เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

ปรัชญามรสุมชีวิต

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

ปรัชญามรสุมชีวิต

หรือปรัชญาในการมีอยู่ของเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนาในชีวิต(มรสุมชีวิต)

1.การตัดสินโดยระบบเปรียบเทียบและวิชาการอันน้อยนิดของมนุษย์

โดยทั่วไปแล้วมนุษย์มักจะตัดสินและแยกแยะจำพวกของสิ่งต่างๆรอบข้างโดยใช้การพาดพิงและการเปรียบเทียบไปยังความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งนั้นเป็นหลักตัวอย่างเช่นหากเราต้องการจะตัดสินว่าสิ่งนั้นอยู่ใกล้หรือไกลเราก็จะวัดระยะห่างจากตนเองว่าจากตัวเราไปแล้วใกล้หรือไกลหรือการตัดสินความอ่อนแอหรือความเข้มแข็งของบุคคลหนึ่งเราก็จะใช้การเปรียบเทียบกับสภาพจิตและสภาพกายของตัวเราเองว่าหากเปรียบเทียบแล้วจะมีสภาพอย่างไรเราจะสรุปสถานภาพของเขาโดยการเปรียบเทียบในประเด็นซึ่งเกี่ยวข้องกับความโชคดีโชคร้ายเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวบทลงโทษก็มักจะถูกตัดสินให้เป็นไปในทำนองเดียวกันกับข้างต้นที่กล่าวมา

ตัวอย่างเช่นหากมีฝนตกในภูมิลำเนาใดๆแล้วเราไม่สนใจว่าฝนที่ตกลงมานั้นให้ผลอย่างไรกับส่วนรวมแต่สิ่งที่จะทำให้เราวิตกนั้นคือเรือกสวนไร่นาของเราจะได้รับผลกระทบอย่างไรจากฝนที่ตกลงครั้งนี้
หากมีผลดีเราก็ว่าฝนครั้งนี้คือความโปรดปรานรางวัลและหากทำให้ผลเสียเราก็จะให้ชื่อฝนครั้งนี้ว่าการลงโทษมันคือสิ่งที่ถูกประทานลงมาด้วยกับความกริ้วของพระองค์

หรือเมื่อเราพบเห็นซากปรักหักพังของตึกซึ่งถูกทุบทิ้งเพื่อการสร้างอาคารใหม่และในขณะนี้ในฐานะผู้เดินผ่านเรายังคงไม่ได้รับประโยชน์ใดๆจากมันเว้นแต่ฝุ่นและเศษดินที่ฟุ้งกระจายไปทั่วและสร้างความรำคาญให้แก่ผู้คนที่เดินผ่านเมื่อถึงคราวนั้นเราก็จะบอกกับตัวเองว่านี่คือสิ่งซึ่งมันไม่ดีเอาเสียเลยทั้งๆที่ในอีกไม่นานกองดินกองทรายหรือเศษฝุ่นที่สร้างความรำคาญให้เราในขณะนี้จะกลับกลายไปเป็นโรงพยาบาลซึ่งจะได้ให้ประโยชน์แก่สาธารณชนหรือดังตัวอย่างผลที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นอาจจะสร้างประโยชน์ให้กับเรือกสวนไร่นาของภูมิลำเนาอื่นๆอีกมากมายก็เป็นไปได้

ในการพิจารณาขั้นพื้นฐานพิษงูเป็นสิ่งที่เลวร้ายและเป็นอันตรายโดยที่บางคนไม่รู้ว่าพิษงูนี่แหละเป็นสิ่งเดียวที่มีประโยชน์ต่อการป้องกันและต่อต้านพิษของมันเองในการรักษาได้เมื่อผู้ใดถูกงูกัดและในบางครั้งกูก็ถูกนำไปดัดแปลงเป็นยารักษาโรคเพื่อช่วยชีวิตของมนุษย์ได้มากมายมาแล้ว

เพราะฉะนั้นเพื่อการหลีกเลี่ยงจากความผิดพลาดในการตัดสินเราจำเป็นต้องมองข้ามความรู้อันจำกัดน้อยนิดของตนและการเปรียบเทียบจะต้องไม่ใช้การพาดพิงมายังตนเองโดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสรรพสิ่งเป็นหลักแต่เราจะต้องมองไปในทุกๆด้านในความเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งและพิจารณาให้กว้างออกไป

ส่วนใหญ่แล้วเหตุการณ์ต่างๆในโลกเราล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์ประหนึ่งสายโซ่อันยืดยาวแห่งเหตุการณ์ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันทั้งหมดและเช่นกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สรุป การใช้ประเด็นเดียวเป็นหลักในการตัดสินชี้ขาดถือเป็นสิ่งอันห่างไกลจากระบบของสติปัญญาและตรรกวิทยาสิ่งที่จำเป็นต้องปฏิเสธคือการมีอยู่ของสิ่งที่มีความเลวร้ายอยู่ในตัวตนเพียงอย่างเดียวแต่ทว่าส่วนใหญ่เราจะพบเห็นสิ่งต่างๆที่จากอีกด้านหนึ่งอาจจะดูโหดร้ายแต่จะมีความดีงามซ่อนเร้นอยู่ในอีกด้านอื่นๆของมันและในที่สุดความดีงามของมันย่อมจะมีมากกว่าด้านของความโหดร้ายอย่างแน่นอน

การผ่าตัดถือเป็นสิ่งที่สร้างความหนักใจและอาจถูกมองว่าเป็นความโหดร้ายน่ากลัว แต่กลับให้ผลดีต่อผู้ป่วยเสียส่วนมากดังนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งซึ่งถูกผสมผสานไว้ด้วยคุณงามความดีและเพื่อความกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น เราลองพิจารณาตัวอย่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวเพื่อวิเคราะห์ถึงผลลัพธ์ที่แท้จริงของมันถูกแล้วที่ว่าแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนมากมายแต่หากเราลองพิจารณาลึกลงไปในจุดเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างเรื่องราวเราอาจจะเปลี่ยนความคิดไปในทางที่ดี

นักวิชาการมีทัศนคติที่แตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับที่มาของแผ่นดินไหวว่าจะเกี่ยวข้องกับความร้อนระอุของใต้พื้นพิภพหรือจะเกี่ยวข้องกับแรงดึงดูดของดวงจันทร์ที่ขรุขระและพยายามดึงโลกไปสู่ตัวเองอยู่เสมอ บางครั้งพลังของแรงดึงดูดทำให้ผิวโลกต้องแตกออกจากกันจนเกิดแผ่นดินไหวในที่สุดและอาจจะเกี่ยวข้องกันทั้งสองกรณี

จะอย่างไรก็ตามทั้งสองเหตุผลนี้ต่างให้ประโยชน์แก่ผู้อยู่อาศัยบนโลกนี้มากมายก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าความร้อนระอุในแผ่นดินจะให้ผลประโยชน์มากเพียงใดในการขุดพบ แหล่งน้ำมันซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบันและเช่นกันเพื่อการผลิตถ่านหินตลอดจนถึงคุณนะประโยชน์อื่นๆ
ดังนั้นหากแผ่นดินไหวมีสาเหตุมาจากความร้อนระอุของใต้พิภพแผ่นดินไหวก็ถูกนับได้ว่าเป็นสิ่งซึ่งถูกผสมผสานไว้ด้วยความดีงามหรือไม่ว่าจะเป็นระบบน้ำขึ้นน้ำลงซึ่งมีผลมาจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์นั้นถือได้ว่าแผ่นดินไหวเป็นสิ่งซึ่งถูกผสมผสานไว้ด้วยความดีงามอีกเช่นกัน

ณ ที่นี้ เราจึงเข้าใจได้ว่าการพิจารณาโดยระบบเปรียบเทียบและด้วยวิชาความรู้อันน้อยนิดของมนุษย์ต่างหากที่ดึงภาพเหตุการณ์ต่างๆลงไปสู่ความมืดและยิ่งเราได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของที่มาและเรื่องราวมากเพียงใดเราก็จะให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวมากเท่านั้น

ดังอัลกุรอานซูเราะฮ์อัลอิสรออ์ โองการที่ 85
ความว่า

"แล้วพวกท่านไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น
(มากมายนัก)นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น"

2.เหตุการณ์ไม่คาดฝันกับการเตือนสติ

เราทุกคนคงจะเคยพบเห็นบุคคลบางกลุ่มซึ่งเมื่อพวกเขาชุ่มฉ่ำอยู่ในความโปรดปรานบางอย่างแล้วพวกเขาก็จะหยิ่งผยองในตัวตนและสิ่งนี้อาจทำให้พวกเขาลืมตนและเพิกเฉยต่อหน้าที่และเรื่องราวที่สำคัญเบื้องหน้าเขาก็เป็นได้และเช่นกันเราเคยพบเห็นความเงียบสงบของมหาสมุทรแห่งชีวิตความสะดวกสบายที่มนุษย์มีมากเกินไปจนทำให้ชีวิตของเขาอยู่ในอาการสัปหงกและเฉื่อยชาซึ่งจะนำพาไปสู่ความโชคร้ายของเขาเองในที่สุดไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าส่วนหนึ่งจากเหตุการณ์อันไม่คาดฝันต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์มีมาเพื่อขจัดปัดเป่าความหยิ่งยโสและความเพิกเฉยความเฉยชาที่มนุษย์มีอยู่ให้พ้นไป

แน่นอนคุณคงเคยได้ยินแล้วว่าคนขับรถมืออาชีพบางกลุ่มต่างพากันโอดครวญฟ้องร้องจากถนนหนทางที่ตรงและไร้ซึ่งการโค้งเลี้ยวเพราะสำหรับพวกเขาหนทางเช่นนี้ดูน่ากลัวและอันตรายกว่าหนทางที่มีคุณลักษณะสูงลาดชันคดเคี้ยวเลี้ยวลดเสียอีก นั่นเป็นเพราะความตรงๆเรียบๆของถนนนานๆจะทำให้คนขับรู้สึกผ่อนคลายในการขับรถและไม่มีเหตุจำเป็นใดๆที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง
เขาอาจจะหลับในขณะขับรถเมื่อไหร่ก็ได้และนั่นคือสาเหตุที่อาจนำพาเขาไปสู่สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่า
(หนทางที่คดเคี้ยว)

ดังนั้นในบางประเทศเราจะพบเห็นภาพเนินกั้นถนนที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการบังคับคนขับรถให้เกิดความระมัดระวังไปในตัวหนทางในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ก็เช่นกันหากชีวิตไร้ซึ่งความคดเคี้ยวไร้ซึ่งความต่ำสูงลาดชันและหากไม่มีมรสุมใดๆผ่านเข้ามาในชีวิตเลย สภาพการลืมตนลืมพระผู้สร้างลืมที่จะสำนึกถึงหน้าที่เพื่อจุดจบที่ดีของตนจะต้องครอบงำจิตใจของเขาอย่างแน่นอน

ประเด็นดังกล่าวหาได้เป็นการสนับสนุนให้มนุษย์แสวงหาความยากลำบากหรือสร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นกับตนเองไม่ ทว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นล้วนมีมากมายอยู่แล้ว

ประเด็นหนึ่งมนุษย์จำเป็นที่จะต้องรับรู้ในส่วนที่หนึ่งว่า ปรัชญาในการมีอยู่ของมรสุมต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมนุษย์ก็เพื่อเป็นการเตือนสติและลดความหยิ่งทรนงของมนุษย์และปลุกให้มนุษย์ตระหนักและตื่นจากภวังค์ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อความสุขสมหวังที่มนุษย์พึงมี

คัมภีร์แห่งฟากฟ้าอัลกุรอานอันประเสริฐมีคำกล่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้ใน ซูเราะฮ์อัลอันอาม โองการที่ 42 ว่า

"ดังนั้นเราได้คร่าชีวิตพวกเขาด้วย(การดลบันดาลให้พวกเขานั้นประสบ)ความยากไร้และความเจ็บไข้เพื่อว่าพวกเขาจะได้นอบน้อม"

3.มนุษย์จะเติบโตได้อย่างสมบูรณ์กว่าท่ามกลางความยากลำบาก แสนเข็ญ

เราจะไม่สนับสนุนให้บุคคลก่อโศกนาฏกรรมให้กับชีวิตของตนเอง ทว่าปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นเองนั้นจะช่วยเสริมสร้างความเด็ดขาดให้กับการตัดสินใจและเพิ่มพลังให้กับชีวิตมนุษย์ได้อยู่แล้วเสมือนแร่ธาตุเหลวบางชนิดที่เมื่อโดนความร้อนของเปลวไฟก็จะแข็งตัวแปรสภาพแข็งแกร่งขึ้นทันที มนุษย์จะแข็งแกร่งขึ้นหากได้พบเจอกับความร้อนระอุของเปลวเพลิงแห่งมรสุมชีวิตบ้าง

สงครามถือเป็นสิ่งเลวร้ายแต่ในบางครั้งสงครามที่มีความน่ากลัวและความยากลำบากนั้นกลับทำให้ความคิดอ่านของประชาชาติได้รับการพัฒนา
ความขัดแย้งต่างๆถูกเปลี่ยนไปเป็นความสามัคคีความล่าช้าและความล้าหลังจะถูกแทนที่ด้วยความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้ด้วยสงคราม

นักประวัติศาสตร์ผู้โด่งดังแห่งชาติตะวันตกผู้หนึ่งได้บันทึกไว้ในรายงานของเขาว่า

ทุกๆการปรากฏของอารยธรรมอันเจิดจรัสในโลกของหน้าประวัติศาสตร์มักมีที่มาจากการที่ประเทศเหล่านั้นได้เคยถูกโจมตีห้ำหั่นโดยกลุ่มพันธมิตรของประเทศมหาอำนาจจนเป็นเหตุให้พลังอันซ่อนเร้นของพวกเขาได้ถูกปลุกเร้าขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเองอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน

แต่ทว่าผลกระทบจากเหตุการณ์อันข่มขืนจะส่งปฏิกิริยาโต้ตอบต่อแต่ละบุคคลและสังคมในสภาพที่แตกต่างกันออกไปอาจทำให้บางกลุ่มอ่อนล้าสิ้นหวังเครียดแค้นมองโลกในแง่ร้ายและส่งผลกระทบในทางลบก็เป็นได้

แต่สำหรับผู้คนบางกลุ่มที่มีคุณสมบัติเพียงพอกลับทำให้พวกเขาเร่าร้อนและเป็นการปลุกระดมให้ลุกขึ้นเคลื่อนไหวเพื่อก้าวไปและพวกเขาจะทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองทันที

ถึงกระนั้นก็ตามผู้คนส่วนใหญ่มักใช้มุมมองแคบในการตัดสินถึงผลลัพธ์ผลร้ายและความข่มขื่นความยากลำบากเท่านั้นที่มักถูกมองเห็น ในขณะที่ผลลัพธ์ดีๆในอีกด้านหนึ่งกับถูกกลบเกลื่อนไป
เราจะไม่ยืนยันว่าทุกๆความขมขื่นจะส่งผลดีสำหรับบุคคลเสมอไปแต่ในอีกด้านหนึ่งย่อมมีผลลัพธ์อันดีสอดแทรกอยู่บ้าง

หากเราลองศึกษาชีวประวัติของกลุ่มชนผู้มีบทบาทสำคัญในโลกจะเห็นได้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่เติบโตมาท่ามกลางมรสุมแห่งชีวิตและความลำเค็ญจะมีบุคคลสำคัญส่วนน้อยนักที่จะเติยโตขึ้นมาโดยถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจประคบประหงมแล้วจะเติบโตอย่างรุ่งโรจน์จนมีหน้าที่การงานในตำแหน่งสูงได้
ผู้บังคับบัญชาการทหารส่วนใหญ่ผ่านอุปสรรคและความสาหัสของสงครามมาแล้วอย่างโชกโชน
นักธุรกิจรายใหญ่ส่วนมากมีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายในตลาดทั่วไปมาก่อน

สรุป มนุษย์จะสามารถเจริญเติบโตได้สมบูรณ์แบบอย่างมีประสบการณ์มากกว่าหากเขาได้อยู่ท่ามกลางความยากลำบาก

อัลกุรอานอันประเสริฐในซูเราะฮ์อันนิซาอ์ โองการที่19 ความว่า

"บางทีพวกเจ้าอาจรังเกียจสิ่งหนึ่ง แต่ในสิ่งนั้น
อัลลอฮ์ได้บันดาลความดีไว้อย่างมากมายก็ได้"

4.ความยากลำบากทำให้มนุษย์เข้าหาพระองค์
(เพื่อความใกล้ชิด)

เราได้เรียนรู้กันแล้วว่าทุกอณูในร่างกายของมนุษย์นั้นล้วนมีจุดมุ่งหมายในการสร้างของพระองค์
ตาสำหรับจุดหมายหนึ่ง หูสำหรับอีกมุ่งหมาย
หัวใจ มันสมองและระบบประสาทแต่ละแผนล้วนแล้วแต่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะของมันทั้งสิ้น ซึ่งแม้แต่ลายนิ้วมือของมนุษย์ยังแอบแฝงไปด้วยปรัชญาแห่งตนจะเป็นไปได้หรือที่การเกิดมาของมนุษย์จะปราศจากซึ่งปรัชญาใดๆ ดังนั้นมนุษย์ถูกจุติขึ้นเพื่อการไต่เต้าไปสู่ความสมบูรณ์แบบในทุกด้านและทุกรูปแบบต่างหากซึ่งแน่นอนในการไปสู่ความสมบูรณ์แบบนี้จะต้องมีหลักสูตรการเรียนการสอนอันลึกซึ้งเพื่อมนุษย์จะได้ตระเตรียมตนทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อการถูกชี้นำเหตุที่ว่านี้นอกจากสัญชาตญาณอันบริสุทธิ์แห่งการเคารพภักดียอมจำนนที่พระองค์ทรงประทานไว้ในจิตใจของมนุษย์แล้วยังมีการส่งมาซึ่งศาสนทูตแห่งพระองค์พร้อมกับคัมภีร์อันอมตะนิรันดร์กาลเพื่อเป็นการจรรโลงจิตใจและการกระทำของมนุษย์ให้อยู่ในรูปทางอันถูกต้องเที่ยงธรรมอีกด้วยและเพื่อการไปถึงจุดมุ่งหมายแห่งความสมบูรณ์แบบนี้มนุษย์จำต้องผ่านทีละขั้นตอนในทุกๆขั้นตอนเขาจะต้องรู้ว่าเรากระทำผิดพลาดใดๆไปบ้างในการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ต่างๆของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงทรงส่งเหตุการณ์ต่างๆให้เกิดขึ้นเพื่อเป็นการเตือนให้ตระหนักถึงความผิดพลาดของมนุษย์ในทุกๆจุดที่เขาปฏิบัติเพื่อเขาจะได้สำนึกและสำรวมตนและสิ่งนี้จะช่วยให้เขาพ้นจากจุดจบอันน่าสยดสยองอันเนื่องมาจากการกระทำบาปของเขา ดังนั้นเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆจึงถือได้ว่าเป็นความเมตตาและความโปรดปรานแห่งพระองค์เช่นกัน

ดังในอัลกุรอานในซูเราะฮ์อัรรูม โองการที่ 41 ว่า

"ความเสื่อมโทรมได้ปรากฏขึ้นแล้วในภาคพื้นดินและภาคพื้นทะเลเพราะการพากเพียรไว้โดยฝีมือของมนุษย์เองเพื่อพระองค์จะได้ให้พวกเขาลิ้มรส(ของการลงโทษจาก)สิ่งที่พวกเขาได้ปฏิบัติไว้ เพื่อพวกเขาจะได้กลับคืน(สู่พระองค์)"

ด้วยพื้นฐานดังกล่าวข้างต้น ดังนั้นหากยังคงมีการนับว่าเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์เป็นความเลวร้ายและเป็นการถูกลงโทษนั้นถือเป็นการยึดถือที่ตรงกันข้ามกับความยุติธรรมแห่งพระองค์และเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากสติปัญญาและตรรกวิทยาเพราะไม่ว่าเราจะเจาะลึกไปในประเด็นมากเท่าไหร่ก็จะพบกับปรัชญาทั้งหลายมากเท่านั้น

5.ความยากลำบากเพิ่มความเข้มแข็งให้ชีวิต

การทำความเข้าใจกับประเด็นดังกล่าวอาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนบางกลุ่มในความหมายที่ว่าหากสิ่งดีงามที่ถูกประทานลงมาจากพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในลักษณะเดียวกันหมดเรียบง่ายสะดวกอาจทำให้ไม่สามารถเห็นถึงคุณค่าที่แท้จริงได้

ดังอุปมาที่ว่าหากเราจัดนำสิ่งของอย่างหนึ่งให้อยู่ในตำแหน่งจุดศูนย์กลางของห้องโล่งสีขาวและปล่อยให้มีการส่องแสงสว่างจ้ามายังของสิ่งนั้นจากทุกด้านและหากห้องนั้นอยู่ในลักษณะเรียบราบแสงไฟที่ส่องไปทั่วทิศของห้องจะทำให้เราไม่สามารถมองเห็นของสิ่งนั้นได้ถนัดเพราะเมื่อแสงสว่างมาอยู่เคียงข้างสิ่งที่สร้างเงาได้เท่านั้นจึงจะส่งผลให้ความตื้นลึกและลักษณะต่างๆของสิ่งนั้นถูกมองเห็นและจะถูกแยกออกจากแสงที่สว่างจ้าได้โดยเงาต่างๆ

ในกลไกแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ก็เช่นกัน
หากปราศจากซึ่งมุมมืดมุมสว่างของชีวิตมนุษย์ก็จะไม่สามารถรู้ถึงต้นตอของปัญหาได้ หากตลอดช่วงชีวิตของมนุษย์ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วยใดๆเลยเขาจะรู้สึกถึงรสชาติหอมหวานของความมีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงได้อย่างไร ด้วยค่ำคืนที่ผ่านไปด้วยความปวดแสบปวดร้อนจากอาการไข้อาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงต่างหากที่จะทำให้รุ่งอรุณอันสดใสและไร้ซึ่งอาการเจ็บป่วยใดๆมีรสชาติชุ่มฉ่ำในความรู้สึกของมนุษย์ขึ้นมาได้เพราะเมื่อทุกครั้งที่เขานึกถึงค่ำคืนอันแสนหฤโหดนั้นเขาจะรู้สึกว่าเขาได้ครอบครองสิ่งที่มีค่าเสียยิ่งกว่าเพชรนิลจินดาอันมีนามว่าพลานามัยไว้ในครอบครองชีวิต การเป็นอยู่ที่สะดวกสบายถึงแม้จะเลิศหรูสักเพียงใดก็มักจะสร้างความเบื่อหน่ายให้มนุษย์

เพราะมันจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้ซึ่งรสชาติบุคคลบางกลุ่มที่พวกเขาเบื่อหน่ายกับชีวิตถึงขั้นอยากฆ่าตัวตายหรือไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะที่พวกเขามีชีวิตที่สุขสบายและหรูหรายังมีให้พบเห็นอยู่ทั่วไป

คงไม่มีสถาปนิกที่เก่งกาจสามารถคนใดที่จะออกแบบลวดลายกำแพงห้องโถงขนาดใหญ่ให้มีความเรียบง่ายและเป็นพื้นเดียวกันหมดราวกับกำแพงคุกแต่เขาจะต้องนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ของตนด้วยลีลาและลวดลายของว้าวตื้นลึกหนาบางไปตามแบบฉบับในการออกแบบ ไฉนโลกแห่งธรรมชาติจึงงดงามได้ถึงปานนี้ ไฉนทิวทัศน์อันประกอบไปด้วยป่าไม้ที่ปกคลุมบนทิวเขาและแม่น้ำสายยาวที่พาดเกยคดเคี้ยวลอดใต้แมกไม้น้อยใหญ่
ราวกับงูยักษ์จึงสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้มากปานนั้นด้วยเหตุผลอันกระจ่างชัดเพียงอย่างเดียวนั่นคือความไม่ซ้ำซากจำเจของมัน

กฎเกณฑ์แห่งความสว่างและความมืด มีเกิดมีดับกลางวันและกลางคืนซึ่งอัลกุรอานได้พาดพิงถึงโดยโองการต่างๆล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงผลลัพธ์อันสำคัญเพื่อการสิ้นสุดความจำเจอย่างซ้ำซากในชีวิตมนุษย์ทั้งสิ้นเพราะหากดวงตะวันถูกสะกดให้หยุดนิ่งได้ ณมุมหนึ่งของฟากฟ้าและส่งแสงลงมาบนพื้นที่เดียวของโลกโดยไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวใดๆและปราศจากขอบฟ้าสีทองที่จะคอยสับเปลี่ยนทิวาให้กลายเป็นราตรี(นอกเหนือไปจากปัญหาทางด้านวิทยาศาสตร์ที่จะเกิดขึ้นแล้ว)ภายในเวลาไม่นานมนุษย์จะเกิดอาการเบื่อหน่ายขึ้นทันที

ด้วยการคํานึงถึงประเด็นข้างต้นเราจึงต้องยอมรับว่าอย่างน้อยที่สุดส่วนหนึ่งจากปรัชญาต่างๆในการมีอยู่ของความยากลำบากหรืออุปสรรคต่างๆและเหตุการณ์ไม่คาดฝันทั้งหลายในชีวิตมีส่วนช่วยเพิ่มรสชาติในการดำรงชีวิตให้กับมนุษย์และจะทำให้มนุษย์เตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับชะตากรรมแห่งชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไป คุณค่าของเนี๊ยะมัตจะกระจ่างชัดขึ้นและเพื่อมนุษย์จักได้ตระหนักว่าจะต้องตักตวงคุณค่าทั้งหมดในเวลาที่มีอยู่อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

6.ปัญหาที่ถูกสร้างขึ้นเอง

การที่มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะผิดพลาดในการคิดคำนวณถึงที่มาของปัญหาในการก่อเหตุการณ์ร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นหรือการพิจารณาว่าการกดขี่ข่มเหงและความอธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นโดยน้ำมือของมนุษย์เองนั้นมีผลมาจากความอยุติธรรมอันเป็นกลไกในการสร้างของพระองค์ จะเท่ากับเป็นการโยนความไร้ระเบียบของมนุษย์ชาติด้วยกันเองให้กับระบบการสร้างของพระองค์ ตัวอย่างเช่นเสียงโอดร้องคร่ำครวญเพื่อที่จะตำหนิว่าเหตุใดจึงต้องมีแผ่นดินไหวที่เป็นเหตุให้ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องรับกรรมและกลายเป็นผู้เร่ร่อนพเนจรเพราะไร้บ้านเรือนที่อยู่อาศัย จะถือเป็นความยุติธรรมได้อย่างไร หากมันเป็นคำสาปจากพระองค์ ไฉนความเสียหายจึงไม่กระจายกันไปให้ทั่วหน้าแผ่นดิน เหตุใดเหตุการณ์ร้ายจึงเกิดกับผู้ยากจนขัดสนอยู่บ่อยครั้ง เหตุใดโรคร้ายต่างๆจึงไม่แพร่ระบาดอยู่ในเมืองบ้างแทนที่จะมาคร่าชีวิตชาวชนบทผู้ยากไร้อยู่ร่ำไป คำพร่ำรำพรรณต่างๆเหล่านี้มีอยู่มากมายโดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าทั้งหมดทั้งสิ้นหาได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับระบบแห่งการสร้างของพระผู้เป็นเจ้าไม่ แต่เป็นผลกระทำจากการกดขี่และการเอารัดเอาเปรียบของมนุษย์ที่มีต่อกันเองต่างหาก

มาตรว่าชาวชนบทมิได้ถูกชาวเมืองผู้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเอารัดเอาเปรียบจนต้องพบกับความยากจนขัดสนและขาดกำลังความสามารถที่จะสร้างบ้านเรือนของตนเองให้แข็งแรงเหมือนดังบ้านเรือนที่อยู่ตามหัวเมืองใหญ่เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวก็คงไม่ทำให้บ้านเรือนของพวกเขาต้องพังทลายลง ในความเป็นจริงบ้านเรือนของชาวชนบทโดยส่วนใหญ่มักจะถูกสร้างขึ้นด้วยดินหินหรือไม่ก็เศษไม้ที่ถูกนำมารวมกันและโบกก่อขึ้นเป็นบ้านที่อยู่อาศัยอย่างไม่พิถีพิถัน ซึ่งส่วนน้อยนักที่จะใช้ปูนอิฐหรือซีเมนต์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวบ้านเพื่อว่าจะได้ต่อต้านต่อแรงลมพายุหรือแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้บ้าง

แต่ทว่าทั้งหมดนี้หาได้เกี่ยวพันใดๆกับกลไกในการสร้างของพระองค์ไม่ ใช่ว่าการรำพึงรำพันคร่ำครวญราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นผู้กำหนดให้บางคนเกิดมาสูงส่งกว่าบางคน หรือทำให้บางคนไร้เกียรติยากไร้และบางคนก็มีเกียรติ จะแก้ไขปัญหาใดๆได้ไม่
แต่มนุษยชาติควรที่จะลุกขึ้นเพื่อต่อต้านสภาพความไม่สมดุลและระบบอันผิดพลาดที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบันให้สูญสิ้นไปโดยการต่อสู้กับความยากจนขัดสนและคืนสิทธิอันพึงมีแก่ผู้ยากไร้เพื่อให้สภาพดังกล่าวเกิดขึ้น

หากทั้งหมดได้รับเครื่องอุปโภคบริโภคที่ถูกต้องสมบูรณ์และได้เน้นการรักษาเยียวยาอย่างทันท่วงทีทุกคนก็จะมีภูมิคุ้มกันจากโรคติดต่อที่ร้ายแรงอย่างเท่าเทียมกัน แต่สภาพอันผิดพลาดของระบบในสังคมซึ่งเกิดมาจากการเอารัดเอาเปรียบยังคงครอบงำอยู่เช่นกลุ่มหนึ่งพร้อมสรรพไปด้วยเครื่องมือและยารักษาโรคอันทันสมัยและแม้แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงของพวกเขาก็ยังมีพร้อม ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจะหาแม้เพียงเครื่องใช้จำเป็นต่างๆสำหรับทารกน้อยที่เพิ่งคลอดมาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวก็ยังไม่มีความสามารถ

ตราบใดที่ภาพต่างๆเหล่านี้ยังคงหาดูได้อยู่ทั่วไป
เราก็ควรจะตอกย้ำการดำเนินชีวิตของตนเองเสียจะดีกว่าแทนที่จะอาจหาญไปตำหนิการงานของพระองค์ เราจะต้องบอกกับผู้กดขี่ให้ยุติกันห้ำหั่นและผลักดันผู้อยู่ภายใต้การกดขี่ให้ลุกขึ้นยืนหยัดพร้อมกับพยายามรณรงค์ให้สังคมมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ในด้านสุขภาพพลานามัย การรักษาเครื่องอุปโภคบริโภคที่อยู่อาศัยการศึกษาและการอบรมสั่งสอนเยาวชนในสังคมให้ทุกคนได้มีโอกาสใช้ประโยชน์ร่วมกัน

สรุป มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะโยนความผิดพลาดของตนเองให้กับระบบในการสร้างของพระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงมอบชีวิตการเป็นอยู่อันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวให้มนุษย์หรือพระองค์ทรงสนับสนุนหรือสั่งสอนให้มนุษย์ดำเนินชีวิตที่ผิดพลาดหรือ แน่แท้ไม่เป็นเช่นนั้นพระองค์ทรงสร้างเรามาในลักษณะอันอิสระเสรีและด้วยเสรีภาพอันนี้มนุษย์จะสามารถไต่เต้าไปสู่จุดสมบูรณ์แบบได้ ทว่ามนุษย์เองต่างหากที่ใช้ความอิสระเสรีไปในทางที่ไม่ถูกต้องและกลับกดขี่ข่มเหงกันเอง ผลกระทบจากการกระทำของพวกเขาจึงกลายเป็นความสั่นคลอนในสังคมดั่งที่เห็น

อัลกุรอานอันประเสริฐยิ่งได้รวมความหมายของความยุติธรรมไว้ในประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียวจากซูเราะฮ์ยูนุส โองการที่ 44 ว่า

"แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงอธรรมแก่มวลมนุษย์สักประการเดียวก็ตาม แต่ทว่ามนุษย์เองต่างหากที่อธรรมแก่ตัวพวกเขาเอง"

ประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากปรัชญาต่างๆของมรสุมชีวิต เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าในการเกิดขึ้นมาของเรื่องราวต่างๆล้วนมีเหตุที่มาทั้งสิ้น หาได้เป็นโชคชะตาที่พระองค์ทรงลิขิตมาให้เป็นเช่นนั้นโดยไร้เหตุผลใดๆไม่

--> 50 บทเรียนหลักศรัทธา

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม