เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ฮะดีษ“หากไร้ซึ่งฟาฏิมะฮ์ ....”มีสายรายงานและมีความหมายว่าอย่างไร?

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

คำถาม


ฮะดีษ“หากไร้ซึ่งฟาฏิมะฮ์ ฉันจะไม่สร้างเจ้าทั้งสอง(นบีและอิมามอะลี)””มีสายรายงานและมีความหมายว่าอย่างไร?


คำตอบโดยสังเขป


ผู้เขียนหนังสือ“ญุนนะตุลอาศิมะฮ์”ได้อ้างอิงฮะดีษนี้จากหนังสือ“กัชฟุลลิอาลี”ประพันธ์โดย ศอลิห์ บิน อับดุลวะฮาบ อะร็อนดิส นอกจากนี้ หนังสือ“มุสตัดร็อก สะฟีนะตุลบิฮาร”ก็ได้รายงานจากหนังสือ “มัจมะอุนนูร็อยน์”ประพันธ์โดย มัรฮูม ฟาฎิล มะร็อนดี และผู้ประพันธ์หนังสือ “ฎิยาอุลอาละมีน” ซึ่งเป็นตาของเจ้าของผลงาน ญะวาฮิรุลกะลาม ก็ได้รายงานฮะดีษนี้ไว้เช่นกัน


หากจะอธิบายประโยคที่ว่า“หากไร้ซึ่งฟาฏิมะฮ์ ฉันจะไม่สร้างเจ้าทั้งสอง (นบีและอิมามอลี)”ก็สามารถตีความได้ว่า หากไร้ซึ่งฐานะภาพแห่งความเป็นบ่าว ฐานะภาพแห่งการเป็นนบีและอิมาม ก็จะไม่มีวันบรรลุเป้าประสงค์ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากนะบูวัตและอิมามัต เป็นทางผ่านไปสู่ความเป็นบ่าวของอัลลอฮ์โดยดุษณี แม้ว่าท่านนบี(ซ็อลฯ)และท่านอิมามอลี(อ.)จะมีฐานะภาพดังกล่าว แต่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์นั้นมีฐานะภาพดังกล่าวชัดเจนกว่า เนื่องจากไม่ดำรงตำแหน่งอื่น เช่นนะบูวัตและอิมามัต ด้วยเหตุนี้ ฮะดีษดังกล่าวจึงเน้นย้ำเกี่ยวกับท่านหญิงเป็นพิเศษ

 

คำตอบเชิงรายละเอียด

 

มีฮะดีษมากมายที่กล่าวถึงฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางฮะดีษระบุว่าเธอมีฐานะภาพพิเศษอันน่าพิศวง ฮะดีษบางบทกล่าวว่า คำว่า ฟาฏิมะฮ์หมายถึง สตรีที่คนทั่วไปที่ไม่อาจล่วงรู้ฐานะภาพที่แท้จริงของเธอได้[1] ประหนึ่งว่ารหัสยของอัลลอฮ์แฝงอยู่ในตัวของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซึ่งหากสามารถรู้จักฐานะภาพที่แท้จริงของเธอ ก็จะทำให้สามารถรู้จักพระองค์อย่างถ่องแท้ได้ ดังที่สถานะความเป็น“ฟาฏิมะฮ์”ก็ทำให้ทราบถึงสถานะอันได้รับการปกปิดไว้ในเขตหวงห้ามของอัลลอฮ์เกินกว่าผู้ใดจะเข้าถึง

 

เป็นที่ทราบกันดีว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มิได้เป็นทั้งนบีและอิมาม นั่นแสดงว่า ตัวแปรที่ทำให้ท่านหญิงได้รับฐานะภาพอันสูงส่งนี้มิใช่ตำแหน่งนะบูวัตและอิมามัต ตัวแปรอันเปรียบประดุจอัญมณีน้ำงามนี้ ไม่ว่าเราจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ได้ แต่หากจะถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด ก็คงจะบัญญัติศัพท์ได้ว่า“อัญมณีแห่งความเป็นบ่าว (อุบูดียัต)” อันหมายถึง การเป็นบ่าวของอัลลอฮ์โดยดุษณี สลายอัตตาและเชื่อมั่นอย่างสุดใจว่า ทุกอย่างเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ สิ่งนี้ทำให้บ่าวมีสถานะเปรียบดังกระจกเงาที่สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้เอง ที่ท่านอิมามญะอ์ฟัร(อ.)กล่าวไว้ว่า“การเป็นบ่าว คือ อัญมณีที่มีภาวะแห่งพระผู้อภิบาลเป็นแกนกลาง”[2] อัญมณีเม็ดนี้ที่เป็นความเร้นลับสุดยอดของวิถีแห่งอิรฟานที่มนุษย์ต้องแสวงหา

 

มีฮะดีษหนึ่งกล่าวว่า การรู้จักท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ไม่ต่างจากการค้นพบลัยละตุลก็อดร์[3] บรรดานักจาริกจิตวิญญาณทุกคนปรารถนาจะเข้าถึงแก่นแท้ของลัยละตุลก็อดร์ และอาริฟที่บรรลุความใกล้ชิดพระองค์แล้วเท่านั้นที่จะได้สัมผัสการประทานอัลกุรอานในค่ำคืนนี้


ในขณะที่บรรดาอิมาม(อ.)มีศักดิ์เป็น“อัลกุรอานพูดได้” แสดงว่า แก่นแท้ของตำแหน่งอิมามเกี่ยวโยงกับการได้สัมผัสแก่นแท้ของอัลกุรอาน และนี่คือเหตุผลที่ว่าแก่นแท้ของตำแหน่งอิมามมีความเชื่อมโยงกับฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ)

 

ตำแหน่งการเป็นนบี เป็นที่ปรากฏชัดเจนสำหรับบุคคลทั่วไป ส่วนตำแหน่งอิมามก็ได้รับการเผยแผ่โดยตำแหน่งนบีในฐานะผู้เติมเต็มศาสนา ซึ่งกลุ่มบุคคลพิเศษเท่านั้นที่เคารพเชื่อฟัง ตำแหน่งอิมามเองก็มีแก่นสัจธรรมประการหนึ่งที่ซ่อนเร้นจากบุคคลอื่น(นอกจากผู้ได้รับเอกสิทธิจากอัลลอฮ์) ซึ่งสัจธรรมดังกล่าว ก็คือ ฐานะภาพอันลี้ลับของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ที่ปกปักษ์ไว้โดยเดชานุภาพของอัลลอฮ์และตำแหน่งอิศมัต(ไร้บาป)นั่นเอง

 

ฉะนั้น แก่นของนะบูวัต(ตำแหน่งนบี) ก็คืออิมามัต(ตำแหน่งอิมาม) และธาตุแท้ของอิมามัต ก็คืออุบูดียัต(ความเป็นบ่าว) สิ่งสำคัญในจุดนี้ ก็คือ ท่านนบี(ซ็อลฯ)มีทั้งสามฐานะภาพดังกล่าวอย่างสมบูรณ์และเป็นหนึ่งเดียว แม้กระนั้น ความเป็นอิมามของท่านนบีเผยชัดเจนในบุคลิกของอิมามอะลี(อ.) และสถานะความเป็นบ่าวก็เผยชัดเจนในบุคลิกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ในระดับที่นับเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละท่าน เมื่อพิจารณาลำดับฐานะภาพของท่านนบีก็จะเห็นได้ว่า ความเป็นบ่าวของท่านอยู่เหนือกว่าฐานะภาพนะบูวัตและอิมามัต ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ผิดนักที่เราจะพูดว่า สิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อุบูดียัต)ก็คือ ฐานะภาพสูงสุดสำหรับมนุษย์ อันเป็นเป้าประสงค์ของทั้งนุบูวัตและอิมามัต

 

ฮะดีษ“หากไร้ซึ่งฟาฏิมะฮ์...”


กลุ่มฮะดีษจากนบี(ซ็อลฯ)และอิมาม(อ.)ที่สาธยายถึงฐานะภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ตลอดจนฮะดีษกุดซี(วจนะอัลลอฮ์ในสำนวนนบี)ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้[4] ล้วนชี้ให้เห็นถึงแนวคิดที่เราได้นำเสนอข้างต้น แต่ฮะดีษที่ระบุถึงฐานะภาพอันลี้ลับของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์โดยตรง ซึ่งได้รับการบันทึกไว้โดยผู้รู้หลายท่าน ก็คือ ฮะดีษที่ว่า


لولاك لما خلقت الافلاك و لولا علي لما خلقتك  و لولا فاطمة لما خلقتکما [5]


แม้ว่าในแง่ของหลักวิชาคัดกรองสายรายงานฮะดีษ ถือว่าฮะดีษนี้เป็นฮะดีษ“เฎาะอีฟ” แต่ผู้รู้ระดับสูงหลายท่านได้บันทึกไว้ในตำราของตน อาทิเช่น ส่วนท้ายของฮะดีษ

(و لولا فاطمة لما خلقتکما)

ได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ ญุนนะตุลอาศิมะฮ์ หน้า 148 รายงานจากหนังสือกัชฟุลลิอาลี ผลงานของ ท่านศอลิห์ บิน อับดิลวะฮาบ อะร็อนดิส. มุสตัดร็อก สะฟีนะตุลบิฮ้าร เล่ม 3 หน้า 334 รายงานจากหนังสือ มัจมะอุนนูร็อยน์ เขียนโดย ฟาฎิล มะร็อนดี นอกจากนี้ผู้ประพันธ์หนังสือ ฎิยาอุลอาละมีน ผู้เป็นตาของท่านผู้ประพันธ์ ญะวาฮิรุลกะลาม ก็ได้รายงานไว้เช่นกัน


มีรซา อบุลฟัฎล์ เตห์รอนี กล่าวไว้ในหนังสือ “ชิฟาอุศศุดูร ฟี ชัรฮิ ซิยาเราะตุลอาชูร” หน้า 84 ว่า“ศอลิห์ บิน อับดุลวะฮาบและสายรายงานบางคนของเขาไม่เป็นที่รู้จัก แต่ก็มิได้หมายความว่า ฮะดีษนี้ถูกกุขึ้นมา”


ไม่ไช่เรื่องแปลกที่ฮะดีษที่เกี่ยวกับฐานะภาพอันสูงส่งของบรรดามะอ์ศูมีน  จะมีสายรายงานที่ไม่เป็นที่รู้จักนัก ทั้งนี้เพราะในยุคของบรรดาอิมาม แม้ว่านักรายงานฮะดีษที่เกี่ยวกับบทบัญญัติฟิกเกาะฮ์จะที่ไม่เป็นที่จับตาของทางการ แต่นักรายงานฮะดีษที่เกี่ยวกับหลักศรัทธามักจะต้องหลบหลีกการจับตาเป็นพิเศษ จึงทำให้ไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงนักรายงานฮะดีษ ส่งผลให้ไม่สามารถยืนยันสถานะทางฮะดีษศาสตร์ได้อย่างชัดเจน แต่กระนั้น การที่สายรายงานเหล่านี้ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่ได้ทำลายความน่าเชื่อถือของฮะดีษแต่อย่างใด โดยเฉพาะหากมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขวิชาการ อย่างไรก็ดี การที่บรรดาอิมามมักจะปรารภเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้กับนักรายงานฮะดีษกลุ่มนี้เสมอ ทำให้ทราบว่าคนกลุ่มนี้อาจจะเป็น“สหายผู้รักษาความลับ” ดังที่จะเห็นว่าฮะดีษประเภทดังกล่าวรายงานโดยบุคคลกลุ่มนี้บ่อยครั้ง [6]

 

ส่วนในแง่เนื้อหานั้น  ฮะดีษดังกล่าวประกอบด้วยสามส่วนด้วยกัน:


1. มนุษย์ผู้สมบูรณ์ คือ จุดประสงค์ของการสรรสร้างจักรวาล
2. การที่อิมามัตเหนือกว่านะบูวัต
3. การที่อุบูดียัตเหนือกว่าทั้งสองฐานะภาพข้างต้น


ประเด็นที่หนึ่งอ้างอิงจากประโยคแรกในฮะดีษที่ว่า“หากไร้ซึ่งเจ้า (นบี) ข้าก็จะไม่สร้างจักรวาล" ซึ่งได้รับการยืนยันจากฮะดีษอื่นๆเช่นกัน ประโยคดังกล่าวต้องการจะสื่อว่าการกำเนิด“มนุษย์ผู้สมบูรณ์”คือ เป้าหมายของการสร้างทุกสรรพสิ่ง เพราะอัลลอฮ์ทรงให้ความสำคัญแก่เขาในฐานะที่เป็นผู้สนองเจตน์จำนงของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน เกี่ยวกับเรื่องนี้มีการอธิบายโดยผู้รู้สายจิตนิยมมากมาย ซึ่งจะขอหยิบยกมากล่าว ณ ที่นี้เพียงตัวอย่างเดียวดังต่อไปนี้:


หากไม่มีมิติแห่งเอกานุภาพของอัลลอฮ์ ก็จะไม่มีมิติแห่งพหุลักษณ์ของสรรพสิ่งต่างๆ หลักความสอดคล้องกันระหว่างปฐมเหตุและผลลัพท์กำหนดว่า ระหว่างปฐมเหตุซึ่งเป็นเอกะในทุกมิติ และผลลัพท์ซึ่งเป็นพหุลักษณ์นั้น จะต้องมีสิ่งที่เชื่อมต่อกัน โดยมีสถานะเชิงเอกะในด้านความสัมพันธ์กับปฐมเหตุ แต่ขณะเดียวกันก็สามารถสอดรับกับพหุลักษณ์ที่มีในสรรพสิ่งต่างๆได้ ภาวะดังกล่าวจะเกิดขึ้นในชั้นมิติแห่ง“จิต”เท่านั้น ไม่ไช่ว่าทุกจิตสามารถเป็นโซ่ข้อกลางได้ แต่จิตของนบี(ซ็อลฯ)และอะฮ์ลุลบัยต์(อ.)เท่านั้นที่มีศักยภาพที่จะทำหน้าที่ดังกล่าว ฉะนั้น หากไร้ซึ่งจิตของท่านนบี จักรวาลนี้ก็จะไร้ซึ่งจุดเชื่อมต่อที่มีสถานะเป็นเอกะ ซึ่งพหุลักษณ์ของทุกสรรพสิ่งก็จะไม่เกิดขึ้น.[7]

 

ส่วนประโยคต่อมาก็คือ“لولا علي لما خلقتك” ประโยคนี้ต้องการสื่อว่า อิมามัตสูงส่งกว่านะบูวัต ทั้งนี้เพราะคุณสมบัติเด่นของนะบูวัตหรือศาสนทูตก็คือ การเป็นทูตศาสนา ทว่าอิมามัตนั้นสูงส่งกว่าเนื่องจากเป็นตำแหน่งของผู้ที่เข้าถึงเตาฮีดระดับสมบูรณ์ และลอดผ่านภาวะแห่งฟะนาอ์(อนัตตา)เข้าสู่ความใกล้ชิดกับพระองค์แล้ว ด้วยเหตุนี้ อัลกุรอานจึงกล่าวถึงเรื่องราวของนบีอิบรอฮีมว่า ท่านได้ผ่านการทดสอบหลากหลายขั้นตอน จนกระทั่งบรรลุถึงตำแหน่งอิมามทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นนบีมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี แม้ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ็อลฯ)จะบรรลุตำแหน่งอิมามก็จริง ทว่าในเมื่อท่านเป็นที่รู้จักในฐานะนะบูวัตแล้ว อิมามัตจึงกลายเป็นอัตลักษณ์ของท่านอิมามอลี(อ.)ในสายตาของบุคคลทั่วไป

 

ที่กล่าวมาทั้งหมด มิได้ต้องการสื่อว่าท่านอิมามอะลี(อ.)มีฐานะเหนือท่านนบี(ซ.ล.) แต่ต้องการสื่อว่า อิมามัตเหนือกว่านะบูวัต(ที่ปราศจากอิมามัต) ทั้งนี้ ก็เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าท่านนบี(ซ็อลฯ)มีฐานะภาพเหนือกว่าอิมามอะลี(อ.) ดังที่ท่านอิมามอะ ลี กล่าวเองว่า “ฉัน คือ บ่าวทาสคนหนึ่งในจำนวนบ่าวทั้งหมดของนบีมุฮัมมัด(ซ็อลฯ)”[8]

 

ส่วนประโยคสุดท้ายที่ว่า“หากไร้ซึ่งฟาฏิมะฮ์ ข้าจะไม่สร้างเจ้าทั้งสอง (นบีและอิมามอลี)” สื่อถึงฐานะภาพอันสูงส่งที่แม้จะมีในตัวท่านนบีและอิมามอะลีอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ด้วยเหตุผลที่กล่าวไปแล้ว ทำให้ฐานะภาพนี้กลายเป็นอัตลักษณ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ไปโดยปริยาย ฐานะภาพสูงสุดนี้ก็คือ“อุบูดียัต”

 

ฉะนั้น จึงอธิบายประโยคดังกล่าวได้ดังนี้ว่า หากไร้ซึ่งฐานะภาพแห่งอุบูดียัตแล้ว นุบูวัตและอิมามัตก็จะไม่สมบูรณ์และไม่บรรลุเป้าประสงค์ เนื่องจากทั้งนุบูวัตและอิมามัตมีไว้ก็เพื่อที่จะบรรลุสู่ความเป็นอับด์(บ่าว)ที่ยอมสยบโดยดุษณีต่อพระองค์ แต่ใช่ว่าท่านนบี(ซ็อลฯ)และอิมามอะลี(อ.)จะไม่มีฐานะภาพนี้ ท่านทั้งสองมีฐานะภาพดังกล่าวอย่างสมบูรณ์ แต่จากการที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์มีเพียงฐานะภาพนี้ จึงทำให้โดดเด่นเป็นพิเศษในประโยคนี้ของฮะดีษ แต่ในทัศนะของพระองค์แล้ว เบื้องต้นของดวงจิตทั้งสามท่านถือเป็นหนึ่งเดียว

 

ข้อสรุปของประเด็นนี้ ก็คือ หากผู้ใดสามารถบรรลุถึงฐานะแห่งอุบูดียัต เขาย่อมมีฐานะ(มิใช่ภาระหน้าที่)สูงกว่านะบูวัตและอิมามัต ซึ่งจริงๆแล้ว ท่านนบี(ซ็อลฯ)และบรรดาอิมาม(อ.)เองก็ได้รับตำแหน่งและภาระหน้าที่แห่งนะบูวัตและอิมามัตจากการบรรลุถึงอุบูดียัตทั้งสิ้น  และอุบูดียัตนี้แหล่ะ ที่เป็นฐานะสูงสุดของนบีและบรรดาอิมามในทัศนะของอัลลอฮ์
กล่าวคือ นุบูวัตและอิมามัตเป็นฐานะภาพที่มีภาระผูกพันกับมนุษย์ แต่อุบูดียัต คือฐานะภาพที่มีสัมพันธ์โดยตรงกับอัลลอฮ์ จากจุดนี้แน่นอนว่า อุบูดียัตย่อมเหนือกว่านะบูวัตและอิมามัต

 

แหล่งอ้างอิง


[1] บิฮารุลอันวาร,อัลลามะฮ์มัจญลิซี,เล่ม 43,หน้า 61, :


“إِنَّمَا سُمِّیَتْ فَاطِمَةَ لِأَنَّ الْخَلْقَ فُطِمُوا عَنْ مَعْرِفَتِهَا”

[2] มิศบาฮุชชะรีอะฮ์,หน้า 7,สำนักพิมพ์อะอ์ละมี

 

 “العبودیة جوهر کنهها الربوبیة فما فقد من العبودیة وجد فی الربوبیة و ما خفی عن الربوبیة أصیب فی العبودیة”

[3] บิฮารุลอันวาร,อัลลามะฮ์มัจญลิซี,เล่ม 43,หน้า 65 :

 

مُحَمَّدُ بْنُ الْقَاسِمِ بْنِ عُبَیْدٍ مُعَنْعَناً عَنْ أَبِی عَبْدِ اللَّهِ ع أَنَّهُ قَالَ إِنَّا أَنْزَلْناهُ فِی لَیْلَةِ الْقَدْرِ اللَّیْلَةُ فَاطِمَةُ وَ الْقَدْرُ اللَّهُ فَمَنْ عَرَفَ فَاطِمَةَ حَقَّ مَعْرِفَتِهَا فَقَدْ أَدْرَکَ لَیْلَةَ الْقَدْر

 

[4] หนังสือ“อัลกิดดีซะฮ์ ฟิลอะฮาดีซิล กุดซียะฮ์”ประพันธ์โดย อิสมาอีล อัลอันศอรี มีฮะดีษกุดซีเกี่ยวกับฐานะภาพท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถึง 252 บท,สำนักพิมพ์ดะลีเลมอ

 

[5] อัลอัสรอรุลฟาฎิมียะฮ์,เชคมุฮัมมัด ฟาฎิล มัสอูดี:

 

 یا أحمد لولاك لما خلقت الأفلاك ، ولولا علي لما خلقتك ، ولولا فاطمة لما خلقتکما
 

(อัลญุนนะตุลอาศิมะฮ์,149 /มุสตัดร็อก สะฟีนะตุลบิฮาร,เล่ม3,หน้า 337 จากมัจมะอุนนูร็อยน์, 14 จากอัลอะวาลิม, 44)


هذا الحدیث من الأحادیث المأثورة التی رواها جابر بن عبد الله الأنصاری عن رسول الله صلى الله علوآله وسلم    عن الله تبارک وتعالى
 

(เชคมุฮัมมัดฟาฎิล มัสอูดี,หน้า 231.)

 

[6] ดู: เลาลาฟาฏิมะฮ์,อัลลามะฮ์ มุฮัมมัดอลี เฆรอมี,หน้า 141-143.

 

[7] อ้างแล้ว,หน้า 34

 

[8] อัลกาฟี,เชคกุลัยนี,เล่ม 1,หน้า 89


ขอขอบคุณ เว็บไซต์อิสลามเควสท์

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม