เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

บทเรียนและอุทาหรณ์แห่งอาชูรอ ตอนที่ 7 หัวข้อ อิมามฮุเซนประทีปแห่งทางนำและนาวาที่ให้ความรอดพ้น

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

บทเรียนและอุทาหรณ์แห่งอาชูรอ ตอนที่ 7 หัวข้อ อิมามฮุเซนประทีปแห่งทางนำและนาวาที่ให้ความรอดพ้น

 

  "แท้จริงฮุเซนคือประทีปแห่งทางนำ และเป็นนาวาที่ให้ความรอดปลอดภัย"คำกล่าวนี้เป็นหะดีษของท่านศาสดาที่กล่าวถึงอิมามฮุเซน ที่เราได้ยินได้ฟังกันในทุกๆปี ในช่วงเดือนมุฮัรรอม เป็นหะดีษที่ให้คำจำกัดความ ให้ความหมาย หรือเป็นนิยามที่กล่าวถึงอิมามฮุเซนอย่างครอบคลุมและสมบูรณ์ที่สุด การทำความเข้าใจในความหมายที่แท้จริงจากหะดีษของท่านศาสดาที่ต้องการจะสื่อไปยังประชาชาติของท่าน จะทำให้เราเข้าใจหลักคำสอน เข้าใจแนวทางของศาสนาอิสลามมากขึ้น ในหะดีษมีคำที่มีความหมายที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะของอิมามฮุเซน เป็นคำที่ให้ความหมายสื่อถึงสถานภาพอันสูงส่งของท่าน

    คำว่า "มิสบาห์"ที่ปรากฎอยู่ในบทหะดีษ มีความหมายเปรียบดั่งประทีปหรือตะเกียง เนื่องจากตะเกียงมีคุณลักษณะที่ให้ความสว่างไสวทั้งตัวมันเองและสิ่งรอบข้าง   มิสบาฮ์ที่ท่านศาสดาให้ความหมายถึงอิมามฮุเซน ก็คือ"นูร์" เป็นแสงสว่างที่อัลลอฮ์ได้มอบให้มา ท่านอิมามคือแสงสว่างที่มาจากพระองค์ เพราะพระองค์คือรัศมีแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน  ซึ่งคุณประโยชน์ของแสงสว่างถ้าจะเข้าใจให้ได้อย่างถ่องแท้ก็ตรงดูที่ความหมายที่ตรงกันข้ามกับมันด้วยซึ่งก็คือความมืดมิด ความมืดมนและความมืดบอด แสงสว่างโดยทั่วไปให้ประโยชน์ในยามค่ำคืน หากแต่แสงสว่างที่ถูกกล่าวถึงในบทหะดีษนั้นเป็นแสงสว่างที่มิได้ให้ประโยชน์เพียงแค่ในยามค่ำคืนหรือในยามที่มืดมนเท่านั้น หากแต่ยังให้ประโยชน์แม้อยู่ในเวลากลางวันเป็นแสงสว่างที่ให้ชีวิตกับทุกสรรพสิ่ง ให้การเจริญเติบโต เป็นแสงสว่างแห่งความหวังและกำลังใจ

ในหะดีษนี้ได้ให้นิยามอิมามฮุเซนว่าเป็น"แสงสว่างแห่งทางนำ" ซึ่งขยายความให้เห็นถึงความเป็นฮิดายะฮ์(ทางนำ)ที่มีอยู่ในตัวของท่านอิมามฮุเซน ซึ่งคำที่ตรงข้ามกับฮิดายะฮ์ก็คือคำว่า"ฎอลาละฮ์"หมายถึงความหลงผิดหรือการหลงทาง ฉะนั้นท่านอิมามฮุเซนจึงเป็นแสงสว่างที่ชี้นำผู้คนในยามที่มืดมิดและเป็นทางนำที่พาผู้คนออกจากความหลงผิด ในซูเราะฮ์ฟาติหะฮ์ที่เราอ่านทุกๆวันในนมาซเป็นสิ่งที่เราขอทางนำจากพระองค์และขอให้เราอย่าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงโกรธกริ้วและหลงผิด ซึ่งถ้านำหะดีษนี้มาประกบก็เห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า อิมามฮุเซน
เป็นทางนำที่จะพามนุษย์ออกจากความหลงผิดทั้งหมดนี้เป็นการตอกย้ำให้เหล่าบรรดาผู้ศรัทธาทุกคนให้ความสำคัญกับทางนำที่แท้จริง ไม่ให้เราหลงผิด หลงทาง จมอยู่ในความมืดมิดและตกอยู่ในความโง่เขลา

ในบทหะดีษนี้ยังกล่าวต่ออีกว่า " เป็นนาวาแห่งความรอดพ้น" นาวาที่ถูกกล่าวถึงคือเรือที่ลอยลำอยู่บนท้องทะเล  คอยช่วยเหลือผู้ที่กำลังลอยคออยู่ท่ามกลางท้องทะเล และนำพาพวกเขาเหล่านั้นนำไปยังฝั่ง ยังแผ่นดินที่มีความมั่นคง ฉะนั้นสถานภาพของอิมามในความหมายตามบทหะดีษของท่านศาสดา  จึงเป็นทั้งแสงสว่างที่คอยนำทาง และเป็นดังเรือที่นำพาผู้คนไปสู่จุดหมายอันแท้จริงอีกด้วย หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเรือที่ให้ความรอดปลอดภัย ซึ่งถ้าใครไม่ได้ขึ้นสู่เรือลำนั้นก็จะประสบกับความหายนะ        

    เมื่อศาสนาอิสลามเน้นให้ใช้ปัญญา เน้นในเรื่องของมิติทางความคิด เน้นให้มีความศรัทธาแบบเข้าใจ มิใช่ศรัทธาแบบงมงาย เพราะในสังคมศาสนาอิสลามถูกอธิบายขยายความไปในทิศทางต่างๆที่แตกต่างกัน  เราต่างก็เชื่อว่าเรามีความศรัทธาในศาสนา  แต่อาจชอบและถูกใจในวิถีทางของศาสนาในรูปแบบที่ต่างกัน  เช่น เน้นหนักในเรื่องพิธีกรรม  เน้นหนักในภาคปฏิบัติ เน้นในเรื่องของการใช้หลักปัญญา แต่ต้องอย่าลืมว่าศาสนามิได้อยู่บนบรรทัดฐานความพึงพอใจของเรา  หากแต่อยู่บนบรรทัดฐานที่ศาสนาได้กำหนดไว้แล้วและบรรทัดฐานนั้นก็มาจากการเดินตามแนวทางที่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้ให้ไว้  และมาจากคำสอนและจริยวัตรของท่านศาสดากับบรรดาอะลุลบัยต์

   
     เช่นอุดมการณ์ของอิมามฮุเซนในสมรภูมิกัรบาลา ที่ท่านได้อุทิศเลือดของท่านในหนทางของอัลลอฮ์ เพื่อที่จะให้ปวงบ่าวของพระองค์รอดพ้นจากความโง่เขลาและหลุดพ้นจากความสับสนในความมืดมิดที่จะพาไปสู่ความหลงผิด ดั่งเช่นในบทหะดีษได้กล่าวไว้ว่า อิมามคือนาวาแห่งความรอดพ้น   อะฮ์ลุลบัยต์เปรียบดังเรือของโนอาห์  ใครที่สามารถขึ้นไปได้ก็จะรอดปลอดภัย  ใครที่ไม่ยอมขึ้นเรือก็จะจมน้ำ สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากคำสอนของท่านศาสดาจากบทหะดีษนี้ คือท่านศาสดาได้ให้คำจำกัดความ ให้คำนิยามของอิมามฮุเซน เพื่อให้เหล่าบรรดาผู้ศรัทธาได้เข้าใจถึงรายละเอียด ได้รู้แจ้งถึงสถานะที่แท้จริง  เป็นการยืนยันว่าให้เหล่าบรรดาผู้ศรัทธายึดมั่นในทางนำนี้ เพื่อให้หลุดพ้นจากอิสลามที่มีแต่เปลือก อิสลามที่ไม่ใช่แก่นแท้ อิสลามที่เต็มไปด้วยบิดอะอ์ และอิสลามที่ผสมผสานกับบาติลและความมืดมิด

ผู้คนทั้งหลายต่างก็บอกว่า เราต่างคือผู้ศรัทธาในศาสนา  เราต่างก็คือคนที่รักในบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์  แต่หากเรามิได้ประพฤติและปฏิบัติตนตามแบบอย่างของคนที่เรารัก  เรายังชื่นชอบในเรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นนอกเหนือจากคำสอนในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน  และยังชื่นชอบในการปฏิบัติที่มิได้มีผลในพัฒนาตัวเราให้ใกล้เคียงกับคนที่เรารักและศรัทธา  เราคงต้องย้อนกลับมาทบทวนและสำรวจตัวเองว่า  เรารักและศรัทธาด้วยความเข้าใจศาสนาอย่างแท้จริง  หรือสิ่งนั้นเป็นเพียงแค่ความรักที่มีผลมาจากความเคยชินที่ถูกหล่อหลอมให้มีความผูกพันเท่านั้น?  

มัจลิสค่ำคืนที่7 มุฮัรรอม ปีฮ.ศ.1443
ฮูซัยนียะฮ์ซัยยิดุชชุฮะดาอ์

บรรยายโดย เชคกอซิม อัสการี

 

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม