ชีวประวัติท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ).) ตอนที่ 1

ชีวประวัติท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ).) ตอนที่ 1

 

บทนำเบื้องต้น

 

ในอดีตประชาชาติต่าง ๆ มองสตรีเหมือนกับสัตว์หรือทรัพย์สินส่วนตัวที่อยู่ในการครอบครองของบุรุษเพศ ชนชาติอาหรับในสมัยที่ยังไร้อายธรรมมองว่าสตรี เป็นสัญลักษณ์แห่งความอัปยศ ดังนั้น ผู้คนในบางเผ่าถึงกับฝังลูกสาวของตนเองทั้งเป็นก็มี


เมื่อแสงสว่างของอิสลามได้ทอประกายขึ้น ก็ได้มีการส่งเสริมสิทธิให้แก่สตรี และกำหนดสิทธิในด้านต่าง ๆ ของผู้หญิงขึ้นมา เช่น สิทธิในความเป็นมารดา การเป็นภรรยา และบุตร เราต่างเคยได้รับฟังรายงาน อันทรงเกียรติบทหนึ่งจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ที่ว่า “ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮ์ อยู่บนความพึงพอใจของบิดามารดา” และสตรี คือ บุคคลหนึ่งในสองคนดังกล่าวนั่นเอง

 

อิสลามให้ฐานะความเป็นมนุษย์แก่สตรี  อีกทั้งได้กำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อปกป้องเกียรติยศของสตรี ฉะนั้น การคลุมศีรษะ จึงมิได้เป็นกรงขังที่กักขังสตรี แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีต่างหาก เราจะพบว่าทรัพย์สินที่มีค่าทั้งหลาย ล้วนถูกเก็บรักษาไว้ในสถานที่ที่มั่นคง แม้แต่ผลไม้ก็ยังถูกรักษาไว้ในชะลอม ฉะนั้น สำหรับสตรีชาวมุสลิม อัลลอฮ์ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ จึงทรงกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นมา เพื่อปกป้องคุ้มครองสตรี นั่นคือ การคลุมศีรษะ ซึ่งไม่เพียงแต่เกียรติของผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มคุณค่า และความงดงามให้แก่ผู้หญิงอีกด้วย

 

ส่วนชาวตะวันตก มักจะมองสตรีเป็นเสมือนวัตถุหรือสิ่งของชนิดหนึ่ง ที่มีไว้เพื่อโฆษณาในเชิงธุรกิจและแสวงหากำไรทางวัตถุ ทั้งๆ ที่บุคลิกภาพและเกียรติยศของสตรี คือ มนุษย์คนหนึ่ง ทัศนะเช่นนี้เอง จึงเป็นสามเหตุผลที่ทำให้สตรีเกิดความตกต่ำ และทำให้สตรีต้องหลุดออกไปจากอารมณ์และความรู้สึกของความเป็นมนุษย์ที่สูงส่งคนหนึ่ง

 

ปัจจุบัน จะเห็นสภาพความล้มเหลวของระบบครอบครัวในสังคมตะวันตกได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น สตรีในโลกตะวันตก จึงถูกเปลี่ยนสภาพให้เหลือแต่เรือนร่างที่เป็นมนุษย์ โดยไม่มีคุณค่า ไม่มีเกียรติ ไม่ว่าจะเป็นในหมู่ของเหล่าดาราภาพยนตร์ นักแสดง นางแบบโฆษณาขายสินค้า หรือผู้ที่เข้าประกวดความงาม ต่างเสมอเหมือนกันไปทั้งหมด

ดังนั้น เราจะขอนำเสนอสตรีตัวอย่างในอิสลามสักท่านหนึ่ง เพื่อเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตอันมีค่าของตนต่อไป สตรีที่ในบทความนี้ จะขอนำเสนอคือ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (ซ.)

 

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (ซ.) คือ บุตรสาวของศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ)
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (ซ.) คือ ภรรยาของท่านอิมามอะลี (อ.) ผู้แทนของท่านศาสดา และเป็นผู้ปกครองแห่งพระเจ้า
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (ซ.) คือ มารดาของฮะซัน ฮุเซน ซัยนับ และอิมามผู้บริสุทธิ์อีกทั้ง 9 ท่าน

 

ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า ในหมู่สตรีทั้งที่มิได้เป็นมุสลิม หรือเป็นมุสลิมก็ตาม ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (ซ.) คือ สตรีที่มีความงดงามและประเสริฐที่สุด ทั้งด้านความรู้ ความสำรวมตน โวหาร และจริยธรรม ฟาฏิมะฮ์ ถูกรู้จักในนามของหัวหน้าสตรีแห่งสรวงสวรรค์ แบบอย่างของสตรีในโลกทั้งหลาย เป็นผู้มีความสะอาดบริสุทธิ์ และมีความประเสริฐเป็นเลิศ

 

บนตักอันจำเริญของฟาฏิมะฮ์ คือ เปลที่เลี้ยงอุ้มชูอิมามผู้มีความยิ่งใหญ่ 2 ท่าน ผู้เป็นมนุษย์ตัวอย่างในสากลโลก อิมามฮะซัน (อ.) คือแบบอย่างของความขันติ และความอดทนอดกลั้น อิมามฮุเซน (อ.) คือนายของบรรดาชะฮีด (ผู้สละชีพบนหนทางของพระเจ้า) และท่านหญิง (อ.) ยังให้กำเนิดซัยนับ อัลกุบรอ (อ.) สตรีผู้เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญชาญชัย นักปาฐกถา ผู้เรียกร้องความถูกต้องยุติธรรม ผู้ถือและประกาศสาส์นของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และเหตุการณ์โศกนาฏกรรมแห่งแผ่นดินกัรบะลาอ์ แก่ประชาโลกทั้งหลาย ท่านหญิง คือ ผู้ที่ทำลายล้างและกระชากหน้ากากของยะซีด ผู้ตั้งภาคีเทียบเทียม กินดอกเบี้ย สร้างความต่ำทรามบนหน้าแผ่นดิน และหลงบูชาความศิวิไลของโลก  สตรีที่ไม่เข้าใจว่าควรจะอบรมเลี้ยงดูบุตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรีอย่างไรก็ตาม ฟาฏิมะฮ์ (อ.) ได้สอนและแสดงให้เห็นแล้วว่า การเลี้ยงดูบุตรในอิสลาม ภายใต้ความสะอาดบริสุทธิ์ หลักการ และความสำรวมตนต้องกระทำอย่างไร?


ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) เป็นบุตรีคนเดียวในบรรดาบุตรทั้งหลายของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กับท่านหญิงเคาะดีญะฮ์ ที่หลงเหลืออยู่

 

จะให้กล่าวอย่างไร ถึงสตรีที่บิดาของเธอ คือ บรมศาสดา ผู้เป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า ผู้ให้การช่วยเหลือประชาชาติให้รอดพ้นภยันตรายจากการหลงทางและความหลงผิด ผู้ที่น้ำหมึกและปากกาไม่สามารถบันทึกคุณงามดี ความประเสริฐ และจริยธรรมอันสูงส่งของท่านให้หมดได้ นักโวหาร และบรรดานักกวีต่างหมดหวังที่จะกระทำเช่นนั้นให้สำเร็จ

 

ส่วนมารดาของเธอ เคาะดีญะฮ์ บุตรีของคุวัยละฮ์ สตรีที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุดในหมู่สตรีอาหรับก่อนการมาของอิสลาม เป็นสตรีคนแรกที่ยอมรับอิสลาม เป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ทุ่มเททรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อเผยแพร่อิสลาม ถ้าจะดูว่าเธอมีความรักท่านศาสดา และซื่อสัตย์ต่ออิสลามมากน้อยเพียงใด ให้ดูสิ่งที่เธอแสดงออกมา ประวัติศาสตร์อิสลามไม่มีวันที่จะลืมเลือนสตรีนามว่า คอดีญะฮ์ได้อย่างเด็ดขาด ขณะที่เคาะดีญะฮ์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) มิเคยแต่งงานกับหญิงใดเลย ท่านรำลึกถึงความเสียสละ ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของท่านหญิงเคาะดีญะฮ์ตลอดเวลา


 อาอิชะฮ์ ภรรยาอีกคนหนึ่งของศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ไม่มีหญิงใดบนโลกที่ท่านศาสดาจะให้เกียรติเกินไปจาก ท่านหญิงเเคาะดีญะฮ์ ประหนึ่งว่าบนโลกนี้มีผู้หญิงเพียงคนเดียว
อาอิชะฮ์ กล่าวว่า วันหนึ่งฉันได้กล่าวแก่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า เคาะดีญะฮ์ไม่มีอะไรมากไปกว่าหญิงหม้ายคนหนึ่ง ท่านศาสดาโกรธมากถึงขนาดว่า เส้นเลือดที่หน้าผากท่านโปร่งบวมขึ้นมา หลังจากนั้น ท่านกล่าวกับฉันว่า ฉันขอสาบานด้วยนามของพระเจ้า สำหรับฉันไม่มีใครดีไปกว่าเคาะดีญะฮ์ วันที่ประชาชาติทั้งหลายต่างเคารพบูชารูปปั้น เธอศรัทธาในพระเจ้า และฉัน วันที่ทั้งหมดกล่าวหาฉันว่าเป็นพ่อมดหมอผี และเป็นนักโกหกมุสา เธอสนับสนุนและยอมรับฉัน วันที่ทุกคนนำทรัพย์สินคืนไปจากฉัน เธอได้นำทรัพย์สินทั้งหมดของเธอมอบให้ฉัน วันที่ทุกคนหนีห่างไปจากฉัน พระเจ้าทรงมอบบุตรีที่สะอาดบริสุทธิ์ ผู้เป็นแบบอย่างแก่สตรีทั้งหลายแก่ฉันโดยผ่านเธอ หลังจากนั้น อาอิชะฮ์กล่าวว่า ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายในคำพูด และฉันสำนึกผิดในคำพูดของฉัน


โอ้พระเจ้า ฟาฏิมะฮ์ คือบุคคลที่โชคดีที่สุด ที่บิดาของเธอคือ ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ และมารดาของเธอคือ เคาะดีญะฮ์ ประวัติศาสตร์บันทึกว่า ท่านหญิงคอดีญะฮ์มีบุตรกับท่านศาสดา 7 คน ได้แก่


1. กอซิม ซึ่งฉายานามหนึ่งของท่านศาสดา คือ อะบุลกอซิม ก็สืบเนื่องมาจากนี้ กอซิมเสียชีวิตก่อนที่ท่านศาสดาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดา ขณะมีอายุได้ 2 ขวบ
2. อับดุลลอฮ์ หรือเฏาะบีบ ซึ่งเสียชีวิตก่อนที่ท่านจะได้รับการแต่งตั้งเช่นกัน
3. ฏอฮิร ถือกำเนิดขณะที่ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดา
4. ซัยนับ ซึ่งต่อมาได้แต่งงานกับอะบุลอาซ
5. รุก็อยยะฮ์ ซึ่งตอนแรกแต่งงานกับ อุตบะฮ์ และแต่งงานครั้งที่สองกับ อุสมาน บินอัฟฟาน เธอเสียชีวิตประมาณปีที่ 2 หลังการอพยพ
6. อุมมุกุลซูม ซึ่งเธอแต่งงานกับอุสมานหลังจากรุก็อยยะฮ์เสียชีวิต และเธอเสียชีวิตประมาณปีที่ 4 หลังการอพยพ
7. ฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (ซ.) แต่งงานกับท่านอะลี (อ.) ต่อมา บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ อีก 11 ท่านเป็นผลพวงที่เกิดจากท่านหญิง

 

ขอขอบคุณ ที่มาข้อมูลจากเว็บไซต์ Th.islamic-sources.com