ตัฟซีรอัลกุรอาน บทฮูด โองการที่ 82-83
- จัดพิมพ์ใน
-
- ผู้เขียน:
- เว็บไซต์อัชชีอะฮ์
ตัฟซีรอัลกุรอาน บทฮูด โองการที่ 82-83
อัลกุรอาน ทั้งสองโองการนี้กล่าวถึงขั้นตอนและวิธีลงโทษหมู่ชนของลูฏ โองการกล่าวว่า
و فَلَمَّا جَاءَ أَمْرُنَا جَعَلْنَا عَالِيَهَا سَافِلَهَا وَأَمْطَرْنَا عَلَيْهَا حِجَارَةً مِن سِجِّيلٍ مَنْضُودٍ* مُسَوَّمَةً عِندَ رَبِّكَ وَمَا هِيَ مِنَ الظَّالِمِينَ بِبَعِيدٍ
คำแปล:
82. ดังนั้น เมื่อพระบัญชา (การลงโทษ) ของเราได้มาถึง เราได้พลิก (เมือง) เอาข้างบนของมันลงข้างล่าง และเราได้ให้ห่าหินที่ทำด้วยหินแข็งพรูลงมากองแล้วกองเล่า
83. ขณะที่ (หิน) ถูกตราเครื่องหมายไว้แล้ว ณ พระผู้อภิบาลของเจ้า และมันไม่ไกลไปจากบรรดาผู้อธรรม
คำอธิบาย:
1.หมู่ชนของลูฎ ประสบปัญหาเรื่องรักร่วมเพศ ทำให้ทุกสิ่งต้องพังพินาศลง ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีการลงโทษที่เหมาะสมกับโทษกรรมที่ได้กระทำ บ้านเมืองของพวกเขาจึงถูกพลิกคว่ำลงโดยเอาข้างบนลงล่างและเอาข้าล่างขึ้นข้างบน
พวกเขาได้ใช้คำพูดหยาบคายถากถางประชาชน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกห่าหินล่วงหล่นลงบนศีรษะ
2. ห่าหินที่ทำจากดินแข็งได้พรูลงมา หลังจากเมืองได้พลิกคว่ำลงแล้ว ซึ่งอาจเป็นเพราะการลงโทษที่รุนแรงสำหรับพวกเขา ร่องรอยในกิจกรรมของพวกเขาจึงไม่หลงเหลืออีกต่อไป หรืออาจเป็นเพราะว่าผู้ที่มีชีวิตรอดพ้นจากการลงโทษครั้งแรก จึงได้มีการลงโทษรอบสองเพื่อไม่ให้ผู้ใดรอดพ้นอีกต่อไป
3. หินที่ถูกประทับตาเครื่องหมาย อาจเป็นเพราะว่าต้องการให้รู้ว่าหินเหล่านั้นไม่ใช่หินธรรมดาทั่วไป ด้วยเหตุนี้ บางคนจึงได้กล่าวว่า หินเหล่านั้นไม่เหมือนกับหินบนโลกนี้ หรืออาจเป็นเพราะว่าหินแต่ละก้อนเหล่านั้นได้ถูกส่งลงมาจำเพราะแต่ละคน จึงได้มีเครื่องหมายกำกับเอาไว้โดยเฉพาะ
4. หมูชนของลูฎ เป็นพวกอธรรมที่ยิ่งใหญ่หมู่ชนหนึ่ง เนื่องจากการรักร่วมเพศของพวกเขา ไม่ได้อยุติธรรมเฉพาะกับตัวเองเท่านั้น ทว่าได้อธรรมกับคนอื่น อธรรมกับศีลธรรมและสังคมส่วนร่วม ตลอดจนลามปรามไปถึงคณะทูตผู้เป็นแขกของท่านศาสดาลูฏ (อ.) ด้วย
5. เมื่อใดก็ตามที่พฤติกรรมของหมู่ชนของลูฎที่นิยมรักร่วมเพศ และการกดขี่ได้เกิดขึ้นในสังคมใด บางทีชะกรรมของสังคมนั้นอาจเป็นเหมือนหมู่ชนของลูฏก็ว่าได้ ซึ่งพวกเขาอาจได้รับห่าหินที่พรูลงมาใส่พวกเขา หรือห่ากระสุนปืน หรือระเบิดที่ได้บีบบังคับสังคมให้มีอันต้องล่มสลายและพินาศสิ้น
6. เกี่ยวกับจริยธรรมของหมู่ชนลูฎ ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า ในงานประชุมสาธารณของพวกเขาในวงการต่างๆได้มีรูปแบบของการปฏิเสธ และการแสดงพฤติกรรมอันเลวร้ายต่างๆ มากมาย เสียงกร่นด่าที่หยาบคายสกปรกและน่าเกลียด การพนัน และเกมการละเล่นเหมือนเด็ก มีการขว้างปาหินไปยังผู้ดำรงอิบาดะฮฺ แสวงหาความสุขจากเครื่องดนตรีหลายหลายชนิด ซึ่งถือเป็นประเพณีสำหรับพวกเขาต้องเปลือยกายในสถานที่ชุมชน
แน่นอน ปัจจุบันนี้ในโลกตะวันตกบางประเทศก็มีพฤติกรรมเยี่ยงนั้น พวกเขากำลังเจริญรอยตามหมู่ชนของลูฎ บางประเทศถึงกับออกกฎหมายรองรับปัญหาเรื่องการรักร่วมเพศเสียด้วยซ้ำไป เช่น อนุญาตให้แสดงพฤติกรรมรักร่วมเพศได้ หรืออนุญาตให้แต่งงานกับเพศเดียวกันได้ บางประเทศเช่น อังกฤษ ออกกฎหมายรับรองเสียด้วยซ้ำไป
แต่ตามสัญญาที่อัลลอฮ์(ซบ.) ทรงให้ไว้ อินชาอัลลอฮ์ ในไม่ช้าพวกเขาจะต้องถูกลงโทษเยี่ยงหมู่ชนของลูฎ
7. การห้ามเรื่องรักร่วมเพศ ตามหลักการของอิสลามได้ห้ามไว้ทั้งหญิงและชาย และถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นบาปใหญ่ ซึ่งทั้งสองต้องได้รับการลงโทษตามหลักการอิสลาม
การลงโทษเรื่องรักร่วมเพศในชายไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วม หรือผู้ถูกให้ร่วมคือการ แขวนคอ ซึ่งการลงโทษด้วยวิธีการนี้ได้ถูกสาธยายรายละเอียดไว้ในในหลัก นิติศาสตร์อิสลาม
แน่นอนว่า การพิสูจน์ความผิดเหล่านี้ต้องได้รับการพิสูจน์ดัวยหลักฐานที่เชื่อถือได้และต้องมีพยานยืนยัน ซึ่งตามหลักนิติศาสตร์อิสลามและรายงานจากบรรดาอิมามมะอฺซูม (อ.) กล่าวว่า แม้ผู้กระทำความผิดดังกล่าวจะสารภาพตามลำพัง ถึง 3 ครั้งก็ตาม ถือว่าไม่เพียงพอ อย่างน้อยต้องสารภาพเองถึง 4 ครั้ง
ส่วนโทษของการรักร่วมเพศในหญิง หลังจากได้สารภาพความจริง 4 ครั้ง หรือ มีพยานที่มีความยุติธรรมยืนยันถึง 4 คน (ตามเงื่อนไขของหลักนิติศาสตร์อิสลามได้กำหนดไว้) หลังจากนั้นนางจึงจะถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี 100 ครั้ง
นักนิติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (ฟุเกาะฮา) บางท่านกล่าวว่า ถ้าหากหญิงมีสามี แล้วนางได้กระทำการรักร่วมเพศ โทษของนางคือ การประหารชีวิต
8. รายงานจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ครั้นเมื่อหมู่ชนของลูฎ ได้แสดงพฤติกรรมเช่นนั้น แผ่นดินได้ส่งเสียงโอดครวญและร่ำไห้ น้ำตาของเขาได้ไหลนองไปถึงฟากฟ้า ท้องฟ้าต่างร่ำไห้จนกระทั่งน้ำตาของเขาไหลนองไปถึงบังลังก์ของอัลลอฮฺ ในเวลานั้น อัลลอฮฺ ได้มีบัญชาแก่ท้องฟ้าว่า จงหลั่งเม็ดหินลงมาบนพวกเขาเถิด และมีบัญชาแก่พื้นดินว่าจึงสูบพวกเขาลงไป (แน่นอนว่าการร้องไห้ของท้องฟ้าและแผ่นดินเป็นการเปรียบเปรย)
ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า บุคคลใดได้กระทำการรักร่วมเพศ เขาคือเลือดที่ตกค้างอยู่ของพวก สะดูม จากหมู่ชนของลูฎ ท่านอิมาม กล่าวเสริมว่า ฉันไม่ได้หมายถึงว่าเขาเป็นน้ำเนื้อเชื้อไขของชาวสะดูม แต่พวกเขามาจากดินชั่วร้ายของคนเหล่านั้น ได้มีผู้ถามว่า เมืองสะดูม หมายถึงเมืองที่ถูกพลิกแผ่นดินนะหรือ ?
ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า ใช่ เมืองที่ถูกพลิกแผ่นดินมีอยู่ 4 เมืองด้วยกัน ได้แก่เมือง สะดูม สะรีม อัดดิมา และอะมีรอ หรืออุมูรอ
ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า บุคคลใดได้รักร่วมเพศกับเด็กหนุ่ม วันกิยามะฮฺเขาจะเข้าสู่สนามสอบสวนด้วยความสกปรกที่สุด ขนาดที่ว่าน้ำบนโลกนี้ทั้งหมดไม่อาจทำความสะอาดเขาได้ อัลลอฮฺ จะกริ้วโกรธเขา ให้เขาออกห่างจากความเมตตาของพระองค์ และทรงเตรียมไฟนรกไว้ให้เขา ช่างเป็นสถานพำนักที่ชั่วร้ายที่สุด หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า ทุกครั้งที่ชายได้ร่วมหลับนอนกับชาย บัลลังก์ของอัลลอฮฺจะสั่นหวั่นไหว
ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า :
لَعَنَ اللّهُ الْمُتَشَبِّهِينَ مِنَ الرِّجالِ بِالنِّساءِ وَ الْمُتَشَبِّهاتِ مِنَ النِّساءِ بِالرِّجال
อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงสาปแช่งผู้ชายที่ทำตนเหมือนเป็นหญิง (ร่วมหลับนอนกับชายด้วยกัน) และทรงสาปแช่งหญิงที่ทำตนเหมือนชาย
บทเรียนจากโองการ :
1. อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเกลียดชังการรักร่วมเพศอย่างยิ่ง พระองค์จะลงโทษพวกเขาตามความเหมาะสมของบาปกรรมที่ก่อไว้
2. จงอย่าเป็นผู้ละเมิดในเรื่องรักร่วมเพศเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการอธรรมที่เลวร้ายที่สุดประเภทหนึ่ง
3. ผู้อธรรม (รักร่วมเพศ) คือมูลเหตุที่ทำให้สังคมต้องได้รับการลงโทษ