อัลกุรอานในทัศนะของอิมามอลี


อัลกุรอานในทัศนะของอิมามอลี
ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า จงตระหนักไว้เถิดว่า แท้จริงอัล-กุรอาน คือ ผู้ให้คำแนะนำที่ไม่เคยหลอกลวงมนุษย์เป็นประทีปนำทางที่ไม่ทำให้หลงทาง เป็นถ้อยจำนรรจ์ที่ไม่เคยโกหก และใครก็ตามที่เริ่มต้นการประชุมด้วยกับอัล-กุรอานเขาจะได้รับประโยชน์จากกุรอานไม่มากก็น้อย ถ้ามากก็ในฐานะของการชี้นำ แต่ถ้าน้อยก็เป็นเนื่องจากความพร่ามัวของหัวใจ) ฉะนั้นจงรู้ไว้ เถิดว่า ใครก็ตามภายหลังจากได้เรียนรู้อัล-กุรอานเขาจะไม่ยากจนหรือหมดหนทางซึ่งไม่มีใครร่ำรวยมาก่อนหน้านั้น

ด้วยเหตุนี้ พวกท่านจงขอชะฟาอฺการเยียวยารักษาโรคภัยต่างๆ จากอัล-กุรอาน เพราะอัล-กุรอานคือโอสถที่บำบัดโรคที่เลวร้ายที่สุดอันได้แก่ การปฏิเสธ การกลับกลอก การฝ่าฝืนและการหลงทางซึ่งเหล่านี้เป็นความป่วยทางจิตใจ ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ท่านปรารถนาจากอัลลอฮฺ (ซบ.) จงใช้อัล-กุรอานเป็นสื่อในการวิงวอน จงมุ่งมั่นไปยังอัลลอฮฺด้วยความรักที่มีต่ออัล-กุรอาน แต่จงอย่าใช้อัล-กุรอานเป็นสื่อขอจากมนุษย์ด้วยกันเด็ดขาด และจงอย่าใช้อัล-กุรอานเป็นสื่อเพื่อสร้างความหวังที่เป็นวัตถุ เพราะไม่มีสิ่งใดที่บ่าวใช้เป็นสื่อเพื่อสร้างความใกล้ชิดยังอัลลอฮฺ (ซบ.) จะมีเกียรติยิ่งเกินไปกว่าอัล-กุรอาน

จงตระหนักไว้เถิดว่า แท้จริงอัล-กุรอานคือชะฟาอฺ(การเยียวยา)อันเป็นชะฟาอฺที่ถูกตอบรับเพราะผู้เปล่งพจนารถคือผู้รับรองในถ้อยจำนรรจ์ของพระองค์ และใครก็ตามที่อัล-กุรอานให้ชะฟาอฺเขา ในวันกิยามะฮฺเขาก็จะได้ชะฟาอฺนั้น และใครก็ตามที่อัล-กุรอานร้องเรียนเขา คำฟ้องร้องอื่นๆก็ถือว่าถูกยอมรับ”

ท่านอิมามศอดิก (อ.) กล่าวว่า มีอยู่สามสิ่งที่จะทำการร้องเรียนมนุษย์ในวันกิยามะฮฺต่อเอกองค์อัลลอฮ

๑. มัสญิดที่ผุฟังโดยไม่มีการดำรงนมาซในนั้น

๒. ผู้รู้นักปราชญ์ที่อยู่ท่ามกลางคนโง่เขลา

๓. กุรอานที่ถูกทิ้งไว้จนฝุ่นจับโดยที่ไม่ได้อ่าน[๑]

ท่านอิมาม (อ.) กล่าวอีกว่า แท้จริงอัล-กุรอานคือประทีปแห่งทางนำ เป็นตะเกียงที่สว่างไสวในความมืด (หลงทาง) ฉะนั้นจำเป็นสำหรับผู้ที่มีความฉลาดต้องตริตรองในอัล-กุรอาน และใช้ทรรศนะของตนพิจารณาในความชัดเจน เพราะการตริตรองอัล-กุรอานเป็นการให้ชีวิตแก่หัวใจที่ตายด้าน ดุจดั่งเช่นคนที่ต้องการแสงสว่างเพื่อส่องทางเดินเมื่อเขาอยู่ในความมืด

จงตระหนักไว้เถิดสำหรับผู้ที่คิดว่าการรำลึกถึง อหฺลุลบัยตฺ (อ.) เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว โดยไม่คำนึงถึงคำสั่งห้ามและคำสั่งใช้ของ อัล-กุรอานถือเป็นความศรัทธาที่ไม่สมบูรณ์ เพราะแท้จริงบรรดาอหฺลุลบัยตฺ (อ.) นั้นไม่พึงพอใจต่อบุคคลที่ละทิ้งการปฏิบัติอัล-กุรอาน

ทำนองเดียวกัน สำหรับผู้ที่คิดว่าอัล-กุรอานเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วโดยไม่ใส่ใจต่ออหฺลุลบัยตฺ (อ.) ถือว่าไม่ถูกต้องเช่นกันเพราะผู้อธิบายความละเอียดอ่อนของอหฺกาม (กฎเงื่อนไขในการปฏิบัติ) และความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับอัล-กุรอานคืออหฺลุลบัยตฺ และนอกเหนือจากนี้แล้วประชาชาติอิสลามยังต้องพึ่งอหฺลุลบัยตฺ ของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ในการสร้างพื้นฐานความยุติธรรม การอบรมสั่งสอน การขัดเกลาและยกระดับจิตใจ การแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับปัจเจกชน สังคม และอื่นๆ

เหนือไปกว่านี้ การยึดมั่นในอัล-กุรอานโดยปราศจากอหฺลุลบัยตฺก็ถือว่าเป็นการยึดมั่นที่ ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากว่ามีโองการอัล-กุรอานหลายโองการที่ได้แนะนำเกี่ยวกับอำนาจวิลายะฮฺ (การมอบความรักและภักดี)ต่อหฺลุลบัยตฺ ความจำเป็นของอหฺลุลบัยตฺ การปฏิบัติตามและเป็นวาญิบต้องรักพวกเขา และทั้งสองนั้น (กุรอาน อหฺลุลบัยตฺ) ริวายะฮฺที่ศ่อฮีห์ได้กล่าวว่า “เป็นการอธิบายซึ่งกันและกัน มีความคิดเห็นพ้องตรงกันและทั้งสองต้องอยู่ร่วมกัน”[๒]

ฉะนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตามการยึดมั่นต่อทั้งสอง ถือว่าจำเป็นดังที่ หะดีษษะเกาะลัยนฺได้ย้ำเน้นไว้ว่า “ถ้าภายหลังจากฉันพวกท่านได้ยึดมั่น กับทั้งสองจะไม่หลงทางตลอดไป” และยังมีริวายะฮฺอื่นที่มีความหมายคล้ายคลึงกันอีกมากได้กล่าวเอาไว้
บางครั้งหะดีษของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้ยกย่องอัล-กุรอานและอหฺลุลบัยตฺ (อ.) เป็นสิ่งที่มีคุณค่าคุกันเหมือนกันโดยที่สิ่งหนึ่งจะปราศจากอีกสิ่งหนึ่งไม่ ได้อย่างเช่นหะดีษษะเกาะลัยนฺได้เรียก ชื่ออัล-กุรอานและอหฺลุลบัยตฺว่าเป็นษิกล์ (สิ่งหนัก) นั้นบางที่อาจกล่าวได้ว่า เพราะทั้งสองคือสิ่งที่มีค่า ยิ่งใหญ่ สูงส่ง และมีเกียรติที่สุด ซึ่งคำว่า ษิกล์ โดยแก่นแท้ของมันเป็นการบอกข่าวถึงความยิ่งใหญ่แห่งเกียรติยศ อำนาจ และตำแหน่งของอัล-กุรอาน และความยิ่งใหญ่ด้านฐานันดรและระดับชั้นของอหฺลุลบัยตฺ (อ.)

หนังสือ อับกอต ได้คัดลอกมาจากอัลนิฮายะฮฺ ของ อิบนุอะษีร ว่า คำว่า ษะกีล จะใช้กับผู้มีตำแหน่งหรือฐานันดรที่สูงส่ง ดังนั้น จะสังเกต เห็นว่าอัล-กุรอานและอหฺลุลบัยตฺมีความยิ่งใหญ่ด้านฐานะภาพ และเกียรติยศที่สูงส่งจึงเรียกทั้งสองว่าเป็น ษะกีล อัล-กุรอานเมื่อเทียบชั้นกับคัมภีร์เล่มอื่นๆ ที่ถูกประทานลงมามีความยิ่งใหญ่มากกว่า และเป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่และดำเนินต่อไป ดุจดั่งเช่น ดวงอาทิตย์ที่ยังโคจรอยู่ในฟากฟ้าปัจจุบัน เป็นเพราะว่าอัล-กุรอานคือพจนารถของพระผู้เป็นเจ้าจึงไม่มีสิ่งที่เป็นโมฆะ ทั้งหลายย่ามกายเข้ามาสู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อีกทั้งเป็นนูรรัศมีและเป็นประทีปนำทาง ส่วนอหฺลุลบัยตฺของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ความรู้และคุณวิเศษอื่นๆ ของท่านไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นได้เพราะคนอื่นไม่มีคุณสมบัติที่ เพียงพอ ที่จะนำมาเปรียบเทียบกับอหฺลุลบัยตฺ (อ.) ไม่ว่าในมิติใดก็ตาม ดังเช่นที่เราไม่สามารถนำบรรดาศาสดา (อ.) ทั้งหลายไปเปรียบเทียบกับมนุษย์คนอื่นๆ เพราะว่าเป็นความผิดพลาด ดังนั้นการเปรียบเทียบอหฺลุลบัยตฺกับคนอื่น ก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดเช่นกันเพราะบรรดาอหฺลุลบัยตฺถือว่าเป็น หุจญัติของอัลลอฮฺ (ซบฺ) ที่มีต่อสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งกลาย และเป็นคลังแห่งวิชาการของพระองค์

ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้กล่าวถึงตำแหน่งของอหฺลุลบัยตฺด้วยคำพูดสั้นๆ ไว้อย่างชัดเจนว่า “พวกเขาคือเคหะสถานที่เร้นลับ เป็นรูปลักษณ์ของคำบัญชา เป็นคลังแห่งวิชาการเป็นสถานที่ย้อนกลับของอหฺกาม สถานเก็บรักษาตำราความรู้ และเป็นกำบังที่มั่งคงแข็งแรงของศาสนา เป็นพลังงานที่สนับสนุนศาสนา และโดยสื่อของพวกเขาทำให้ศาสนาธำรงอยู่ และความจอมปลอมทั้งหลายต้องมลายสิ้น ไม่มีประชาชาติคนใดสามารถเทียบเคียงกับอหฺลุลบัยตฺของท่านศาสดามุฮัมมัดได้ ซึ่งประชาชาติทั่วไปดำรงอยู่ได้เพราะคุณความดี และนิอฺมัตของอาลิมุฮัมมัด ฉะนั้น มนุษย์ปุถุชนธรรมดาจึงไม่มีวันที่จะมีรัศมีเทียบเคียงเท่าอหฺลุลบัยตฺ พวกเขาคือเสาหลักของศาสนาและเป็นมูลฐานของการยะกีน (เชื่อมั่น) ผู้ที่เลยเถิดไปอย่างสุดโต่งต้องย้อนกลับมาหาพวกเขา ทำนองเดียวกันผู้ที่ล้าหลังต้องเร่งรีบตัวเองและไปให้ทันพวกเขา คุณวิเศษณ์อำนาจการปกครองเป็นสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขา คำสั่งเสียพินัยกรรมและผู้สืบทอดมรดกของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) อยู่ ณ พวกเขา ปัจจุบันสิทธิของเขาได้ถูกฉ้อฉลจึงเป็นหน้าที่ต้องนำมันกลับไปยังตำแหน่งที่ ถูกเคลื่อนย้ายออกไป” [๓]

ท่านซะมัคชะรีย์ ได้กล่าวว่า การใช้คำว่า ษะกะลัยนฺ (อ่านโดยให้ ษา และก๊อฟ เป็นฟัตหฺ) กับอัล-กุรอานและอหฺลุลบัยตฺนั้นเป็นการเปรียบเทียบความคล้ายเหมือน ดังเช่นมนุษย์กับญินฺในลักษณะที่ว่า การสร้างโลกให้เกิดขึ้นเป็นเพราะการมีอยู่ของมนุษย์และญิน การปรับปรุงและความถูกต้องของศาสนาขึ้นอยู่กับอัล-กุรอานและอหฺลุลบัยตฺ แต่ทว่าประเด็นดังกล่าวขัดแย้งกับความเป็นจริงของหะดีษ อันเนื่องจากว่าไม่มีสัญลักษณ์ใดๆเลยในหะดีษที่บ่งบอกว่าการใช้คำว่า ษิกล์ กับอัล-กุรอานและอิตรัต มาจากบาบของการตัชบีห์ (การเปรียบเทียบ)

สามารถตั้งสมมติได้ว่า จุดประสงค์ของ คำว่า ษะกัล หมายถึง การปฏิบัติและการยึดมั่นกับทั้งสอง การเชื่อฟังและปฏิบัติตามการผดุงสิทธิและการเอาใจใส่ต่ออัล-กุรอานและอิตรัต เป็นภาระที่หนักอึ้งและเป็นการกระทำที่ยากลำบาก ดังที่นักภาษาศาสตร์และนักรายงานหะดีษบางคนได้อธิบายไว้

ท่านหะมะวี ได้รายงานริวายะฮฺจากท่านอบิ้ลอับบาส ได้มีผู้ถามอบิลอับบาสว่า เพราะเหตุใดท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จึงได้เรียกอัล-กุรอานและ อิตรัตว่าเป็น ษะกะลัยนฺ ตอบว่า : “เพราะการยึดมั่นกับทั้งสองเป็นภาระที่หนักอึ้ง



......................
เชิงอรรถ
[๑] อุศูลกาฟีย์ ๒/๔๔๙
[๒] ฆอยะตุ้ลรอม หน้าที่ ๒๒๖ริวายะฮฺที่ ๓๔
[๓] นะฮฺญุ้ลบะลาเฆาะฮฺ ฟัยฎุ้ลอิสลาม คุฎบะฮฺที่ ๒



ขอขอบคุณเว็บไซต์ อัชชีอะฮ์