‌‌ เรื่องเล่าจากชะฮีดมุเฏาะฮ์ฮะรี การยับยั้งความชั่ว ที่นำมาซึ่งความหายนะ

‌‌  เรื่องเล่าจากชะฮีดมุเฏาะฮ์ฮะรี การยับยั้งความชั่ว ที่นำมาซึ่งความหายนะ

 

    เรื่องเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ถูกเล่าโดยท่านชะฮีดมุรตะฎอ มุเฏาะฮ์ฮารีย์ ซึ่งเป็นประสบการณ์ชีวิตของท่านเอง ในการเดินทางครั้งหนึ่งของท่าน ซึ่งพอจะเป็นบทเรียนอันล้ำค่าสำหรับใครหลายๆ คนที่กำลังปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้อยู่ในขณะนี้ ในสถานที่ใดก็ได้ นั่นคือ การอัมร์ บิลมะอ์รูฟ วะนะฮีย์ อะนิลมุนกัร (การเชิญชวนสู่การกระทำความดี และการยับยั้งการทำความชั่ว) ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจที่จำเป็นต้องปฏิบัติ (วาญิบ) สำหรับมวลมุสลิมทุกคน

ท่านชะฮีดมุรตะฎอ มุเฏาะฮ์ฮารีย์ ได้เล่าว่า

ในครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้อาศัยอยู่ในเมืองกุม และในเวลานั้นเอง ก็ได้มีบริษัททัวร์บริษัทหนึ่งเปิดให้บริการใหม่ล่าสุด ข้าพเจ้าเมื่อได้ทราบก็รีบไปติดต่อทันทีเพื่อที่จะซื้อตั๋วเดินทางไปมัชฮัด และทันทีที่ได้ซื้อตั๋วเรียบร้อยก็ขึ้นนั่งบนรถทัวร์คันหนึ่ง และรถก็เริ่มเคลื่อนออกจากเมืองกุมมุ่งสู่เมืองมัชฮัดทันที
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกได้ ตั้งแต่เริ่มก้าวเท้าขึ้นมาบนรถทัวร์คันนี้ นั่นก็คือ พนักงานขับรถอาจจะมีความรู้สึกไม่ค่อยดีกับคนที่ใส่ผ้าอะมาม่า
 (ผ้าพันศรีษะของผู้รู้) เนื่องจากข้าพเจ้าใส่ชุดรูฮานีย์ (ชุดประจำกายสำหรับผู้รู้) เนื่องจากเมื่อเขาได้เห็นข้าพเจ้าเขาแสดงท่าทีโกรธแค้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้แน่ใจมาก แค่เพียงรู้สึกเช่นนั้น

และข้าพเจ้าก็มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักเขามาก่อน และเขาก็คงไม่รู้จักข้าพเจ้ามาก่อน
เช่นกัน ดังนั้นคงไม่มีเรื่องบาดหมางใจใดๆ แน่นอนระหว่างข้าพเจ้าและเขา จึงไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะต้องโกรธแค้น และรังเกียจข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าครุ่นคิดตลอดทาง

และเมื่อรถได้วิ่งมาสักระยะหนึ่ง และได้เข้าสู่เมือง
วะรอมีน รถได้แวะหยุดพักให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำ ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะทราบว่า เขาจะหยุดพักรถที่นี่นานกี่นาที ข้าพเจ้าจึงได้เข้าไปหาพนักงานขับรถคนนั้น และได้ถามเขาทันที ทว่าข้าพเจ้าได้รับคำตอบจากเขาด้วยการเมินหน้าหนี จนทำให้ข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะถามอะไรจากเขาอีกแม้คำถามเดียว

ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งครุ่นคิดมากขึ้น คิดจนถึงขนาดว่า เขาไม่ใช่มุสลิมเสียด้วยซ้ำไป เขาเป็นคริสเตียนหรือ? ... ข้าพเจ้ามั่นใจเช่นนั้น บางทีคนต่าง
ศาสนิกอาจจะไม่ชอบพอผู้รู้ศาสนาอิสลามเช่นข้าพเจ้าก็เป็นได้ รถได้วิ่งมาเรี่อยๆ ตามเส้นทาง และเมื่อเข้าเวลานมาซซุฮ์ริ รถได้หยุดพักที่มัสยิดแห่งหนึ่งเพื่อให้ผู้โดยสารลงไปนมาซ ที่เมืองสิมนาน

ข้าพเจ้าก็ได้เข้าห้องน้ำ และปฏิบัติวุฎุอ์ เพื่อการนมาซ ข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นพนักงานขับรถคนนั้นกำลังล้างเท้าทั้งสองข้างอยู่ ข้าพเจ้าจึงแอบมองดูเขาอยู่ห่างๆ และข้าพเจ้าก็ได้เห็นว่าเมื่อเขาล้างเท้าทั้งสองเสร็จเขาได้ปฏิบัติวุฎุอ์ เพื่อการปฏิบัตินมาซ และได้มุ่งไปที่มัสยิดและทำนมาซทันที ข้าพเจ้าตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น เขาคือมุสลิม เขาคือผู้ปฏิบัตินมาซ แล้วด้วยเหตุใดเขาจึงโกรธแค้นข้าพเจ้ามากมายถึงเพียงนั้น ....

ข้าพเจ้ายิ่งสงสัยมากขึ้นทุกทีต่อสิ่งที่เกิดขึ้น จนเวลากลางคืนล่วงเข้ามา ผู้โดยสารในรถทั้งหมดเริ่มหลับนอน และมีนักศึกษาสองคนนั่งอยู่ที่เบาะข้างหลังข้าพเจ้า เป็นนักศึกษามัชฮัด ซึ่งเขาก็กำลังเดินทางกลับไปเมืองมัชฮัดในช่วงวันหยุดปิดเทอมเรียน

ที่น่าแปลกอย่างยิ่งสิ่งหนึ่งคือ พนักงานขับรถคนนั้นเขามีความโกรธแค้นต่อข้าพเจ้ามากเพียงใด ในทางกลับกันเขากลับมีความเมตตายิ่งนักกับผู้โดยสารที่เป็นนักศึกษาสองคนนั้น เมื่อดึกมากขึ้นเขาได้ชวนนักศึกษาคนหนึ่งไปนั่งคุยกับเขาหน้ารถเพื่อจะทำให้เขาไม่ง่วงนอนในขณะขับรถ นักศึกษาคนนั้นก็ไปนั่งคุยกับเขา

ฉันได้นั่งมองเหตุการณ์เหล่านั้นตลอดเวลาอยู่เงียบๆ ในตอนหนึ่งฉันได้ยินพนักงานขับรถได้เล่าความหลังชีวิตของเขาให้นักศึกษาคนนั้นฟัง ฉันจึงพยายามเงี่ยหูไปฟังในสิ่งที่เขากำลังเล่าให้นักศึกษาคนนั้นฟังด้วยอย่างเงียบๆ เขาได้กล่าวแก่นักศึกษาคนนั้นว่า "ประการแรกที่ฉันขอบอกเกี่ยวกับคน
เมืองมัชฮัด คือว่าชาวเมืองมัชฮัดคนใดก็ตามที่มีความสำพันธ์กับบรรดาเชค (ผู้รู้) ฉันเกลียดพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าฉันไม่เกลียดก็เฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่เท่านั้นที่อยู่ในเมืองอารอก.. ก็ปล่อยไปเรื่องนั้นไม่ต้องไปพูดถึงมันอีก

เอาเป็นว่าในบรรดาพี่น้องๆ ของฉัน มีแต่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่เป็นพนักงานขับรถ คนอื่นๆ เป็นแพทย์
 บางคนเป็นวิศวกร บางคนเป็นนักธุรกิจ บางคนเป็นเจ้าหน้าที่มียศตำแหน่ง คนที่ต่ำต้อยที่สุดคือฉันละกัน ที่เป็นแค่คนขับรถ....

นักศึกษาคนนั้นได้ถามขึ้นว่า แล้วเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? เขาได้ตอบกลับทันทีว่า "ฉันมีความหลังอันเจ็บปวด ฉันมีบิดาเป็นมุสลิมที่มีความเคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง ขณะนั้นที่ฉันยังเป็นเด็กอยู่ บิดาของฉันได้ส่งฉันไปเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่ทว่ามีเชค

(ผู้รู้) คนหนึ่งซึ่งเป็นอิมามนมาซญะมาอัตในหมู่บ้านของฉันได้รับทราบข่าวนี้ เขารีบมาหาบิดาของฉันและถามต่อบิดาของฉันว่า "ท่านส่งลูกชายของท่านไปโรงเรียนอย่างนั้นหรือ? บิดาของฉันก็ยอมรับว่า ใช่

รู้หรือไม่ว่าเชค (ผู้รู้) คนนั้นได้ต่อว่าบิดาของฉันว่าอย่างไร? เขาได้ต่อว่าบิดาของฉันว่า "ตายแล้ว ท่านไม่รู้ดอกหรือ ถ้าหากลูกชายท่านไปโรงเรียน ลูกชายของท่านจะไม่ได้รู้เรื่องศาสนาเลย?"
บิดาของฉันเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง เขาจึงเชื่อคำพูดของผู้รู้คนนั้น ฉันเองก็ยังเป็นเด็กอยู่มาก ในที่สุดบิดาของฉันก็ไม่อนุญาติให้ฉันไปเรียนที่โรงเรียนอีก และได้ส่งฉันไปทำงานอีกสถานที่หนึ่ง จนเวลาล่วงเลยมาจนวันนี้ฉันได้แต่งงาน ฉันมีลูก แต่ฉันก็รู้ตัวดีว่าฉันเป็นผู้ไร้การศึกษา"

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าได้รับคำตอบในสิ่งที่ข้าพเจ้าสงสัยมาตลอดทางแล้ว ณ เวลานี้ พนักงานขับรถผู้นี้คือผู้ที่น่าสงสารยิ่งนัก เขาเป็นมุสลิม แต่เขามีความโกรธแค้นต่อข้าพเจ้าอย่างรุนแรง เนื่องจากข้าพเจ้าคือผู้หนึ่งที่อยู่ในสถาบันของผู้รู้เวลานี้
 ที่พนักงานขับรถคนนั้นสรุปว่า "อะมาม่า
 (ผ้าโพกศรีษะของผู้รู้) นี้แหละที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นคนที่ไร้การศึกษาจนวันนี้"

และนี่คือ เหตุการณ์หนึ่งของการนะฮีย์ อะนิลมุนกัร (การยับยั้งความชั่ว) จากผู้รู้คนหนึ่ง โดยความหวังดีว่าเมื่อเด็กชายคนนั้นได้เข้าศึกษาในโรงเรียน ซึ่งในขณะนั้นโรงเรียนเป็นโรงเรียนที่ไม่มีระบบการเรียนการสอนที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักศาสนา ทว่ากลับกลายเป็นการสร้างความเป็นศัตรูให้ประชาชนมีต่ออิสลาม และมีต่อผู้รู้

ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ตัวข้าพเจ้าเองว่า ขอพระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ) ทรงเมตตาบิดาของเขาด้วย ที่ให้เขาตั้งตนเป็นศัตรูแค่กับบรรดาผู้รู้เท่านั้นพอ แต่ไม่ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับศาสนาอิสลาม และยังคงปฏิบัตินมาซ ยังคงถือศีลอด และยังไปซิยารัตท่านอิมามริฎอ (อ)"

ดังนั้นพี่น้องที่รักทั้งหลาย การยับยั้งความชั่ว นั้นมีเวลา และสถานที่เป็นตัวกำหนด การยับยั้งความชั่วของคนโง่ อาจจะส่งผลทำลายอันใหญ่หลวงตามเรื่องดังกล่าวข้างต้น ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ ไม่ใช่แต่เพียงจะไม่ได้รับผลบุญแล้ว ยังจะได้รับการลงโทษแถมไปด้วย

การยับยั้งความชั่วต้องเป็นการยับยั้งความชั่วอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่เป็นการยับยั้งความชั่วแบบโง่เขลาเบาปัญญา จนเป็นเหตุให้ผู้ที่ถูกยับยั้งจากการทำความชั่วตั้งตนเป็นศัตรูกับมุสลิม และอิสลาม


บทความโดย เพจ กองทุนตอละบะฮ์ดารุซซะฮ์รอ - อ