ชีวประวัติอิมามฮะซัน

ชีวประวัติอิมามฮะซัน0%

ชีวประวัติอิมามฮะซัน ผู้เขียน:
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม: ห้องสมุดศาสดาและวงศ์วาน
หน้าต่างๆ: 134

ชีวประวัติอิมามฮะซัน

ผู้เขียน: ศาสตราจารย์เชคอะลีมุฮัมมัด อะลีดุคัยยิล
ผู้แปล: อัยยูบ ยอมใหญ่
กลุ่ม:

หน้าต่างๆ: 134
ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 57063
ดาวน์โหลด: 3602

รายละเอียด:

ชีวประวัติอิมามฮะซัน
ค้นหาในหนังสือ
  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 134 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 57063 / ดาวน์โหลด: 3602
ขนาด ขนาด ขนาด
ชีวประวัติอิมามฮะซัน

ชีวประวัติอิมามฮะซัน

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

บทที่ 4.

เมื่อมุอาวิยะฮฺเข้ามาหาท่านอิมามฮะซัน(อ) ท่านได้อ่านดุอาอ์บทหนึ่งว่า

“ ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตาอยู่เป็นนิรันดร์ ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเกรียงไกร ข้อแต่อัลลอฮฺ

มหาบริสุทธิ์เป็นของพระองค์ ข้าแต่ผู้ดำรงอยู่เป็นนิรันดร์ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระผู้ทรงชีวิตไม่มีความตาย ข้าขอวิงวอนต่อพระองค์ เหมือนอย่างผู้ที่ตก

เป็นเหยื่อที่ปากเสือในขณะที่อยู่ในบ่อ ซึ่งไม่มีความสามารถจะหาทางใดๆ หลีกพ้นได้ นอกจากโดยการอนุมัติของพระองค์ ข้าขอวิงวอนต่อพระองค์ได้โปรดยับยั้งการกระทำของชายคนนี้ที่กระทำต่อข้า และให้พ้นจากศัตรูของข้าทุกคน ทั้งทางทิศตะวันออกและทางทิศตะวันตก ทั้งจากมนุษย์และญิน ขอได้โปรดเอาไปจากพวกเขาซึ่ง หู การได้ยิน ตา หัวใจ และอวัยวะต่างๆ ของพวกเขา ขอให้ผ่านพ้นจากแผนการร้ายของพวกเขาด้วยอำนาจและพลังของพระองค์ โปรดเป็นผู้ใกล้ชิดข้าเพื่อปกป้องให้พ้นจากพวกเขา

และคนพาลทั้งหลาย และให้พ้นจากมารร้ายที่ไม่ศรัทธาในวันตัดสินตอบแทน แท้จริงผู้คุ้มครองข้าคืออัลลอฮฺผู้ประทานคัมภีร์ลงมา และพระองค์ทรงคุ้มครองบรรดาผู้มีคุณธรรม ดังนั้นถึงแม้เขาทั้งหลายจะปฏิเสธ ดังนั้นก็จงกล่าวว่า อัลลอฮฺ ผู้ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ก็เป็นที่เพียงพอแล้วสำหรับข้า ข้าขอมอบหมายตนเองยังพระองค์ และพระองค์คือพระผู้อภิบาลแห่งบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ ” ( 4)

(4 ) มุฮิจญุดดะอฺวาต หน้า 143

๘๑

บทที่ 5.

ท่านอิมามฮะซัน(อ)วิงวอนด้วยบทดุอาอ์อีกบทหนึ่งว่า

“ ข้าแต่ผู้เป็นที่พึ่งของผู้ที่ไร้ที่พึ่ง ทรงเป็นผู้ให้ความอบอุ่นใจแก่คนที่โดดเดี่ยว โปรดประทานพรแด่มุฮัมมัด และลูกหลานของท่าน โปรดให้ข้าอบอุ่นใจกับพระองค์ แน่นอนที่สุด โลกของพระองค์ทรงความคับแค้นให้แก่ข้า โปรดบันดาลให้ข้ามีการมอบหมายตนต่อพระองค์

แน่นอนที่สุดศัตรูของพระองค์ได้รังควานข้าแล้ว ข้าแต่อัลลอฮฺ ได้โปรดประทานพรแด่มุฮัมมัด และโปรดนำข้าเข้าสู่พระองค์ และให้ข้าแสวงหาพระองค์ ข้าขอมอบตัวยังพระองค์ และข้าขอกลับตัวยังพระองค์

ข้าแต่อัลลอฮฺ คุณลักษณะอันใดก็ตามที่ข้าพรรณนาถึงพระองค์หรือ

คำวิงวอนใดก็ตามที่ข้าวิงวอน ขอต่อพระองค์ ขอให้พระองค์ประทานความสัมฤทธิ์ผลตามนั้น โดยความรักจากพระองค์ และ ความปิติชื่นชมของพระองค์ ขอให้ข้ามีชีวิตอยู่ตามนั้นและตายลงกับสิ่งนั้น อันใดที่ข้ารังเกียจ

ก็ขอให้พระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าไปสู่สิ่งที่พระองค์รักและชื่นชมยินดี

ข้าขออภัยโทษต่อพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าของข้า ข้าขออภัยต่อพระองค์อันเนื่องมาแต่ความผิดพลาดของข้า ไม่มีพลัง ไม่มีอำนาจใดๆ นอกจากโดยอัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก พระองค์ผู้ทรงโอบอ้อมอารี

ผู้ทรงเผื่อแผ่ยิ่ง ขอให้อัลลอฮฺประทานพรแด่มุฮัมมัดและลูกหลานของท่าน ขอให้ความทุกข์โศกในโลกนี้และปรโลก จงผ่านพ้นไปจากเราเพราะความอบอุ่นจากพระองค์ ข้าแต่พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ” ( 5)

5(มุฮิจญุดดะอฺวาตหน้า 144)

๘๒

บทที่ 6.

ท่านอิมามฮะซัน(อ)มีดุอาอ์บทหนึ่งคือ

“ ข้าแต่อัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์คือผู้ดูแลสรรพสิ่งทั้งมวลของพระองค์ ในบรรดาสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างจะไม่มีใครเป็นผู้ดูแลเสมอเหมือนพระองค์ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ความดีงามใดๆที่มีก็เนื่องมาแต่ ความเมตตาของพระองค์ ความชั่วใด ๆ ที่มีก็เนื่องมาแต่ความผิดพลาดของมนุษย์เอง

จะไม่มีอะไรดีที่สุดเท่าการอภัยและความช่วยเหลือของพระองค์ไม่มีอะไรชั่วร้ายเท่ากับการบิดพลิ้วต่อพระองค์ และออกนอกกฎบัญญัติของพระองค์ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้ารู้จักพระองค์แล้ว ข้าได้เข้าสู่ทางนำตามคำสั่งของพระองค์ก็เพราะพระองค์ ถ้าหากไม่มีพระองค์ ข้าก็ไม่รู้จักว่าพระองค์คือใคร ข้าแต่พระผู้ทรงเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ทรงเป็นอย่างนั้น ที่นอกเหนือไปจากพระองค์โปรดประทานพรแด่มุฮัมมัด และลูกหลานของมุฮัมมัด และโปรดประทานเครื่องยังชีพ ให้แก่ข้านั่นคือความบริสุทธิ์ใจในการงานของข้า และโปรดเผยความไพศาลแก่เครื่องยังชีพของข้า ข้าแต่อัลลอฮฺ โปรดประทานความดีให้แก่การงานของข้า ในตอนสุดท้ายของมันให้วันที่ข้าได้พบพระองค์เป็นวันที่ดีที่สุดของข้า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าเชื่อฟังปฏิบัติตามพระองค์ ความโปรดปรานที่ถือว่าเป็นบุญคุณยิ่งของพระองค์นั้น

โปรดประทานแก่ข้า อันเป็นสิ่งที่พระองค์รักมากที่สุด ได้แก่ ความศรัทธาต่อพระองค์ ความเชื่อมั่นต่อศาสนทูตของพระองค์ และข้าจะไม่ทรยศต่อพระองค์ด้วยการกระทำสิ่งที่พระองค์ชิงชังที่สุด อันได้แก่ การตั้งภาคีต่อพระองค์ การบิดเบือนต่อศาสนทูตของพระองค์ ดังนั้นโปรดให้อภัยแก่ข้าในส่วนที่อยู่ระหว่างของสองสิ่งนี้ด้วยเถิด ข้าแต่พระผู้ทรงเมตตาเหนือกว่าผู้มีความเมตตาใด ๆ ” ( 6)

6) มุฮิจญุดดะอฺวาต หน้า 144)

๘๓

การตอบสนองต่อคำวิงวอน

เป็นที่รับประกันได้อย่างหนึ่งว่า คำวิงวอนที่ได้รับการตอบสนองประการหนึ่งนั้น ได้แก่

คำวิงวอนของผู้ที่ได้รับความไม่เป็นธรรมที่ขอให้มีอันเป็นไปแก่ผู้อธรรม บรรดาอิมาม(อ)นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกเขาคือพวกที่ถูกกดขี่ ซึ่งได้รับแต่การประทุษร้าย ด้วยวิธีการต่างๆ นานา

จนในที่สุดพวกเขาทั้งหมด(ขออัลลอฮฺได้โปรดประทานความสันติสุขแด่ทุกท่าน) ต้องได้รับการสังหารและถูกลอบวางยาพิษแน่นอนที่สุด

การดำเนินชีวิตของบรรดาอิมาม(อ) ล้วนเต็มไปด้วยความอดกลั้นอดทน มีความเมตตาปราณีต่อคนที่ทำร้าย แต่บรรดาอิมาม(อ)ในยามที่ประสบกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจากบรรดาผู้อธรรม ท่านก็จะอ้อนวอนขอต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) เพื่อทรงประทานการลงโทษแก่คนเหล่านั้น ซึ่งอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ก็ทรงให้การสนองตอบคำวิงวอนของพวกเขา โดยให้คนที่ประทุษร้าย

เหล่านั้นได้รับการลงโทษในโลกนี้ก่อนการลงโทษในปรโลก

ในบทนี้เราจะกล่าวถึงเรื่องราวบางส่วนในเรื่องของการสนองตอบต่อคำวิงวอนขอของท่านอิมามฮะซัน(อ)

1. มีประชาชนมาขอความช่วยเหลือต่อท่านอิมามฮะซัน(อ)ใน กรณีของอิบนุซิยาด ท่านจึงยกมือขึ้นวิงวอนขอว่า

“ ข้าแต่อัลลอฮฺ ได้โปรดจัดการกับอิบนุซิยาดให้แก่พวกเราและผู้ที่เป็นพรรคพวกของเราด้วยเถิด ให้เราได้เห็นการลงโทษ และความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่เขาเถิด แท้จริงพระองค์ทรงมีเดชาสามารถในทุกสิ่ง ”

๘๔

ต่อมาปรากฏว่า มีโรคชนิดหนึ่งปรากฏออกมาจากหัวแม่มือด้านขวาของเขา แล้วมันลุกลามไปจนถึงคอ จากนั้นเขาก็ถึงแก่ความตาย(1)

2. ครั้งหนึ่งมุอฺาวิยะฮฺสั่งให้ท่านอิมามฮะซัน(อ)กล่าวคำปราศรัย ซึ่งท่านก็ได้กล่าวมันด้วยอรรถรสยิ่งนัก ปรากฏว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นคนหนุ่มจากตระกูลอุมัยยะฮฺเข้ามาในที่ชุมนุมนั้น เขาแสดงความก้าวร้าวต่อท่านอิมาม(อ) ด่าประณามท่านอย่างรุนแรง และลามปามไปถึงบิดาของท่านอิมามด้วย ท่านอิมามฮะซัน(อ)กล่าวขึ้นว่า

“ ข้าแต่อัลลอฮฺ ขอได้ทรงเปลี่ยนความโปรดปรานที่เขามีอยู่นั้นเสียเถิด ”

ปรากฏว่าชายคนนั้นกลายสภาพไปในทันที(2)

-----------------------------------------------------

1) อัด - ดัมอะตุซ - ซากิบะฮฺ เล่ม 1 หน้า 233)

2) อิษบาตุล - ฮุดาฮ์ เล่ม 5 หน้า 149)

๘๕

สนธิสัญญาสันติภาพ

1. ความเป็นมา

ท่านอะลี อะมีรุลมุมินีน(อ) เสียชีวิตไปในขณะที่หัวใจของท่านมีความเจ็บปวดอย่างใหญ่หลวง เนื่องจากสมาชิกบางคนของท่านคิดคดทรยศต่อท่าน และปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนท่านในหนังสือ

“ นะฮฺญุล-บะลาเฆาะฮฺ ”

ได้มีการบันทึกคำอุทธรณ์กับคนเหล่านั้นมีการตำหนิถึง

พฤติกรรมของพวกเขาอย่างเผ็ดร้อน เช่นครั้งหนึ่งท่านได้กล่าวว่า

“ แน่นอนพวกเจ้าทำให้หัวใจของข้ากลัดหนอง พวกเจ้าได้ทับถมภาระอันหนักหน่วงลงในหัวอกของข้า พวกเจ้ากลั่นแกล้งข้าให้ได้รับความขมขื่นอย่างท่วมท้น พวกเจ้าได้สร้างความเสียหายแก่ข้าด้วยการทรยศหักหลัง ”

อีกวาระหนึ่ง ท่านได้กล่าวกับพวกเขาว่า

“ น่าอดสูจริง ๆ แน่นอนข้าขอสาปแช่งในความเลวของพวกเจ้า พวกเจ้าพอใจในชีวิตแห่งโลกนี้มากกว่าปรโลกอันยาวนานกระนั้นหรือ

พวกเจ้าพึงพอใจในความต่ำต้อยมากกว่าเกียรติยศอันถาวรกระนั้นหรือ ?”

ท่านยังเคยเทศนาแก่พวกเขาในเชิงปรับทุกข์ครั้งหนึ่งว่า

“ ข้าขอยืนต่อหน้าพวกเจ้าในฐานะผู้คร่ำครวญ และขอเรียกร้องพวกเจ้าในฐานะผู้ขอความช่วยเหลือว่า ถ้าไม่รับฟังคำพูดใดๆ จากข้าก็รังแต่จะเกิดเหตุการณ์อันวิปโยคขึ้นในภายหลัง แล้วจะไม่มีร่องรอยใดๆ ของพวกเจ้าให้พบเห็นอีกเลย และพวกเจ้าก็จะไม่บรรลุถึงจุดหมายอันสูงสุด

ข้าเรียกร้องพวกเจ้าเพื่อให้ช่วยเหลือพี่น้องของพวกเจ้า แต่พวกเจ้าทำอิดเอือนอย่างกับอูฐที่เดินเชื่องช้า

๘๖

พวกเจ้าขัดขืนรั้งตัวเองไว้ข้างหลังจนสิ้น ที่เหลือไปเป็นทหารกับข้าก็เฉพาะคนอ่อนแอ ดังโองการที่ว่า :

“ เสมือนหนึ่งพวกเขาถูกลากจูงไปสู่ความตาย ในขณะที่พวกเขามองเห็น ”

เมื่อประสบกับความผิดหวังที่ร้ายแรงที่สุด ท่านได้กล่าวว่า

“ ชั่งอัปยศแท้ ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ พวกเจ้าช่วยเหลือใครกันแน่ ใครที่ได้ถลำตัวไปกับพวกเจ้า ก็เท่ากับเขาได้ถลำตัวไปในหุบเหวอันแสนลึก ”

ท่านอิมามอะลี(อ)ยังได้พรรณนาถึงบุคคลเหล่านั้นอีกว่า

“ ไม่เคยมีข้อเรียกร้องอันใดที่หนักหน่วงเท่ากับข้อเรียกร้องของพวกเจ้า ไม่เคยมีหัวใจที่ไม่ทุกข์ใดๆ เท่าหัวใจที่แข็งกระด้างของพวกเจ้า

ต้นเหตุของความหลงผิดก็คือการต่อต้านผู้ทรงคุณวุฒิสูงส่งทางศาสนา ”

ท่านเคยสำทับเตือนคนเหล่านั้นว่า

“ ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ข้ามั่นใจเหลือเกินว่า คนเหล่านั้นจะล่อลวงพวกเจ้าให้เข้าไปอยู่ในความผิดพลาดร่วมกับพวกเขา และจะแย่งชิงสิทธิของพวกเจ้า นั้นขึ้นอยู่กับการที่พวกเจ้าทรยศต่ออิมามที่ชอบธรรมของพวกเจ้า แต่กลับปฏิบัติตามผู้นำที่ผิดพลาดของพวกเจ้า ”

ในขณะที่ทหารของอิมามอะลี(อ)มีลักษณะดังกล่าว แต่กองทหารของฝ่ายศัตรูกลับให้การเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาของตนเป็นอย่างดี

๘๗

จนท่านอิมาม(อ)ถึงกับกล่าวว่า

“ ผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้าปฏิบัติตามอัลลอฮฺ(ซ.บ.) แต่พวกเจ้ากลับทรยศต่อเขา ส่วนผู้บังคับบัญชาของชาวชามทรยศต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) แต่พวกเขายังเชื่อฟังปฏิบัติตาม ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ข้าจะพอใจอย่างยิ่ง ถ้าหากมุอาวิยะฮฺยอมแลกเปลี่ยนทหารกับฉัน เหมือนอย่างกับการแลกเงินดีนาร์กับเงินดิรฮัม กล่าวคือให้เขาเอาพวกเจ้าไปจากข้า 10 คน แล้วให้เขามอบพวกเขาเหล่านั้นมาให้ข้าเพียงคนเดียว ” ( 1)

มุอาวิยะฮฺ รู้ดีว่าทหารของอิมามอะลี(อ)แปรพักตร์จากท่านเสียแล้ว เขาจึงกล่าวว่า

“ ข้าอยู่กับความจงรักภักดีจากบรรดาทหาร ส่วนเขาอยู่กับความคิดคดของเหล่าทหาร ” ( 2)

2. ทหารอิมามฮะซัน(อ)

ทหารในสมัยของท่านอิมามฮะซัน(อ) ได้เกิดมีปัญหายุ่งยากใหญ่หลวงเพราะทหารของท่านเพิ่มการทรยศมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ กว่าจะได้ออกไปทำสงครามในแต่ละครั้งก็ต้องพร่ำแล้วพร่ำอีก และต้องได้ยินเสียงร้องตะโกนตะคอกของอะดี บินฮาติม และชาวเมืองบัศเราะฮฺคนอื่นๆ

เสียก่อน

-------------------------------------------------------------

1) บางส่วนจากนะฮฺญุล - บะลาเฆาะฮฺ)

2) อัลฮะซัน บิน อะลี ของกามิล ชุลัยมาน หน้า 197)

๘๘

ชัยค์อัล-มุฟีด(ขอให้ท่านประสบกับความเมตตา) ได้พรรณนาถึงลักษณะความเป็นอยู่ของทหารท่านอิมามฮะซัน(อ)ว่า

“ ยามที่ประชาชนกระวีกระวาดเพื่อออกไปต่อสู้ พวกเขากลับหน่วงเหนี่ยวและรักตัวกลัวตาย และที่ออกไปกับท่านก็มีประชาชนในรูปแบบ

ต่างๆ ผสมปนเปกันไปบ้างก็เป็นพรรคพวกของผู้เป็นบิดาของท่านเองในอดีต บ้างก็เป็นคนของท่านเอง บ้างก็เป็นพวกที่แสวงหาผลประโยชน์ใน

การต่อสู้กับมุอาวิยะฮฺในทุกรูปแบบ บ้างก็เป็นพวกที่มีพฤติกรรมแอบแฝง คือ มุ่งแต่จะได้ปัจจัยในการสงคราม บางคนที่มีเงื่อนงำน่าสงสัย บางคนก็เป็นพวกทรยศมาก่อนที่ติดตามหัวหน้าเผ่าของตนโดยไม่มีการหวนคำนึงถึงศาสนา ” ( 3)

3) อัล - อิรชาด หน้า 193)

3. อุบัยดุลลอฮฺ บินอับบาซ

พลทหารของท่านอิมามฮะซัน(อ) ส่วนมากเป็นผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์

เล็กๆ น้อยๆ ท่านเคยส่งทหารออกไปรบจำนวน 12 , 000 คน ภายใต้การนำของ อุบัยดุลลอฮฺ บินอับบาซ คนผู้นี้เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ เพราะแต่ก่อนนั้นเขาเคยทำงานร่วมกับท่านอะมีรุลมุมินีน (อ) ขณะเดียวกับที่ถูกอัปเปหิมาจากมุอฺาวิยะฮฺ และเคยได้บะซัร บินอิฏอฮฺช่วยฆ่าเด็กเล็ก ๆ สองคนเพื่อช่วยเขาที่ยะมัน ปรากฏว่าทั้งเขาและคนอื่น ๆ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับบัญชาทหาร

๘๙

ทหารเหล่านี้ได้ออกเดินทางมาถึงเมืองอะยูเฎาะฮฺ ใกล้กับตำบลมัสกิน ได้พบกับกองทหารของ “ ชาม ” มุอฺาวิยะฮฺได้เชิญตัวเขาไปและมอบเงินให้จำนวน 1 , 000 ,000 ดิรฮัม โดยจ่ายให้ก่อนครึ่งหนึ่ง และจะจ่ายให้อีกหลังจากได้เข้าเมืองกูฟะฮฺ

ธรรมดาของคนที่ละโมภ เขาก็ยินยอมเพื่อสิ่งนั้น ถึงแม้จะโดยวิถีทางที่ไม่ชอบธรรม บรรดาทหารมาเริ่มเข้าใจเอาตอนที่เห็นผู้บังคับบัญชาของตนยืนร่วมนมาซกับพวกนั้น และในแถวนมาซก็มีมุอาวิยะฮฺ ร่วมอยู่ด้วย ขณะนั้นชาว “ ชาม ” คนหนึ่งลุกขึ้นประกาศว่า

“ ผู้ปกครองของพวกท่านอยู่กับเราที่นี่แล้ว เขาได้ให้สัตยาบันต่อเราแล้ว และอิมามของพวกท่านก็ยอมประนีประนอมแล้ว......(เขายังพูดยาวต่อไปจนถึงประโยคที่ว่า).....ถ้ามิฉะนั้นแล้วพวกท่านก็ต้องฆ่าตัวของพวกท่านเอง ”

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ทหารเหล่านั้นก็ตกลงเข้าร่วมขบวนการกับมุอฺาวิยะฮฺ มากขึ้นเรื่อยๆ

ท่านยะอฺกูบีกล่าวว่า

“ อุบัยดุลลอฮฺ ได้นำทหารเข้าสวามิภักด์ต่อมุอฺาวิยะฮฺแปดพันคน ” ( 4)

------------------------------------------------------------------

4) ตารีค อัล - ยะอฺกูบีย์ เล่ม 2 หน้า 204)

๙๐

4. การติดต่อสัมพันธ์

ระหว่างชาวกูฟะฮฺกับมุอฺาวิยะฮฺ

มุอฺาวิยะฮฺได้พยายามดำเนินงานด้วยวิธีคดโกงและให้สินบน ตลอดทั้งวิธีการต่างๆ ทุก

รูปแบบที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา เพื่อสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่ทหารของท่านอิมามฮะซัน(อ) จนกระทั่งมีผู้บังคับบัญชาและคนระดับแกนนำบางคนต้องคล้อยตามกับเขาไป(5)

มุอฺาวิยะฮฺ พยายามดำเนินการเช่นนี้ กล่าวคือ เขาเคยเขียนจดหมายไปหาบุคคลระดับหัวหน้าในเมืองกูฟะฮฺหลายคน โดยสัญญากับคนเหล่านั้นว่าจะยกทรัพย์สินให้ หรือไม่ก็จะมอบตำแหน่งข้าหลวงปกครองเมือง “ ชาม ” หรือไม่ก็จะยกลูกสาวของตนให้แต่งงานด้วย ถ้าหากใครสามารถฆ่าท่านอิมามฮะซัน(อ)ได้ ปรากฏว่าท่านอิมาม(อ)รู้เรื่องนี้ ท่านถึงกับต้องสวมเสื้อเกราะในเวลานมาซ และมีอยู่ครั้งหนึ่งท่านโดนลูกธนูขณะที่ทำการนมาซ(6)

บรรดาผู้นำเผ่าอีกจำนวนหนึ่งก็แสดงความพอใจต่อมุอฺาวิยะฮฺโดยเขียนจดหมายไปถึงเขาว่า จะเชื่อฟังปฏิบัติตามเขาอย่างลับๆ และเรียกร้องให้เขาเดินทางมาหาพวกตน และให้สัญญาอย่างแข็งขันว่า จะบีบให้ท่านอิมาม(อ)ยอมจำนนต่อเขาในทันทีที่เขายกกองทหารเข้ามา หรือไม่ก็ร่วมมือกับเขา(7)

-------------------------------------------------------------------------

( 5) ในหนังสืออัด-ดัมอะตุซ-ซากิยะฮฺ เล่ม 1 หน้า 238

( 6) ในเล่มเดิม หน้า 238

( 7) อัล-อิรชาด หน้า 239

๙๑

ด้วยเหตุนี้เอง ถ้าหากท่านอิมาม(อ)ขืนทำล่าช้าในการเจรจาสันติภาพแน่นอนที่สุดชาวกูฟะฮฺ จะต้องสวามิภักด์ต่อมุอาวิยะฮฺทันที เมื่อนั้นก็จะเป็นผลเสียแก่ท่านมากกว่าผลดี

ท่านอิมามฮะซัน (อ)ได้ส่งทหารไปจำนวน 4 , 000 คน โดยมีผู้บังคับบัญชาเป็นคนตระกูลกันดะฮฺ เมื่อไปถึงแล้ว มุอาวิยะฮฺก็มอบเงินให้ 5 , 000 , 000 ดิรฮัม เขาก็ยอมสวามิภักด์กับมุอฺาวิยะฮฺ ท่านอิมาม (อ) ส่งทหารตามไปอีกจำนวน นำโดยคนตระกูลมุร็อด มุอฺาวิยะฮฺก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับคนแรก คนตระกูลมุร็อด ผู้นั้นก็ยอมทิ้งทหารและเข้าสวามิภักด์กับมุอฺาวิยะฮฺ

มุอฺาวิยะฮฺได้ติดสินบนแก่ อัมรฺ

บินฮาริษ , อัซอัษ บินก็อยสฺ และฮะญัร บินฮะญัร ว่า จะมอบเงินให้ 2 , 000 , 000 ดิรฮัม และให้เป็นผู้นำกองทัพ “ ชาม ” และให้แต่งงานกับลูกสาวของตน ถ้าหากสามารถฆ่าท่านอิมามฮะซัน (อ) ได้ พวกเขายอมรับเงื่อนไขดังกล่าวแต่กระทำการไม่สำเร็จ

๙๒

5. ความห้าวหาญ

ของท่านอิมามฮะซัน(อ)

ท่านอิมามฮะซัน(อ)บังคับบัญชาบรรดาทหารด้วยความลำบากใจและสับสน ในขณะที่มุอฺาวิยะฮฺ ดำเนินแผนการชั่วของตนไปเรื่อย ๆ ครั้งหนึ่งเขาส่งคนไปหาท่านอิมาม(อ)ซึ่งประกอบด้วย

มุฆีเราะฮฺ บินชุอฺบะฮฺ , อับดุลลอฮฺ บินอฺามิร บินกะรีซ และอัดดุรเราะฮฺมาน บินอุมมุลฮุกมฺ คนเหล่านั้นมาพบท่านในขณะที่ท่านอยู่ในเมือง

“ มะดาอิน ” กำลังทำการสู้รบอยู่ในสมรภูมิ หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกมาจากท่านพูดคุยกับประชาชนว่า

“ แท้จริงอัลลอฮฺทรงปกป้องเลือดเนื้อของลูกหลานท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) และทรงระงับภัยพิบัติไม่ให้ประสบกับเขา และเขายอมรับสงบศึกแล้ว ”

ทันใดนั้นเองทหารก็เกิดความสับสนทันที ประชาชนทั้งหลายก็เชื่อคนเหล่านั้นโดยไม่ระแวงสงสัย แล้วคนพวกนั้นก็เข้าจู่โจมท่าน(อ)ทันที เกิดการสู้รบกัน ท่านอิมาม(อ)ขึ้นขี่ม้าไล่ตามลับหายไปในความมืด แล้วถูกญิรอฮฺ บินซินาน อัล-อะซะดี ลอบแทงที่ต้นขา ท่าน(อ)จับที่เคราของญิรอฮฺและบิดอย่างรุนแรงจนคอของเขาหัก แล้วท่านอิมาม(อ)ก็ถูกนำตัวกลับเมือง

“ มะดาอิน ” เลือดไหลไม่หยุด บาดแผลคราวนี้ของท่านฉกรรจ์นัก แต่...ประชาชนกลับทอดทิ้งท่าน (8)

----------------------------------------------------

( 8) ตารีคอัล-ยะอฺกูบี เล่ม 2 หน้า 205

๙๓

6. หากรบก็ถูกสังหาร

ท่านอิมามฮะซัน(อ)มีความจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจเลือกเอาข้างใดข้างหนึ่งระหว่างสองประการคือ จะต้องยอมตายทั้งตัวท่านเองและอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) ของท่าน รวมทั้งบรรดาผู้รู้ในหมู่ชนที่เป็นพรรคพวกของท่าน ทั้งนี้พวกท่านจะต้องต่อสู้ขับเคี่ยวกับทหารของ “ ชาม ” เป็นเวลาที่ยืดเยื้อยาวนาน จากนั้นความสำเร็จก็ตกอยู่กับฝ่ายมุอาวิยะฮฺ กล่าวคือเขาจะต้องมีชัยชนะต่อบรรดาชาวมุสลิม และลบล้างระบบอิสลาม ในหน้าพิภพจะเต็มไปด้วยความเสียหาย และบางทีมนุษยชาติอาจหวนกลับไปสู่อารยธรรมแบบป่าเถื่อนอีกครั้งก็เป็นได้ หรือไม่ท่านก็ยินยอมรับตามข้อตกลงเพื่อความอยู่รอดของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺและพรรคพวกของท่าน ต่อจากนั้นอิสลามก็จะได้มีโอกาสเผยแผ่ต่อไป คำสอนและบทเรียนของอิสลามก็จะมีโอกาสเผยแผ่ต่อไปเหมือนอย่างที่ท่านอะมีรุลมุมีนีน (อ) บิดาของท่านได้กระทำมาแล้วนานถึง 25 ปี

( 7) หากท่านอิมาม (อ) ถูกสังหาร รัศมีแห่งสัจธรรมเป็นอันต้องดับวูบลง

อิมามฮะซัน(อ)จะถูกสังหารไม่ได้ นอกจากอิมามฮุเซน(อ)จะต้องถูกสังหารเสียก่อน และอิมามฮุเซน(อ)ก็จะต้องถูกสังหารไม่ได้นอกเสียจากว่า ชาวบะนีฮาชิมจะต้องถูกฆ่าเสียก่อนเช่นกัน

และชาวบะนีฮาชิมจะถูกฆ่าไม่ได้เหมือนกัน นอกจากบรรดาสาวกและตาบีอีนที่ยังคงเหลืออยู่บ้างต้องถูกฆ่าเสียก่อน แล้วเมื่อนั้นโอกาสดีก็จะตกเป็นของมุอาวิยะฮิ ในอันที่จะนำอารยธรรมอันป่าเถื่อนตามแบบ “ อุมัยยะฮฺ ” มาสานต่อ แล้วเลิกล้มระบบอิสลาม แต่ถ้าหากท่านยินยอมต่อเขาอย่างนี้

๙๔

เขาก็จะไม่สามารถนำเอาความแปดเปื้อนและแปลกปลอมอะไรเข้ามาได้ถนัดนัก เคยมีผู้คนติเตียนอิมามในกรณีที่ท่านยอมทำสัญญาสันติภาพ

ท่านตอบเขาไปว่า

“ ฉันกล่วว่าบรรดามุสลิมจะถูกลบล้างไปจากหน้าแผ่นดิน แต่ฉันยังต้องการให้ศาสนานี้ดำรงอยู่ ” ( 9)

ซุฟยาน บินยาลีล กล่าวกับท่านอิมาม(อ)ในครั้งหนึ่งว่า

“ อัสลามุอะลัยกะ โอ้ ผู้ยังความต่ำต้อยให้กับมวลผู้ศรัทธา ”

ท่านกล่าวตอบเขาว่า

“ ฉันมิได้ทำอะไรให้พวกเขาต่อต้อย ? ฉันไม่ชอบที่จะมีการทำลายพวกเขา(มุอ์มิน) และล้ม

ล้างพวกเขาจนหมดสิ้น ” ( 10)

อะบีซะอีดเคยถามท่านอิมามฮะซัน(อ)ถึงเหตุผลในการทำสนธิสัญญาสันติภาพ ท่านได้ตอบว่า

“ ถ้าฉันไม่ทำอย่างที่ฉันทำ แน่นอนพรรคพวกของฉันจะไม่เหลืออยู่บนหน้าแผ่นดินเลยแม้แต่คนเดียว เพราะจะต้องถูกฆ่าจนหมดสิ้น ” ( 11)

------------------------------------------------------------------------------

9) ฮะยาตุล - อิมามฮะซัน ( อ ) ของอัล - กุร็อยซี เล่ม 2 หน้า 230)

10) ตัชกิเราะตุล - ค่อวาศ หน้า 114)

11) บิฮารุล - อันวารฺ เล่ม 10 หน้า 101)

๙๕

8. มุอาวิยะฮฺ บินอะบีซุฟยาน

อะบูซุฟยานนั้นเป็นศัตรูของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) และเป็นศัตรูของท่าน

ศาสนทูตที่ร้ายกาจที่สุดในบรรดาคนทั้งหลาย ก็ยังครุ่นคิดถึงการที่จะเข้ารับอิสลาม แต่มุอาวิยะฮฺ ได้เขียนหนังสือถึงเขาว่า

“ ทะเลทรายเอ๋ย เจ้าอย่าได้ยอมจำนนเลยเป็นอันขาด แม้เพียงวันเดียว เพราะหลังจากชาวบะตัรเป็นผุยผงไปแล้วเราจะเอาชนะให้ได้ ”

มุอาวิยะฮฺ ยังมีความแค้นเคืองไม่หายต่อระบบอิสลาม และผู้ทรงสิทธิในตำแหน่งผู้นำ นั่นคือ ท่านอะมีรุลมุมีนีน(อ) ครั้งหนึ่งเขาเคยจัดประชุม แล้วเรียกอิบนุอับบาซ(ร.ฎ.)เข้ามา แล้วกล่าวว่า

“ แท้จริงในจิตใจของข้ามีความเคียดแค้นพวกเจ้ามากที่สุด

โอ้บะนีฮาชิม ฉันนี่แหละคือผู้ที่จะสร้างปัญาหให้เกิดขึ้นในหมู่พวกเจ้า เลือดของพวกเราเคยอยู่เบื้องหน้าพวกเจ้า และความไม่เป็นธรรมต่อเราก็มีอยู่ในหมู่พวกเจ้า ” ( 12)

เราไม่อยากจะเชื่อว่า จะมีมุสลิมคนใดพูดอย่างนี้ได้ ถ้าหากอิสลามได้เข้าสู่จิตใจของเขาแล้ว

เขาต้องการมีชัยชนะในยุทธวิธีแบบป่าเถื่อน เป็นศัตรูของอิสลามและท่านศาสนทูต(ศ)ที่ร้ายยิ่งกว่านี้ก็คือ คำบอกเล่าที่มีรายงานบันทึกมาจาก มุฏร็อฟ บินอัล-มุฆีเราะฮฺ บินชุอฺบะฮฺว่า :

ฉันกับอัล-มุฆีเราะฮฺ ผู้เป็นบิดาได้เข้าพบมุอาวิยะฮฺ และปรากฏว่าบิดาของฉันได้เข้าพูดคุยสนทนากับมุอาวิยะฮฺ ต่อจากนั้น ท่านก็กลับมาหาฉัน แล้วท่านก็ได้กล่าวถึงเรื่องของมุอาวิยะฮฺ และความเฉลียวฉลาดให้ฉันฟัง ดูท่านจะรู้สึกแปลกใจในสิ่งที่ได้พบเห็นในตัวของมุอาวิยะฮฺ มาก

12) อัล - ฮะซัน บินอะลี ของกามิล ชุลัยมาน หน้า 182)

๙๖

ครั้นเมื่อถึงเวลากลางคืน ท่านไม่รับประทานอาหารค่ำ และฉันสังเกตเห็นท่านนั่งครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา

ฉันก็คอยดูอยู่ชั่วโมงหนึ่ง แล้วฉันก็คิดว่า จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา และการงานของเราสักอย่างแน่

ฉันจึงกล่าวกับท่านว่า

“ ทำไมท่านถึงได้นั่งครุ่นคิดอยู่ทั้งคืน ?”

ท่านตอบว่า “ ลูกเอ๋ย พ่อได้มาพบกับคนที่เลวที่สุดแล้ว ”

ฉันถามว่า “ เรื่องมันเป็นอย่างไร ?”

ท่านกล่าวว่า “ ขณะที่พ่ออยู่กับเขาเพียงลำพัง พ่อพูดกับเขาว่า ท่านอะมีรุลมุมีนีน (มุอาวิยะฮฺ) เอ๋ย แท้จริงท่านก็ล่วงเข้าสู่วัยที่มีอายุมากแล้ว ถ้าหากว่าท่านแสดงออกมาซึ่งความยุติธรรม และกระจายคุณงามความดีก็จะเป็นการดีที่สุด ท่านก็ดูชราภาพแล้ว ท่านน่าจะพิจารณาดูชาวบะนีฮาชิมแล้วเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีกับพวกเขาเสีย ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ว่า ขณะนี้พวกเขาไม่มีอะไรที่ท่านจะกลัวอีกแล้ว ”

เขาตอบว่า “ ช้าก่อน ช้าก่อน กษัตริย์แห่งพี่น้องของ “ ตีม ” เขามีความยุติธรรม และเขาได้ทำหน้าที่ต่าง ๆที่ควรทำ แต่ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ไม่เห็นเขามีอะไร นอกจากความตายและชื่อเสียงของเขาก็สลายไป อาจมีบางคนเรียกเขาว่า อะบูบักร์ (ก็เท่านั้น) จากนั้นก็กษัตริย์แห่งพี่น้องของ “ บะนีอะดี ” เขาก็เก่งกาจและสามารถดำรงตำแหน่งได้ 10 ปี

แต่ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากความตายและชื่อเสียงของเขาก็สลายไป อาจมีบางคนเรียกเขาว่า อุมัร(ก็เท่านั้น) ต่อจากนั้นก็กษัตริย์อุษมาน อาณาจักรของชายผู้นี้เกรียงไกรไม่มีใครเหมือน เขาทำหน้าที่ต่างๆ และเขาถูกกระทำเหมือนที่เขากระทำ

๙๗

ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า ไม่เห็นมีอะไรนอกจากว่าเขาได้ตายไป ชื่อเสียงของเขาและผลงานของเขาก็หมดไป แท้จริงพี่น้องแห่ง

“ บะนีฮาชิม ” เขาประกาศก้องทุกวัน ๆ ละ 5 ครั้งว่า ข้าขอปฏิญานตนว่า มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ แล้วหลังจากนั้นจะมีผลงานอะไรบ้างที่เหลือ ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ไม่เชื่อคอยดู

ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ จะไม่มีอะไรเหลือนอกจากการถูกฝังเท่านั้น ” ( 13)

คำบอกเล่านี้ได้รู้ไปถึงหูมะอ์มูนโดยคนบางคนที่เป็นลูกน้องของเขา

เขาได้เขียนบันทึกส่งไปหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อประณามมุอาวิยะฮฺ และประกาศตัดสัมพันธ์ไมตรีกับทุกคนที่สนับสนุนมุอาวิยะฮฺในทางที่ดี เพราะเขาเห็นว่า คำพูดมุอาวิยะฮฺที่พูดออกไป เป็นคำพูดของพวกบูชาเจว็ด และพวกป่าเถื่อนที่ทรยศต่ออัลลอฮฺ ปฏิเสธศาสนทูตของพระองค์ และบรรดาผู้ปกครองที่สืบตำแหน่งภายหลัง(14)

13) กัชฟุล - ฆุมมะฮฺ หน้า 126)

14) อัล - ฮะซัน บินอะลี ของกามิล ชุลัยมาน หน้า 212)

๙๘

มุอาวิยะฮฺ ไม่เคยละเลยในการประณามท่านอะมีรุลมุมีนีน(อ) นอกจากเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะเขาฝังความเคียดแค้นต่ออิสลามและศาสนทูต(ศ)ไว้ในตัวเองอย่างมากมาย ทั้งๆ ที่ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)เคยกล่าวไว้ว่า

“ ผู้ใดประณามฉันก็เท่ากับประณามอัลลอฮฺ และผู้ใดที่เขาประณามอะลีก็เท่ากับประณามฉัน ” ( 15)

มุอาวิยะฮฺ เป็นคนที่ออกห่างจากความรู้ในเรื่องอิสลามและบทบัญญัติ เขาดำเนินชีวิตไปตามเหตุผลของคนในอารยธรรมที่ป่าเถื่อนในอดีต ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวคำเทศนาสั้นๆ หลังจากนมาซร่วมกับประชาชนในตอนเช้าของวันหนึ่งว่า

“ ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ฉันมิได้ทำสงครามกับพวกท่านเพื่อให้พวกท่านนมาซหรือเพื่อถือศีลอด หรือเพื่อบำเพ็ญฮัจญ์ และมิใช่เพื่อจ่ายซะกาต เพราะพวกท่านได้กระทำในสิ่งเหล่านี้กันอยู่แล้ว แต่ที่ฉันทำสงครามกับพวกท่านก็เพื่อจะได้ปกครองพวกท่าน โดยที่อัลลอฮฺได้มอบสิ่งนี้ให้แก่ฉัน ในขณะที่พวกท่านรังเกียจมันอยู่ นอกจากนี้ ฉันจะเป็นคนที่เอาคำสอนต่างๆทั้งหมดของฮะซัน บินอะลี มาไว้ที่ใต้ฝ่าเท้าของฉันจนกระทั่งไม่ยอมให้มีอะไรเหลือ ” ( 16)

15) มุเราวิญุช - ซะฮับ เล่ม 2 หน้า 435)

16) อัล - อิรชาด หน้า 196)

๙๙

ครั้งหนึ่งเขาเคยยืนกล่าวคำปราศรัยต่อหน้าคนในตระกูลกุเรชว่า

“ ฉันมิได้ดำเนินการปกครองโดยแนวทางแห่งความรักตามที่ฉันเรียนรู้มาจากพวกท่าน แต่ฉันจะควบคุมพวกท่านด้วยดาบอันแข็งกร้าวของฉัน แน่นอนฉันเองก็ชอบที่จะปกครองพวกท่านไปตามวิธีการของบุตรแห่งกุฮาฟะฮฺ(อะบูบักร์) แต่มันก็ขัดกับฉัน และฉันต้องการใช้วิธีการของอุมัร แต่ฉันก็หลีกหนีมันอย่างสุดเหวี่ยง และฉันต้องการใช้วิธีการของอุษมาน แต่มันก็ค้านกับฉัน ฉะนั้น ฉันจึงแผ้วถางแนวทางของฉันสำหรับเรื่องนี้อีกแนวทางหนึ่ง ซึ่งจะอำนวยประโยชน์สุข

ให้แก่พวกท่าน มันจะให้การกินดีอยู่ดี เพราะถึงแม้ท่านทั้งหลายจะไม่พบความดีจากตัวฉัน แต่ฉันก็จะให้การปกครองที่ดีแก่พวกท่านได้ ” ( 17)

ท่านอะบูดัรดาอ์เคยเห็นเขาดื่มน้ำจากภาชนะที่ทำด้วยทองคำและเงินแท้ แล้วพูดกับเขา(มุอาวิยะฮฺ)ว่า :

แท้จริงฉันเคยได้ยินท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า

“ คนที่ดื่มจากภาชนะเหล่านี้ ไฟนรกอันร้อนแรงจะไหลลงสู่ท้องของเขา ”

มุอาวิยะฮฺกล่าวว่า “ แต่ฉันไม่เคยเห็นอะไรเกิดขึ้นเลย ”

ท่านอะบูดัรดาอ์กล่าวอีกว่า “ ไม่เคยมีใครเถียงฉันเท่ามุอาวิยะฮฺ ฉันบอกเขาจากคำพูดของศานทูตแห่งอัลลอฮฺ (ศ) แต่เขาพูดกับฉันตามความคิดของเขาเอง ฉันไม่อาจอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกับเขาได้เลย ” ( 18)

17) อัล - ฮะซัน บินอะลี ชองกามิลซุลัยมาน หน้า 196)

18) อัล - ฮะซัน บินอะลี ชองกามิลซุลัยมาน หน้า 217)

๑๐๐