สถานภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) คือ “อัล เกาษัร”


สถานภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) คือ “อัล เกาษัร”


 
  เอกองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงบริสุทธิ์ยิ่ง ได้ประทานอัลกุรอานบท อัลเกาษัร ดังมีใจความว่า  

 

إِنَّا أَعْطَيْنَاكَ الْكَوْثَرَ، فَصَلِّ لِرَبِّكَ وَانْحَرْ، إِنَّ شَانِئَكَ هُوَ الْأَبْتَرُ

 

“ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ  แท้จริงเราได้ประทานอัล เกาษัรให้แก่เจ้าแล้ว ดังนั้นจงสดุดีและจงเชือดพลีแด่พระผู้อภิบาลของเจ้า แท้จริงผู้ที่รังเกียจเจ้า คือผู้ถูกตัดขาด (ไร้ผู้สืบตระกูล)”

 

     สิ่งนี้เป็นการตอบโต้คำพูดที่ให้ร้ายของศัตรูอิสลาม และเป็นการยืนยันความเป็นจริงที่สมบูรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าถึงผู้สืบตระกูลที่มาจากสตรีที่สะอาดบริสุทธิ์ ผู้มีสิริมงคล เธอคือสตรีที่สูงส่งและสมบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง ซึ่งเป็นที่สุดของความดีงามทั้งหลาย ดังนั้นเธอจึงเป็นความสุขและเป็นความปีติยินดีของท่านศาสดา (ซ็อลฯ)

 

     ความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าในการประทานโองการนี้ ก็เพื่อต้องการที่จะอธิบายถึงฐานภาพและคุณค่าของสตรีในอิสลาม พระองค์จึงทรงบันดาลให้การสืบสายตระกูลของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ผ่านทางบุตรีของท่าน และพระองค์ทรงกำหนดให้บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ ที่จะมาทำหน้าที่ผู้นำของมวลมนุษยชาตินั้น สืบเชื้อสายมาจากเธอ เป็นการทำลายความเชื่อและประเพณีเก่าแก่ที่โง่เขลาของชาวอาหรับที่เชื่อว่า เป็นความน่าละอายที่ครอบครัวใดได้ให้กำเนิดบุตรสาว และการฝังลูกสาวทั้งเป็น

 

      การที่มนุษย์คนหนึ่งจะนำตัวเองก้าวไปสู่ตำแหน่งหน้าที่ในฐานะผู้นำของสังคมได้ดีนั้น จะต้องเป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้ถึงแนวทางการเป็นผู้นำในครอบครัวมาก่อน การมีคู่ครองเป็นวิสัยทางธรรมชาติของมนุษย์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์

 

ฟาฏิมะฮ์ (ซ) ผู้สนับสนุนตำแหน่งผู้นำแห่งประชาชาติ

 

     มนุษย์ย่อมไม่ประสบความสำเร็จ หรือบรรลุสู่จุดหมายแห่งความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ หากเขาแหกกฎทางธรรมชาติของตนเอง โดยการครองตนอยู่ในพรหมจรรย์  ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์และการสืบพันธุ์ โดยอ้างว่า เพื่อเป็นการปกป้องความบริสุทธิ์ของตนเอง

 

     นักปกครองที่สมบูรณ์แบบ จะต้องมีแนวทางของตัวเองในการเลือกคู่ครองที่เหมาะสม เพื่อให้ตรงกับอุดมการณ์ของเขาที่จะทำงานเพื่อรับใช้ผู้คนในสังคมส่วนรวม หากผู้ปกครองเลือกคู่ครองที่มีอุดมคติและทัศนะทางสังคมที่แตกต่างกัน ผู้ปกครองก็หมดความหวังที่จะทำหน้าที่ได้ตามอุดมคติของตน

 

    ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านของมหาบุรุษอันดับสองของอิสลาม เขาคือผู้กล้าหาญที่ทรงพลัง ผู้นำกองทัพ เสนาบดีและที่ปรึกษาส่วนตัวของท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ) ท่านทราบดีว่า “หากมิใช่ด้วยดาบของอะลี (อ.) ศาสนาก็มิอาจที่จะยืนหยัดอยู่ได้”

 

    ท่านหญิงตระหนักถึงความรับผิดชอบของท่านได้เป็นอย่างดี เพราะบทบาทและการแสดงออกของท่านมีผลกระทบอย่างมากต่ออิมามอาลี (อ) สามีของเธอ เป็นที่แน่ชัดประการหนึ่งคือ การที่สามีจะมีความสุขหรือทุกข์ จะเข้มแข็งหรืออ่อนแอ จะเบิกบานใจหรือเศร้าใจ จะประสบความสำเร็จหรือพ่ายแพ้ในชีวิต ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตัวของภรรยา

 

ฟาฏิมะฮ์ (ซ) ในฐานะภรรยาของมหาบุรุษ

 

     ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) รู้ดีว่า แม่ทัพที่กล้าหาญอย่างท่านอะลี (อ) จะเข้าสู่สมรภูมิรบเพื่อเอาชนะเหนือศัตรูได้นั้น ท่านต้องได้รับความสงบทางจิตใจ มีความมั่นใจในภรรยาของตน และปราศจากความวิตกกังวลใดๆ ดังนั้น ท่านอิมามในฐานะผู้นำของบรรดานักรบและผู้พลีชีพเพื่ออิสลาม เมื่อกลับถึงบ้านในสภาพที่เหน็ดเหนื่อย เมื่อท่านได้พบกับภรรยาที่อบอุ่นไปด้วยความรักความภักดี คอยดูแลบาดแผลและช่วยบรรเทาความเจ็บปวด ชำระคราบเลือดที่ติดอยู่ตามร่างกายและเสื้อผ้า จนครั้งหนึ่งท่านอิมามอะลีได้กล่าวว่า “ยามใดก็ตามที่ฉันมองดูเธอ ฉันรู้สึกว่า ความกังวลใจและความทุกข์โศกได้หายไปจากฉันจนหมดสิ้น”

 

     ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ไม่เคยออกนอกบ้านโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากสามี เธอไม่เคยทำให้สามีโกรธแม้สักวันเดียว เพราะท่านทราบดีว่า พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงรับการงานใดๆ ของสตรีที่ทำให้สามีโกรธ จนกว่าเธอจะทำให้เขาพึงพอใจ ท่านจะคอยให้กำลังใจและยกย่องวีรกรรมความกล้าหาญและการเสียสละของสามีอยู่เสมอ จนกระทั่งท่านอิมามอะลี (อ) ได้กล่าวว่า “ขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ ฉันไม่เคยทำให้เธอโกรธ ฉันไม่เคยทำให้เธอเดือดร้อน จนกระทั่งอัลลอฮ์ได้เอาชีวิตของเธอไป และเธอก็ไม่เคยทำให้ฉันโกรธและละเมิดคำสั่งใดๆ ของฉัน”

    ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ถามท่านอิมามอะลีว่า “โอ้บุตรของท่านลุง ขอท่านได้ยืนยันกับฉันว่า ฉันไม่เคยโกหกและไม่เคยหลอกลวงท่าน และไม่เคยทำผิดต่อท่านนับแต่วันที่ท่านอยู่ร่วมกับฉัน” ท่านอิมามอะลี (อ) กล่าววว่า “ขออัลลอฮ์ทรงคุ้มครองด้วยเถิด ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ เธอเป็นผู้มีความรู้และมีคุณธรรมมากที่สุด มีความยำเกรงและมีเกียรติมากที่สุด ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ทุกข์โศกของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ครั้งใหม่ได้เกิดขึ้นกับฉันอีกครั้งหนึ่งแล้ว แน่นอนที่สุด การจากไปของเธอและการสูญเสียเธอคือสิ่งที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับฉัน แท้จริงเราเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ และแท้จริงยังพระองค์ที่เราจะต้องคืนกลับ”

 

ฟาฏิมะฮ์ (ซ) ในฐานะมารดาของบรรดาผู้นำที่บริสุทธิ์

 

     การเลี้ยงดูบุตร คือหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) อัลลอฮ์ (ซ.บ) ได้ทรงกำหนดให้วงศ์ตระกูลของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯสืบเชื้อสายมาจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) และลูกหลานของท่าน ซึ่งท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ) กล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮ์ทรงบันดาลให้เชื้อสายของบรรดาศาสดาสืบเชื้อสายมาจากกระดูกสันหลังของตัวเองโดยเฉพาะ แต่ทรงบันดาลให้เชื้อสายของฉันสืบเชื้อสายมาจากกระดูกสันหลังของฉันและกระดูกสันหลังของอะลี บินอะบีฏอลิบ (อ)”

 

     ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ได้รับการเลี้ยงดูจากการวิวรณ์แห่งพระผู้เป็นเจ้า (อัล วะฮ์ยู) เพราะท่านเติบโตมาจากอ้อมกอดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ท่านเข้าใจถึงแบบแผนการเลี้ยงดูบุตรตามแนวทางของอิสลาม ท่านจึงไม่ลืมที่จะเสริมสร้างสิ่งเหล่านี้ในตัวบุตรของท่าน นับตั้งแต่การให้บุตรได้ดื่มนมจากมารดาของตนเอง ตลอดจนถึงการเสริมสร้างพฤติกรรม การกระทำและคำสอนต่างๆ ตามแบบแผนการปฏิบัติของท่าน

 

     ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) ทราบดีว่า หน้าที่ของท่านคือการเลี้ยงดูผู้นำแห่งประชาชาตินี้ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่อมตะสำหรับภาพลักษณ์แห่งอิสลาม เป็นวิชาการแห่งความเป็นจริงที่เคลื่อนไหวได้ของอัล กุรอานอันทรงเกียรติ ท่านต้องเลี้ยงดูฮะซัน (อ) ให้เป็นผู้ที่อดทนอดกลั้น ในยามที่สถานการณ์คับขัน การเลือกเดินบนหนทางที่สงบและประนีประนอม เพื่อสอนให้ผู้คนทั้งโลกได้ตระหนักว่า อิสลามให้น้ำหนักต่อการทำสัญญาสันติภาพมากกว่าการรบ จึงทำให้แผนการร้ายของมุอาวียะฮ์ต้องผิดหวังและล้มเหลว ทำให้ประชาชนมองเห็นความผิดพลาดของเขา และบทบาทของตัวละครที่มุอาวียะฮ์ได้แสดงต่อบรรดามุสลิมก็เป็นอันจบสิ้นลง

 

     ท่านต้องเลี้ยงดูฮุเซน (อ) ให้เป็นผู้ที่พร้อมที่จะเสียสละชีวิตของตนเองและคนในครอบครัวตลอดจนมิตรสหายและบริวารในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อปกป้องศาสนาและต่อต้านความอธรรมของบรรดาผู้อธรรมทั้งหลาย และเพื่อที่ว่าหยาดเลือดของท่านที่ได้ราดรดลงไปนั้น จะยังความชุ่มชื่นให้แก่ต้นไม่แห่งอิสลาม

 

      ท่านต้องเลี้ยงดูสตรีอย่างซัยนับและอุมมุกุลษูม (ซ) ให้เรียนรู้ถึงการเสียสละและเข้มแข็งอดทนต่อหน้าบรรดาผู้อธรรม ไม่อ่อนข้อและยอมสยบต่ออำนาจของพวกเขา เป็นผู้ที่ยืนหยัดและมั่นคงอยู่กับสัจธรรม เพราะท่านรู้ดีว่าในอนาคต ซัยนับจะต้องเป็นผู้ที่ทำหน้าที่เปิดเผยเรื่องราวความไม่เป็นธรรมที่ได้เกิดขึ้นกับฮุเซน (อ) เธอจึงเป็นสตรีที่มีวาทศิลป์ในการพูดเป็นเลิศ เธอสามารถกล่าวคำปราศรัยต่อหน้าสาธารณะได้อย่างกล้าหาญ เธอสามารถเปิดเผยแผนการและพฤติกรรมอันโฉดชั่วของบนีอุมัยยะฮ์ และสามารถชี้ให้ประชาชนได้เห็นว่าการยืนหยัดในตำแหน่งอันสูงส่งนั้นเป็นอย่างไร

 

เกียรติยศและความสูงส่งของ “ฟาฏิมะฮ์” (ซ)

 

     ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) กล่าวกับท่านว่า “โอ้ลูกรัก แท้จริงอัลลอฮ์ทรงให้เกียรติแก่โลกนี้ ดังนั้นพระองค์จึงทรงคัดเลือกพ่อให้อยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าชายทั้งหลายในสากลโลก ต่อจากนั้นพระองค์ทรงให้ข้อเสนอประการที่สอง โดยทรงเลือกสามีของเจ้าไว้ในตำแหน่งที่เหนือกว่าชายทั้งหลายในสากลโลก ต่อจากนั้นพระองค์ทรงมอบข้อเสนอประการที่สาม โดยทรงเลือกเจ้าไว้ในตำแหน่งที่เหนือกว่าสตรีทั้งหลายในสากลโลก หลังจากนั้น พระองค์ทรงมอบข้อเสนอประการที่สี่  คือ ทรงเลือกบุตรทั้งสองของเจ้าไว้ในตำแหน่งที่เหนือกว่าชายหนุ่มทั้งหลายในสากลโลก”

 

     มีรายงานจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ว่า “แท้จริง ฟาฏิมะฮ์ คือ ดวงใจของฉัน สิ่งที่ทำให้เธอเกลียด เท่ากับทำให้ฉันเกลียด และสิ่งใดที่ทำให้เธอพึงพอใจ ก็เท่ากับทำให้ฉันพึงพอใจ…”

 

     และในขณะที่ท่านจับมือของท่านหญิงอยู่นั้น ท่านได้กล่าวว่า “ผู้ใดที่ได้รู้จักเธอ ก็เท่ากับได้รู้จักเธอแล้ว แต่ใครก็ตามที่ยังไม่รู้จักเธอ (ฉันขอบอกว่า) นี่คือ ฟาฏิมะฮ์ บุตรของมุฮัมมัด เธอคือก้อนเลือดของฉัน และเธอคือหัวใจของฉัน และเป็นวิญญาณของฉัน ที่อยู่ระหว่างดวงใจของฉัน ดังนั้นใครที่ทำร้ายเธอก็เท่ากับทำร้ายฉัน และใครที่ทำร้ายฉันก็เท่ากับทำร้ายอัลลอฮ์”

 

     ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวกับอิมามอะลี (อ) ว่า “โอ้อะลี แท้จริง ฟาฏิมะฮ์ คือ ก้อนเลือดของฉัน เธอคือแก้วตาและดวงใจของฉัน สิ่งใดก็ตามที่ทำให้เธอมีความทุกข์ ก็เท่ากับทำให้ฉันมีความทุกข์ด้วย และสิ่งใดก็ตามที่ทำให้เธอมีความสุข ก็เท่ากับทำให้ฉันมีความสุขด้วย และเธอคือบุคคลแรกจากอะฮ์ลุลบัยต์ของฉันที่จะติดตามฉันไป ดังนั้นจงปฏิบัติต่อเธออย่างดีภายหลังจากฉัน ส่วนฮะซันและฮุเซนนั้น ทั้งสองคือบุตรของฉันและเป็นที่รักของฉัน เขาทั้งสองคือประมุขของชายหนุ่มแห่งสวรรค์ ดังนั้นเขาทั้งสองจะเป็นหูเป็นตาสำหรับเจ้า”

 

    หลังจากนั้น ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้ยกมือของท่านขึ้นสู่ฟากฟ้าและกล่าวว่า “โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงฉันขอปฏิญาณว่า ฉันจะมอบความรักให้กับบุคคลที่มอบความรักให้กับพวกเขา และฉันจะโกรธเคืองต่อผู้ที่สร้างความโกรธเคืองให้กับพวกเขา ฉันให้ความศานติแก่ผู้ที่ให้ศานติแก่พวกเขา ฉันจะสู้รบกับบุคคลที่สู้รบกับพวกเขา ฉันจะเป็นศัตรูกับผู้ที่เป็นศัตรูกับพวกเขา และฉันจะเป็นผู้คุ้มครองต่อบุคคลที่สวามิภักดิ์ต่อพวกเขา”

 

    หนึ่งในเหตุการณ์อันจำเริญที่เกิดขึ้นในเดือนที่เปี่ยมไว้ด้วยรัศมี (นูร) ของเดือนซุลฮิจญะฮ์ ปีฮิจญ์เราะฮ์ศักราชที่สอง คือ การแต่งงานของท่านอมีรุลมุอ์มินีน อะลี บินอะบีฏอลิบ (อ.) กับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (ซ.) บุตรีของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ซึ่งผลของการแต่งงานครั้งนี้ได้นำมาความดีงามและความจำเริญอันมากมายสำหรับมนุษยชาติ ซึ่งบางทีอาจะมีคำถามเกิดขึ้นว่า คัมภีร์อัลกุรอานได้ชี้ถึงการสมรสของบุคคลทั้งสองนี้ไว้หรือไม่ จำเป็นต้องกล่าวว่า ในสองที่ของคัมภีร์อัลกุรอานเราสามารถพบคำตอบของคำถามนี้ได้ คือ :

 

    แห่งที่หนึ่งอยู่ในซูเราะฮ์ (บท) อัลเกาษัรและอีกแห่งอยู่ในซูเราะฮ์ (บท) อัรเราะฮ์มาน ในซูเราะฮ์อัลเกาษัร คือโองการที่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสูงส่งทรงตรัสว่า :

 

إِنَّا أَعْطَيْنَاكَ الْكَوْثَرَ

 

"แท้จริงเราได้ประทาน "เกาษัร" (ความดีงามอันมากมาย) ให้แก่เจ้า"

  

  ในความเป็นจริงแล้ว หนึ่งในตัวอย่างของความดีอันมากมาย (เกาษัร) คือ การดำรงอยู่ของบรรดาอิมาม (อ) ผู้บริสุทธิ์ที่สืบเชื้อสายมาจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (ซ) และเป็นสาเหตุทำให้ความดีงามของท่านหญิง (อ) ดำเนินอยู่ตลอดทุกยุคสมัย และประเด็นนี้เกิดขึ้นด้วยสื่อของการแต่งงานของท่านหญิงกับท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะลี บินอบีฏอลิบ (อ.) ในฐานะ "กุฟว์" (ผู้มีความคู่ควร) เพียงผู้เดียว

 

    อีกแห่งของคัมภีร์อัลกุรอานที่ชี้ถึงการแต่งงานของท่านอิมามอะลี (อ.) กับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (ซ.) โดยนัย นั่นก็คือโองการที่ 19 ถึง โองการที่ 22 ของซูเราะฮ์ (บท) อัรเราะฮ์มานที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งได้ทรงตรัสว่า

 

مَرَجَ الْبَحْرَيْنِ يَلْتَقِيَانِ  بَيْنَهُمَا بَرْزَخٌ لَّا يَبْغِيَانِ  فَبِأَيِّ آلَاء رَبِّكُمَا تُكَذِّبَانِ  يَخْرُجُ مِنْهُمَا اللُّؤْلُؤُ وَالْمَرْجَانُ

 

"พระองค์ทรงบันดาลให้สองทะเล (น้ำเค็มและน้ำจืด) ไหลมาบรรจบกัน ระหว่างมันทั้งสองมีสิ่งขวางกั้น โดยที่ทั้งสองจะไม่ล้ำเขตของกันและกัน ดังนั้น ต่อความโปรดปรานอันใดของพระผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสอง (ญินและมนุษย์) ที่เจ้าทั้งสองว่ามุสา? มีไข่มุกและปะการังสีแดงเรื่อออกมาจากมันทั้งสอง"

 

ขอขอบคุณ เว็บไซต์ซอฮิบซะมาน


แปลและเรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ