ตัฟซีรอัลกุรอาน โองการที่ 87 บทยูนุส
ตัฟซีรอัลกุรอาน โองการที่ 87 บทยูนุส
อัลกุรอาน โองการนี้ยังกล่าวถึงการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และการเตรียมพร้อมประชาชนของศาสดามูซา (อ.) โดยกล่าวว่า
87. وَأَوْحَيْنَا إِلَى مُوسَى وَأَخِيهِ أَن تَبَوَّءَا لِقَوْمِكُمَا بِمِصْرَ بُيُوتاً وَاجْعَلُوا بُيُوتَكُمْ قِبْلَةً وَأَقِيمُوا الصَّلَاةَ وَبَشِّرِ الْمُؤْمِنِينَ
คำแปล :
87. และเราได้วะฮฺยูแก่มูซาและพี่ชายของเขาว่า จงสร้างบ้านให้แก่หมู่ชนของเจ้าทั้งสองในอียิปต์ และจงให้บ้านของพวกเจ้าอยู่ตรงข้ามกัน (เป็นที่ปฏิบัติศาสนกิจ) และจงดำรงนมาซ และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้มีศรัทธา (สุดท้ายจะได้รับชัยชนะ)
คำอธิบาย :
ขั้นตอนที่สี่การสร้างสรรค์เพื่อการปฏิวัติ
1. นักอรรถาธิบายอัลกุรอานบางท่าน ใช้ประโยชน์จากโองการนี้โดยกล่าวว่า วงศ์วานอิสราอีลในยุคสมัยของท่านศาสดามูซา (อ.) เป็นกลุ่มชนที่กระจัดกระจายไปทั่วไม่มีบ้านเป็นการส่วนตัว และไม่มีศูนย์กลางเพื่อการปฏิบัติศาสนกิจ ด้วยเหตุนี้ ศาสดามูซาและฮารูน (อ.) จึงได้รับหน้าที่มอบหมายจากพระเจ้าจัดการสร้างบ้าน และศูนย์กลางทางสังคมสำหรับพวกเขา
2. คำว่า กิบละฮฺ ตามความหมายเดิมหมายถึง ตรงกันข้ามกัน และหมายถึง การกำหนดหาทิศทางเพื่อการปฏิบัติศาสนกิจ ซึ่งวัตถุประสงค์ของคำๆ นี้ในโองการข้างต้นนั้นอาจหมายถึงการจัดสร้างบ้านให้เป็นกิบละฮฺ หรือการจัดสร้างบ้านให้ตรงข้ามกันเพื่อเป็นศูนย์ปฏิบัติศาสนกิจของวงศ์วานอิสราอีล หรือเพื่อเป้าหมายที่ว่าเมื่อฟิรเอานฺสั่งห้ามไม่ให้ปฏิบัติศาสนกิจในสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมต่างๆ ก็ให้ดำรงการปฏิบัติศาสนกิจภายในบ้านของตนเอง เพื่อจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในอันตราย[56] แต่ถ้าพิจารณาแล้ว ความหมายที่สองมีความเหมาะสมและเป้นไปได้มากที่สุด
3. ศูนย์กลางของวงศ์วานอิสราอีลและสังคมของพวกเขาอยู่ในสถานที่หนึ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับบ้านเรือนของพวกเขา การทำเช่นนี้ให้ประโยชน์ได้หลายประการด้วยกัน กล่าวคือ
3.1 เพื่อช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากการต้องพึ่งพาฟิรเอานฺ โดยมีเมืองอิสระเป็นของตนเอง
3.2 เนื่องจากพวกเขาได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงมีความปรารถนาที่จะปกป้องหมู่ชนของตนเองมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้กระชับความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างพวกเขาให้แน่นแฟ้นขึ้น
3.3 การสร้างบ้านเมืองให้เป็นของวงศ์วานอิสราอีล เพื่อต้องการรักษาความลับและแผนการของพวกเขาเอาไว้ ไม่ให้แพร่งพรายออกไปถึงมือศัตรู และเพื่อการรู้จักคนแปลกหน้าให้ดียิ่งขึ้น
3.4 วงศ์วานอิสราอีล สามารถใช้ประโยชน์จากศูนย์กลางเพื่อปฏิบัติศาสนกิจของพวกตน ในรูปแบบของการรวมตัวกันปฏิบัติ และยังใข้เป็นสถานที่ปรึกษาหารือกันของตัวแทน และวางแผนการณ์สำคัญอีกต่างหาก
4. โองการได้กล่าวแนะนำเรื่องการดำรงนมาซ เนื่องจากนมาซคือสื่อที่ดีที่สุดในการนำมนุษย์เข้าใกล้ชิดพระเจ้า และยังชำระขัดเกลาจิตวิญญาณที่โสโครกให้สะอาดบริสุทธิ์ ทำให้เขาได้รับจิตวิญญาณที่ใหม่อยู่เสมอ
5. นมาซเป็นหนึ่งในศาสนกิจของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุด ที่มีอยู่ในบทบัญญัติของศาสดามูซา (อ.) แม้ว่ารูปแบบและเงื่อนไขในศาสนาต่างๆ จะมีความแตกต่างกันก็ตาม
6. สองโองการข้างต้นได้มีคำสั่งแก่ศาสดามูซา (อ.) ว่า ให้สร้างจิตวิญญาณใหม่แก่สังคม และจงแจ้งข่าวดีถึงผลรางวัลอันเป็นชัยชนะเป็นเป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแก่พวกเขาด้วย เพื่อพวกเขาจะได้ลดความหวาดกลัว และความหวาดระแวงที่มีต่อฟิรเอานฺ โดยเปลี่ยนเป็นความเข้มแข็งและความอดทน
7. สิ่งที่น่าสนใจคือ วงศ์วานอิสราอีล มาจากบุตรหลานของ ยะอ์กูบ แน่นอนว่าหมู่ชนกลุ่มหนึ่งของพวกเขาต้องมาจากบุตรหลานของ ศาสดายูซุฟ (อ.) ซึ่งท่านและพี่น้องของท่านได้ปกครองอียิปต์เป็นเวลานานหลายปีด้วยกัน พวกเขาได้ช่วยการทะนุบำรุงและสร้างอียิปต์ให้มีความมั่นคง
แต่เนื่องจากความขัดแย้งภายในประเทศและการเยื้อแย่งตำแหน่งกันเองทำให้อียิปต์กลายเป็นสังคมตกต่ำ ต้องเผชิญกับความยากลำบากและความทุกข์ระทมต่างๆ จำเป็นต้องสร้างใหม่เพื่อให้อียิปต์กลับมามีความยิ่งใหญ่เหมือนอดีตที่ผ่านมา
บทเรียนจากโองการ :
1.จงสร้างบ้านเรือนให้มีความเหมาะสมกับสังคมและกาลเวลาแห่งยุคสมัย ซึ่งหนึ่งในโครงการที่น่าสนใจของวะฮฺยู และเป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญของผู้นำแห่งพระเจ้า
2. การกำหนดทิศทางและรูปลักษณะของบ้านเรือนตลอดจนผังเมือง ศาสนาเป็นผู้กำหนด ดังนั้น ผู้ออกแบบบ้านและผังเมืองต้องปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา
3.ผู้ศรัทธาควรจะอยู่อาศัยให้กระจัดกระจายออกไปในเมืองอย่ารวมอยู่ในที่เดียวกัน
4. จงดำรงนมาซเพื่อสร้างงานและสร้างการปฏิวัติ
5. จงแจ้งข่าวดีแก่สังคม เพื่อให้จิตวิญญาณมีความหวัง