วิลายะตุลฟะกีฮ์ (ฉบับชาวบ้าน) ตอนที่ 3
- จัดพิมพ์ใน
-
- ผู้เขียน:
- เชคอิบรอฮีม อาแว
วิลายะตุลฟะกีฮ์ (ฉบับชาวบ้าน) ตอนที่ 3
อำนาจวิลายะตุลฟะกีฮ์
วิลายะตุลฟะกิฮ์ จึงเป็นข้อถกเถียงระหว่างคนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมองว่าหลังจากอิมามมะอ์ศูมและการเร้นหายของท่านอิมามมะฮ์ดี(อ) อำนาจนี้ได้หมดไปแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งมองว่าจะต้องมีต่อไป ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ได้เขียนไว้อย่างสมบูรณ์แบบในหนังสือของท่าน ภาษาเปอร์เซียใช้ชื่อหนังสือนี้ว่า “วิลายะตุลฟะกีฮ์” แปลเป็นภาษาอาหรับใช้ชื่อว่า “ฮุกุมาตุลอิสลามียะฮ์” ยืนยันว่าอำนาจนี้จะต้องคงมีต่อไป
มีมุมมองที่แตกต่างกันออกไปว่าอิสลามที่สมบูรณ์แบบยังมีใช้อยู่หรือไม่ ? การสถาปนารัฐอิสลามยังมีความจำเป็นหรือ เปล่า? เป็นวาญิบหรือเปล่า? คำตอบก็คือยังคงต้องใช้อยู่เหมือนเดิม เพราะการบริหารกิจการต่างๆ ของมุสลิมยังคงต้องยึดถือในหลักการอิสลามอันบริสุทธิ์ ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ชี้ให้เห็นว่าเราจำเป็นต้องจ่ายเงินคุมสฺ บทบัญญัติต่างๆ ยังต้องปฏิบัติ เป็นวาญิบที่จะต้องดำเนินชีวิตตามแบบบทบัญญัติแห่งอิสลามอย่างเคร่งครัด
แม้แต่เราเองที่อยู่ในประเทศไทย เราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกใช้กฎหมายแพ่งพาณิชย์ที่ขัดต่อหลักการอิสลาม เช่น กฎหมายที่ว่าด้วยมรดก เรายังคงต้องจ่ายเงินคุมสฺ บทบัญญัติใดๆ ที่มีอยู่ในพระมหาคัมภีร์ อัลกุรอานก็ยังคงต้องปฏิบัติตามนั้น เช่น ในประเทศมาเลเซียยังคงลงโทษผู้ประพฤติผิดหลักการศาสนาร้ายแรงตามแบบอย่างอิสลามอยู่ หรือประเทศอิสลามสายธารซุนนีอีกหลายประเทศก็ยังยึดถือเช่นนั้น เป็นการยึดถือตามแนวทางที่ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ได้สถาปนารัฐอิสลามแห่งอิหร่าน เมื่อหลักการอิสลามอันบริสุทธิ์ยังคงดำรงอยู่ ท่านบอกว่าใครจะเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์และบังคับใช้กฎหมาย ตัวอย่างเช่น การจ่ายคุมส์ ถ้าหากพ่อค้าคหบดีที่อยู่ในมหานคร เช่น เตหะราน ไคโร แบกแดด ถ้าจ่ายคุมส์ตามหลักการอย่างเคร่งครัดแล้วจะเป็นกองทุนสำหรับบริหารกิจการอิสลาม เพื่อประโยชน์แก่พี่น้องในสายธารได้อย่างมากมายมหาศาล
ท่านอิมามเป็นกังวลกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง เพราะหากไม่มีผู้รับผิดชอบโดยตรงคุมุสเหล่านี้ใครจะเป็นผู้ดูแลรักษา เพราะถึงอย่างไรการจ่ายคุมุสก็เป็นวาญิบสำหรับมุสลิมอยู่ดี ในที่สุดก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น การสถาปนารัฐอิสลามโดยระบบวิลายะตุลฟะกิฮ์ เพียงแต่อุลามาอ์ยังมีทัศนะแตกต่างกันอยู่ว่าอำนาจที่มีนั้นเป็นอำนาจมุก็อยยัดหรืออำนาจมุฏลัก บรรดาอะอิมมะฮ์(อ) ได้วางรากฐานเรื่องการปกครองโดยฟะกิฮ์ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เอกองค์อัลลอฮ์(ซ.บ.) ทรงรู้ว่าวันหนึ่งอิมามมะฮ์ดี(อ) ต้องเร้นหายเป็นระยะเวลายาวนาน ดังนั้นจึงต้องมีระบอบวิลายะตุลฟะกีฮ์ให้บรรดาสายธารชีอะฮ์ปกครองกันเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีสังคมใดที่ขาดผู้นำในการปกครองดูแล ตรรกะนี้ คือ สังคมขาดผู้นำไม่ได้ ในความเชื่อถือตามสายธารของเราบรรดาอิมาม(อ) ได้วางรูปแบบสืบทอดกันมา เช่น ในยุคสมัยของท่านอิมามมูซา อัลกาซิม(อ) ท่านถูกกักขังอยู่ในคุกเป็นเวลาหลายปี จึงต้องแต่งตั้งตัวแทนของท่านเป็นผู้ดูแลบริหารกิจการต่างๆ เท่ากับเป็นการฝึกให้ประชาชาติสายธารชีอะฮ์คุ้นชินกับผู้ปกครองที่ไม่ใช่ตัวของอิมาม(อ)โดยตรง
ท่านอิมามฮะซัน อัล-อัสกะรี(อ) และท่านอิมามฮาดี(อ) ก็ถูกกักกันให้ห่างจากชีอะฮ์ของท่าน ท่านก็ต้องแต่งตั้งตัวแทนเช่นเดียวกัน และเป็นการรู้กันภายในว่าหากมีปัญหาที่สำคัญยิ่งเกิดขึ้นจะปรึกษา อิมาม(อ) ในการแก้ปัญหานั้นอย่างไร จนเข้าสู่ยุคสมัยการเร้นหายของท่านอิมามมะฮ์ดี(อ) ท่านได้เริ่มวางรากฐานการแต่งตั้งตัวแทนที่ไม่ใช่อิมาม(อ) โดยการแต่งตั้งเนาวาบ อัรบาอะฮ์ ขึ้นมาสี่คน แต่ไม่ได้แต่งตั้งในคราวเดียวพร้อมกัน แต่งตั้งคนที่หนึ่งก่อน เมื่อคนที่หนึ่งเสียชีวิตจึงค่อยประกาศแต่งตั้ง คนที่สองไปตามลำดับ แต่เมื่อไม่มีคำสั่งโดยตรงจากอิมามมะฮ์ดี(อ) ในวันนี้จะต้องยึดถือปฏิบัติอย่างไร หลังจากท่านแต่งตั้งตัวแทนคนที่สี่แล้วก็เข้าสู่ยุคการเร้นหายครั้งแรกที่เรียกว่า “ฆ็อยบะตุซซุฆรอ” ยุคนี้ยังสามารถที่จะพบกับตัวแทน แต่เมื่อตัวแทนคนที่สี่ใกล้จะเสียชีวิต ท่านอิมาม(อ) ได้บอกว่า ตั้งแต่นี้ท่านจะไม่มีคำสั่งแต่งตั้งใครเป็นตัวแทนโดยตรงอีก ให้ประชาชาติแต่งตั้งกันเอง โดยเป็นการเข้าสู่ “ยุคฆ็อยบะตุลกุบรอ” การเร้นหายครั้งนี้ ทุกคนไม่สามารถอ้างสิทธิ์การเป็นตัวแทนของอิมาม(อ) ยกเว้นเป็นคำสั่งส่วนบุคคล ใครจะมีสิทธิ์พบกับท่านอิมาม(อ) ได้หรือไม่นั้นถือเป็นบารอกัตส่วนตัว
มีฮะดิษที่ยืนยันว่าหลังจากตัวแทนคนที่สี่แล้ว ท่านอิมาม(อ) ได้สั่งให้เนาวาบคนที่สี่ประกาศกับบรรดาสายธารชีอะฮ์ว่า
“ให้ชีอะฮ์ดูจากฟุกอฮา (เป็นคำพหูพจน์ของฟะกีฮ์) เพราะวันนั้นจะมีบรรดาฟุกอฮาเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก มีความรู้ความสามารถวินิจฉัย แก้ไขปัญหาศาสนาต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์
ท่านอิมาม(อ) บอกว่าให้ดูจากหมู่บรรดาฟุกอฮาเหล่านี้ ใครสามารถที่จะสร้างเกราะป้องกันตัวเองได้ ใครที่สามารถจะปกป้องรักษาศาสนาของเขาได้
จากฮะดีษดังกล่าวได้อธิบายคุณคุณลักษณะของฟุกอฮา 4 ประการ ดังนี้
คุณลักษณะที่หนึ่ง (ศออินัน) صائناً لِنَفسِه ผู้ที่สามารถสร้างเกราะป้องกันตนเองได้
คุณลักษณะที่สอง (ฮาฟิซ็อน) حَافِظاً لِنَفسِه ผู้ที่สามารถปกป้องศาสนาได้
คุณลักษณะที่สาม (มุคอลิฟัน) مُخَالِفاً لِهَواهُ ผู้ที่สามารถต่อสู้กับฮาวานัฟซูของตนเอง จนได้รับชัยชนะ
คุณลักษณะที่สี่ คือ (มุตีอ์) مُطِيعاً لامرِ مَولاهُ ผู้ที่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งของเมาลาได้
ดังนั้นบรรดาอาวามของชีอะฮ์ที่ไม่ใช่ฟุกอฮาผู้มีความรู้สูงสุด ต้องปฏิบัติตามคำสั่งและตักลีดตาม จากฮะดีษบทนี้อาจจะมีความเข้าใจแตกต่างกันในลักษณะของคำอยู่บ้าง
คำว่า “ฟาลิล อาวาม” คือ เป็นหน้าที่ของอาวามที่จะต้องปฏิบัติ อุลามาอ์ฝ่ายที่ไม่ยอมรับในวิลายะฮ์มุฏลักของวิลายะตุลฟะกิฮ์ บอกว่าคำสั่งนี้ คือ การตักลีด โดยตีกรอบว่าเป็นเรื่องของฟิกฮ์เท่านั้น เช่นการนมาซ การทำฮัจญ์ ฯลฯ ว่าปฏิบัติอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักการศาสนา
อีกฝ่ายหนึ่งก็คัดค้านว่าไม่น่าจะถูกต้อง ไม่ได้แปลว่าการตักลีดเพียงอย่างเดียว คุณลักษณะสี่ประการของฟุกอฮาดังกล่าวจะต้องครอบคลุมหลักการอิสลามอันสมบูรณ์ทั้งหมด เพราะเรื่องของฟิกฮ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคำว่า ดีน ต้องยอมรับความจริงว่าอัลกุรอานกล่าวถึงเรื่องฟิกฮ์ประมาณห้าร้อยกว่าโองการ (อายะฮ์) จากทั้งหมดกว่าหกพันโองการ ดังนั้นถ้ามุจญ์ตะฮิดเพียงแค่แก้ไขปัญหาห้าร้อยกว่าโองการแล้วอีกห้าพันห้าร้อยกว่าโองการที่ไม่ใช่เรื่องของฟิกฮ์จะทำอย่างไร การจะรักษาศาสนาในภาพรวมให้สมบูรณ์นั้น ฟะกีฮ์ในความหมายของมุจญ์ตะฮิดจึงไม่ใช่เป้าหมายในคำสั่งนี้
คุณลักษณะที่สาม (มุคอลิฟัน) ต้องการให้มนุษย์ประสบความสำเร็จในการขัดเกลาตนเอง เพื่อชำระล้างจิตวิญญาณให้สะอาดบริสุทธิ์ นี่คือตำแหน่งของผู้ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของฟะกีฮ์ เพราะฟะกีฮ์ คือ ผู้ที่มีความรู้ในการวินิจฉัยปัญหาศาสนาทุกด้าน แต่มุคอลิฟันเหมือนกับตำแหน่งของผู้ไปสู่อิรฟานชั้นสูง และมุตีอ์เป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งของเมาลาได้ ดังนั้นมุกัลลิดจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเขาด้วย และเป็นหน้าที่ของอาวามทั้งหมดที่จะต้องตักลีดตามด้วย....
โปรดติดตามอ่านตอนที่4....
บทความโดย เชคอิบรอฮีม อาแว