ความสำคัญของการมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในสังคม หรือในแวดวงอิสลามเรียกว่า "วะฮ์ดัต"[เอกภาพ]

 

ความสำคัญของการมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในสังคม หรือในแวดวงอิสลามเรียกว่า "วะฮ์ดัต"[เอกภาพ]

 

ประเด็นทางสังคมที่มีความสำคัญที่สุด อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือปัญหาความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในสังคม  เพราะความแตกแยกและความวุ่นวายในหมู่ประชาชนจะนำไปสู่การล่มสลายของสังคมนั้นในที่สุด

ความสำคัญของความสามัคคีของคนในสังคม[วะฮ์ดัต] และหลีกเลี่ยงความแตกแยก จะเห็นตัวอย่างได้อย่างชัดเจนที่มีการกล่าวถึงไว้ในอัลกุรอ่านเกี่ยวกับ "การเลือกนิ่งเฉยของนบีฮารูนต่อการกราบไหว้รูปปั้นที่ถูกหลอมเป็นลูกวัวทองคำโดยซะมีรี"
เมื่อนบีมูซา อ. เสร็จสิ้นภาระกิจและลงมาจากภูเขา ท่านได้เห็นชาวบนีอิสรออีลจำนวนมากหันไปกราบไหว้รูปปั้นวัวทองคำ ท่านนบีมูซา อ. จึงเอ๋ยถามพี่ชาย(ฮารูน) ว่า ทำใมท่านปล่อยให้พวกเขานมัสการรูปปั้นโดยไม่เข้าไปขัดขวาง ?!!
นบีฮารูน อ. กล่าวตอบว่า หากข้าเข้าไปขัดขวางพวกเขา แน่นอนว่า "ความแตกแยกและความวุ่นวาย" จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อนั้นแหละความเป็นเอกภาพในหมู่ชาวบนีอิสรออีลก็จะถึงกาลเอาวสานอย่างแน่นนอน ฉันคิดใคร่ครวญแล้วเพื่อเห็นแก่ความเป็นเอกภาพ ฉันจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ !!
อัลกุรอ่านได้เปิดเผยเรื่องนี้ไว้ในซูเราะฮ์  ฎอฮา ว่า :

มูซา แปลกใจที่เห็นการวางตัวนิ่งเฉยของฮารูน เลยถามว่า

قَالَ يَا هَارُونُ مَا مَنَعَكَ إِذْ رَأَيْتَهُمْ ضَلُّوا

เขากล่าวว่า “โอ้ฮารูนเอ๋ย อันใดเล่าที่ยับยั้งท่าน[ไม่ตักเตือนไม่ห้ามปรามและไม่ขัดขวาง]เมื่อท่านเห็นพวกเขาหลงผิด”

ท่านนบีฮารูน อ. กล่าวตอบมูซา อ. ว่า :

قَالَ يَا ابْنَ أُمَّ لَا تَأْخُذْ بِلِحْيَتِي وَلَا بِرَأْسِي ۖ إِنِّي خَشِيتُ أَن تَقُولَ فَرَّقْتَ بَيْنَ بَنِي إِسْرَائِيلَ وَلَمْ تَرْقُبْ قَوْلِي

ฮารูน กล่าวว่า “โอ้ลูกของแม่ฉันเอ๋ย อย่าดึงเคราและศีรษะของฉันซิ แท้จริงฉันกลัวว่า ท่านจะกล่าว(แก่ฉัน) ว่า ท่านได้ก่อการแตกแยกขึ้นในหมู่วงศ์วานอิสรออีล และท่านไม่ชอบฟังคำสั่งของฉัน”[เพื่อรักษาเอกภาพของชนชาติอิสราเอล] [ฏอฮา - Ayaa 92-94]

ความว่า : การเข้าไปห้ามหรือขัดขวางไม่ให้พวกเขากราบไหว้ลูกวัวทองคำที่ถูกหลอมขึ้นจะนำมาซึ่งความวุ่นวายและความแตกแยกของผู้คนในสังคม [ فَرَّقْتَ بَيْنَ بَنِي إِسْرَائِيلَ ] และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่นบีมูซาไม่ต้องการเห็นมากกว่าการกราบรูปวัวทองคำ ซึ่งสังเกตุได้จากรูปประโยคของอัลกุรอ่าน[ وَلَمْ تَرْقُبْ قَوْلِی ]และท่านไม่ชอบฟังคำสั่งของฉัน”[เพื่อรักษาเอกภาพของชนชาติอิสราเอล]

และประจักษ์พยานที่ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ "เอกภาพ การมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในสังคม" อีกเหตุการณ์หนึ่ง ก็คือ การเลือกที่จะนิ่งเงียบต่อ "ตำแหน่งผู้นำรัฐอิสลามที่ถูกแย่งชิงไป ทั้งที่เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของท่านที่ถูกแต่งตั้งโดยท่านรอซูลฯ ในวันฆอดีรคุม" และอดทนต่อรัฐบาลซะกีฟะฮ์ที่ได้ล่วงละเมิดเขตหวงห้ามของบ้านแห่งบุตรีของท่านรอซูลฯ

ในเวลาต่อมาท่านอิมามอะลี อ. ได้เผยเหตุผลที่ท่านเลือกการนิ่งเงียบแทนการลุกขึ้นตอบโต้ ไว้สั้น ๆว่า "เพื่อรักษาเอกภาพในประชาชาติมุสลิมและรัฐอิสลามที่เพิ่งจะตั้งไข่"  ท่านได้เผยสิ่งนี้ไว้ในจดหมายที่ส่งไปให้มุอาวียะฮ์ บุตร อบูซุฟยาน โดยมีใจความว่า :


โอ้ มุอาวิยะฮ์ เมื่อผู้คนให้บัยอัต(สัตยาบัน)ต่อ อบูบักร เมื่อนั้นแหละที่พ่อของเจ้า อบูซุฟยานได้มาหาฉันและกล่าวแก่ฉันว่า "หลังจากนบีแล้วไม่มีใครที่คู่ควรกับตำแหน่งนี้(ผู้นำ)ไปกว่าท่านอีกแล้ว ท่านจะปล่อยให้คนที่ไม่เหมาะสมทั้งบุคลิคคุณลักษณะและชาติพันธุ์(หมายถึงท่านอบูบักร)ขึ้นมาปกครองพวกเราหรือ ? ยืนมือของท่านมาสิ แล้วฉันจะมอบบัยอัตให้แก่ท่าน แล้วต่อจากนี้ท่านจะเห็นว่าชายหนุ่มของพวกเราจะมาบัยอัตกับท่านอย่างล้นหลาม แล้วเราจะเผชิญหน้ากับพวกเขา(รัฐบาลอบูบักร)ด้วยกัน


โอ้ มุอาวิยะฮ์ เจ้ารู้ไม่ว่าพ่อของเจ้าพูดซ้ำ ๆ คำพูดนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ฉัน อะลี ยิบนิ อบีฎอลิบ ก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอของเขาทุกๆ ครั้งเช่นกัน เพราะอะไรรู้ไม่ ? เพราะ ณ ตอนนั้นอิสลามเพิ่งก่อตัวตั้งไข่ และพร้อมที่จะล่มสลายได้ทุกเวลาหากเกิดความวุ่นวายและความแตกแยกขึ้น ฉันจึงไม่ความปรารถานีเจตนาของอบูซุฟยานในครั้งนี้เลย ฉันจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ และนั่งอยู่ในบ้านของฉัน

[บิฮารุลอันวาร เล่ม 29 หน้า 632]

 

ฉะนั้น ท่านอิมามอะลี อ. เลือกที่จะนิ่งเงียบต่อความอธรรมที่เกอดขึ้นกับท่านและภรรยาของท่าน เพื่อแลกกับ "เอกภาพของสังคมมุสลิมในตอนนั้น"
แล้วหากวันนี้เราเป็นคนหนึ่งที่กำลังเติมเชื้อเพลิงแห่งฟิตนะห์ และความแตกแยกในหมู่พี่น้องร่วมศาสนา วันข้างหน้าเราจะสู้หน้าท่านอิมามอะลี และท่านหญิงฟาฎิมะห์ได้หรือครับ ?
หรือว่า ความอธรรมที่เกิดขึ้นกับเรา มันหนักหนาสาหัสสากันกว่า ความอธรรมที่เกิดขึ้นกับท่านอิมามอะลี อ. และท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ เสียอีก ?!!

วันนี้หากมุสลิมทั้งหมดลืมเรื่องความแตกต่างเล็กๆน้อยๆด้านอะกีดะฮ์ และสงวนไว้เฉพาะในมุมของการเเลกเปลี่ยนด้านวิชาการอย่างสร้างสรรค์เท่านั้น  เราคงอาจจะได้เห็นการล้มสลายของระบอบยิวไซออนิสต์ และถูกลบไปจากแผนที่โลกเร็วกว่าที่คิด ก็เป็นได้

บทความจากเพจ AnsorThailand