ชีวประวัติศาสดาแห่งอิสลาม ตอนที่ 3

 

ชีวประวัติศาสดาแห่งอิสลาม ตอนที่ 3


การเชิญชวนญาติผู้ใกล้ชิด



หลังจาก ๓ ปีผ่านไปที่บรรดามุสลิมอิบาดะฮฺเคียงข้างท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ทำการเชิญชวน และเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ พ้นจากสายตาคนอื่น พระเจ้าทรงประทานวะฮฺยูลงมาว่า ดังนั้น สูเจ้าจงเปิดเผยหน้าที่รับผิดชอบแก่สังคม และจงเชิญชวนบรรดามุชริกีน ด้วยเหตุนี้ ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จึงเปิดเผยการประกาศอิสลามของท่านต่อสาธารณชน โดยเริ่มต้นเชิญชวนบรรดาเครือญาติใกล้ชิด ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นพระบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า ดังที่พระองค์ตรัสว่า สูเจ้าจงเชิญชวนบรรดาเครือญาติชั้นใกล้ชิดเถิด เมื่อพระบัญชาดังกล่าวลงมา ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) สั่งให้ท่านอะลี ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง ๑๕ ปีเท่านั้นให้จัดเตรียมอาหาร และเชิญครอบครัวของอับดุลมุฏ็อลลิบ เพื่อท่านจะได้ประกาศการเป็นศาสดาของท่านแก่พวกเขา ในงานเลี้ยงครั้งนั้นท่านฮัมซะฮฺ อบูฏอลิบ อบูละฮับ และคนอื่น ๆ ซึ่งรวมแล้วประมาณเกือบ ๔๐ คน อบูละฮับซึ่งมีอคติและความอิจฉาริษยาอยู่ในใจเป็นทุนอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำประกาศของท่านศาสดา ก็แสดงความเยอะเย้ย พูดจาถากถางทำให้งานเลี้ยงครั้งนั้นต้องเลิกราไปอย่างไร้บทสรุป ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) พิจารณาแล้วเห็นว่าสมควรเชิญใหม่อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ เมื่อแขกที่มารับประทานอาหารเสร็จสิ้น ท่านศาสดาเริ่มต้นประกาศ ด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ทำการสรรเสริญยกย่องเกียรติคุณของพระองค์ และสารภาพต่อความเป็นเอกะของพระองค์ โดยเริ่มกล่าวว่า

แน่นอนไม่มีผู้ชี้นำมวลชนคนใดพูดโกหก ขอสาบานต่อพระเจ้าซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ฉันเป็นศาสดาที่พระองค์ส่งลงมายังพวกท่านและประชาชาติทั้งหลาย โอ้เครือญาติของฉัน พวกท่านทั้งหลายต้องนอน ต้องตาย และต้องฟื้นคืนชีพอีกครั้งในวันแห่งการฟื้นชีพ พวกท่านทั้งหลายจะได้เห็นการกระทำของตนเองในวันนั้น สำหรับบุคคลที่ประกอบคุณงามความดี เขาจะได้รับสรวงสวรรค์เป็นรางวัลตอบแทนตลอดไป ส่วนบุคคลที่ประพฤติบาปเขาจะถูกลงโทษในไฟนรก ไม่มีบุคคลใดนำสิ่งที่ดีกว่าฉันนำมาฝากพวกท่าน ฉันนำความดีทั้งโลกนี้และโลกหน้ามาให้พวกท่าน ฉันมีหน้าที่เชิญชวนพวกท่านไปสู่การเคารพภักดีต่อพระองค์ และบุคคลใดก็ตามช่วยเหลือฉันในการประกาศนี้ เขาจะได้เป็นตัวแทน ผู้ช่วยเหลือ และเป็นพี่น้องของฉัน

เมื่อท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวจบทุกคนต่างนิ่งเงียบ และครุ่นคิดในสิ่งที่ท่านกล่าว ในที่สุดอะลีซึ่งยังเป็นเด็กอยู่ได้ยืนขึ้น และกล่าวว่า โอ้ท่านศาสดา ฉันพร้อมที่จะสนับสนุนและช่วยเหลือท่านในกิจการดังกล่าว ท่านศาสดาสั่งให้นั่งลง และท่านกล่าวประโยคเดิมซ้ำถึง ๓ ครั้ง และทุกครั้งอะลีได้ยืนขึ้นพร้อมกับตอบรับ หลังจากนั้น ท่านศาสดาได้หันไปหาญาติพี่น้องและกล่าวว่า นี่คืออะลี เขาคือพี่น้อง ผู้ช่วยเหลือ และเป็นตัวแทนของฉันในหมู่พวกท่าน พวกท่านจงเชื่อฟังและปฏิบัติตามเขา

เมื่องานเลี้ยงจบลง อบูละฮับและอีกบางคนได้หันไปกล่าวกับอบูฏอลิบบิดาของอะลีว่า เห็นไหม มุฮัมมัดเขาสั่งให้เจ้าเชื่อฟังและปฏิบัติตามลูกชายของเจ้า เห็นไหม เขาใหญ่กว่าเจ้าอีก

และสิ่งนี้เป็นที่ชัดเจนตั้งแต่วันแรกของการประกาศเผยแพร่ว่า การแต่งตั้งอะลีเป็นบัญชาจากพระเจ้า สภาวะการเป็นศาสดาและอิมามจะไม่แยกออกจากกัน และเป็นที่ประจักษ์อีกว่าอำนาจ จิตวิญญาณ ความศรัทธา และการรู้จักของท่านอะลีที่มีต่อสภาวะการเป็นศาสดานั้นมีมาก ถึงขั้นที่ว่าในงานเลี้ยงวันนั้นท่านได้ประกาศตนเป็นผู้สนับสนุน และช่วยเหลือท่านศาสดา โดยไม่มีความแคลงใจแต่อย่างใด ท่ามกลางเครือญาติที่มากไปด้วยอุปสรรคปัญหา

การเชิญชวนส่วนรวม

สามปีหลังจากการแต่งตั้งให้เป็นศาสดา และหลังจากการประกาศเชิญชวนหมู่เครือญาติแล้ว ท่านศาสดาได้ประกาศเผยแผ่ต่อหน้าสาธารณชน ซึ่งมีอยู่วันหนึ่ง ท่านขึ้นไปยืนบนเนินเขาเซาะฟา และกล่าวสุนทรพจน์เสียงดังว่า ยาเซาะบาฮฺ (คำนี้เปรียบเสมือนสัญญาณอันตรายที่ประกาศเตรียมพร้อม) มีชนกลุ่มหนึ่งรีบรุดไปหาท่านศาสดา หลังจากนั้นท่านได้หันไปหาประชาชนแล้วกล่าวว่า โอ้ประชาชนที่รักทั้งหลาย ถ้าฉันจะบอกกับพวกท่านทั้งหลายว่า หลังเนินเขาลูกนี้มีศัตรูแอบซ่อนตัวอยู่ เขาต้องการทรัพย์สินและชีวิตของพวกท่าน พวกท่านจะเชื่อฉันไหม ทั้งหมดตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า จนถึงบัดนี้พวกเราไม่เคยได้ยินท่านพูดโกหกเลย หลังจากนั้นท่านกล่าวต่อว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านจงช่วยเหลือตัวเองให้รอดพ้นจากการลงโทษในไฟนรกเถิด ฉันจะช่วยให้พวกท่านรอดพ้นจากการลงโทษอันน่ากลัวของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับบานี (ผู้สังเกตทาง หรือคนดูต้นทาง) เห็นศัตรูแต่ไกลและได้แจ้งให้ประชาชาติของตนได้รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น ฉันเองต้องการแจ้งให้พวกท่านทราบถึงอันตรายจากการลงโทษในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ประชาชนเริ่มเข้าใจสิ่งที่ท่านศาสดากล่าวมากขึ้น ทว่าอบูละฮับอยู่ในหมู่ชนนั้นด้วย เขาได้พูดจาโต้ตอบท่านศาสดา

มุสลิมคนแรก

หลังจากท่านศาสดาประกาศอิสลามต่อหน้าสาธารณชนแล้ว สภาพแวดล้อมและสังคมที่มีต่อมุฮัมมัดเปลี่ยนแปลงไปมาก เช่น บุคคลที่รักเขาจะได้รับการกลั่นแกล้ง บุคคลที่ยอมรับเขาคือ กลุ่มชนที่รู้จักเขามากกว่าบุคคลอื่น เป็นกลุ่มชนที่ยอมรับความสัจจริงและศรัทธาต่อท่าน ซึ่งนอกจากเคาะดิญะฮฺ อะลี ซัยดฺ บุตรของฮาริซะฮฺ ทาสที่ได้รับอิสรภาพของท่านศาสดา ญะอฺฟัร บุตรของอบูฏอลิบ อบูซัรฆิฟารียฺ อัมรฺ บุตรของอะบะซะฮฺ คอลิด บุตรของซะอีด อบูบักรฺ และคนอื่น ๆ ซึ่งกลุ่มชนนี้ยอมรับอิสลามก่อนคนอื่น และพวกเขาพยายามเผยแผ่อิสลามแก่เยาวชนแต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

มุสลิมคนแรกคือ บิลาล ยาซิรพร้อมภรรยา ซุมัยยะฮฺ ค็อบบาน ฏ็อลฮะฮฺ ซุเบร อุซมาน ซะอัด และคนอื่น ๆ ซึ่งหลังจาก ๓ ปีแรก มีมุสลิมปฏิบัติตามท่านศาสดาเพียง ๒๐ คนเท่านั้น

การกลั่นแกล้งของผู้ต่อต้าน

ความอ่อนแอค่อย ๆ เลือนหายไปจากพวกเขา บุคคลที่เข้ารับอิสลามพยายามเชิญชวนผู้ที่เคารพบูชารูปปั้น ให้กลับมาเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียว ขณะเดียวกันพวกที่สูญเสียผลประโยชน์ และอำนาจ และมองว่าตนกำลังตกอยู่ในอันตราย พยายามกลั่นแกล้งและขัดขวางขบวนการของมุฮัมมัด และพยายามเชิญชวนให้มุสลิมกลับมาสู่ศาสนาเดิมของพวกเขา

บรรดามุสลิมโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้รับการกลั่นแกล้งอย่างหนักจากพวกปฏิเสธ เช่น ครั้งหนึ่งท่านศาสดากำลังนมาซอยู่ข้าง ๆ บัยตุลลอฮฺ ขณะที่ท่านก้มอยู่นั้น อบูละฮับ ผู้เป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสลามได้นำเอามูลอูฐราดลงไปบนต้นคอของท่าน หรือครั้นเมื่อท่านต้องการไปนมาซซุบฮฺที่บัยตุลลอฮฺแต่เช้าตรู่ พวกเขาได้เอาหนามมาโรยทิ้งตามทางเดิน เพื่อให้หนามทิ้งแทงเท้าท่านศาสดา บางครั้งพวกเขาใช้หินและก้อนดินไล่ขว้างท่านศาสดา มีอยู่วันหนึ่งพวกกุเรชได้เข้ามาทำร้ายท่าน ในหมู่พวกเขามีคนหนึ่งนามว่า อุกบะฮฺ บุตรของอบีมุอีฏ ใช้ผ้ากระชากคอท่านศาสดาจนล้มลงและลากไป ซึ่งจะเห็นว่าชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา และเหตุการณ์เหล่านี้เกิดกับท่านครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่ว่าอิสลามจะเติบโตมากเท่าใดในหมู่ประชาชาติ ท่านศาสดาก็จะถูกพวกบูชารูปปั้นกลั่นแกล้งมากเท่านั้น บรรดาบุตรหลานของพวกมุสลิมต่างได้เห็น การกลั่นแกล้งของบิดามารดา และพี่น้องของพวกเขา จากบรรดาพวกปฏิเสธ บรรดาเยาวชนที่ถวิลหาสัจธรรม และหันหลังให้กลับความเชื่อผิด ๆ ของบิดามารดา พวกเขาจะถูกเฆี่ยนตี เมื่อยอมรับอิสลามพวกเขาจะถูกขังคุก แม้กระทั่งบิดามารดาของพวกเขาก็ไม่ยอมให้อาหารรับประทาน แต่บรรดามุสลิมเหล่านั้นศรัทธาของพวกเขาเข็มแข็ง แม้ว่าพวกเขาจะต้องทนทุกข์ทรมาน จะต้องร่ำไห้กับความโสโครก ริมฝีปากเหือดแห้งเพราะความกระหาย และต้องอดทนต่อความหิวโหย แต่พวกเขาก็ยังมั่นคงต่อความเชื่อมั่น และการเคารพภักดีต่อพระเจ้าองค์เดียว อย่างไม่เสื่อมคลาย

บรรดามุชริกีน จับมุสลิมไปทรมานคนแล้วคนเล่าบางคนถูกจับไปขึงกลางแดด บนพื้นทรายที่ร้อนระอุเพื่อให้ผิวหนังไหม้  บางคนถูกนาบด้วยเหล็กเผาไฟ ถูกมัดเท้าใช้ม้าลากไปบนพื้น ท่านบิลาลทาสจากเอธิโอเปีย ถูกเจ้านายจับขึงตากแดดตอนกลางวัน และเอาหินก้อนใหญ่ทับไว้บนอก แม้ว่าจะได้รับการทรมานอย่างหนัก แต่บิลาลไม่ยอมแพ้ ริมฝีปากทั้งสองของเขายังพร่ำเรียกแต่ พระผู้ทรงเอกะ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น ยาซิร บิดาของอัมมาร ถูกมัดและให้อูฐที่แข็งแรงสองตัวดึงแยกร่าง ซุมัยยะฮฺ มารดาของอัมมาร ถูกทรมานอย่างแสนสาหัสจนชะฮีดในที่สุด บรรดามุสลิมส่วนใหญ่ แม้ว่าจะได้รับการทรมานในรูปแบบต่างๆแต่ก็ไม่ยอมถอดถอนความเชื่อของตนที่มีต่ออิสลามออกพวกเขายังคงมั่นคงและก้าวเดินไปข้างหน้า ด้วยความรักและความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าองค์เดียว


โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอขอบคุณเว็บไซต์ทีวีชีอะฮ์