เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

มุบาฮะละฮ์ คือ อะไร?

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

มุบาฮะละฮ์ คือ อะไร?

ซุลฮิจญะฮ์เป็นเดือนที่มีเหตุการณ์สำคัญมากมาย หนึ่งในนั้นคือการทำมุบาฮะละฮ์   เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 ซุลฮิจญะฮ์  ฮ.ศ.  9

1-เกร็ดประวัติศาสตร์

หลังจากนบีมุฮัมมัด(ศ)ได้จัดตั้งรัฐอิสลามขึ้นที่นครมะดีนะฮ์ ท่านนบีได้ส่งสารไปหากษัตริย์ในดินแดนต่างๆเพื่อเชิญชวนพวกเขาสู่ดีนอิสลาม  มีสารฉบับหนึ่งส่งมาถึงเมืองนัจญ์รอน(ซาอุดิอารเบีย) เป็นที่อยู่อาศัยของชาวนะซอรอและยะฮูดี
อุสกุฟ อบูฮาริษะฮ์ (ดำรงตำแหน่ง  พระสังฆนายก)แห่งนัจญ์รอนได้รับสารจากท่านนบี
หลังจากอุสกุฟได้อ่านสาร เขาสั่งประชุมทันที มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้นำศาสนา,นักการเมืองและผู้สูงศักดิ์ มติในที่ประชุมมีว่า ให้ส่งคณะทูตไปนครมะดีนะฮ์ เพื่อตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับการเป็นศาสดาของมุฮัมมัด  ที่ประชุมคัดเลือกตัวแทนได้ 60 คนโดยมี 3 บุคคลต่อไปนี้เป็นหัวหน้าคณะ
1- พระสังฆราช อบู ฮาริษะฮ์
2-อากิ๊บ(อับดุลมะซีห์) กุนซือเจ้าความคิด  
3-อัยฮัม ผู้อาวุโสทั้งอายุและสมณศักดิ์
คณะทูตนัจญ์รอนเดินทางมาถึงนครมะดีนะฮ์ ได้เข้าพบศาสดามุฮัมมัดที่มัสยิด ขณะนั้นท่านนบีพึ่งนมาซอัซรี่เสร็จ  
ชาวคริสต์นัจญืรอนทุกคนสวมชุดนักบุญ ทอจากผ้าไหม สวมแหวนทอง พาดไม้กางเขนไว้ที่บ่า งดงามตระการตา
พวกเขาให้สลามท่านนบี ท่านนบีตอบรับสลามและให้การต้อนรับพวกเขาอย่างสมเกียรติ  

อัซรี่เป็นเวลาสวดมนต์ของชาวคริสต์  พวกเขาจึงขออนุญาติท่านนบีสวดมนต์ในมัสยิด  ซอฮาบะฮ์ต้องการขัดขวาง แต่ท่านนบีอนุญาติ  ท่านนบีบอกว่า ปล่อยให้พวกเขาสวดเถิด  หลังจากสวดมนต์เสร็จ  การสนทนาเริ่มขึ้น
นบีกล่าวกับอุสกุฟและอากิ๊บว่า      ขอให้ท่านรับอิสลามเถิด(คือจงศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวเถิด)
ทั้งสองตอบว่า เรารับอิสลาม(ศรัทธาในพระเจ้า)มาก่อนหน้าท่านอีก
นบี  : มีบางสิ่งที่ขัดขวางท่านทั้งสองมิให้เข้ารับอิสลาม  พวกท่านอ้างว่าพระเจ้ามีบุตร  พวกท่านกราบไหว้ไม้กางเขน  และทานเนื้อสุกร    
อุสกุฟถามท่านนบีว่า – ท่านจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับพระเยซู   
นบี – เป็นบ่าวคนหนึ่งของพระเจ้า พระองค์ทรงคัดเลือกเขาเป็นศาสดา
อุสกุฟ -  เยซูมีบิดาไหม
นบี -  มารดาเขาไม่เคยสมรสกับใคร แล้วจะมีบิดาได้อย่างไร ?
อุสกุฟ -  แล้วท่านบอกว่า เขาเป็นบ่าวคนหนึ่งได้อย่างไร  ท่านเคยเห็นมนุษย์คนใดที่เกิดมาโดยไม่มีบิดาบ้างไหม

ท่านนบีนิ่งไม่ตอบ จนอัลลอฮ์ ได้ประทานโองการลงมาว่า

إِنَّ مَثَلَ عِيسَى عِنْدَ اللَّهِ كَمَثَلِ آَدَمَ خَلَقَهُ مِنْ تُرَابٍ ثُمَّ قَالَ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ (59) الْحَقُّ مِنْ رَبِّكَ فَلَا تَكُنْ مِنَ الْمُمْتَرِينَ (60) فَمَنْ حَاجَّكَ فِيهِ مِنْ بَعْدِ مَا جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْا نَدْعُ أَبْنَاءَنَا وَأَبْنَاءَكُمْ وَنِسَاءَنَا وَنِسَاءَكُمْ وَأَنْفُسَنَا وَأَنْفُسَكُمْ ثُمَّ نَبْتَهِلْ فَنَجْعَلْ لَعْنَةَ اللَّهِ عَلَى الْكَاذِبِينَ (61)

แท้จริงอุปมาเรื่องอีซา ณ.อัลลอฮ์ เปรียบดั่งอาดัม  พระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน แล้วทรงตรัสกับเขาว่า  จงเป็นแล้วเขาก็เป็นขึ้นมา
สัจธรรมนั้นมาจากองค์อภิบาลของเจ้า ดังนั้นจงอย่างเป็นหนึ่งจากบรรดาผู้สงสัย

ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้า(มุฮัมมัด)ในเรื่องของอีซา(ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า พวกท่าน(ชาวคริสต์)จงมาเถิด
เราก็จะเรียกลูกๆของเรา และลูกของพวกท่าน
และเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา
และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านและตัวของเราและตัวของพวกท่าน    
และเราจะมาทำ ((มุบาฮะละฮ์)) กันโดยที่เราจะขอให้อัลลอฮ์ทรงลงโทษทัณฑ์แก่บรรดาผู้โกหก

ซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน โองการที่  59 – 61)

ศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้อ่านโองการดังกล่าวให้ชาวคริสต์ฟัง และได้ท้าพวกเขาให้ทำมุบาฮะละฮ์
ท่านนบี - อัลลอฮ์ทรงแจ้งแก่ฉันว่า อะซาบจะลงมายังผู้อยู่กับความเท็จหลังจากทำมุบาฮะละฮ์  เพื่อจะได้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายใดถูกและฝ่ายใดผิด

ชาวคริสต์ขอเลื่อนทำมุบาฮะละฮ์ไปยังเช้าอีกวันหนึ่ง  แล้วพวกเขากลับไปปรึกษากัน   
อุสกุฟ กล่าวกับชาวคริสต์ว่า  จงดูว่าพรุ่งนี้  หากมุฮัมมัดพาอะฮ์ลุลบัยต์ของเขาออกมามุบาฮะละฮ์  ก็อย่ามุบาฮะละฮ์กับเขา  

เช้าวันต่อมา นบีมุฮัมมัดจูงมือท่านอะลีมา  มีท่านฮาซันและฮูเซนเดินอยู่หน้า ส่วนท่านหญิงฟาติมะฮ์บุตรีเดินอยู่ด้านหลัง

อุสกุฟเดินนำหน้าคณะมา พอเห็นนบีเดินตรงมาหา เขาถามว่า  ท่านพาใครมามุบาฮะละฮ์
นบีตอบว่า นี่อะลี ลูกของลุงและเป็นบุตรเขยฉัน  เขาเป็นบิดาของหลานชายทั้งสองของฉัน เขาคือคนที่ฉันรักมากที่สุด  เด็กสองคนนี้เป็นบุตรของลูกสาวฉันที่เกิดจากอะลี ทั้งสองเป็นที่รักยิ่งของฉัน   ส่วนสตรีคนนี้ชื่อฟาติมะฮ์ นางเป็นสตรีที่มีเกียรติมากที่สุดและเป็นญาติสนิทที่สุดของฉัน

อุสกุฟหันมามองอากิบกับพวกพลางกล่าวว่า  ดูเถิด มุฮัมมัดพาอะฮ์ลุลบัยต์ออกมามุบาฮะละฮ์กับเราเพื่อปกป้องสัจธรรมของเขา

ชาวคริสต์จึงหวั่นว่าจะเกิดเพทภัยกับพวกเขา เลยไม่ขอทำมุบาฮะละฮ์ด้วย แต่ขอจ่ายญิสยะฮ์แทน   
ท่านนบียอมรับข้อเสนอของฝ่ายคริสต์จากนั้นชาวคริสต์ได้ลากลับนัจญ์รอน

2-ทำมุบาฮะละฮ์ที่ไหน

กลางทะเลทรายนอกเมืองมะดีนะฮ์ นบีพาไปเพียงสี่คนเท่านั้น
สะอัด  บินอบีวักกอศ เล่าว่า
لَمَّا أَنْزَلَ اللَّهُ هَذِهِ الآيَةَ (نَدْعُ أَبْنَاءَنَا وَأَبْنَاءَكُمْ) دَعَا رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- عَلِيًّا وَفَاطِمَةَ وَحَسَنًا وَحُسَيْنًا فَقَالَ « اللَّهُمَّ هَؤُلاَءِ أَهْلِى ».

เมื่อโองการนี้ประทานลงมา(เราจะเรียกลูกๆของเราและลูกๆของท่าน...) ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้เรียกอะลี,ฟาติมะฮ์,ฮาซันและฮูเซนมา แล้วท่านกล่าวว่า อัลลอฮ์ เขาเหล่านี้คือ ครอบครัวของฉัน
รายงานโดยติรมิซี ฮะดีษที่ 3269 ,มุสลิม,อิหม่ามอะหมัด,ฮากิมนัยซาบูรี,อัลบัยฮะกี

3- เราได้อะไรจากมุบาฮะละฮ์

1-พิสูจน์ว่ามุฮัมมัดเป็นศาสดาจริง  เพราะมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมบันทึกว่าชาวคริสต์ไม่ขอทำมุบาฮะละฮ์ด้วย  

2-ฮาซันและฮูเซนคือหลานของนบีมุฮัมมัด(ศ) แต่นบีเรียกทั้งสองว่า ลูกชายของฉัน

 اِبْنَايَ هَذَانِ : اَلْحَسَنُ وَ الْحُسَيْنُ : سَيِّدَا شَبَابِ أَهْلِ الْجَنَّةِ وَ أَبُوْهُمَا خَيْرٌ مِنْهُمَا

ลูกชายของฉันสองคนนี้(ฮาซันและฮูเซน)คือ ประมุขของบรรดาชายหนุ่มแห่งญันนะฮ์ และบิดาของทั้งสอง ประเสริฐกว่าทั้งสอง

3-อายัตมุบาฮะละฮ์เป็นอีกความประเสริฐหนึ่งของอะฮ์ลุลบัยต์ ที่มิอาจมองข้ามหรือปฏิเสธได้
การที่ท่านนบีพาอะฮ์ลุลบัยต์ออกไปมุบาฮะละฮ์นี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่นบีจะพาใครไปก็ได้   แต่เป็นการคัดเลือกของอัลลอฮ์อย่างมีอิรอดัตและฮิกมัต

4- กล่าวได้ว่าท่านอะลีคือ ผู้ประเสริฐที่สุดหลังนบีจากไป

5- อายัตนี้บอกให้รู้ว่า การตับลีฆดีน การดูแลเรื่องการเมืองการปกครอง ตกเป็นหน้าที่ของอะฮ์ลุลบัยต์สืบต่อจากนบี ไม่ใช่ในฐานะญาติสนิท แต่ในฐานะที่อัลลอฮ์ทรงเลือกพวกเขาให้มาทำหน้าที่นี้ ดังที่ท่านนบีกับท่านอะลีว่า
ท่านกับฉันมีฐานะเหมือนฮารูนกับมูซา  ยกเว้น ไม่มีนบีหลังจากฉันอีกแล้ว  
 
6- หากเราสร้างความเข้าใจคำ أَنْفُسَنَا ตัวของเรา ในอายัตที่ 61 ย่อมตระหนักได้ว่า อายัตนี้พิสูจน์ถึงการเป็นผู้นำของท่านอะลี เพราะคำ(อัมฟุซะนา)นี้นับว่าท่านอะลีคือบุคคลที่มีบุคลิกภาพสมบูรณ์แบบเหมือนท่านนบีทุกประการ  ยกเว้นตำแหน่งนบีเท่านั้น
ท่านอะลีได้แสดงความคิด จิตวิญญาณ การกระทำทุกอย่างคล้ายคลึงกับนบีมุฮัมมัดได้ใกล้เคียงที่สุด

7- ถ้าสังเกตคำ نِسَاءَنَا นิซาอะนา ให้ดี เจะพบว่าท่านนบีไม่ได้พาสตรีนางใดในมะดีนะฮ์ไปมุบาฮะละฮ์ ยกเว้นฟาติมะฮ์คนเดียว นับได้ว่านี่คือคุซูซียัตของท่านหญิงฟาติมะฮ์

อายัตมุบาฮะละฮ์เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่พิสูจน์ว่า  ท่านอะลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนคืออะฮ์ลุลบัยต์ที่ใกล้ชิดนบีมุฮัมมัดมากที่สุด

#ความอธรรมที่รัฐบาลซาอุต่ออะฮ์ลุลบัยต์นบี

แม้ว่าอัลลอฮ์ตะอาลาจะยกย่องอะฮ์ลุลบัยต์นบีไว้ในอัลกุรอาน
แต่พวกเขาก็ยังถูกอธรรมมาโดยตลอด  
เมืองมะดีนะฮ์ นับได้ว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของท่านนบีมุฮัมมัดและอะฮ์ลุลบัยต์

ในเมืองนี้มีปูชนียสถานเป็นประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกถึงสถานภาพอันสูงส่งของอะฮ์ลุลบัยต์

ปรากฏว่า รัฐบาลซาอุฯได้ทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไปมากมาย จนทำให้ความรู้เหล่านี้สูญหายไป

หากเราเปิดแผนที่เมืองมะดีนะฮ์ฉบับเก่าๆดู จะพบว่า ในแผนที่ฉบับเก่าได้บอกตำแหน่งว่า มัสญิดมุบาฮะละฮ์  อยู่ตรงไหน

แต่แผนที่ฉบับใหม่ได้เปลี่ยนชื่อมัสญิดมุบาฮะละฮ์ใหม่เป็นมัสญิดอิญาบะฮ์ หรือมัสญิดบนีมุอาวียะฮ์   มัสญิดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของบาเกี๊ยะอ์ ที่ถนนมาลิกฟัยซ็อล  

สิ่งที่น่าแปลกใจคือ สถานที่นี้ถูกห้ามเข้า ยกเว้นเวลานมาซเท่านั้น
ทางการซาอุฯอ้างว่า เหตุที่ห้ามเข้าเพราะมีคนมาทำชีรีกในสถานที่แห่งนี้

พฤติกรรมนี้มันคงไม่มีเหตุผลใดดีไปกว่าความตะอัศซุบ ที่ไม่ต้องการเปิดเผยฐานันดรอันสูงส่งของอะฮ์ลุลบัยต์นบีห้โลกมุสลิมได้รับรู้

สรุป
วันมุบาฮะละฮ์ ตรงกับวันที่ 24  เดือนซุลฮิจญะฮ์  เป็นอีกอีดหนึ่งที่โลกมุสลิมควรภาคภูมิใจ  
เพราะเป็นวันที่อิสลามได้รับชัยชนะทางสารแห่งจิตวิญญาณ เป็นวันที่นบีมุฮัมมัด(ศ)ได้พิสูจน์ ดีนุลฮั๊ก ให้ชาวยะฮูดีและนอซอรอได้รับรู้

บทความโดย เชคญะวาด สว่างวรรณ

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม