีวิตของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ)

เท่านั้น แน่นอน ศาสนานี้ต้องมีความบกพร่อง เพราะว่า การเผยแพร่ยังมิได้ควบคุมไปยังมวลมนุษย์อีกเป็นจำนวนมหาศาลและยังมิได้เข้าใจกระจ่างแจ้งถึงวิถีทางนำอันถูกต้องและปลอดภัย

จุดบกพร่องอีกประการหนึ่งก็คือ งานเสียสละอันยิ่งใหญ่ที่ท่านนบี (ศ) ได้ทุ่มเทเพื่อศาสนานี้

เป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่ท่านได้มอบไว้แก่ศาสดานี้อีกทั้งยังปล่อยให้เป็นอิสระแก่คนรุ่นหลังที่จะพิทักษ์ปกป้องหรือไม่ แต่ถ้าเราพิจารณาดูผู้ก่อตั้งแนวคิดทางการเมืองและลัทธิความเชื่อทั้งหลายแล้ว

จะพบว่าคนเหล่านั้นวางพื้นฐานรองรับแนวความคิดของพวกตน และกำหนดแนวทางไว้ให้ยืนยาวสำหรับประชาชนในทุกยุคทุกสมัยต่อๆมา

ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลหักล้างข้อความในแง่นี้ให้ยืดยาวแต่อย่างใด เพราะมันหมายถึงความผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัด และคงไม่มีใครเห็นด้วยเลย ไม่ว่าจะเป็นคนในศาสนานี้หรือไม่ก็ตาม

เหตุผลตามข้อ 2. ที่ว่า ท่านได้ละทิ้งประชาชาติอิสลามโดยเจตนาให้พวกเขาบริหารกิจการกันเองก็ยิ่งผิดพลาดมากกว่าข้อ 1 เพราะทหารไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยไม่มีผู้บังคับบัญชาและกำกับการ ประชาชนก็ขาดเสียมิได้ซึ่งหัวหน้าบริหารกิจการและพิทักษ์รักษาสิทธิ์ต่างๆ ยิ่งกว่านั้น

แม้กระทั่งร่างกายเล็กๆ ของเรานี้ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ก็ทรงกำหนดให้มีศูนย์ควบคุม และหัวหน้าเอาไว้

นั่นคือ “หัวใจ” และศูนย์สมองความรู้สึกสัมผัสต่าง ๆ ทั่วสารพางค์ล้วนมีศูนย์กลางอยู่ที่หัวใจและศูนย์สมองทั้งสิ้น

เป็นไปได้อย่างไรที่ว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) จะทอดทิ้งมนุษย์ทั้งหลายโดยเจตนาให้พวกเขาดำเนินการกันไปเองตามธรรมชาติหรือความสามารถของพวกเขาเองโดยที่ท่านได้ให้บรรดาสาวก

 และประชาชาติในยุคที่ติดตามมา ซึ่งได้รับพรอันสูงส่งทางด้านวิชาความรู้และการรู้จักพระผู้เป็นเจ้าจนสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ชี้นำและผู้ปกครอง เนื่องจากทุกคนเคยใกล้ชิดท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) แล้วได้รับเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาจากท่านด้วยกัน แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับประชาชนในเมืองอื่นๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป ทำอย่างไรจะให้คนในเมืองนั้นๆ ได้มีผู้สอนศาสนาอธิบายบทบัญญัติและควบคุมให้อยู่ในกฎเกณฑ์ และขัดขวางบรรดาผู้ละเมิดตลอดทั้งต่อต้านกับพวกมิจฉาทิฎฐิ (กาฟิร)

ใช่อาจเป็นอย่างนี้ได้ ถ้าหากอัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงเปลี่ยนธรรมชาติของมนุษย์ให้เป็นธรรมชาติของมะลาอิกะฮ์และให้พวกเขาพำนักในโลกนี้เยี่ยงการพำนักในชั้นฟ้า กล่าวคือ อยู่ในระดับสูงเกินกว่าที่จะตั้งข้อกล่าวหาและประเสริฐจนพ้นสภาพที่จะทรยศฝ่าฝืนได้อีก

คำตอบสำหรับเหตุผลตามข้อ3. ที่ว่าให้ประชาชาติอิสลามเลือกผู้ปกครองของพวกตนกันเองก็คือ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ประชาชนร่วมกันลงมติเลือกคนใดคนหนึ่งขึ้นมา ถึงแม้คนๆ นั้น

จะมีความพร้อมบริบูรณ์และมีความรู้ที่สุดแล้วก็ตาม จะเป็นไปได้อย่างไรที่ประชาชนทุกคนจะร่วมกันลงมติเลือกคนๆ เดียวกัน ในเมื่อต่างคนต่างก็มีความคิดเห็นและทัศนะทางด้านนโยบายแตกต่างกันทั้งนั้น

ปัจจุบันเป็นสมัยที่มีการปกครองกันในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนสามารถเลือกผู้แทนของตน และพวกเขาก็เข้าไปเลือกรัฐบาลโดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างถูกต้อง

แต่พร้อมกันนั้น เราก็พบว่าในทุกประเทศจะมีแต่ปัญหาความขัดแย้งกันเอง และพบว่ามีผู้ตั้งตัวขึ้นเป็นฝ่ายค้านทางการเมืองกับรัฐบาลในทุก ๆ ประเด็น และจะพบว่าตามหน้าหนังสือพิมพ์ล้วนมีการโต้แย้งและขัดค้านการดำเนินงานของรัฐบาลมีการโจมตีกันอย่างมากมาย

 จนกระทั่งรัฐบาลนั้นถูกล้มไปก็จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่กันอีก ในรูปแบบเดียวกันกับที่ผ่านมาแล้วในอดีต ในหมู่ผู้แทนก็จะมีการแบ่งฝักฝ่ายกันไปตามที่ประชาชนเลือกเข้ามา และถึงแม้จะเป็นที่ถูกใจของฝ่ายที่คัดค้านในอดีตแต่ก็ยังขัดแย้งกับฝ่ายค้านอีกกลุ่มหนึ่งต่อไป เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็มีหนังสือพิมพ์ มีพรรคการเมืองสนับสนุนบางครั้งการขัดแย้งก็มิได้น้อยไปกว่าคราวก่อนๆ เลย

เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนไม่สามารถจะร่วมกันลงมติเลือกบุคคลใดๆ ที่แน่นอนขึ้นมาได้ถึงแม้คนๆ นั้นจะเป็นผู้มีความดีเด่นและความรอบรู้

สักเพียงใดก็ตามต่อให้พวกเขาร่วมกันคัดเลือกทั้งทางทิศตะวันออกสุดจนถึงทิศตะวันตกสุด การเลือกของพวกเขาจะดีไปกว่าการเลือกของอัลลอฮ์

(ซ.บ.) กระนั้นหรือ?

ความคิดเห็นของพวกเขาจะดีกว่าทัศนะของอัลลอฮ์(ซ.บ.) กระนั้นหรือ ? อัซตัฆฟิรุลลอฮ์(ข้าขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์) ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่มีมุสลิมคนใดกล้าพูดเช่นนั้น เพราะคนเราไม่ว่าจะมีความรู้ลึกซึ้งมากมายแค่ไหน ก็ยังมีการตัดสินใจผิดพลาดได้เสมอ

ยกตัวอย่าง ท่านนบีมูซา บินอิมรอน(อ)ตามโองการที่ว่า

“และมูซาได้คัดเลือกพวกของตน 70 คนเนื่องในการกำหนดเวลาของเรา”(7)

โดยเชื่อว่าคนเหล่านั้นเป็นคนดีที่สุดในประชาชาติของท่าน แต่แล้วการสนทนาของคนเหล่านั้นมีต่อท่านตอนหนึ่งว่า :

“เราจะไม่ศรัทธากับท่านจนกว่าเราจะเห็นอัลลอฮ์ (ซ.บ.) อย่างชัดเจน”(8)

-------------------------------------

(7) ซูเราะฮ์อัล-อะอ์รอฟ: 155

(8) ซูเราะฮ์อัล-บะเกาะเราะฮ์: 55

และการตักเตือนใดๆของท่านนบีมูซา(อ)ที่มีต่อพวกเขาก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดจนถึงกับมีเสียงกัมปนาทแห่งการลงโทษมาคร่าชีวิตของพวกเขาไปเลยเหตุผลที่แฝงเร้นอยู่ก็คือความไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของพวกเขาในการตัดสินใจเลือกนั่นเอง เพราะมิได้ถูกต้องตรงกับสาวกที่มีคุณสมบัติ

ประเสริฐสุดของท่านจริงๆ ทั้งๆ ที่ท่านเองก็เป็นถึงศาสดาที่พระเจ้าส่งมา

เรื่องการเลือกอิมาม เป็นหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะของอัลลอฮ์(ซ.บ.) ดังโองการที่ว่า :

“และพระผู้อภิบาลของเจ้าทรงสร้างและทรงคัดเลือกตามที่พระองค์ทรงประสงค์อันว่าการคัดเลือกมิได้เป็นเรื่องของพวกเขา”(9)

เพราะเป็นกิจการภายในศาสนาข้อสำคัญที่สุดข้อหนึ่งในเรื่องศาสนานั้นมวลประชาชาติไม่มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นเช่นในเรื่องจำนวนครั้งของรอกะอัตต่างๆ ในการนมาซ และพระองค์มิได้ปรึกษาหารือกับมนุษย์ในเรื่องอัตราการจ่ายทรัพย์สิน (ซะกาต) และความรู้ต่างๆ ของอิสลามก็มิได้ถ่ายทอดออกมาจากความคิดของพวกเขาด้วย ทั้งนี้รวมไปถึงบทบัญญัติว่า อะไรเป็นของอนุญาต อะไรเป็นของต้องห้าม ยิ่งไปกว่านั้นในเรื่องเหล่านี้อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงบัญชา และวางกฎข้อบังคับให้พวกเขาถือหลักปฏิบัติด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น

-------------------------------------------------

 (9) ซูเราะฮ์อัล-เกาะศ็อศ: 68

ตำแหน่งอิมามได้รับการยืนยันด้วยอะไร

“ตำแหน่งอิมาม” ได้รับการยืนยันโดยสิ่งสำคัญสองประการ นั่นคือข้อบัญญัติจากอัล-กุรอาน และจากท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) เกี่ยวกับเรื่อง “อิมาม” ที่มีมากมายหลายประการ ดังที่ท่านจะได้อ่านข้อบัญญัติของ

อัลกุรอานและจากท่านศาสนทูต (ศ) เป็นจำนวนมากในเรื่องของ

ท่านอะมีรุลมุมินีน (อ) อินชาอัลลอฮ์(หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์)

ขณะเดียวกัน ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกถึงความยิ่งใหญ่ และคุณสมบัติพิเศษต่างๆ มากมายของท่าน

ในปัจจุบันนี้ ท่านอิมามอะลี บินอะบีฎอลิบ(อ) ได้จากไปแล้ว 14 ศตวรรษ แต่เราก็ยังสามารถศึกษาคำเทศนาทุกๆ บทได้ในหนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ แม้กระทั่งในทุกบทตอนของการปราศรัยในที่ต่างๆ นอกจากนี้ท่านอิมาม(อ)ก็ยังมีการตอบคำถาม และการตัดสินคดีความซึ่งท่านอิมามอะลี(อ)ยังรู้คำตอบของคดีนั้นอย่างสมบูรณ์ก่อนแล้วขนาดที่ถ้าหากคนทั่วไปทั้งหมดร่วมกันนำเอาคำตอบข้อใดข้อหนึ่งของท่านมาพิจารณาหรือค้นคว้าในคำตัดสินคดีความของท่านเพื่อที่จะหาเหตุผลหักล้างแล้ว แน่นอนคนทั้งหลายก็ไม่มีความสามารถจะกระทำได้เลย

ในเมื่อตำแหน่งอิมามของท่านอะมีรุลมุมินีน (อ) ได้รับการยืนยันโดยข้อบัญญัติของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)และโดยการสำแดงความมหัศจรรย์ออกมาด้วยตัวของท่านเองแล้ว ตำแหน่งอิมามของบรรดาลูกหลานของท่าน (อ) ก็ได้รับการยืนยันโดยข้อบัญญัติของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) และข้อบัญญัติของแต่ละท่านที่มีต่อกันและกันและโดยการสำแดงความมหัศจรรย์ออกมาด้วยตัวของท่านเหล่านั้นทั้งหมดเองด้วย

๑๐

ทำไมต้องมีอิมาม?

ในเมื่อท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุด มีความสมถะที่สุด มีความสำรวม เคร่งครัดที่สุด มีความรู้ดีที่สุด มีความกล้าหาญที่สุด

และมีความเผื่อแผ่ที่สุดแล้ว ย่อมหมายความว่า

ท่านคือผู้ที่มีความดีเด่นสูงสุดยอดอย่างบริบูรณ์ มีคุณสมบัติที่ควรแก่

การสรรเสริญ และมีบุคลิกภาพที่ยิ่งใหญ่เพียบพร้อมด้วยจริยธรรมอันทรงเกียรติเพราะถ้าท่านมิได้เป็นคนที่ประเสริฐที่สุด

ท่านก็ยังต้องจำเป็นแสวงหาการชี้แนะจากมนุษย์คนอื่นอีก ถ้าหากท่านมิได้เป็นคนมีความสำรวมและยำเกรงพระเจ้าที่สุดแล้ว ท่านก็ยังเป็นที่ให้ความมั่นใจแก่ศาสนาและโลกนี้ไม่ได้ ถ้าหากท่านมิได้เป็นคนสมถะที่สุดแล้ว ความปรารถนาในทางโลกของท่านก็จะทำให้คนทั่วไปไม่ปรารถนาศาสนาของท่าน หากท่านมิได้เป็นคนมีความรู้มากที่สุด ท่านก็ไม่สามารถอธิบายให้ปวงบ่าวของพระผู้เป็นเจ้าเข้าใจในการแยกแยะว่า อะไรเป็นของอนุมัติและอะไรเป็นของต้องห้าม ถ้าหากท่านมิได้เป็นคนกล้าหาญที่สุดในการรบและอดทนที่สุดในยามเผชิญหน้ากับศัตรูก็ย่อมจะเป็นข้อบกพร่องอย่างใหญ่หลวงในการควบคุมทหารและจะสร้างความพ่ายแพ้ในการสงคราม

หากท่านมิได้เป็นคนที่มีความเผื่อแผ่ที่สุด แน่นอนภารกิจทางศาสนาของท่านก็มิอาจดำรงอยู่ได้ บรรดาสาวกจะพากันแตกแยกจากท่าน เมื่อนั้นคนทั่วไปก็จะเป็นทาสของโลก และเป็นพวกแสวงหาผลประโยชน์ไปเสีย

๑๑

ดังนั้น ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) จึงต้องมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมด้วยเกียรติและมีบุคลิกภาพทีควรแก่การสรรเสริญที่สุด กล่าวคือประชาชนทั่วไปศึกษาเรียนรู้จริยธรรมอันบริบูรณ์จากท่าน และคุณสมบัติอันประเสริฐใดๆ ก็ตามที่เราถือว่าต้องมีสำหรับนบีนั้น คือ เหตุผลที่ระบุอย่างชัดเจน

สำหรับการเป็นอิมามภายหลังจากท่านศาสดา เพราะเขาผู้นั้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งตามเจตนารมณ์ของท่านศาสดา จะทำหน้าที่ควบคุมและเผยแผ่บทบัญญัติของท่านศาสดา และเป็นผู้อธิบายบทบัญญัติที่อนุมัติ(ฮะลาล)และบทบัญญัติต้องห้าม(ฮะรอม)อย่างชัดเจน

ใครคืออิมาม?

ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับท่านศาสนทูต (ศ) ที่จะต้องดำเนินการให้มีอิมามแก่ประชาชาติตามบัญชาของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) เพื่อเขาจะได้ดำเนินการเผยแผ่ศาสนาแก่ประชาชนทั้งหลาย และเพื่อเขาจะได้อธิบายให้ประชาชนมีความรู้ในสิ่งที่ดีงาม ผลตอบแทนสำหรับความดีและการลงโทษสำหรับความชั่ว เพื่อสอนคนเหล่านั้นให้รู้ชัดแจ้งในบทบัญญัติ และรู้ในสิ่งที่เป็น

ของอนุญาต (ฮะลาล) และของต้องห้าม (ฮะรอม) อย่างชัดเจน อีกทั้งทำหน้าที่ดำรงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ทางศาสนาเพื่อประชาชาติจะได้ยึดเป็นหลักการ

แล้วใครกันเล่า คืออิมามที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)ได้แต่งตั้งไว้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นั่นคือ ท่านอะลี บินอะบีฏอลิบ (อ) กล่าวคือ นับแต่วันที่ท่านศาสนทูต(ศ) ถูกแต่งตั้งจนถึงแก่การวายชนม์ ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด ท่านไม่เคยแยกตัวออกห่างจากท่านอะลี (อ) เลย

๑๒

 เมื่อเริ่มได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดา และประกาศศาสนาใหม่ๆ ท่านศาสนทูต (ศ) ได้ประกาศเรียกคนในตระกูลบะนีฮาชิมมาประชุมพร้อมกัน ท่านได้พูดกับคนเหล่านั้นว่า

“ผู้ใดตอบรับงานอันนี้ และจะร่วมดำเนินภารกิจอันนี้กับข้าบ้าง เขาก็คือพี่น้องของข้า และเป็นทายาท เป็นผู้ร่วมภารกิจ เป็นผู้สืบมรดก และเป็นผู้ปกครองแทนข้า หลังจากข้าไปแล้ว”

แต่ไม่มีใครตอบรับท่านเลยสักคน ท่านอะมีรุลมุมินีน (อ) จึงกล่าวขึ้นว่า

“ข้าแต่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ศ) ข้าพเจ้าจะเป็นผู้ร่วมภารกิจนี้กับท่านเอง”

ท่านศาสนทูต(ศ)จึงกล่าวว่า

“เจ้าคือพี่น้องของข้า ทายาทของข้า ผู้ร่วมภารกิจของข้า ผู้สืบมรดกและผู้ปกครองแทนข้าหลังจากข้าไปแล้ว”

คนเหล่านั้นพากันลุกขึ้นยืน พลางกล่าวกับอะบีฎอลิบว่า

“วันนี้ท่านจะต้องวิบัติแน่แล้ว ถ้าท่านยอมรับศาสนาของลูกชายของน้องชายของท่านเพราะว่าเขาได้ตั้งลูกของท่านขึ้นเป็นผู้บัญชาการท่านแล้วนี่”

อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในตอนแรกของการประกาศศาสนาของท่านศาสดา (ศ) กล่าวคือ ครั้งหนึ่งเคยมีคนนำนกย่างเป็นอาหารไปมอบแก่ท่านศาสดา (ศ) ดังนั้นท่านได้อ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า (ดุอาอ์) ว่า

“ข้าแต่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ขอได้ส่งคนที่พระองค์รักมากที่สุดมารับประทานนกย่างตัวนี้พร้อมกับข้าด้วยเถิด”

๑๓

ปรากฏว่าท่านอะลี (อ) ก็เข้ามาทันที อีกครั้งหนึ่งท่านได้กล่าวกับ

ท่านอะลี (อ)ว่า

“เธอกับฉันมีฐานะเช่นฮารูนกับมูซา เพียงแต่ไม่มีนบีคนใดหลังจากฉันอีกแล้ว”

เมื่อครั้งท่านศาสดา (ศ) ได้ส่งท่านอิมามอะลี (อ) ออกไปรบดวลดาบตัวต่อตัวในสงครามคอนดัก(สนามเพลาะ) กับอัมร์ บินอับด์วุด อัลอามิรี แล้วท่าน ก็กล่าวขึ้นว่า

“อีมามทั้งมวลได้ออกไปเผชิญหน้ากับการชิริก(ตั้งภาคี)ทั้งมวล”

แล้วหลังจากที่ท่านอิมามอะลี(อ)ได้สังหารอัมร์เสร็จ ท่านศาสดา (ศ) ได้กล่าวว่า

“การลงดาบเพียงครั้งเดียวของอะลีที่มีต่ออัมร บินอับด์วุด อัล-อามิรีแห่งสงครามคอนดักครั้งนี้นั้น มีค่าเทียบได้กับการเคารพภักดี(อิบาดัต)ต่อพระเจ้า ทั้งโดยหมู่ญินและมนุษย์ทั้งมวลรวมกัน”

ในสงครามคัยบัรท่านศาสดา(ศ)ได้กล่าวว่า

“แน่นอน วันพรุ่งนี้ฉันจะมอบธงชัยให้แก่คนผู้หนึ่งที่รักในอัลลอฮ์(ซ.บ.) และศาสนทูตแห่งพระองค์ (ศ) โดยอัลลอฮ์ (ซ.บ.)และศาสนทูต (ศ)รักเขาเช่นกัน เขาจะไม่กลับจากการรบจนกว่าอัลลอฮ์ (ซ.บ.)จะมอบชัยชนะแก่เขา”

ต่อมาท่านจึงเรียกหาอิมามอะลี (อ) และเมื่ออิมามอะลี (อ) มาแล้วท่านก็มอบธงชัยนั้นให้แก่ท่านอะลี (อ)

๑๔

ซึ่งท่านอะลี (อ) ได้ออกไปพร้อมกับธงชัยทำสงครามอย่างห้าวหาญจนประสบผลสำเร็จโดยได้สังหารแม่ทัพฝ่ายคัยบัรชื่อว่า มัรหับ และมีชัยชนะกลับมาเพราะฝีมือของท่านท่านศาสดาเคยนำท่านอะลี (อ) ออกไปทำพิธีสาบานเพื่อพิสูจน์ความจริง(มุบาฮะละฮ์)เพราะท่านอิมามอะลี (อ) มีค่าเท่ากับตัวของท่านศาสดา (ศ) เอง

ดังโองการในอัล-กุรอานที่ว่า:

“ดังนั้นจงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงมากันเถิดแล้วเราจะเรียกบรรดา

ลูกๆ ของเรามาและท่านเรียกบรรดาลูกๆ ของท่านมา เราเรียกบรรดาสตรีของเรามาและท่านก็เรียกบรรดาสตรีของท่านมาและเราเรียกตัวตนของเรามาและท่านเรียกตัวตนของพวกท่านมา”(10)

ท่านศาสดา(ศ)เคยคลุมตัวท่านอะลี(อ) ด้วยผ้าคลุม “กิซา” ในขณะที่อ่านโองการของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ที่ว่า:

“อันที่จริงอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ประสงค์เพียงการขจัดมลทินออกไปจากพวกเจ้า โอ้อะฮ์ลุลบัยต์และทรงชำระขัดเกลาพวกเจ้าให้บริสุทธ์ยิ่ง”(11)

---------------------------------------------------------------------

(10) ซูเราะฮ์ อาลิ อิมรอน: 61

(11) ซูเราะฮ์ อัลอะหซาบ: 33

๑๕

ท่านศาสดา (ศ) เคยสั่งให้ปิดประตูบานต่างๆ ของบ้านที่ตรงกับมัสยิดยกเว้นประตูบ้านของท่านอะลี (อ) เท่านั้น

ท่านศาสดา(ศ)เคยกล่าวถึงท่านอะลี(อ)ว่า

“ฉันคือนครแห่งความรู้ ส่วนอะลีคือประตูของมัน”

ท่านศาสดา (ศ) เคยพูดกับท่านอะลี (อ) ว่า

“เธอคือทายาทของฉัน ผู้ทำหน้าที่ชำระหนี้สินของฉัน และทำความสมบูรณ์ให้แก่พันธะสัญญาของฉัน”

ตลอดจนถึงวจนะต่าง ๆ จำนวนนับร้อยที่ออกมาจากท่านศาสดา

มุฮัมมัด (ศ) ซึ่งล้วนแต่ให้ความหมายบ่งชี้ถึงการแต่งตั้งให้ท่านอะลี (อ) เป็นอิมามของประชาชาติและประกาศให้ประชาชนได้ตระหนักว่า ท่านมีความรู้และบทสรุปของอัลฮะดีษต่างๆเหล่านั้นที่สำคัญที่สุดได้มาถึงบทสรุป

สุดท้ายแห่งอัลฮะดีษ

ในวันสำคัญที่เฆาะดีรคุม ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ได้ประกาศว่าท่านจะบำเพ็ญฮัจญ์ในปีนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะท่านได้ประจักษ์ว่า ท่านจะต้องตอบรับการเรียกร้องให้คืนกลับสู่พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ฉะนั้นประชาชนต่างมารวมกันจากทั่วทุกสารทิศ หลังจากเสร็จพิธีฮัจญ์ร่วมกับคนเหล่านั้นแล้ว ท่านศาสนทูต (ศ) ก็ได้เดินทางกลับไปยังนครมะดีนะฮ์ พร้อมกับบรรดามุสลิมทั้งหลาย ครั้นพอมาถึงตรงทางแยกที่บรรดาฮุจญาจทั้งหมดต่างจำต้องแยกย้ายกันกลับบ้านเมืองของตนนั้น ท่านศาสทูต (ศ) ได้สั่งให้หยุด และให้เรียกบรรดาพวกที่เดินรุดหน้าไปแล้วกลับมาและให้รอพวกที่ยังเดินทางอยู่ข้างหลังให้มาถึงด้วย

๑๖

 พอบรรดามุสลิมชุมนุมกันพร้อมแล้ว ท่านก็สั่งให้ตั้งมิมบัรที่ทำจาก

อานบนหลังอูฐมาวางลง แล้วท่านก็ขึ้นกล่าวคำเทศนากับคนเหล่านั้นโดยอธิบายอย่างชัดเจนถึงบุคคลที่จะเป็นผู้นำ(อิมาม) ภายหลังจากท่านต่อจากนั้นท่านก็จับมือของท่านอะลี บินอะบีฏอลิบ (อ) ชูขึ้น จนคนสามารถมองเห็นซอกรักแร้ที่ชาวของท่านทั้งสองได้

ท่านศาสดา(ศ) กล่าวว่า

“ดังนั้นบุคคลใดที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา ก็ให้ถือว่า อะลี ผู้นี้เป็นผู้ปกครองของเขาด้วย ข้าแต่อัลลอฮ์ (ซ.บ.) โปรดคุ้มครองคนที่สวามิภักดิ์ต่อเขา และโปรดเป็นศัตรูต่อคนที่เป็นศัตรูต่อเขาโปรดช่วยเหลือ คนที่ช่วยเหลือเขา โปรดทำลายคนที่ทำลายเขา”

จากนั้นท่านก็จัดให้ท่านอะลี (อ) ยืนโดดเด่นอยู่ภายนอก แล้วออกคำสั่งให้บรรดามุสลิมเข้ามาแสดงการคารวะต่อท่านในฐานะผู้ศรัทธา

 และญิบรออีลได้นำโองการหนึ่งลงมาความว่า

“วันนี้ ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์สำหรับพวกเจ้าแล้ว และข้าได้ให้ความโปรดปรานของข้าครบบริบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว และข้าพอใจให้อิสลามเป็นศาสนาของพวกเจ้า”(อัลมาอิดะฮ์: 3)

๑๗

ข้อบัญญัติจากท่านศาสนทูต (ศ) ในเรื่องบรรดาอิมาม (อ)

วจนะ (อัล-ฮะดีษ) ของท่านศาสนทูต (ศ) ในประเด็นที่ว่า บรรดาอิมาม (อ)มี 12 ท่านนั้นมีการบันทึกไว้มากมายอย่างน่าอัศจรรย์ บางทีข้าพเจ้าคงไม่ถึงกับเป็นคนพูดเกินเลยแต่อย่างใด

ถ้าจะกล่าวว่าอัลฮะดีษในข้อนี้ มีไม่น้อยไปกว่าอัลฮะดีษต่าง ๆ ที่กล่าวถึงเรื่องนมาซ หรือเรื่องการถือศีลอดเลย

ฮะดีษเหล่านี้มิได้ให้ความหมายในทางอื่น นอกจากว่า บรรดาอิมามทั้ง 12 ท่านนั้นต้องเป็นอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นสิ่งสำคัญหนักยิ่งอันดับที่ 2 ซึ่งท่านศาสนทูต(ศ)ได้ฝากไว้ให้กับบรรดาประชาชาติและในเมื่อไม่มีคนใดสามารถคัดค้านหรือกล่าวตำหนิสายสืบผู้นำมาบันทึกเนื่องจากการบันทึกไว้ตรงกันอย่างมากมาย ประกอบกับจำนวนของนักรายงานที่มีมาก อีกทั้งจากการบันทึกโดยนักปราชญ์ต่างๆ แล้ว ผู้มีใจอคติบางกลุ่มจึงพยายามที่จะเบนเหตุผลที่มีอยู่ในฮะดีษเหล่านี้ ออกจากความหมายตามความเป็นจริงและตีความตามเหตุผลดังกล่าวไปให้แก่คนกลุ่มอื่นอีกพวกหนึ่ง

ถึงแม้พวกเขาจะใช้ความพยายามในเรื่องนี้ ก็ปรากฏว่า ในส่วนของจำนวนนั้นยังขาดอยู่บ้างหรือเกินไปบ้างกล่าวคือบรรดาคอลีฟะฮ์อัร-รอชิดีนนั้นมิได้ครบตามจำนวน ส่วนคอลีฟะฮ์ในราชวงศ์อุมัยยะฮ์ก็เกินจากจำนวนและราชวงศ์อับบาซียะฮ์ก็ยิ่งเกินจากจำนวนไปเป็นทวีคูณ คนอีกส่วนหนึ่งก็พยายามจะดึงเอาฝ่ายโน้นมาประกอบกับฝ่ายนี้ ดึงฝ่ายนี้ไปประกอบกับฝ่ายโน้นเพื่อให้ได้ครบตามจำนวนตัวเลขทั้ง 12 ท่าน แต่ก็จำเป็นต้องนับรวมเอานักปกครองทรราชย์ที่หลงผิดและเป็นที่ปฏิเสธของคัมภีร์ลงไปด้วยเช่น มุอาวิยะฮ์, ยะซีด, อับดุลมาลิกบินมัรวานและลูกหลานของตน

๑๘

 ถึงกระนั้นก็ยังไม่ครบจำนวนตามตัวเลขดังกล่าว อีกทั้งไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานและมีสมญานามต่างๆ ที่น่าดูแคลนสำหรับพวกเขาอยู่กล่าวคือ พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะเป็นบุคคลตามที่ท่านศาสนทูต (ศ) ประสงค์ที่จะให้เป็นผู้นำของประชาชาติมุสลิม และผู้ร่วมภารกิจกับอันกุรอานอันทรงเกียรติได้ ขณะเดียวกันก็ยังมีฮะดีษของท่านศาสดาอยู่อีกส่วนหนึ่ง ที่ระบุชื่อของบรรดาอิมามอย่างชัดเจนจนไม่อาจมองข้ามได้ เนื่องจากมีหลายรายงานและมีหลักที่มั่นคงอันต้องยอมรับ

เราเชื่อในความสามารถของผู้คัดค้านว่าสามารถล้มล้างฮะดีษบางเรื่องของท่านศาสนทูต (ศ) ได้แต่ต้องไม่ใช่ฮะดีษต่าง ๆ อันเกี่ยวกับข้อบัญญัติในเรื่องอิมาม 12 เนื่องจากการบันทึกที่ตรงกันของรายงานต่าง ๆ มากมายและประกอบกับจำนวนของนักบันทึกที่ได้รายงานกันมากมาย อีกทั้งเป็นฮะดีษที่ถูกนำเสนอโดยบรรดานักปราชญ์จำนวนมาก และเชื่อว่าผู้ที่สันทัดในการตีความก็สามารถตีความหรือแปลความฮะดีษบางเรื่องของท่านศาสดาได้ แต่จะทำไม่ได้กับฮะดีษต่างๆ ในเรื่องนี้ เพราะจะไม่เป็นการถูกต้องเลย

 ถ้าหากมิให้หมายถึงบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์(อ)

ชัยค์ สุลัยมาน อัล-ก็อนดูซี ได้กล่าวว่า นักวิเคราะห์ผู้สันทัดกรณีทางวิชาการอธิบายว่า

 “ฮะดีษต่างๆ ของท่านศาสดาที่ให้เหตุผลในเรื่องคอลีฟะฮ์

 (ผู้สืบทอดการปกครอง) ต่อจากท่าน จำนวน 12 คนนั้น เป็นที่รับรู้กันอย่างแพร่หลายโดยกระแสรายงานหลายฝ่าย กล่าวคือมีการอธิบายและให้

รายละเอียดถึงกาลเวลาและสถานที่ จึงเป็นที่รู้กันว่าจุดมุ่งหมายของ

ท่านศาสนทูตที่มีต่อฮะดีษของท่าน ก็คือ บรรดาอิมาม 12 เหล่านี้ต้องมาจากอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) และวงศ์วานของท่านนั่นเอง

๑๙

ฉะนั้นจึงไม่อาจให้ข้อสันนิษฐานได้เลยว่าฮะดีษข้อนี้ของท่านศาสดา (ศ) จะหมายถึง คอลีฟะฮ์ หลังจากท่านที่เป็นสาวก (ศอฮาบะฮ์) เนื่องจากจำนวนของพวกเขามีน้อยกว่า 12 และไม่อาจสันนิษฐานอีกเช่นกันว่า จะหมายถึงราชวงศ์อุมัยยะฮ์ เนื่องจากพวกเขามีจำนวนเกินกว่า 12 และเนื่องจากความอธรรมอย่างเลวร้ายของคนเหล่านั้นอีกด้วย ยกเว้น อุมัรบิน อับดุลอะซีซ

คนเดียว และเนื่องจากเหตุผลประการหนึ่งคือ พวกนั้นมิใช่ลูกหลานจากตระกูลบะนีฮาชิมตามรายงานที่บันทึกจากท่านอับดุลมาลิกโดยการบอกเล่าของท่านญาบิร และที่ท่านศาสนทูต(ศ)ได้บอกกระซิบถึงข้อนี้ ซึ่งเป็นข้อแม้ของ

รายงานดังกล่าวก็เพราะพวกเขาไม่เห็นชอบกับตำแหน่งคอลีฟะฮ์ของลูกหลานบะนีฮาชิม และไม่อาจสันนิษฐานได้อีกเลยว่า จะหมายถึง

ราชวงศ์อับบาซียะฮ์เนื่องจากพวกเขามิได้รับความคุ้มครอง

โดยโองการที่ว่า

“จงกล่าวเถิดว่า ฉันมิได้ขอรางวัลใด ๆ สำหรับเรื่องนี้จากพวกท่าน นอกจากความจงรักภักดีในญาติสนิทของฉัน” (อัชชูรออ์: 23)

และเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับผ้าคลุมกิซา ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ฮะดีษของท่านศาสดา(ศ)ข้อนี้ ต้องหมายถึงบรรดาอิมาม 12 จาก

อะฮ์ลุลบัยต์ (อ) ซึ่งเป็นวงศ์วานลูกหลานของท่านเท่านั้น เพราะเขาเหล่านั้นเป็นคนมีความรู้มากที่สุดสำหรับคนในยุคนั้น

๒๐