เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ศาสดามุฮัมมัด แบบฉบับแห่งมนุษย์ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี ตอนที่ 14

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

ศาสดามุฮัมมัด แบบฉบับแห่งมนุษย์ผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี ตอนที่  14

การแต่งตั้งผู้สืบทอดของท่าน

 

หลังจากเสร็จสิ้นจากการจาริกแสวงบุญครั้งสุดท้าย (กลับมาจากการประกอบพิธีฮัจญ์) ท่านศาสดาเริ่มต้นเดินทางไปมะดีนะห์ ระหว่างทางของท่าน ณ ฆอดีรคุม เสียงจากสวรรค์ร้องเรียกว่า

 

“โอ้ ศาสนทูตเอ๋ย! จงเผยแพร่สิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระผู้อภิบาลของเจ้า และถ้าเจ้ามิได้กระทำ เจ้าก็มิได้เผยแพร่สารของพระองค์เลย
และพระองค์อัลลอฮ์นั้นจะทรงคุ้มครองเจ้าให้พ้นจากมนุษย์(ที่ชั่วร้าย) แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงให้ทางนำแก่บรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา”

 

ทันใดนั้นศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้สั่งให้บิลาลทำการเรียกบรรดามุสลิมที่กำลังเดินมุ่งหน้าไป ผู้ที่อยู่หลังท่านและผู้ที่เดินทางกลับไปยังบ้านของพวกเขาตรงทางแยกให้กลับมารวมตัวกัน ซึ่งบรรดามุสลิม ขณะนั้น มีจำนวนถึง หนึ่งแสนสองหมื่นคนได้มารวมกัน ณ ฆอดรีคุม แลว้ ท่านศาสดา(ซ็อลฯ) ได้จับมือท่าน อะลียกขี้นพร้อมกับกล่าวว่า

 

“ใครก็ตามที่ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้า อะลีคือหัวหน้าของพวกเขา โอ้พระองค์อัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ที่รักอะลีและทรงเป็นศัตรูกับศัตรูของอะลี ทรงช่วยเหลือผู้ที่ช่วยเหลืออะลีและทรงทอดทิ้งผู้ที่ทอดทิ้งอะลี”

 

และอีกคราหนึ่งได้มีเสียงจากสวรรค์ประกาศอย่างเป็นทางการว่า

 

“วันนี้ข้าได้ให้ความสมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้าและข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้วซึ่งความเมตตากรุณาของข้า และข้าได้ยินยอมให้อิสลามเป็นศาสนาสำหรับพวกเจ้า”


ดังนั้น ท่านอะลีเป็นคนแรกที่เข้ารับอิสลามและเป็นสหายที่ดีที่สุดของศาสดามุฮัมหมัด(ซ็อลฯ) เป็นเวลา ๒๓ ปี ที่ท่านอะลีได้รับใช้ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) และศาสนาอิสลามมาโดยตลอด

 

ท่านอะลีได้ถูกเลือกให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำอาณาจักรอิสลามต่อจากท่านศาสดามุฮัมหมัด(ซ็อลฯ) และบรรดามุสลิมทั้งหมดที่อยู่ ณ ที่นั้น (ณ ฆอดีรคุม) ให้ความจงรักภักดีต่อท่านอะลีด้วย
ในปีที่สิบเอ็ดของฮิจเราะห์ศักราชและทันทีที่ท่านเสร็จสิ้นการประกอบพิธีฮัจญ์ ท่านศาสดารู้สึกไม่สบาย ท่านไปยังมัสญิดด้วยร่างกายอันอ่อนแอและเรียกชุมนุมมุสลิมทั้งหมด พร้อมกับกล่าวกับพวกเขาว่า

 

“เนื่องจากนี่คือช่วงวาระสุดท้ายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการถามว่า“หากในที่นี่มีผู้ใดที่ข้าพเจ้าเคยทำให้เขาได้รับความเจ็บปวดในชีวิตบ้าง


เพราะหากมีข้าพเจ้าปรารถนาที่จะถูกลงโทษสำหรับสิ่งที่ข้าพเจ้าทำในตอนนี้มากกว่าที่จะถูกลงโทษหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว” ทันใดนั้นมีชายคนหนึ่งตอบรับและกล่าวว่า

 

“โอ้ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังขี่อูฐ ท่านได้ตีข้าพเจ้าด้วยไม้เท้าของท่านตรงไหล่ของข้าพเจ้าโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นเป็นสิทธิ์ของข้าพเจ้าที่จะตอบโต้”

 

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) เรียกชายผู้นั้นให้เดินมาข้างหน้าท่าน โดยการให้เขาใช้ไม้เท้าทำเช่นที่ท่านทำกับเขา บรรดาผู้ที่อยู่ในมัสญิดขณะนั้นบอกกับชายผู้นั้นว่า

“ไม่เห็นหรอกหรือว่าท่านศาสดามุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) อ่อนแรงและอ่อนแอมากเช่นไร ทำไมเจ้าไม่แสดงความเมตตาต่อศาสดาแห่งอัลลอฮ์”

 

แต่ชายผู้นั้นกลับเดินเข้ามาใกล้ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) และหยิบไม้เท้าของท่านมาจากท่าน ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ร้องบอกว่า

 “โปรดตีข้าพเจ้าเถิด”


ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้บรรดาผู้ที่อยู่ในมัสญิดร่ำไห้ ชายผู้นั้นกล่าวว่า

 

“แต่ในขณะที่ท่านตีข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเปลือยกายครึ่งท่อน”

 

ดังนั้น ท่านศาสดาจึงเปลือยบ่าของท่าน พร้อมกับร้องบอกอีกครั้งว่า

 

“โปรดตีข้าพเจ้าเถิด”

 

ทันใดนั้น ชายผู้นั้นได้จูบลงบนไหล่ของท่านศาสดาและกล่าวว่า

 

“ข้าพเจ้าไม่เคยคิดที่จะโต้ตอบ ข้าพเจ้าเพียงแต่ต้องการได้รับโอกาสที่จะจูบลงบนบ่าของท่านเท่านั้น เพื่อ ข้าพเจ้าจะได้รับการยกเว้นจากความโกรธกริ้วของพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ”

 

ในไม่ช้า ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ)ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย ๖๓ ปีในบ้านของท่านที่นครมะดีนะห์ และร่างอันบริสุทธิ์ของท่านได้ถูกฝังอยู่ที่นั่นเช่นกัน”

 

ช่วงเวลา ๒๓ ปีแห่งการเป็นศาสดาของท่าน ท่านประสบกับความทุกข์และความยากลำบากอย่างนับครั้งไม่ถ้วน


แต่ท่านเลือกจะทำการเปลี่ยนแปลงชนเผ่าและชีวิตที่โง่เขลาของชาวอาหรับอย่างรุนแรงดังที่กล่าวให้ทราบ แท้ที่จริงท่านได้แทนที่ระบบต่างๆ ของพวกเขาด้วยระบบใหม่ๆทางสังคมตามแบบศาสนาอิสลาม ตัวอย่างเช่น ท่านเรียกการทำตามบรรพบุรุษอย่างไร้เหตุผลว่า “ความโง่เขลา” และสร้างบุคลิกใหม่ของมุสลิมซึ่งเป็นอิสระจากลัทธิชนเผ่าหรือความใกล้ชิดเกี่ยวพันธ์กับกล่มุ คนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน นอกจากนี้ท่านยังประณามลัทธิเหยียดสีผิว ลบล้าง

คำสั่งที่ปราศจากความยุติธรรม โจมตีและประนามการประพฤติผิดที่ชาวอาหรับผู้โง่เขลายึดถือว่าเป็นความภาคภูมิใจ

 

ขอขอบพระคุณสำหรับคำสอนเกี่ยวกับอิสลามของท่านศาสดาแห่งอิสลามผู้บริสุทธิ์กำหนดและสร้างกฎทางสังคมด้วยความร่วมมือและการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐกับประชาชน ท่านพยายามเสมอที่จะให้กฎหมายและอำนาจในการบริหารมาพร้อมกับจริยธรรมและคุณธรรม กำหนดเงื่อนไขสำหรับการเป็นเจ้าของและพยายามระงับข้อพิพาททางการเงินและลดปัญหาทางสังคมของผู้คน อีกทั้งท่านยังสอนให้ผู้คนช่วยเหลือคนยากคนจน


และนี่คือเหตุผลว่า ทำไมท่านศาสดา (ซ็อลฯ)จึงกำหนดข้อบังคับทางด้านภาษีบางประการและกำหนดทางเลือกบางประการเพื่อที่จะให้ความมั่งคั่งกระจายออกไปยังผู้คนในสังคมอย่างยุติธรรม ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีผู้ใดพบความขัดแย้งใด ๆ ระหว่างสิ่งที่ท่านพูดกับวิธีการที่ท่านทำและแม้แต่ศัตรูของท่านยังเรียกท่านว่า ผู้ที่มีความสัตย์จริงและน่าเชื่อถือ

ตลอดชีวิตของท่านจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการหลีกเลี่ยงความอิจฉาริษยา ความโลภ ความตระหนี่ การเสแสร้งและอ้าแขนรับการให้อภัย ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ ความถูกต้องและอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อ เจียมตัว และใช้ชีวิตที่เรียบง่าย กฎของท่านถูกกำหนดขึ้นด้วยความยุติธรรม

 

ตัวของท่านอุบัติขึ้นจากความยากจน การถ่อมตนอย่างน่าเคารพนับถือ ท่านมีความเมตตากับเพื่อนๆ ของท่านและไม่เคยเก็บงำความขุ่นเคืองใจต่อบรรดาศัตรูของท่าน ในการสู้รบ ท่านไม่เคยลงดาบก่อนที่ศัตรูของท่านจะทำ การเชิญชวนไปสู่อิสามของท่านตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักสามประการคือ “ความเฉลียวฉลาด” (ฮิกมัต) “คำสอนที่ดี” และ “ความมีเหตุมีผล”


 ในการเผยแพร่ศาสนาของท่าน ท่านจะปฏิบัติตามคำขวัญดังต่อไปนี้เสมอ

) لاَ إِكْرَاهَ فِي الدِّينِ (البقره/ ๖๕๒

"จะไม่มีการบังคับใน (การยอมรับนับถือ) ศาสนา”

 

เพราะเป็นสิ่งที่ท่านระมัดระวังมากที่สุดในการเชิญชวนผู้คนไปสู่หลักเตาฮีด (ได้แก่การให้เอกภาพหรือเคารพนับถือในพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)เพียงองค์เดียว)

 

ท่านศาสดา (ซ็อลฯ)ได้อธิบายถึงพระผู้สร้างจักรวาลว่า

 

“เป็นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ให้กำเนิดและถูกให้กำเนิด เป็นผู้มีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ ผู้ที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและกรุณา อยู่ใกล้ชิดกับเรามากกว่าเส้นเลือดในลำคอของเรา เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่มีความงดงาม เป็นที่ประจักษ์ในทุกแห่ง พระองค์ไม่ได้อยู่ในสวรรค์หรือใต้พิภพ หรือ บนบัลลังก์ของกษัตริย์ แต่พระองค์ทรงมีอยู่ในทุกที่ และพระองค์ไม่ทรงเป็นพวกเผด็จการหรือกดขี่”

 

ท่านศาสดาบอกกับผู้คนให้ยึดถือในสิ่งที่พวกเขาสามารถอธิบาย สำหรับการกระทำได้ และกล่าวกับพวกเขาว่า
“พระผู้เป็นเจ้าของข้าฯ บอกกับข้าฯว่าหู ตาและหัวใจของพวกเรา
จะเป็นผู้รับผิดชอบต่อทุกการกระทำและสิ่งเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่อธิบายถึง การ กระทำของมันหลังจากที่พวกเจ้าได้เสียชีวิตไปแล้ว และพวกเจ้าจะได้รับรางวัลหรือถูกลงโทษตามนั้น”

 

หนึ่งในลักษณะที่เด่นที่สุดในชีวิตท่านคือ ท่านหลีกเลี่ยงที่จะครอบครองเงินทอง ความมั่งคั่ง อำนาจและสิ่งของที่เป็นวัตถุทุกอย่างเสมอ ในความเป็นจริง ไม่มีสิ่งใดเลยในโลกนี้ที่ตรึงสายตาของท่านหรือทำให้ท่านมหัศจรรย์ใจได้ แท้จริง สิ่งที่ทำให้ท่านศาสดาได้เข้าใกล้ชิดกับพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) เท่านั้นที่จะทำให้ท่านดีใจอย่างล้นพ้น

 

“ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดกับโลกมนุษย์นี้ซึ่งเป็นเหมือนที่พักพิงชั่วคราวในวันที่มีพายุ ซึ่งอยู่ได้ไม่นานก็ต้องจากไป”

 

ศาสดาแห่งอิสลามผู้บริสุทธิ์บอกกับเราว่า เราถึงวาระที่จะถูกทำลายล้างและท่านเตือนพวกเราให้ตระหนักถึงตัวของพวกเราโดยยึดหลักการการใช้และให้เหตุผล
อัลกุรอานยังระบุว่า มนุษย์มีจิตวิญญาณอันเป็นนิรันดร์

 

และพูดถึงชีวิตหลังความตายที่กินเวลาชั่วนิรันดร์และเป็นสิ่งถาวร ด้วยเหตุด้วยผลจึงสามารถบอกได้ว่า มนุษย์มีจิตวิญญาณแห่งปัจเจกชนและความตายไม่ได้เป็นจุดจบของทุกสิ่งตามเรื่องแห่งความจริง ศาสนาอิสลามเชื่อว่า เป็นเพียงร่างกายเท่านั้นที่ตายและความตายเป็นกระบวนการที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ที่จะแยกจิตวิญญาณของเราออกจากร่าง โดยธรรมชาตินี้ ได้รับการยอมรับจากมนุษย์ทุกคน และความแตกต่างที่มีอยู่เกิดขึ้นจากความตีความที่แตกต่างกัน สำหรับมนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นและพวกเขาพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะมีชีวิตอยู่ นี่คือ ตัวบ่งชี้ถึงความจริงที่ว่า โดยเนื้อแท้มนุษย์แสวงหาความเป็นนิรันดร์ แต่มีบางคนยึดถือแนวคิดที่ว่า ชีวิตในโลกเป็นนิรันดร์ ในขณะที่ศาสนาอิสลามบอกเราว่า เช่นเดียวกับมนุษย์ ชีวิตนี้เหมือนกับผู้โดยสารที่เดินทางผ่านและก้าวจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งเท่านั้น และจึงไม่มีอะไรเป็นนิรันดร์ อัลกุรอานเฝ้ามองไปที่จักรวาลด้วยวิธีเดียวกัน และเชื่อว่าสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหมดจะต้องกลับไปยังพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเดชานุภาพ


ตามข้อเท็จจริง จักรวาลและโลกแห่งวัตถุนิยมนี้เป็น เรือใบลำใหญ่ที่แล่นอยู่ในมหาสมุทรแห่งธรรมชาติ เรือลำนี้ไม่สามารถแล่นใบไปได้ตลอด ต้องมีการทิ้งสมอจอดที่ท่าเรือ ในทำนองเดียวกัน โลกของเราในวันหนึ่งก็จะต้องมาหยุด ณ ที่ที่หนึ่งที่เรียกว่า “ดารุ้ลอาคิเราะห์” ซึ่งเป็นวันแห่งการฟื้นคืนชีพ และเป็นจุดที่ผู้สร้างและผู้ถูกสร้างได้มาพบกันอีก

 

ดังนั้น ท่านศาสดาแห่งอิสลามผู้บริสุทธิ์ ได้กล่าวไว้เสมอว่า

“หากพวกเจ้าแสวงหาความเมตตาและความสุขอันเป็นอมตะจากพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) พวกเจ้าต้องทราบว่า ชีวิตนี้สั้นนักและไม่เป็นอมตะดังนั้นพวกเจ้าไม่ควรหวังสิ่งใดจากมัน”

 

ท่านศาสดาไม่ได้จำกัดการเชิญชวนและการงานเพียงแค่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอาหรับเท่านั้น ตามความเป็นจริงแล้ว ท่านต้องการให้คำสอนเป็นสากล ดังนั้น ท่านศาสดาจึงส่งตัวแทนไปยังผู้ปกครองและกษัตริย์ในหลายส่วนแตกต่างกันในโลก ตัวแทนแต่ละคนจะมีสารเพื่อเชิญชวนเข้ามาเป็นมุสลิมและจำนนต่อศาสนาของพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) สารเหล่านี้ทั้งหมดนั้นจะมีใจความเดียวกัน


นั่นคือการเชิญชวนไปสู่การให้เอกภาพและความภราดรภาพแก่ศาสนาอิสลาม

 

ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ็อลฯ) ได้เสียชีวิตลง แต่อัลกุรอานซึ่งเป็นที่รวมรวบคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)ผู้ทรงเดชานุภาพ ที่เปิดเผยแก่ท่านถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เพื่อใช้เป็นโคมไฟส่องทางให้แก่มนุษยชาติ ปัจจุบันนี้ นักวิชาการอิสลามและผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดเชื่อว่า

 

“อัลกุรอานฉบับปัจจุบันที่อยู่ในความครอบครองของบรรดามุสลิมทั้งหลายนั้นเป็นกุรอานฉบับเดียวกับที่ถูกส่งมายังท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เมื่อพันกว่าปีที่ผ่านมา”

 

ผู้เขียน เชค มุฮ์ซิน ชะรีอัต

 
 

 

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม