บทเรียนและอุทาหรณ์แห่งอาชูรอ ตอนที่ 3 หัวข้อ ซุนนะฮ์และบิดอะฮ์ ค่านิยมที่แท้จริงกับค่านิยมจอมปลอม

บทเรียนและอุทาหรณ์แห่งอาชูรอ ตอนที่ 3 หัวข้อ ซุนนะฮ์และบิดอะฮ์ ค่านิยมที่แท้จริงกับค่านิยมจอมปลอม
 
      หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญในการลุกขึ้นต่อสู้ของอิมามฮุเซน  คือความต้องการที่จะเชิญชวนผู้คนไปสู่แนวทางที่แท้จริงของอัลกุรอานและแนวทางตามแบบฉบับของท่านศาสดา  เพราะเนื่องด้วยสภาพทางสังคมอิสลามในขณะนั้นมีสิ่งปลอมปนเกิดขึ้นมากมายจนทำให้แก่นแท้ของศาสนาถูกลดทอนคุณค่าลงอย่างมาก  อิมามฮุเซนได้ทำการส่งสาส์นไปยังผู้ศรัทธาชาวเมืองบัศเราะฮ์ เพื่ออธิบายถึงสถานภาพ , จุดยืนและเป้าหมายของท่าน รวมไปถึงสิ่งที่ท่านปรารถนาที่จะทำ  เพื่ออธิบายถึงเหตุผลในการเชิญชวน ส่วนหนึ่งในสาส์นนั้นได้เขียนระบุไว้ว่า " ฉันขอเรียกร้องเชิญชวนพวกท่านไปสู่คัมภีร์ของอัลลอฮ์และแบบฉบับของท่านศาสนทูตแห่งพระองค์ แท้จริงแล้วซุนนะฮ์ได้ตายลง ส่วนบิดอะฮ์กลับถูกฟื้นฟูให้มันมีชีวิตชีวา หากพวกท่านได้ฟังคำกล่าวของฉันและเชื่อฟังฉัน ฉันก็จะชี้นำพวกท่านไปสู่ความผาสุกที่แท้จริง "  

    และหากเราจะพึงสังเกตจากในสาส์นที่อิมามส่งออกไปนั้นมีหลักใหญ่ใจความ สองคำที่ปรากฏอยู่ก็คือคำว่า"ซุนนะฮ์"กับคำว่า"บิดอะฮ์" ที่เราจะต้องทำความเข้าใจถึงความหมายในสิ่งที่อิมามต้องการจะสื่อไปยังประชาชาติอิสลามของท่าน  โดยความหมายของซุนนะฮ์ก็คือแบบฉบับของอิสลามที่ได้มาจากท่านศาสดามุฮัมมัด  เป็นการยึดแบบอย่างคำสอนที่มาจากวาจา , การกระทำรวมไปถึงการนิ่งเฉยเมื่อเห็นการกระทำใดได้เกิดขึ้นต่อหน้าโดยมิได้ทักท้วง  หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหลักคำสอนทางศาสนาที่มาจากท่านศาสดาโดยตรง ซึ่งก็คือค่านิยมที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม

    ส่วนบิดอะฮ์ คือสิ่งที่ไม่ได้มีในศาสนาแต่ถูกนำเข้ามาในศาสนา เป็นสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักการปฏิบัติหรือหลักความคิด  ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวกว่าการเพิ่มเติมในพิธีกรรมหรือหลักปฏิบัติต่างๆ  คือความคิดที่ซ่อนอยู่ข้างหลังมัน  ซึ่งผลลัพธ์ของบิดอะฮ์ที่เกิดขึ้นคือการกัดกร่อนเนื้อหาที่แท้จริงของศาสนา   มีการเพิ่มเติมเสริมต่อในหลายๆส่วนจนทำให้เกิดสิ่งที่งอกเงยขึ้นมาที่มิใช่คำสอนที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม  แต่เป็นกระพี้ที่คอยกัดเซาะทำลายแก่นแท้ของศาสนา  หากเราไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของศาสนาและปฏิบัติตามอย่างไม่ได้ตรึกตรองโดยเข้าใจว่านั่นคือหลักคำสอนของศาสนาแล้ว   สิ่งที่น่าหวั่นวิตกมิใช่แค่การเพิ่มเติมสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในศาสนาผ่านวิถีปฏิบัติแต่เพียงเท่านั้น   หากแต่การรับเอาระบบความคิดและความเชื่อที่แปลกปลอมเข้ามาสู่ศาสนา จะส่งผลต่อระบบความคิดและกระบวนทัศน์จนนำไปสู่การรับเอาเพียงเปลือกเพียงกระพี้เป็นหลัก จนศาสนาที่แท้จริงถูกปิดทับ ซึ่งการกระทำและระบบความคิดเช่นนี้คือการทำลายศาสนาจากด้านใน  ซึ่งประเด็นนี้ต้องทำความเข้าใจด้วยว่าสิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้นย่อมมีผลกระทบต่อความคิดและความเข้าใจในแก่นแท้ของศาสนา

   ภายหลังจากที่ท่านศาสดาเสียชีวิตลงสังคมอิสลามก็กลับเข้าสู่ความงมงาย ค่านิยมหลักของอิสลามได้ตายลงและถูกแทนที่ด้วยค่านิยมใหม่ มีการปลูกฝังค่านิยมทางวัตถุมากกว่าคุณค่าที่แท้จริง เกียรติยศที่แท้จริงกลับถูกแทนที่ด้วยคุณค่าทางทรัพย์สินเงินทอง เผ่าพันธุ์ ชาตินิยม สถานะและช่วงชั้นทางสังคม ซึ่งต่างจากในยุคของท่านศาสดาที่ไม่ว่าจะมีชาติพันธุ์ สีผิว เพศหรืออยู่ในช่วงชั้นใดของสังคม สถานภาพทางจิตวิญญาณของทุกคนมีเท่าเทียมกัน ความมีเกียรติและการถูกยอมรับจากคนในสังคมจะใช้ความมีตักวาเป็นมาตรวัด "แท้จริงผู้ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่ของสูเจ้าณ.อัลลอฮ์ก็คือผู้ที่มีตักวามากที่สุด"(อัลหุญุรอต/13)
(ซึ่งตักวาหมายถึงความยำเกรง,ความสำรวมตนและความระมัดระวังตนจากการทำบาป)  แต่ก็ด้วย
เหตุที่เกิดบิดอะอ์ขึ้นในสังคมจนเข้ามาทำลายเนื้อหาและค่านิยมที่แท้จริงภายในคำสอนของศาสนา คุณค่าของตักวาถูกแทนที่ด้วยค่านิยมใหม่ ผู้ใดมีสถานภาพทางสังคมสูงส่งมากกว่า มีทรัพย์สินเงินทองมากกว่าก็จะได้รับการยอมรับจากคนในสังคมมากกว่า หรือหากผู้ใดมีชาติพันธุ์เดียวกันกับผู้ที่มีอำนาจก็จะได้รับสิทธิในสังคมที่มากกว่าผู้อื่น  ผู้เป็นอาหรับมีความสูงส่งกว่าผู้ที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ แม้แต่ในหมู่ของชาวอาหรับเองชาวกุเรชมีความสูงส่งมากกว่าอาหรับเผ่าอื่นๆ ซึ่งค่านิยมเหล่านี้ก็ยังคงดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน  ซึ่งเป็นค่านิยมที่ขัดแย้งกับคำสอนของท่านศาสดาที่ได้เคยกล่าวไว้ว่า "ถ้าหากว่าในหัวใจของใครมีความเป็นเผ่าพันธ์นิยมเพียงขนาดแค่เมล็ดพันธ์พืชเล็กๆ ในวันกิยามะฮ์พระองค์จะให้เขาฟื้นขึ้นมาอยู่ร่วมกับพวกอาหรับญาฮิลียะฮ์ (งมงายและดื้อดึง)

       นอกจากนี้ตัวอย่างของบิดอะฮ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในยุคสมัยของท่านอิมามฮุเซนก็คือการที่ผู้ปกครองอาณาจักรอิสลามที่อยู่ในฐานะคอลีฟะฮ์(ตัวแทนของท่านศาสดา)ได้กระทำชั่วอย่างเปิดเผย ทำสิ่งที่ขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาอย่างไร้ความละอาย  โดยเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์และดื่มสุราอย่างเปิดเผย

นอกจากนั้นยังได้เปลี่ยนระบบการสืบทอดตำแหน่งคอลีฟะฮ์เป็นการสืบทอดแบบราชาธิปไตย

      ทุกๆบริบทที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของอิมามฮุเซน จนถึงวันอาชูรอ ล้วนมีบทเรียนและอุทาหรณ์ให้เราได้เรียนรู้และนำมาปรับใช้ในช่วงชีวิตของเราได้ในทุกแง่มุม  อิมามคือผู้ที่เจริญรอยตามแนวทางของท่านศาสดาอย่างชัดแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการปรารถนาที่จะฟื้นฟูประชาชาติอิสลามเมื่อเกิดบิดอะฮ์ขึ้นในสังคม  ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับทุกชาติพันธุ์อย่างเท่าเทียมกันจากการที่ประคองร่างให้"ญูน"ทาสผิวดำนอนหนุนตักของท่านก่อนที่จะเสียชีวิตในสมรภูมิกัรบาลาเหมือนกับที่ให้บุตรชายของท่าน"อะลีอักบัร"นอนหนุนตัก

    เราในฐานะผู้ศรัทธาต้องเข้าใจความหมาย ต้องเรียนรู้จากคำสอนทางศาสนา  เพื่อเพิ่มพูนความรู้และสามารถแยกแยะสิ่งแปลกปลอมออกจากแก่นแท้ของศาสนาได้ในเบื้องต้น และไม่รับเอาสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในศาสนา  ในฐานะผู้รู้ทางศาสนาท่านศาสดาได้มอบหมายหน้าที่ไว้ว่า "เมื่อใดก็ตามที่มีบิดอะฮ์
ปรากฏขึ้นในหมู่ประชาชาติของฉัน จำเป็นสำหรับผู้รู้ที่ต้องแสดงออกด้วยความรู้ของเขา(หมายถึงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสังคม) หากเขาไม่ได้ทำอัลลอฮ์จะสาปแช่งเขา"  แต่ก็มีหลายกรณีในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็มีผู้รู้ที่ฉกฉวยและใช้ประโยชน์จากบิดอะฮ์ในการทำลายผู้อื่น หรือเป็นผู้ที่สร้างบิดอะฮ์ให้เกิดขึ้นในสังคมเสียเอง โดยนำสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในระบบความคิดเพื่อใช้เป็นอาวุธในการทำลายล้างผู้อื่นให้พ้นไปจากทางของเขา ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเข้าใจศาสนา ต้องรู้จักหลักคําสอนของศาสนา และเมื่อถึงเวลาที่เราต้องเผชิญหน้าระหว่างซุนนะฮ์กับบิดอะฮ์ เราจะได้ตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล  เราต้องเลือกซุนนะฮ์และละทิ้งบิดอะฮ์ พร้อมทั้งแสดงออกในการต่อต้านมัน ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ต้องร่วมกันขจัดสิ่งปลอมปนชั่วร้ายที่แฝงตัวอยู่ในศาสนา

     บิดอะฮ์เปรียบเสมือนปลวกที่คอยกัดกร่อนทำลายโครงสร้างของบ้าน แม้จะมิได้ทำลายให้พังพินาศไปเลยในครั้งเดียว แต่บิดอะฮ์ค่อยๆแฝงตัวเข้ามาทำลายแบบเงียบๆโดยที่เราไม่รู้ตัว  หากเราไม่ระมัดระวังหรือรู้ไม่เท่าทันบ้านของเราก็จะพังทลายลง  ศาสนาเองก็เช่นกันหากเราปล่อยให้มีสิ่งปลอมปนเข้ามาเรื่อยๆจนลดทอนคุณค่าที่แท้จริงของเนื้อหาและแก่นแท้ของคำสอน ศาสนาก็จะถูกทำลายลงในที่สุด
ดังนั้นการต่อต้านบิดอะฮ์จึงเป็นภารกิจที่สำคัญและเร่งด่วนสำหรับท่านอิมามฮุเซน และเป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยที่ท่านได้ลุกขึ้นปกป้องอิสลาม...

   
มัจลิสค่ำคืนที่ 3 มุฮัรรอม ปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 1443
ฮูซัยนียะฮ์ซัยยิดุชชุฮะดาอ์

 บรรยายโดย เชคกอซิม อัสการี