มนุษย์ผู้สมบูรณ์

มนุษย์ผู้สมบูรณ์12%

มนุษย์ผู้สมบูรณ์ ผู้เขียน:
ผู้แปล: สัยยิด อาบูอีมาน ชาห์ฮุซัยนี
กลุ่ม: อิมามอลี
หน้าต่างๆ: 151

  • เริ่มต้น
  • ก่อนหน้านี้
  • 151 /
  • ถัดไป
  • สุดท้าย
  •  
  • ดาวน์โหลด HTML
  • ดาวน์โหลด Word
  • ดาวน์โหลด PDF
  • ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม: 14458 / ดาวน์โหลด: 5269
ขนาด ขนาด ขนาด
มนุษย์ผู้สมบูรณ์

มนุษย์ผู้สมบูรณ์

ผู้เขียน:
ภาษาไทย

มนุษย์ผู้สมบูรณ์

Perfect Man

โดย/By

ชะฮีด มุรตะฎอ มุเฏาะฮารี

SHAHID MURTAZA MUTAHHARI

ผู้แปล/ จากต้นฉบับภาษาอังกฤษ

Translated by

สัยยิด อาบูอีมาน ชาห์ฮุซัยนี

HAJI SYED ABU-IMANSHA HUSEINI

ที่ปรึกษา/

Critic Adviser

ฮุจญะตุ้ลอิสลาม, อัสสะดุลลอฮ อีซาลัต

HUJJATUL ISLAM HAJI SHEIK ASSADULLAH ESSALAT

จัดพิมพ์และแก้ไขเพิ่มเติมโดยเว็บไซต์อัลฮะซะนัยน์

Alhassanain.org/thai

คำนำของผู้แปล

ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตานิรันดร

การสรรเสริญทั้งมวลเป็นของอัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลจักรวาล

ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านศาสดามุฮัมมัดและบรรดาทายาทผู้บริสุทธิ์อะหฺลิลบัยตฺของท่าน

บทความเรื่อง มนุษย์ผู้สมบูรณ์ ที่ถูกนำมาถอดความเป็นภาษาไทยซึ่งท่านถืออยู่ในมือขณะนี้ ทั้งหมดเป็นคำปราศรัยของท่านอัชชะฮีดอยาตุลลอฮ์

มุรตะฎอ มุเฏาะฮารี ซึ่งท่านได้ปราศรัยแก่บรรดานักศึกษาและประชาชนตามสถานที่ต่างๆกันในเดือนรอมฎอนปี ๑๙๗๔ จากถ้อยคำของท่านซึ่งได้ถูกนำมาบรรจุไว้ในหนังสือ “ อินซานกาเม้ล ” ( ชื่อภาษาฟารซี) หรือ

“ มนุษย์ผู้สมบูรณ์ ” และจากนั้นได้แปลความหมายจากภาษาฟารซีมาเป็นภาษาอังกฤษโดยดร.อาลาดิน เจตนารมณ์ของท่านอยาตุลลอฮ์ อัชชะฮีด

มุรตะฎอ มุเฏาะฮารี ที่เกี่ยวกับการให้ความกระจ่างในเรื่องความเป็นมนุษย์ของมนุษย์ผู้สมบูรณ์โดยการอรรถาธิบายของท่านนั้น ก็เพื่อที่จะชี้นำให้เห็นถึงวิถีทางของมนุษย์ผู้สมบูรณ์ที่แท้จริงในอิสลามโดยมีอัลกุรอานและ

อัลฮาดิษเป็นบรรทัดฐานและบางครั้งท่านผู้อ่านจะพบกับถ้อยคำที่แสดงการไม่เห็นพ้องกับบรรดาผู้รู้อิสลามบางกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นทางสายของอิรฟาน

(ผู้รู้ที่ใช้วิจารณญาน) , กลุ่มตะเซาวุฟ(กลุ่มผู้เดินทางโดยจิตวิญญาณในการแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า,กลุ่มปัญญาชน(ผู้ใช้สติปัญญาหาเหตุผล)

ตลอดจน พวกซูฟีที่ปฏิบัติตนเสมือนนักพรตดาบสหรือฤาษี และบรรดากลุ่มชนผู้แสวงหาความเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์อย่างเลยเถิด หรือบรรดาผู้ซึ่งยืนหยัดอยู่บนคุณค่าเดียวของความสมบูรณ์ในอิสลาม

ท่านได้เน้นให้เห็นถึงคุณค่าแห่งความสมบูรณ์หลายในทุกๆคุณค่าของมนุษย์ในอิสลามและพิจารณาว่ามนุษย์ผู้สมบูรณ์จะต้องมีแง่มุมต่างๆพร้อมกัน

ทุกด้านในตัวของเขา มิใช่โน้มไปสู่ด้านใดด้านหนึ่งเพียงเท่านั้นและแบบอย่างของมนุษย์ผู้สมบูรณ์ที่แท้จริงนั้น ท่านได้ชี้นำไปยังท่านศาสดา(ซ.ล)และอิมามอาลี(อ.)ตลอดจนบรรดาอะอิมมะฮฺ(อิมาม)จากครอบครัว

อะหฺลิลบัยตฺของท่านศาสดา ( ซ.ล) ที่เป็นมนุษย์ซึ่งมีทุกๆคุณค่ารวมอยู่ในตัวของพวกท่านเหล่านั้นทั้งหมดซึ่งท่านผู้อ่านสามารถที่จะแสวงหาคุณสมบัติของมนุษย์ผู้สมบูรณ์จากคำบรรยายของท่านที่องค์กรต่างๆได้นำมาเสนอ

เป็นลายลักษณ์อักษรภายในหนังสือมนุษย์ผู้สมบูรณ์เล่มนี้ตามความปรารถนา

ขอขอบคุณต่ออัลลอฮฺ ( ซ.บ) พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งที่ทำให้ด้วยกับความรู้อย่างผู้แปล ได้มีโอกาสพบกับท่านฮุจญะตุ้ลอิสลาม อัสสะดุลลอฮฺ อีสาลัต ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาตัฟซีรพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานภาคภาษาอังกฤษในเมืองกุมและมีโอกาสได้รับคำแนะนำและเพิ่มเติมความหมายที่สำคัญทั้งหลายจากบทความ ตลอดจนความลึกล้ำแห่งบทกวีจากต้นฉบับเดิมที่เป็นภาษาฟารซี จนกระทั่งได้ทำให้หนังสือมนุษย์ผู้สมบูรณ์เล่มนี้ไปสู่จุดแห่งความสมบูรณ์มากขึ้น

ขออัลลอฮฺ(ซ.บ)ผู้ทรงเกรียงไกรได้ทรงโปรดปกป้องคุ้มครองบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายและทรงโปรดประทานแนวทางนี้ให้แก่บรรดาผู้ศึกษาค้นคว้าแสวงหาแนวทางที่เที่ยงตรงเหล่านั้นโดยทั่วหน้ากัน

ภาคที่หนึ่ง มนุษย์ผู้สมบูรณ์

มนุษย์ที่บกพร่องกับมนุษย์ที่ปกติดี

การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิแด่เอกองค์อัลลอฮ์

ขอความจำเริญและสันติพึงมีแด่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล) และ

อะฮ์ลุลบัยต์ ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายของท่าน

อัลลอฮ์ทรงตรัสในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานว่า

“และจงรำลึกถึง ขณะที่พระผู้อภิบาลของอิบรอฮีมได้ทดสอบเขา ด้วยพระบัญชาบางประการ แล้วเขาก็ได้สนองตามพระบัญชานั้นโดยครบถ้วน พระองค์ตรัสว่า แท้จริงข้าจะให้เจ้าเป็นผู้นำมนุษย์ชาติ เขากล่าวว่า และจากลูกหลานของข้าพระองค์ด้วย พระองค์ตรัสว่า สัญญาของข้านั้นจะไม่ได้แก่บรรดาผู้อธรรม”

ภายใต้การบรรยายในหัวข้อเรื่อง“ มนุษย์ผู้สมบูรณ์ ” จากทัศนะของอิสลาม

มนุษย์ผู้สมบูรณ์ หมายถึง มนุษย์ผู้เป็นแบบอย่างซึ่งสูงส่งและเลิศเลอหรือการแสดงความหมายใดๆอื่นที่บุคคลสามารถจะกล่าวได้ว่ามนุษย์ก็เหมือนกับสิ่งอื่นๆทุกสิ่งอาจจะสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ปกติดีหรือบกพร่อง ผู้ที่ปกติดีก็เช่นเดียวกันอาจจะปกติและสมบูรณ์ทั้งสองอย่างหรือปกติดีแต่ไม่สมบูรณ์ก็ได้

การรู้จักมนุษย์ผู้สมบูรณ์หรือมนุษย์ผู้เป็นแบบอย่างจากแง่คิดแห่งอิสลามนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเรามุสลิมทั้งหลาย

แนวทางในการรู้จักมนุษย์ผู้สมบูรณ์ในทัศนะอิสลาม

เพราะว่าเป็นประหนึ่งแบบอย่างและตัวอย่างอันล้ำเลิศ ความพยายามที่จะให้เท่าเทียมกันซึ่งเราอาจทำได้ ถ้าเรามีความประสงค์ที่จะให้ความเป็นมนุษย์ของเราบรรลุถึงความสมบูรณ์ภายใต้คำสอนทั้งหลายแห่งอิสลามเพราะฉะนั้น เราควรจะได้รับรู้ว่ามนุษย์ผู้สมบูรณ์คืออะไร ไฉนเขาจึงถูกมองประหนึ่งผู้สมถะและผู้เลิศล้ำในทางสติปัญญาและอะไรเป็นลักษณะพิเศษทั้งหลายของเขาเพื่อว่าเราอาจจะได้ตระเตรียมตัวของเราเอง สังคมของเราและปัจเจกชนอื่นๆทั้งหลายของเราให้วางอยู่บนแบบอย่างที่ดีเลิศอันนั้นได้ แต่มาตรว่าเรามิได้รู้จักว่ามนุษย์ผู้สมบูรณ์ในอิสลามเป็นเช่นไร

แน่นอนที่สุด เราก็มิสามารถที่จะกลายมาเป็นมุสลิมผู้สมบูรณ์ได้หรือแม้แต่จะเทียบเคียงกันสักอย่างเดียวกับมนุษย์ผู้สมบูรณ์ก็ไม่ได้มาจากทัศนะของอิสลาม มีอยู่สองแนวทางที่จะรู้บุรุษผู้สมบูรณ์ วิธีหนึ่งก็คือทำการตรวจสอบจากอัลกุรอานว่าเป็นอย่างไร เป็นประการแรก และจากสุนนะฮ์(อัลฮาดีษ)เป็นประการที่สองที่ได้กำหนดความชัดเจนของมนุษย์ผู้สมบูรณ์ไว้

แม้ว่ามันจะหมายถึง การเป็นผู้สมบูรณ์ด้านการศรัทธาและการเป็นมุสลิมที่ดีเลิศกระนั้นก็ตาม มุสลิมผู้สมบูรณ์ คือ บุคคลผู้ซึ่งได้บรรลุถึงความสมบูรณ์ในอิสลาม ผู้ศรัทธาที่สมบูรณ์ ก็คือ ผู้ซึ่งบรรลุแล้วซึ่งความสมบูรณ์พร้อมในการศรัทธาของเขา

ณ บัดนี้ เราจะต้องตรวจสอบกันว่าพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานหรือสุนนะฮฺได้พูดถึงบุคคลดังกล่าวไว้อย่างไร และด้วยลักษณะพิเศษอันใด โดยบังเอิญเรามีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะอ้างถึงจากแหล่งที่มาของทั้งสองสิ่ง(อัลกุรอานและอัล-ฮาดีษ) แนวทางที่สอง ก็คือ การพิจารณาความเป็นอยู่อย่างแท้จริง

ของบรรดาปัจเจกบุคคลผู้ซึ่งสร้างสมแนวทางตามแบบอย่างอันล้ำเลิศแห่งคัมภีร์อัลกุรอานและอิสลามมิใช่ที่อุปโลกน์ขึ้นมาเองหรือตามความนึกฝันแต่เป็นความจริงแท้และบุคคลิกภาพตามความเป็นจริงซึ่งดำรงอยู่

อย่างหลากหลายในขั้นตอนต่างๆของความสมบูรณ์ที่ระดับอันสูงส่งของมันหรือแม้แต่ ณ ขั้นตอนอันแสนต่ำต้อยบอบบางก็ตาม ที่ท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ.ล) ผู้ทรงเกียรติ คือแบบอย่างแห่งมนุษย์ผู้สมบูรณ์ในอิสลาม

และอิมามอาลี (อ) ก็คือ อีกแบบอย่างหนึ่งการรู้จักมนุษย์ผู้สมบูรณ์ หมายความว่า การรู้จักท่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนมิใช่รู้จักเพียงแต่ชื่อการสืบตระกูลหรือหลักฐานการแสดงตัว (บัตรประชาชน) ของท่านเพียงเท่านั้น

บางทีเราอาจจะรู้จักท่านดังนี้ เช่น อาลี คือ บุตรของอบูฏอลิบและเป็นหลานชายของอับดุลมุฏฏอลิบและมารดาของท่านคือ ฟาติมะฮฺบุตรีของ

อะซัด และภรรยาของท่านคือ ฟาติมะฮฺ ซะฮฺรอ(อ)และเขาเป็นบิดาของฮะซันและฮุเซน กับวันเดือนปีที่ท่านเกิดและเสียชีวิตและสนามรบใดๆที่ท่านได้ทำการต่อสู้และอื่นๆ ฯลฯ

แต่ว่าการรู้จักเช่นนี้เป็นการรู้จักเพียงบัตรประชาชนของท่านเพียงเท่านั้นและหาได้เกี่ยวกับท่านในฐานะที่เป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์ ไม่การยอมรับอาลี (อ) หมายถึง การรู้จักบุคลิกลักษณะของท่านมากไปกว่าการรู้จักตัวตนของท่านถึงขั้นที่เราได้ทำความคุ้นเคยกับบุคลิกภาพทั้งหมดของท่านในฐานะมนุษย์ผู้สมบูรณ์แห่งอิสลามและจนกระทั่งถึงขั้นที่เราได้เอาท่านมาเป็นแบบอย่างที่ดีและยอมรับท่านอย่างแม้จริงมิใช่ตามตัวอักษร

ความแตกต่างของคำว่า “สำเร็จ” กับ “สมบูรณ์

แต่ในฐานะผู้นำและอิมามของเรา เมื่อเราปฏิบัติตามและเอาเยี่ยงอย่างท่านและเราก็จะเป็นชีอะฮฺ ผู้ปฏิบัติตามมนุษย์นั้น ชีอะฮฺ หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งร่วมแนวทางของอาลี (อ) มิใช่ด้วยเพียงถ้อยคำหรือความรู้สึกทางจิตใจเท่านั้นแต่ด้วยการกระทำโดยเจริญรอยตามท่าน ตลอดจนการปฏิบัติตามในทางปรัชญาและข้อกำหนดในทางการศึกษาวิชาการทั้งหลายอย่างล้ำลึก

แนวทางทั้งสองในการรู้จักมนุษย์ผู้สมบูรณ์นี้มิใช่จะเป็นเพียงแต่ประโยชน์ในทางทฤษฎีเท่านั้น แต่เราจะต้องให้ความรู้ดังกล่าวนี้เพื่อที่จะปฏิบัติตามแนวทางทั้งหลายที่เปิดเผยโดยอิสลามในอันที่จะได้มาเป็นมุสลิมที่แท้จริงและทำให้เป็นสังคมอิสลามอย่างเที่ยงแท้ด้วยแนวทางเช่นนี้ได้ถูกแสดงออกมาอย่างเปิดเผยและผลลัพธ์ก็ได้ถูกอรรถาธิบายมาแล้ว แต่คำถามก็ได้เกิดขึ้นเกี่ยวกับความหมายของความสมบูรณ์บางสิ่งบางอย่างอาจจะดูประหนึ่งว่าแจ่มชัดแต่สิ่งทั้งหลายที่แสดงออกโดยชัดแจ้ง บางครั้งก็ยากที่จะอธิบายยิ่งไปกว่าเรื่องราวทั้งหลายที่ลำบากสับสนเสียอีก

ในภาษาอาหรับคำสองคำที่มีความหมายว่า “ สมบูรณ์ ” และคำว่า “ สำเร็จ ” เป็นคำที่มีความหมายใกล้เคียงซึ่งกันและกันแต่ก็มิได้ถูกต้องคล้ายคลึง

แน่นอนเสียทีเดียวในความหมายและคำทั้งสองมีความตรงกันข้ามในความหมายของข้อบกพร่อง

ความแตกต่างในระหว่างคำทั้งสองมีดังนี้ คำว่า “ สำเร็จ ” บ่งบอกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งได้มีการจัดเตรียมไว้ตามแผนงาน เช่น บ้านหลังหนึ่งหรือมัสยิด ถ้าหากว่าส่วนหนึ่งของมันไม่เสร็จสิ้นมันเป็นความไม่สมบูรณ์หรือขาดตกบกพร่อง

แต่บางอย่างอาจจะสำเร็จและจนบัดนี้ในข้อนั้นอาจจะคงอยู่ว่า

ความสมบูรณ์ ความสำเร็จ คือ ความเจริญก้าวหน้าตามแนบราบไปยังจุดสูงสุดของการพัฒนา

ส่วนความสมบูรณ์ คือ แนวตั้งฉากที่ได้ขึ้นไปสู่ระดับขั้นสูงสุดอย่างเป็นไปได้ เมื่อเราพูดถึงความสมบูรณ์วิทยปัญญาหรือความรู้ก็จะอ้างอิงไปถึงระดับขั้นอันสูงส่งของความรู้และวิทยปัญญาที่มีอยู่ก่อนแล้ว มนุษย์คนหนึ่งอาจจะสำเร็จในความรู้ตามแนวราบโดยปราศจากการเป็นผู้สมบูรณ์ไปตามแนวตั้งฉากซึ่งมีผู้คนเป็นผู้สำเร็จเพียงครึ่งเดียวหรือแม้น้อยนิด ยิ่งไปกว่านั้น แต่เมื่อบรรลุถึงการทำให้สมบูรณ์แล้วยังคงมีระดับสูงส่งหลายระดับของความสมบูรณ์ กระทั่งถึงสภาพสมบูรณ์ที่ดีเลิที่สุด

การใช้ศัพท์ของคำว่า “มนุษย์ผู้สมบูรณ์”

คำว่า สมบูรณ์นี้ มิได้มีอยู่ในอักษรศาสตร์อิสลามจนกระทั่งถึงศตวรรษที่เจ็ดของฮิจเราะฮ์ศักราช ปัจจุบันที่ใช้กันมากในแถบประเทศยุโรป แต่ได้มีการใช้เป็นครั้งแรกในโลกอิสลามโดย อะรีฟผู้มีชื่อเสียง คือ ท่านมุฮฺยิดดีน

อารอบี อันดาลูซีย์ ผู้ซึ่งเป็นบิดาแห่งวิชาอิรฟานอิสลามและบรรดาอะรีฟอิสลามอีกหลายท่าน รวมทั้งบรรดาผู้รู้ชาวอิหร่านที่พูดภาษาฟารซี แม้กระทั่ง เมาลาวี ผู้ซึ่งเคยเป็นสานุศิษย์ของท่านมาแล้ว ความยิ่งใหญ่ปราดเปรื่องของเมาลาวีจะด้อยลงทันที ถ้าจะนำมาเปรียบเทียบกับมุฮฺยิดดีนในทางวิชาอิรฟาน เขาเป็นคนสัญชาติอาหรับและเป็นผู้สืบสกุลของ

ฮาตัมตาอีแห่งอันดาลูเซีย( ซึ่งก็คือประเทศสเปนในปัจจุบัน )

เขาได้เดินทางไปตามประเทศอิสลามหลายประเทศและเสียชีวิตที่ดามัสกัสซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของเขา

เขามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่งชื่อว่า “ ศ็อดรุดดีน กูนะวี ” เป็นผู้ที่มีความสามารถ รองลงมาจากอาจารย์ของเขาในฐานะผู้รู้ทางวิชาอิรฟาน อิรฟานในอิสลาม(ซึ่งเป็นวิชาการที่ลึกลับซับซ้อนอย่างมากนั้น)ได้ถูกจัดให้เป็นรูปแบบของวิชาการอย่างสมบูรณ์โดยมุฮฺยิดดินและสานุศิษย์ของเขา(ศ็อดรุดดีน)ซึ่งรับเอาความคิดทั้งหลายของมุฮฺยิดดีนโดยผ่านมาทางศ็อดรุดดีน บุคคลผู้นี้ใช้คำศัพท์ว่า “มนุษย์ผู้สมบูรณ์” จากแนวคิดเฉพาะของอิรฟาน แต่ว่าเรามุ่งหมายที่จะสนทนากันจากทัศนะของอัลกุรอาน มีมนุษย์อยู่มากมาย ซึ่งเป็น

ผู้มีร่างกายปกติหรือพิการ

แต่ท่านจงอย่าได้พิจารณาในความเป็นผู้มีนัยน์ตาบอดหูหนวกอ่อนเปลี้ยเสียขาหรือความต่ำเตี้ย(ของร่างกาย)มาเป็นประหนึ่งข้อบกพร่องของคุณงามความดีแห่งบุคลิกภาพหรือของความเป็นมนุษย์

ดังตัวอย่าง เช่น โสเครตีส ปรัชญาเมธีชาวกรีก ผู้มีชื่อเสียง ซึ่งบางครั้งถือกันว่าเหมือนดั่งศาสดาท่านหนึ่ง เขาเป็นบุคคลที่ขี้เหร่ที่สุดแต่ความไม่สวยงามเช่นนี้ก็มิได้ถือว่าเป็นข้อบกพร่องอย่างหนึ่ง(ของเขา)

อบุลอะลา มุอัรรอ และฏอฮา ฮุเซน แห่งยุคสมัยของเรา ก็เป็นผู้ที่มีนัยตาพิการความเป็นคนตามืดบอดเช่นนี้ เป็นข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งของบุคลิกภาพกระนั้นหรือ ? ดังนั้น นี่ก็หมายความว่า บุคคลมีบุคลิกภาพในทางร่างกายและวิญญาณเหมือนกันด้วยการคำนวณที่แตกต่างกันทั้งสองอย่างมันคือ ข้อผิดพลาดที่จะทึกทักเอาว่า วิญญาณนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ขึ้นอยู่กับร่างกายวิญญาณสามารถที่จะเจ็บป่วยได้ ในขณะที่ร่างกายยังปกติดีอยู่หรือไม่ ?

ความผิดปกติทางร่างกายและจิตวิญญาณ

นี่คือคำถามในตัวของมันเอง บรรดาผู้ซึ่งได้ปฏิเสธความแท้จริงของวิญญาณและมีความเชื่อต่อลักษณะพิเศษทางวิญญาณว่า เป็นอิทธิพลโดยตรงของระบบประสาทสำหรับความคิดของพวกเรานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้งอยู่กับร่างกายตามความเชื่อของพวกเขาก็คือว่า ถ้าหากว่าวิญญาณเกิดเจ็บป่วยมันเป็นเพราะว่าร่างกายป่วยและการเจ็บป่วยทางใจอันที่จริงก็เปรียบเสมือนการเจ็บป่วยทางร่างกายด้วยเช่นกัน

นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มีการพิสูจน์กันในปัจจุบันนี้ว่า ร่างกายจะสามารถปกติสมบูรณ์ได้นั้นเกี่ยวกับเลือดอันเป็นส่วนประกอบระบบประสาทธาตุที่เป็นอาหารจำเป็นสำหรับร่างกาย(วิตามิน)และอื่นๆ ฯลฯและนอกไปจากนี้

บุคคลอาจจะเป็นโรคป่วยทางใจ ดังเช่น ได้รับความทุกข์ทรมานจากสิ่งที่พวกเขาทั้งหลายเรียกกันว่า “ โรคแทรกซ้อน ” ชนิดหนึ่ง ด้วยประการฉะนั้น หนทางในการรักษาโรคประสาทอาจจะมิต้องบำบัดโรคโดยยาแต่อย่างใดเลยก็ได้ เราสามารถที่จะหายามาสักชนิดหนึ่งเพื่อรักษาใครสักคนซึ่งได้รับทุกข์ทรมานจากโรคของความหยิ่งยะโสซึ่งเป็นโรคชนิดหนึ่งทางใจที่ยุ่งเหยิงกระนั้นหรือ ? เราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความหยิ่งทรนงของบุคคลหนึ่งไปสู่ความนอบน้อมถ่อมตนหรือว่าจากความเป็นผู้มีใจคอโหดร้ายของเขามาสู่ความเป็นผู้มีเมตตา ด้วยวิธีให้ยาสักหนึ่งเม็ดหรือด้วยการฉีดยาเพื่อเป็นการขจัดออกไปซึ่งผลของโรคดังกล่าวซึ่งบางครั้งเป็นเหตุให้บางคนดังตัวอย่างเช่น เขาไม่ยอมหยุดนิ่งจนกว่าจะได้กระทำการแก้แค้นกระนั้นหรือ ? อะไร คือ ความรู้สึกของการผูกพยาบาทนี้ ?

อะไร คือ ความริษยาซึ่งได้ปลุกเร้าให้บุคคลหนึ่งไม่พึงพอใจในการได้รับเนี้ยะมัตของผู้อื่นจนมีความต้องการที่จะขจัดมันออกไปเสีย ?

๑๐

คนอย่างนั้นมิได้คิดอยากที่จะได้รับเนี้ยะมัตดังกล่าวแก่ตัวเขาเองดอกความ

ริษยาของคนที่เป็นปกตินั้นมักจะเอาจุดหมายของตัวเองขึ้นหน้าอยู่เสมอและนี่ก็มิใช่ความผิดแต่ความปรารถนาที่จะให้เกิดอันตรายและความเสียหายทั้งหลายแก่ผู้อื่นนั้นนับเป็นความป่วยไข้อย่างหนึ่ง ท่านจะพบผู้คนเช่นว่านั้นที่ได้เตรียมการเพื่อจะทำอันตรายต่อตัวเขาเองทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะเป็นอันตรายต่อผู้ถูกริษยาเพียงบางส่วนก็ตามเรื่องราวหนึ่งในประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ในเรื่องนี้ในสมัยของคอลีฟะฮ์ผู้หนึ่ง เศรษฐีได้ซื้อทาสมาหนึ่งคนซึ่งเขาได้ปฏิบัติต่อทาส นับตั้งแต่เริ่มต้นเสมือนผู้มีบรรดาศักดิ์จัดหาอาหารและเสื้อผ้าอย่างดีที่สุดแก่ทาส ตลอดจนเงินทองเหมือนดังเป็นบุตรของเขาเองทีเดียวหรือแม้แต่ทุ่มเทไปมากกว่านั้น แต่ว่าทาสได้สังเกตเห็นว่านายของเขามีความรู้สึกไม่สบายในอยู่เสมอ ในที่สุดเศรษฐีได้ตกลงใจที่จะปลดปล่อยให้ทาสเป็นอิสระพร้อมกับจัดหาทุนทรัพย์บางส่วนให้แก่ทาสด้วยคืนหนึ่งในขณะที่เขาทั้งสองอยู่ด้วยกันนายทาสได้กล่าวขึ้นว่า “ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไม่ข้าจึงได้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีที่สุด ” ทาสจึงได้ถามถึงเหตุผลนายทาสกล่าวว่า “ ข้ามีสิ่งหนึ่งที่จะขอร้องให้เจ้ากระทำซึ่งถ้าเจ้าปฏิบัติตามเจ้าจะได้รับผลประโยชน์ทั้งหมดที่ข้ามีและจะมอบให้แก่เจ้า แต่ถ้าเจ้าปฏิเสธข้าจะไม่พอใจเจ้าเลย ” ทาสกล่าวว่า “ ฉันจะปฏิบัติตามทุกอย่างที่ท่านขอร้อง

ท่านเป็นผู้อุปการะของฉันซึ่งได้ให้ชีวิตแก่ฉัน ” นายทาสจึงได้กล่าวว่า “ เจ้าจะต้องให้คำมั่นสัญญาแก่ข้าว่า เจ้าจะปฏิบัติอย่างซื่อสัตย์และดีที่สุดสำหรับข้านั้นข้าเกรงว่าเจ้าจะปฏิเสธมัน ” ทาสกล่าวว่า “ ฉันสัญญาว่าจะกระทำในสิ่งที่ท่านต้องการ ” นายทาสกล่าวว่า “ คำขอร้องของข้าก็คือเจ้า

จะต้องตัดศีรษะของข้าตามสถานที่และเวลาที่ถูกกำหนด ”

๑๑

ทาสร้องอุทานขึ้น “ อะไรกันนี่!ฉันจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ? นายทาสกล่าวว่า “ นั่นคือสิ่งที่ข้าปรารถนา ทาสกล่าวว่า “ มันเป็นไปไม่ได้เช่นนั้น ”

นายทาสกล่าวว่า “ ข้าได้รับคำมั่นสัญญาจากเจ้าแล้ว เจ้าจักต้องกระทำมัน ” ดึกสงัดของคืนหนึ่ง เขาได้ปลุกทาสให้ตื่นขึ้นและมอบมีดที่คมกริบให้แก่ทาสเล่มหนึ่งและถุงใส่เงินที่เปี่ยมล้น จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนหลังคาของเพื่อนบ้านคนหนึ่งและได้บอกแก่ทาสได้ตัดศีรษะเขาที่นั่นและจากนั้นก็ให้หลบหนีไปยังที่ใดก็ตามที่ทาสต้องการ ทาสได้ขอถามถึงเหตุผลสำหรับการกระทำเช่นนั้น เขาก็ตอบว่า “ ข้าเกลียดชายผู้นี้และขอเลือกเอาความตายดีกว่าที่จะเห็นหน้าเขา เราเป็นคู่แข่งกัน (ในทางการค้า)

แต่เขาได้ล้ำหน้าข้าไปและเก่งกาจสามารถกว่าข้าในทุกๆด้าน ข้าร้อนเร่าไปด้วยความเกลียดชังเขา ข้าปรารถนาที่จะให้เขาถูกจำคุกด้วยการเป็นฆาตกรที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นและด้วยความคิดเช่นนี้(เท่านั้น)

เป็นสิ่งหนึ่งที่จะบรรเทาความทุกข์ระทมแก่ข้า ให้ทุกคนรู้ว่าเขาคือคู่แข่งของข้าและดังนั้นเขาก็จะถูกตัดสินประหารชีวิตสำหรับการกระทำดังกล่าวทาสได้พูดขึ้น “ ท่านดูประหนึ่งผู้เบาปัญญาและสมควรแล้วต่อความตายเช่นนี้ ” ดังนั้น เขาจึงตัดศีรษะนายของเขาและหลบหนีไปคู่แข่งของเขาได้ถูกจับกุมจากผลที่เกิดขึ้นและถูกคุมขังแต่ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้สังหารคู่แข่งของเขาบนหลังคาบ้านของเขาเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ในที่สุดทาสมีความรู้สึกอยากที่จะเป็นเผยความจริงในฐานะสำนึกต่อความผิดบาปเขาได้พบกับเจ้าหน้าที่และสารภาพความจริงเมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งหลายได้เข้าใจ

เรื่องราวพวกเขาก็ปล่อยคนทั้งสองคือทาสและเพื่อนบ้านผู้นั้นเป็นอิสระไปนี้คือความจริงอย่างหนึ่งที่ว่าความอิจฉาริษยานั้นคือโรคชนิดหนึ่ง

๑๒

คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวไว้ไน ซูเราะฮ์อัชชัมซ์ อายะฮ์ที่ ๙-

ความว่า

“ ผู้ซึ่งทำให้(ตนเอง)บริสุทธิ์ แท้จริงเขานั้นเป็นผู้ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงและแท้จริงผู้ซึ่งโสมมเขาจะสูญเปล่า ”

ด้วยเหตุนี้ ข้อเสนออันดับแรกของอัลกุรอาน ก็คือการขัดเกลาตนเองให้สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากอาการป่วยด้วยโรคแทรกซ้อน ความโง่เขลา

การหันเหและการเปลี่ยนแปลง ท่านทั้งหลายอาจจะเคยได้ฟังเรื่องราวในอดีตที่มีรายงานว่า มีผู้คนซึ่งเนื่องมาจากพวกเขาพากันละเมิดต่อบาปได้ถูกสาปแช่งโดยบรรดาศาสดาในยุคสมัยของพวกเขาและด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาจากมนุษย์ กลายเป็นเดรัจฉาน บ้างก็เหมือนลิงสุนัขป่า หมีและสัตว์อื่นๆมากมายและผู้ที่มิได้ถูกเปลี่ยนแปลงทางร่างกายบางทีจิตใจหรือวิญญาณอาจจะกลับกลายไปสู่ความเป็นเดรัจฉานซึ่งมีความชั่วร้ายเลวทรามอย่างที่มิอาจพบพานได้เลยบนโลกนี้

คัมภีร์อัลกรุอาน ได้กล่าวถึงบรรดาคนเหล่านั้นว่า

“ ผู้ซึ่งอยู่ในความต่ำช้าหลงผิดและเป็นผู้ซึ่งต่ำต้อยยิ่งกว่าบรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งหลาย” ( ซูเราะฮ์อัลอะร็อฟ อายะฮ์ที่ ๑๗๙)

สิ่งดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ในเมื่อบุคคลิกภาพของมนุษย์ขึ้นอยู่กับหลักธรรมจริยาและคุณลักษณะต่างๆทางจิตวิญญาณของพวกเขาและถ้าปราศจากซึ่งสิ่งดังกล่าวแล้วเขาก็จะกลายเป็นสัตว์ร้าย (ในร่างของมนุษย์) ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ผุ้มีความบกพร่องทั้งหลายบางทีก็ตกต่ำถึงระดับของการเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่า นั้นคือความฝันแต่ทั้งหมดมันคือความจริงแท้

๑๓

และแน่นอนยิ่ง ชายผู้หนึ่งกล่าวว่า ครั้งหนึ่งพวกเราได้ไปประกอบพิธีฮัจญ์พร้อมกับท่านอิมามซัจญาด (อ.)ในขณะที่เรามองไปยังเบื้องล่างซึ่งเป็นทะเลทรายทุ่งอะรอฟะฮ์ซึ่งที่นั่นเนืองแน่นไปด้วยผู้แสวงบุญที่เดินทางมาประกอบพิธีฮัจญ์อย่างมากมายในปีนี้

ท่านอิมามซัจญาด(อ.)ได้กล่าวขึ้นว่า “ มันคือความอึกทึกครึกโครมแต่น้อยไปด้วยผู้แสวงบุญ ”

ชายผู้นั้นกล่าวว่า “ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า ท่านอิมาม (อ.)ได้ให้สายตาพิเศษอันใดแก่ข้าพเจ้าเพราะว่า เมื่อท่านได้ชี้ให้ข้าพเจ้ามองไปยังเบื้องล่างอีกครั้งหนึ่งคราวนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นก็คือในทะเลทรายที่เต็มไปด้วยผู้แสวงบุญ

เมื่อครั้งแรกนั้น บัดนี้มันเต็มไปด้วยฝูงสัตว์ที่เดินกันขวักไขว่ไปมาและมองเห็นผู้ที่เป็นมนุษย์จำนวนน้อยนิดเท่านั้นและจากนั้นท่านอิมามซัจญาด(อ.)จึงได้บอกแก่เขาว่า ภาพที่เห็นนั้นคือ ความเกี่ยวพันกับความคิดที่ก่อขึ้นภายในจิตใจของผู้คนเหล่านั้น(ธาตุแท้)นี้คือความแท้จริงทีเดียว แต่ถ้าพวกเราที่เรียกกันว่าหัวสมัยใหม่ไม่ยอมรับมันแล้ว เราก็เป็นผู้ผิดพลาดในยุคสมัยของเราเอง ยังคงมีอยู่และเป็นบุคคลผู้ซึ่งสามารถเห็นอุปนิสัยอันแท้จริงของบุคคลอื่นๆได้ว่าเหมือนกับเดรัจฉานทั้งหลายไม่รับรู้สิ่งใดเลยเว้นแต่การบริโภคหลับนอนและการสมสู่พวกเขาได้สูญเสียคุณลักษณะทั้งหลายแห่งความเป็นมนุษย์ของเขาและหวนกลับคืนสู่ความเป็นสัตว์ร้ายต่างๆ

เราได้อ่านในคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮ์อันนะบะอฺ อายะฮ์ที่ ๑๘- ๑๙

“ วันซึ่งที่เป่า(สังข์จะถูกเป่า )ดังนั้นจะถูกนำมารวมกันเป็นกลุ่มๆและท้องฟ้าก็จะถูกเปิดออกแล้วมีประตูทั้งหลายอยู่ในมัน ”

๑๔

บรรดาผู้นำศาสนาหลายท่านได้กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า จะมีผู้คนเพียงกลุ่ม

เดียวเท่านั้นจากในหมู่ของผู้ที่ตายไปแล้วที่จะฟื้นขึ้นมาในรูปร่างของมนุษย์ส่วนผู้คนอื่นๆนั้นจะปรากฏขึ้นเหมือนสรรพสัตว์ จำพวกเสือ ลิง แมลงป่อง งูและจำพวกมด

พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำสิ่งดังกล่าวนั้นโดยปราศจากเหตุผลหรือ ? เปล่าเลยเหตุผลทั้งหลายย่อมมีอยู่ เมื่อมนุษย์หนึ่งมิได้กระทำในสิ่งใดๆเลยในโลกนี้แต่ว่าได้กัดต่อย(เหมือนแมลงมีพิษ)และสำหรับผู้ที่มีการกระทำต่างๆคล้ายลิงในโลกนี้ก็จะเป็นเหมือนลิงในโลกหน้าและบุคคลที่ชอบข่มขู่คำรามผู้คนเมื่ออยู่บนโลกนี้ เขาก็จะปรากฏเป็นสุนัขในโลกหน้า ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จะพากันฟื้นขึ้นจากความตาย ความมุ่งมาดปรารถนาและนิสัยสันดานอันแท้จริงของเขา ความปรารถนาของท่านบนโลกนี้ อยากเป็นมนุษย์ที่ดีหรือสิงสาราสัตว์หรือนก

ท่านก็จะได้รับรูปแบบตามต้องการในวันแห่งการฟื้นคืนชีพและนั่นก็คือว่า ทำไมเราจึงถูกห้ามมิให้เคารพภักดีสิ่งอื่นในเว้นแต่อัลลอฮฺ(ช.บ.)

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้องค์เดียวเท่านั้น เพราะถ้าเราเคารพภักดีสิ่งใดสิ่งนั้นก็จะอยู่กับเราในโลกหน้า ถ้าเราบูชาเงินตรามันก็จะกลายเป็นพระเจ้าของเราในโลกหน้า ดังที่ อัลกุรอานกล่าวไว้ใน ซูเราะฮ์อัตเตาบะฮ์ (บารออัต)

อายะฮ์ที่ ๓๔ และ ๓๕ ดังนี้

“ และ(สำหรับ)บรรดาผู้ที่สะสมทองคำและเงินเพิ่มขึ้นและมิได้ใช้มันไปในหนทางของอัลลอฮฺ(ซ.บ) จงประกาศแก่เขาเถิดถึงการลงโทษอย่างเจ็บปวดในวันที่(ทรัพย์สมบัติที่ถูกสะสม)มันจะถูกเผาจนร้อนในไฟนรกครั้นแล้วหน้าผากของพวกเขาและสีข้างของพวกเขาและหลังของพวก

เขาจะถูกตีตราด้วยมัน(และ)นี่คือสิ่งที่มันได้สะสมขึ้นมาสำหรับตัวเจ้าเอง ”

๑๕

( เกี่ยวกับโลหะที่ร้อนและละลายที่จะอยู่กับเราในวันแห่งการฟื้นขึ้นและอย่าได้กล่าวว่า ธนบัตรที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันถูกนำมาแทนเหรียญโลหะหรือเหรียญเงินและทองแล้ว (บางคนอาจจะปลอดภัยจากการถูกตีตรา)

เพราะในโลกหน้า ธนบัตรที่ธนาคารนำออกจำหน่ายเหล่านั้นแหละที่มันจะกลับคืนลงสู่ไฟซึ่งสามารถที่จะลุกโชติช่วงท่วมท้นนรกได้ดีกว่าเหรียญเงินและเหรียญทองทั้งหลายเสียอีก ดังนั้น มนุษย์ซึ่งมีโรคแทรกซ้อนจึงเป็นความบกพร่องและบุคคลผู้ซึ่งบูชาวัตถุจึงเป็นคนไม่สมบูรณ์และที่จะเปลี่ยนไปได้ความสมบูรณ์ในทุกๆชนิดของทุกสิ่งถูกสร้างมีความแตกต่างกัน มนุษย์ผู้สมบูรณ์แตกต่างไปจากมะลาอิกะฮ์ผู้สมบูรณ์และต่างก็มีการแยกแยะลำดับขั้นของความสมบูรณ์ของตนเอง

ผู้ที่บอกเล่าแก่เรา ความมีอยู่ของมะลาอิกะฮ์ได้บอกว่าพวกเขาทั้งหลายถูกสร้างมาจากสติปัญญาและความคิดอันบริสุทธิ์และความคิดโลกีย์ตัณหาโมหะและความโกรธอื่นใดไม่มีอยู่ในพวกเขา สัตว์ทั้งหลายนั้นเต็มไปด้วยโลกีย์และไม่มีสิ่งที่อัลกรุอานเรียกว่าวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า(ที่ถูกเป่าเข้า

ไปในตัวของมนุษย์) แต่มนุษย์คือส่วนผสมของสิ่งสองอย่างทั้งทางด้านโลกียวิสัยและทางด้านของความบริสุทธิ์ทั้งความสูงส่งและความต่ำต้อย

นี่คือสิ่งที่ถูกพรรณนาไว้ในคำอรรถาธิบายในหนังสือ

“ อูศุลกาฟี ” และกวีเมาลาวีได้ดัดแปลงไปเป็นโคลงบทหนึ่งซึ่งแปลความหมายได้ดังนี้ … คำบรรยายกล่าวไว้ว่า “ พระผู้เป็นเจ้าผู้ควรแก่การสรรเสริญยกย่องได้สร้างสิ่งถูกสร้างขึ้นมาสามจำพวกที่มีความแตกต่างกันจากสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหลาย จำพวกแรกเป็นกลุ่มของบรรดา

มะลาอิกะฮ์ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์มีไหวพริบมีความรู้และไม่ขัดต่อพระประสงค์(ของพระผู้เป็นเจ้า)และรู้เพียงการกราบกราน(ภักดีพระองค์)เท่านั้น

๑๖

พวกเขาไม่มีสันดานของความละโมภและกิเลสตัณหาแต่เป็นแสงอันบริสุทธิ์และดำรงชีวิตอยู่ด้วยความรักจากพระผู้เป็นเจ้า อีกจำพวกหนึ่งไม่มีความรู้เลยและขุนอ้วนท้วมเหมือนดังสัตว์ที่อยู่กลางทุ่งหญ้ามิได้เห็นอันใดเลยเว้นแต่คอกและกองฟางไม่รู้ทั้งความเลวร้ายและความมีเกียรติยศ จำพวกที่สามเป็นพวกมนุษย์ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นมะลาอิกะฮ์ อีกครึ่งหนึ่งเป็นลา ส่วนที่เป็นลานั้นโน้มเอียงไปสู่ความต่ำช้าและอีกส่วนหนึ่งโน้มไปสู่แนวทางที่ทำให้บริสุทธิ์

บุคคลจะต้องตรวจสอบดูว่าส่วนใดจะได้รับชัยชนะและส่วนใดที่จะพิชิตอีกส่วนหนึ่ง ”

อัลกุรอานได้กล่าวไว้ใน ซูเราะฮ์อัลอินซาน ( หรืออัดดะหฺร์) อายะฮ์ที่

( ๒-๓) ( ความว่า)

“ แน่นอนเราได้สร้างมนุษย์จากเชื้อเล็กๆของชีวิตที่รวมกัน(ในตัวมันเอง)เรามุ่งหมายที่จะทดลองเขา ดังนั้นเราได้ทำให้เขาได้ยินได้เห็น แน่นอนเราได้เปิดเผยแนวทางแก่เขาเขาอาจจะขอบคุณหรือเนรคุณก็ตาม ”

อย่างนี้หมายความว่า เขาได้รับอนุญาตให้ได้ใช้ความสามารถทั้งหลาย

และถูกปล่อยให้เป็นอิสระเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาสมควรจะได้รับรางวัลหรือควรจะถูกลงโทษจากการกระทำทั้งหลายของเขา ด้วยเหตุที่สิ่งถูกสร้างอื่นๆไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวนั้นเขาจึงต้องเลือกสรรหนทางของเขาเองและบรรลุถึงความสมบูรณ์โดยอาศัยความพอประมาณและความสมดุล

และด้วยการใช้ความสามารถพิเศษทั้งหลายของเขา เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาและมีความเป็นปกติดีในทุกส่วนของอวัยวะและแขนขาทั้งหมดเหล่านี้เป็นการประสานกลมกลืน

๑๗

แต่ถ้าหากว่าเติบโตขึ้นมาเหมือนตัวการ์ตูนซึ่งการเจริญเติบโตของอวัยวะบางส่วนมากจนเกินไปและส่วนอื่นๆมิได้เติบโตหรือเติบโตเพียงเล็กน้อย , เขาก็ไม่สามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์ตามปกติได้ แต่การประสานกลมกลืนอย่างหนึ่งและการพัฒนาทั่วไปหมด (ทั่วทั้งร่างกาย) ก็มีผลในการเป็นผู้สมบูรณ์ตามปกติ

คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวไว้ในซูเราะฮ์อัล-บะกอเราะฮ์ , อายะฮ์ที่ ๑๒๔

( ความว่า)

“และเมื่อพระผู้เป็นเจ้าของเขาได้ทดลองอิบรอฮีมด้วยคำพูดบางอย่าง , เขาได้ปฏิบัติมั่นอย่างครบครัน พระองค์ได้ตรัสว่า , แน่นอนฉันจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นอิมาม (ผู้นำ) แห่งมนุษยชาติ , เขา (อิบรอฮีม) กล่าวว่าและจากลูกหลานของข้าพระองค์ (ด้วยกระนั้นหรือ) อัลลอฮตรัสว่าข้อสัญญาของฉันมิได้รวมไปถึงพวกที่อธรรม ”

อิบรอฮีมได้ถูกทดสอบในหลายๆวิธี , รวมทั้งการพร้อมที่จะเสียสละบุตรชายของท่านเองเป็นการพลีแด่พระผู้เป็นเจ้า , เมื่อเสียงเรียกร้องจากพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวว่า ( อัลกุรอาน ซูเราะฮ์อัซซอฟฟาต , อายะฮ์ที่๑๐๔ , ๑๐๕ ) และเราได้ร้องเรียกแก่เขาว่า โอ้อิบรอฮีม , แน่แท้เจ้าได้กระทำสมจริงตามความฝันแล้ว เมื่ออิบรอฮีมได้รับความสำเร็จในการทดสอบผ่านขั้นตอนต่างๆทั้งหลายแล้ว

อัลกรุอานได้กล่าว เกี่ยวกับท่านในซูเราะฮ์อันนะฮ์ล์

อายะฮ์ที่ ๑๒๐ ว่า

“แน่นอนอิบรอฮีมเป็นแบบอย่างที่ดี , ผู้ปฏิบัติตามอัลลอฮ์ , เป็นผู้ซื่อตรง , และเขาหาได้อยู่ในจำพวกที่สร้างภาคีทั้งหลายไม่ ”

๑๘

ท่านได้ยืนหยัดอย่างโดดเดี่ยวในการต่อสู้ต้านทานกับบรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหมด , และเมื่อเป็นเช่นนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงเรียกท่านว่าอิมาม , ผู้นำและผู้เป็นแบบอย่างสำหรับผู้อื่นทั้งหลายที่จะปฏิบัติตาม , อิมามอะลี(อ)เป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์ผู้หนึ่งนับตั้งแต่คุณค่าทั้งหมดของมนุษย์ได้เพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดของมันในตัวของท่านและด้วยแบบฉบับของการประสานกลมกลืน

คุณอาจได้เคยเฝ้ามองน้ำขึ้นและน้ำลดในทะเลซึ่งเป็นเหตุมาจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ วิญญาณของมนุษย์ก็เหมือนกันเช่นเดียวกันกับเรื่องของสังคมที่แสดงให้เห็นเหมือนกับการขึ้นลงของน้ำ มนุษย์ทั้งหลายก็ประสบกับภาวะน้ำลดหรือน้ำท่วมนองอยู่เช่นนั้นและแรงดึงดูดนี้บางครั้งก็ไปสู่ทิศทางเดียว , เช่นไปยังขอบเขตหนึ่งที่คุณค่าอื่นๆทั้งหมดที่ได้ถูกลืมเลือนในหนทางนี้พวกเขาทั้งหลายเป็นเหมือนกับผู้คงไว้ซึ่งความบกพร่องซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงการแพร่หลายขึ้นมาในการพัฒนาตัวของมันเอง นี่คือความจริงที่ว่ามันมิใช่เป็นความเบี่ยงเบนไปเสียทั้งหมด แต่มันเป็นความไขว้เขวที่มักจะมีอยู่อย่างมากมายเสมอในวิถีทางเดียว บุคคลผู้ซึ่งมีการกระทำที่เลยเถิดบางทีก็นำสังคมไปสู่ยังแนวทางที่ไม่ปลอดภัยหรือไปสู่แนวทางอื่นๆได้ สิ่งหนึ่งจากคุณค่าทั้งหลายของมนุษย์ที่ได้รับการ

ยืนยันโดยอิสลามก็คือการอิบาดัต(ภักดี)ซึ่งเป็นการติดต่อ(ใกล้ชิด)กับพระผู้เป็นเจ้าแน่ทีเดียวในอิสลามทุกๆการกระทำการปฏิบัติ , เพื่อพระผู้เป็นเจ้าคือการอิบาดัต , การมีงานทำการค้าขายเพื่อที่จะช่วยเหลือตนเองและครอบครัวของตนและการรับใช้สังคมก็เป็นการอิบาดัตแต่การอิบาดัตในความหมายเฉพาะของมันนั้น , นอกจากนั้น ก็คือ การตื่นขึ้นในยามค่ำคืนเพื่อการปฏิบัติภารกิจทั้งหลายอันสำคัญ (คือการนมาซในยามดึก ตลอดจนการติดต่อใกล้ชิดพระองค์ที่สุดของชีวิตและอื่นๆซึ่งในฐานะที่ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา

๑๙

และจะกระทำการยกเลิกมิได้บางครั้งท่านพบบรรดาปัจเจกชนหรือชนหมู่มากชี้นำไปสู่ด้านเดียวของการอิบาดัต , และแสดงคำแนะนำข้อปฏิบัติ

ต่างๆของการนมาซ , การเอาน้ำวูฎู , และอื่นๆทั้งหมดของสิ่งที่ได้กระทำกันจนเลยเถิดนั้น , จะเป็นสิ่งที่ทำลายสังคม ) บางโอกาสแนวทางในการอิบาดัตเช่นนี้ได้กลายมาเป็นสิ่งที่กำลังนิยมกันในสังคมอิสลาม , และถ้าบุคคลได้รับความเคยชินต่อมันสักครั้งหนึ่งแล้ว มันจึงเป็นการยากลำบากที่จะรักษาความสมดุลเอาไว้ , เช่นเดียวกันบุคคลหนึ่งไม่สามารถที่จะกล่าวแก่ตัวของเขาเองได้ว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างเขาให้เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งมิใช่มะลาอิกะฮ์และในฐานะที่เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งเขาควรจะพัฒนาตัวของเขาเองในทุกๆด้านอย่างประสานกลมกลืน

ครั้งหนึ่งเคยมีรายงานถึงท่านศาสดา(ศ็อลฯ)(ขอความสันติจงมีแด่ท่านและบรรดาลูกหลาน)ว่า สาวกของท่านจำนวนหนึ่งได้จมดิ่งอยู่กับการอิบาดัต

( การนมาซเพียงอย่างเดียว) ท่านศาสดามีความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ , จึงได้มายังมัสญิดและร้องบอกด้วยเสียงอันดังว่า “ ผู้คนทั้งหลายเอ๋ย มีอะไรปรากฏขึ้นแก่คนบางกลุ่มซึ่งได้อยู่ในหมู่ประชาชาติของฉันเล่า แม้แต่ฉันในฐานะที่เป็นศาสดาของพวกเจ้าก็ยังมิได้ประกอบการอิบาดัตในวิธีเช่นนี้ด้วยการ

ไม่หลับนอนกันเลยทั้งคืน ส่วนหนึ่งของกลางคืนฉันพักผ่อนและอยู่กับครอบครัวของฉัน ฉันมิได้ทำการศีลอด ทุกวันพวกเหล่านั้นผู้ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติตามแนวทางใหม่ของพวกเขาได้หันเห (บิดอะฮ์) ไปจากสิ่งที่ฉันได้ปฏิบัติมา ( สุนนะฮ์ของฉัน)”

ด้วยเหตุนี้ ท่านศาสดาจึงได้ประกาศว่า “ ค่านิยมอิสลามที่แท้จริงกำลังจะถูกขจัดออกไปซึ่งค่านิยมอื่นๆที่ผิดพลาดในอิสลาม ” และท่านได้ต่อต้านอย่างหนักหน่วงและเข้มงวดต่อแนวความคิดเลยเถิดเช่นนี้

๒๐

21

22

23

24

25

26

27

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

46

47

48

49

50

51

52

53

54

55

56

57

58

59

60

61

62

63

64

65

66

67

68

69

70

71

72

73

74

75

76

77

78

79

80

81

82

83

84

85

86

87

88

89

90

91

92

93

94

95

96

97

98

99

100

101

102

103

104

105

106

107

108

109

110

111

112

113

114

115

116

117

118

119

120

121

122

123

124

125

126

127

128

129

130

131

132

133

134

135

136

137

138

139

140

141

142

143

144

145

146

147

148

149

150

151