บทบาทของความรักในครอบครัว
บทบาทของความรักในครอบครัว
ในทัศนะอิสลามความรักมีบทบาทอย่างมากในการสร้างให้เกิดสังคมในอุดมคติของมนุษย์ขึ้นได้
มีรายงานฮะดีษมากมายจากมะอ์ซูมีนกล่าวและยืนยันอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ว่า
สังคมในอุดมคติตามมุมมองของอิสลามคือสังคมที่เกิดขึ้นมาบนพื้นฐานความรักที่มีต่อกัน ความรักเป็นปัจจัยที่มีผลในการอบรมบ่มเพาะและเป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ไปสู่เป้าหมายสูงสุดของการเป็นมนุษย์ทั้งทางปัจเจกชนและสังคมทั้งทางวัตถุและจิตวิญญาณที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ความรักเป็นสิ่งที่มีความหอมหวานและมีความรื่นรมย์ความรักจะช่วยให้มนุษย์สามารถชดเชยความขมขืนและความอ่อนแอความไม่ราบรื่นในชีวิตและช่วยให้มนุษย์ต่อสู้กับปัญหาไม่ว่าใหญ่หรือเล็กที่เกิดขึ้นในชีวิตได้
ท่านศาสดาสุไลมานกล่าวไว้ในฮะดีษบทหนึ่งว่า
ไม่มีสิ่งใดหอมหวานไปกว่าความรักอีกแล้ว
สิ่งใดกันที่หอมหวานที่สุด?
ท่านศาสดา ตอบว่า คือความรักเพราะมันคือจิตวิญญาณของการอิบาดะฮ์
-->มุฮัมมะดี เรชะฮรี เพื่อนในกุรอาน ฮะดีษที่ 38
ตามมุมมองของท่านศาสดามุฮัมหมัด(ศ็อลฯ)
ท่านเชื่อว่า เมื่อความรักเกิดขึ้นกับใครแล้ว
ปัญหาอุปสรรคและความยากลำบากที่มาประสบกับเขา จะกลายเป็นเรื่องที่สามารถอดทนได้และกลายเป็นเรื่องง่าย
โดยท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ได้กล่าวไว้ในเชิงเปรียบเปรยว่า
ไม่แคบเลยที่นั่งเดียว สำหรับคนรักกันสองคน
-->มุฮัมมะดี เรย์ชะฮ์รีย์ เพื่อนในกุรอาน ฮะดีษที่ 86
ความรักมีผลต่อการดำเนินชีวิตตามหลักการศาสนาและมีผลในการชี้นำมนุษย์มากมาย มากถึงขนาดที่ว่า ท่านอิมามบาเกร(อ.)กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
ศาสนาอิสลามมิใช่ใดอื่นนอกจากความรัก
ศาสนามีอะไรนอกเหนือจากความรักอีกหรือ
ศาสนาคือความรักและความรักคือศาสนา
-->มุฮัมมะดี เรชะฮรี เพื่อนในกุรอาน ฮะดีษที่ 864
ในบทอัรรูม อัลลอฮ์(ซ.บ.)ทรงถือว่าความรักเป็นหนึ่งในความยิ่งใหญ่และความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์ ทรงตรัส ไว้ว่า
และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ
ทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้าเพื่อพวกเจ้าจะได้มีความสุขอยู่กับนางและทรงมีความรักใคร่และความเมตตาระหว่างพวกเจ้า
แท้จริงในการนี้แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ
-->บทอัรรูม โองการที่ 21
มนุษย์ทุกคนต้องการความรัก มนุษย์รักที่จะเป็นที่รักของคนอื่น เมื่อรู้ว่าไม่มีใครรักจะรู้สึกเดียวดายขาดที่พึ่ง จะไม่มีความสามารถที่จะก้าวเดินไปสู่ความสมบูรณ์และไม่สามารถทำให้พรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัวเบ่งบานขึ้นมาได้ ความรู้สึกทางธรรมชาติของความรักที่เกิดขึ้นในตัวชายและหญิงที่ตัดสินใจรวมกันสร้างครอบครัวและจะเกิดขึ้นในตัวชายและหญิงที่พร้อมใจกันเดินออกมาจากคำว่าฉันและเธอเพื่อมารวมตัวกันจนกลายเป็นคำว่าเรา
พวกเขาจะรับรู้ถึงความรักได้มากกว่าใคร
ก่อนสมรสทั้งชายและหญิงได้รับความรักกันมากมายจากบิดาและมารดา แต่เมื่อสมรสกันแล้วความคาดหวังในเรื่องความรักของคนทั้งสองจะเปลี่ยนไป พวกเขาคาดหวังที่จะพบเจอความรักในรูปแบบใหม่ พวกเขาจะคาดหวังที่จะได้รับความรักจากความสัมพันธ์ที่ทั้งสองสร้างมันขึ้นมากับมือตัวเองทั้งสอง จะคาดหวังให้อีกคนมอบความรักที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจให้แก่เขาจนทำให้ทั้งฝ่ายพอใจในความรักนั้น
ในส่วนนี้ฝ่ายหญิงที่มีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนมากกว่าจะต้องการความรักจากคู่ครองมากกว่าและที่มากไปกว่านั้น ชีวิตทั้งชีวิตของเธอจะผูกพันอยู่กับความรักอยู่ตลอดเวลา ยิ่งได้รับความรักมากเท่าใดชีวิตของเธอจะมีชีวิตชีวามากขึ้นเท่านั้นและจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ความรักจากสามีอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อใดเธอไม่รู้สึกว่าเป็นที่รักของสามีเธอจะรู้สึกพ่ายแพ้และไม่มีค่า การมอบความรักให้แก่กันระหว่างสามีภรรยาจะสร้างให้ครอบครัวเป็นครอบครัวที่มีคุณภาพเป็นครอบครัวที่มั่นคงและอบอุ่น
ท่านศาสดา(ศ็อลฯ)กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
หญิงที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่านคือนางที่มีความรักความเมตตามากที่สุด
-->มัจลิซี บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 103 หน้าที่ 235
ท่านศาสดา(ศ็อลฯ)ยังกล่าวเกี่ยวกับบุรุษไว้ว่า
ใครที่ได้ชื่อว่าเป็นสหายของฉัน เขาจะต้องแสดงความรักให้กับภรรยาตัวเองมากที่สุด คนที่มีศรัทธาที่สุดก็คือคนที่รักภรรยาที่สุด
-->มัจลิซี บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 103 หน้าที่ 223,228
เชคสเปียร์กล่าวไว้ว่า
สิ่งที่สตรีใช้กุมหัวใจฉันไม่ใช่ความสวยงามของนางแต่มันคือความเมตตาและความรักของนางต่างหากฉันชอบผู้หญิงที่มีความรักความเมตตามากกว่าใคร
ครอบครัวที่มีความรักความเมตตาครอบครัวที่สามีและภรรยาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนความรักความเมตตาที่มีให้ต่อกัน ครอบครัวเช่นนี้จะมีความสามารถและมีประสิทธิภาพมากกว่าในการอบรมเลี้ยงดูบุตรให้เป็นคนดี เมื่อเด็กถูกอบรมบ่มเพราะในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความรัก
จิตวิญญาณของเด็กก็จะสงบและเป็นสุขและมีพัฒนาการที่ดีกว่าและด้วยการลอกแบบการกระทำมาจากพ่อและแม่เขาจะกลายเป็นคู่ครองที่ดีสำหรับคนอื่นและจะเป็นผู้สร้างครอบครัวที่มีประสิทธิภาพในอนาคตได้ด้วย
ความมีประสิทธิภาพและคุณภาพนี้จะถูกส่งต่อกันไปรุ่นต่อรุ่นจนทำให้สังคมเป็นสังคมที่มีชีวิตชีวาและมีคุณภาพในที่สุด
สิ่งที่เป็นสาเหตุของความไร้คุณภาพของครอบครัวและเกิดปัญหาหย่าร้างขึ้น คือ การที่สมาชิกครอบครัวไม่ได้รับความรักอย่างเพียงพอ
เมื่อไม่มีความรักความเมตตาในครอบครัวคนในครอบครัวจะไม่มีความผูกพันต่อกันและไม่มีแรงดึงดูดและแรงจูงใจให้รักบ้านและรักครอบครัว
ในเชิงจิตวิทยาพวกเขาแยกกันอยู่แม้จะอยู่ด้วยกันก็ตาม ความรักเปรียบเหมือนแรงดึงดูดของโลกเหมือนที่โลกและส่วนต่างๆของโลกตั้งแต่ชิ้นส่วนที่เล็กที่สุดจนถึงชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดคงอยู่ได้ด้วยแรงดึงดูดนี้ บ้านและครอบครัวก็มั่นคงอยู่ได้ด้วยความรักความเอาใจใส่ต่อกันนั่นเอง
ถ้าหากเรานำเอาแรงดึงดูดออกจากสารบบของสรรพสิ่งทั้งหลาย ระบบจะรวนและพังลง
ทำนองเดียวกันถ้าครอบครัวไม่มีความรัก
ครอบครัวก็สามารถพังลงได้เช่นกัน
ถ้าในครอบครัวไม่มีความรัก สมาชิกไม่ได้รับความรักอย่างเพียงพอ สมาชิกจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ ผลที่ตามมาก็คือคุณภาพและประสิทธิภาพของครอบครัวที่น่าจะเกิดขึ้นจะกลายเป็นความไร้คุณภาพและประสิทธิภาพไปเสีย
เหมือนกับคนที่โครงสร้างตึกไม่มีปูนที่เป็นตัวประสานให้ส่วนต่างๆยึดติดกันตึก ก็ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ สถาบันครอบครัวก็เช่นกัน สิ่งที่เป็นตัวยึดให้สถาบันครอบครัวคงอยู่ได้คือความรักและความเมตตานั่นเอง
(มะซอเฮรีย์,2004)
ชายหรือหญิงที่ไม่ได้รับความรักจะไม่ยอมเสียสละและใช้ความอุตสาหะในการสร้างความสุขสบายให้กับครอบครัว อีกทั้งจะไม่ใช้พลังทั้งหมดของตัวเองทำเพื่อครอบครัวซึ่งสิ่งนี้อาจเป็นสาเหตุนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่ดีและสร้างความเสื่อมเสียให้ครอบครัวและสังคมในอนาคตได้
สิ่งที่ทำให้เกิดคุณภาพและความมีประสิทธิภาพให้ครอบครัวคือการเชื่อใจกันและการซื่อสัตย์ต่อกันระหว่างสามีและภรรยา ถ้าหากไม่มีความรักให้กันความเชื่อใจกันและการมีความซื่อสัตย์ต่อกันก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน
แต่สามีและภรรยาจะต้องตระหนักด้วยว่าความรักที่มอบให้แก่กันด้วยใจและคำพูดเท่านั้นยังไม่พอเพียงแค่บอกว่าฉันรักคุณสุดหัวใจ แต่ไม่เคยแสดงความรักออกมาในรูปของการปฏิบัติเลย ก็ยังไม่เป็นเครื่องรับประกันเรื่องคุณภาพของครอบครัวได้แต่ต้องแสดงความรักให้เห็นออกมาในรูปของการปฏิบัติอีกทั้งต้องแสดงออกมาทางคำพูดตามคำสอนของศาสนาด้วย
การแสดงความรักโดยการประกาศว่า ฉันรักคุณ
การพูดและการแสดงออกเช่นนี้จะทำให้ความรักมั่นคงและเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน
ท่านอิมามซอดิก(อ.)กล่าวไว้ว่า
เมื่อท่านรักใครก็ให้บอกเขาไปเถิดว่าฉันรักคุณ
เมื่อท่านรักใครก็ต้องบอกเขาเถิดเพราะแท้จริงมันจะทำให้ความรักระหว่างทั้งสองมั่นคง
-->มัจลิซี บิฮารุลอันวาร เล่มที่ 103 เล่มที่ 47
หน้าที่ 181
ท่านศาสนทูตก็กล่าวไว้เช่นกันว่า
คำพูดของสามีที่กล่าวกับภรรยาว่าฉันรักคุณอย่างจริงใจ คำพูดนี้จะไม่มีวันถูกลบออกไปจากหัวใจของนางได้เลย
คำพูดของผู้ชายที่กล่าวกับภรรยาว่าฉันรักเธอ
จะไม่มีวันหายไปจากหัวใจของนางตลอดไป
-->ฮูรอามีรี วะซาอิลลุลชีอะฮ์ เล่ม 20 หน้าที่ 23
อ้างอิงจากหนังสือครอบครัวในอิสลามและจิตวิทยา