เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

อิบาดะฮ์ หมายถึงอะไร?

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

อิบาดะฮ์ หมายถึงอะไร?

 

อิบาดะฮ์ คือ เป้าหมายในการสร้างมนุษย์

อัล-กุรอานกล่าวว่า

“ข้ามิได้สร้างมนุษย์และญินขึ้นมาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อให้พวกเขาทำการอิบาดะฮ์ต่อข้า” (อัซ-ซาริยาต : ๕๖)

 

ภารกิจต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ปฏิบัติเป็นประจำ ถ้ามีเจตนาเพื่อมุ่งหวังความโปรดปรานจากพระผู้เป็นเจ้าถือว่า เป็นอิบาดะฮฺไม่ว่าภารกิจนั้นจะเป็น การทำมาหากิน การศึกษาหาความรู้ การสมรส การรับใช้สังคมและการประกอบอาชีพส่วนตัว ดังนั้น การงานใดก็ตามที่มีแนวทางความคิด เพื่อพระผู้เป็นเจ้า ดังที่อัล-กุรอานกล่าวว่า “การย้อมด้วยสีสันของอัลลอฮฺ” ถือว่าเป็นอิบาดะฮฺทั้งสิ้น

ในบางครั้งภารกิจของคนเราได้กระทำไปเพราะความเคยชิน หรือไม่ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ภารกิจที่เป็นความเคยชินบางที่ก็มีค่าอย่างเช่น การออกกำลังกาย แต่บางทีก็ไม่มีค่า เช่น การสูบบุหรี่ เป็นต้น แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นธรรมชาติ หมายถึง บนพื้นฐานธรรมชาติดั่งเดิมที่พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์ทุกคนสิ่งนั้นย่อมมีค่าเสมอ

ความเป็นพิเศษของธรรมชาติที่เหนือความเคยชิน คือ เวลา สถานที่ เพศ วัยและเชื้อชาติ และธรรมชาติบางอย่างมนุษย์ทุกคนสามารถครอบครองมันได้ บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์อย่างเช่น ความรักที่มีต่อครอบครัว บุตรและธิดา ซึ่งความรักประเภทนี้ไม่ขึ้นกับเวลาหรือสายตระกูลที่เฉพาะเจาะจง เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมรักในสายเลือดของตน ๑* แต่ความรักที่มีต่อสิ่งอื่นเช่น เสื้อผ้าและอาหาร ถือว่าเป็นความเคยชินและมีความแตกต่างกันทั้งสถานที่และเวลา ซึ่งในบางพื้นที่อาจมีบางสิ่งบางอย่างเป็นประเพณีประจำท้องถิ่น แต่สิ่งเดียวกันนี้เมื่ออยู่ที่อื่นไม่ถือว่าเป็นประเพณี

อิบาดะฮฺและการเคารพภักดีเช่นกันถือว่าเป็นธรรมชาติดั่งเดิมของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าอิบาดะฮฺนั้นเป็นของเก่าแก่ที่สุด สวยที่งามที่สุดและเป็นโค่งร่างที่แข็งแรงที่สุดบนร่างกายมนุษย์ เมื่อเทียบกับสถานที่ประกอบอิบาดะฮฺ มัสญิดต่าง ๆ โบสถ์และวัด

แน่นอนรูปแบบของการแสดงความเคารพภักดี ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่มนุษย์ทำการเคารพสักการะ ซึ่งอาจเป็น ก้อนหิน ดวงอาทิตย์ เทวรูปต่าง จนถึงพระผู้เป็นเจ้าผู้มีความเกรียงไกร และอีกประหนึ่ง คือ วิธีการแสดงการเคารพสักการะ ซึ่งมีทั้งการเต้นรำ การบูชยันต์ จนถึงคำพรรณนาที่ลึกซึ้งดื่มด่ำในวิญญาณของหมู่บรรดาเอาลิยาอฺผู้เป็นมวลมิตรแห่งผู้พระผู้เป็นเจ้า

เป้าหมายของบรรดาศาสดา (อ.) มิใช่สร้างวิญญาณแห่งการเคารพภักดีให้กับมนุษย์ แต่ท่านมาเพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลง สิ่งที่มนุษย์ต้องเคารพสักการะ และรูปแบบของมัน

งบประมาณจำนวนมากมายที่มนุษย์ได้ทุ่มเทให้กับการสร้างและตบแต่งโบสถ์ วัดวาอาราม หรือ มัสญิด ให้ความสำคัญต่อธงประจำชาติ,มาตุภูมิ ทำการสรรเสริญต่อ ความสำเร็จสมบูรณ์ของบุคคลหรือสรรพสิ่ง ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นภาพปรากฏและความชัดเจนในการแสดงความเคารพภักดีของจิตวิญญาณที่มีอยู่ในตัวษย์

บรรดาพวกที่ไม่เคารพสักการะต่อพระผู้เป็นเจ้าบางครั้งอาจจะบูชาเงินตรา ตำแหน่ง ภรรยา บุตรธิดา หลักฐานสำคัญทางการศึกษา ศาสนา และรวมไปถึงแนวทางและวิถีการส่วนตัว พวกเขาจะทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง ความสามารถที่มีอยู่ในตัวจนกระทั่งชีวิตจะหาไม่ หรือในบางครั้งพวกเขาจะเสียสละชีวิตเพื่อเทพเจ้าของตน สรุปก็คือ จิตวิญญาณในการเคารพภักดี ถือเป็นรากเหง้าของธรรมชาติที่ลุ่มลึกอยู่ในตัวมนุษย์จะหลงลืมมันก็ตาม ดุจดังเช่นอารมณ์ความรู้สึกของทารกที่มีต่อมารดา แม้ว่าเด็กน้อยจะไม่รู้ว่าความเร้นลับของความรู้สึกนั้นคืออะไรแต่มันก็แฝงอยู่ในตัวเขาตลอดมา

อัลลอฮฺ (ซบ.) ผู้ทรงปรีชาญาณได้มอบอารมณ์ความรู้สึกให้กับมนุษย์พร้อมทั้งได้สร้างสื่อภายนอกเพื่อให้มนุษย์มีความรู้สึกพึงพอใจกับมัน ฉะนั้นคราใดที่เขารู้สึกกระหายพระองค์ได้สร้างน้ำ เมื่อเขารู้สึกหิวพระองค์ได้ร้างอาหาร และเมื่อเขามีความรู้สึกทางเพศ พระองค์ได้สร้างภรรยาแก่เขา และเมื่อพระองค์ให้พลังในการสูดดมกับเขา พระองค์ก็สร้างสิ่งที่เขาจะสูดดมขึ้นมาด้วย

และหนึ่งในความรู้สึกที่ลุ่มลึกในตัวมนุษย์ อันเป็นความรู้สึกที่ไม่มีขอบเขต คือความรักที่มีต่อความสัมบูรณ์ การดำรงอยู่ และความสัมพันธ์ที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า การเคารพสักการะต่อพระองค์คือ สิ่งที่จะทำให้ความรู้สึกทางธรรมชาติของมนุษย์สมบูรณ์ นมาซและอิบาดะฮฺอื่น ๆ คือสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้าเป็นการแสดงความคุ้นเคยกับความรักที่แท้จริง และเป็นการพึ่งพิงไปยังพระผู้ทรงอำนาจที่ไร้ขอบเขต

 ถ้าความรักที่มีต่อครอบครัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ทำไม่อาหรับสมัยก่อนประกาศอิสลามจึงฆ่าบุตรีของตนและฝังทั้งเป็น

เพราะธรรมชาตินั้นมีหลายประเภท ดังเช่น เราถือว่าความรักต่อครอบครัวเป็นธรรมชาติ ความรักต่อหน้า ความอับอายก็เป็นธรรมชาติด้วยเช่นกัน ซึ่งอาหรับในยุคทมิฬถือว่าบุตรี คือ ตัวการีย์ที่พาความอับโชคมาสู่และสร้างความอับอายในหมู่สังคม ถูกจับเป็นเชลยเมื่อพ่ายแพ้สงคราม ไม่สามารถหารายได้หรือช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจได้ ด้วยเหตุนี้เพื่อเป็นการรักษาหน้าตาของตน พวกเขาจึงแสดงความเกลียดชังบุตรีและฆ่าพวกเธอ ฉะนั้น ความที่มีต่อชีวิตหรือมีต่อทรัพย์สินจึงเป็นสองธรรมชาติที่รวมอยู่ในตัวมนุษย์ ซึ่งในบางครั้งบางคนอาจจะนำเอาทรัพย์สินพลีเพื่อชีวิต หรือบางอาจเอาชีวิตพลีเพื่อทรัพย์สิน ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า การฆ่าบุตรีของชาวอาหรับเพื่อรักษาหน้าตาของตนจากความอับอาย จึงไม่ขัดแย้งกับธรรมชาติของมนุษย์

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม