ความเหมือนของอิมามมะฮดีย์กับซุลก็อรนัยน์ในยุคอดีต

ความเหมือนของอิมามมะฮดีย์กับซุลก็อรนัยน์ในยุคอดีต

ความคล้ายคลึงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างอิมามมะฮดีย์ อ.กับซุลก็อรนัยน์ #ความเหมือนประการที่หนึ่ง :ซุลก็อรนัยน์ในยุคที่ท่านปกครองนั้นท่านจะปกครองไปทั่วทุกมุมแห่งของอณาจักรซึ่งกุรอานในซูเราะฮกะฮฟอายะฮที่ 84 ยืนยันเรื่องนี้ว่า: إِنَّا مَكَّنَّا لَهُ فِي الْأَرْضِ وَآَتَيْنَاهُ مِنْ كُلِّ شَيْءٍ سَبَبًا "แท้จริงเราได้ให้อำนาจแก่เขาในแผ่นดิน และเราให้เขาทุกสิ่งที่เขาต้องการ" ในส่วนของท่านอิมามมะฮดีย์ อ.ก็ได้มีริวายัตมากมายซึ่งท่านมีส่วนคล้ายคลึงกับซุลก็อรนัยน์ เช่นริวายัตที่บ่งถึงท่านอิมามคือผู้มีอำนาจปกครองเหนือทุกแผ่นดินที่ว่า: فروي أن جميع ملوك الدنيا كلها أربعة : مؤمنان وكافران ، فالمؤمنان سليمان بن داود وإسكندر (ذي القرنين) ، والكافران نمروذ وبختنصر ، وسيملكها من هذه الأمة خامس لقوله تعالى : " ليظهره على الدين كله " [ التوبة : 33 ] وهو المهدي "ผู้มีอำนาจการปกครองเหนือทุกแผ่นดิน(ในยุคก่อน)มีด้วยกันสี่ท่าน สองท่านคือผู้มีอิหม่านและส่วนอีกสองท่านเป็นผู้ปฏิเสธ สองท่านที่เป็นผู้มีอีหม่านคือ สุไลมาน บินดาวูด และอิสกันดัร(ซุลก็อรนัยน์)ส่วนสองท่านที่เป็นผู้ปฏิเสธนั่นคือ นัมรูด และบัคตันซาร ส่วนในยุคสุดท้ายนั้นจะมีบุคคลที่ห้าซึ่งเขาที่จะมีอำนาจปกครองเหนือแผ่นดินทั้งหลาย เพราะพระองค์ได้ยืนยันถึงเขาผู้นั้นว่า: "เพื่อที่จะทรงให้ศาสนาแห่งสัจจะนั้นประจักษ์ เหนือศาสนาทุกศาสนา" และผู้ที่จะทำให้สิ่งนั้นประจักษ์เหนือทุกศาสนานั้น นั้นคือ อิมามมะฮดีย์ นั่นเอง" ตัฟซีรคุรฏุบีย์ เล่ม 11 หน้า 47 ซะคอซีย์ อุลมาชาวสุนนะฮ ท่านได้บันถึกเรื่องราวของท่านอิมามมะฮดีย์ไว้ในตำราของท่านว่า: إني لأجد المهدي مكتوبا في أسفار الأنبياء ما في حكمه ظلم ولا عيب . يملك الدنيا كما ملك ذو القرنين ، وسليمان بن داود عليهما السلام . . "ฉันได้เห็นแล้วว่าอิมามมะฮดีย์ชื่อของท่านนั้นได้ถูกกล่าวเอาไว้ในคำภีร์ต่างๆของบรรดาบนีคนก่อนๆ การมาปกครองของท่านจะมีแต่ความเป็นธรรมไม่มีการกดขี่หรือตำนิใดๆ เขาคือผู้มีอำนาจบนแผ่นดินนี้เสมือนที่ซุลก็อรนัยน์และสุไลมาน บินดาวูดเป็นผู้มีอำนาจปกครองมาก่อน" #ความเหมือนประการที่สอง: ซุลก็อรนัยน์ในยุคการปกครองของท่านไม่มีแผ่นดินใดที่ท่านมิได้ผ่านในเส้นทางนั้น มาในยุคของท่านอิมามมะฮดีย์ช่วงการปกครองของท่านก็เช่นเดียวกันไม่มีแผ่นดินใดที่ท่านไม่เคยผ่าน เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากคำยืนยันของท่านอมี รุลมุฮมินีน ท่านกล่าวว่า: عن أمير المؤمنين علي بن أبي طالب ( عليه السلام ) في قصة المهدي قال : ويتوجه إلى الآفاق فلا تبقى مدينة وطأها ذو القرنين إلا دخلها وأصلحها "อัลมะฮดีย์ เขาจะผ่านไปทุกทิศ ไม่มีเมืองใดบนพื้นแผ่นดินนี้ที่ซุลก็อรนัยน์ได้ผ่านซึ่งอิมามมะฮดีย์ไม่ได้ผ่านเมืองนั้นและเขาจะปรับปรุงและแก้ใขความอธรรมให้หายไป" อัลซามูล นาศิบ เล่ม 2 หน้า 261 #ความเหมือนประการที่สาม: ซุลก็อรนัยน์ในช่วงแรกเขาได้เร้นกายระยะยาวต่อมาเขาได้ปรากฏตัวอีกครั้งท่ามกลางฝูงชน ในขณะที่อิมามมะฮดีย์ก็เป็นเช่นนั้น ซึ่งบทหนึ่งจากริวายัตได้กล่าวว่า: يا أحمد بن إسحاق مثله في هذه الأمة مثل الخضر عليه السلام ، ومثله مثل ذي القرنين ، والله ليغيبن غيبة لا ينجو فيها من الهلكة إلا من ثبته الله عز وجل على القول بإمامته ووفقه [ فيها ] للدعاء بتعجيل فرجه . "โอ้ อะหมัด บิน อิสหาก เรื่องราวของเขา(มะฮดีย์)เหมือนกับเรื่องราวของคิฎิร เรื่องราวของเขาเหมือนกับเรื่องราวของซุลก็อรนัยน์ ขอสาบานว่าเขา(อัลมะฮดีย์)จะฆ้อยบัตเร้นกายและในช่วงเวลานั้นจะไม่มีใครรอดพ้นจากความวิบัติได้เว้นเสียแต่ผู้ที่มีความเชื่อและศรัทธาในความเป็นอิมามัตของเขา และผู้ที่วิงวอนขอในการปรากฏกายของเขาในเวลานั้น พวกเขาจะได้รับถึงการบรรลุ" มุญัม อะฮาดิษ อิมามมะฮดีย์ เล่ม 4 หน้า 267 #ความเหมือนประการที่สี่:ซุลก็อรนัยน์มีอายุใขที่ยืนยาว เรื่องนี้ยืนยันไว้ในคำภีร์ของชาวกิตาบว่า: وأنبأنا أبو الفضائل وأبو تراب قالا نا أبو بكر أنا أبو الحسن أنا عثمان وأحمد قالا أنا الحسن أنا إسماعيل قال وأنا إسحاق عن عبد الله بن زياد بن سمعان قال بلغني عن بعض مؤمني أهل الكتاب أن ذا القرنين عاش ثلاثة آلاف سنة "ในคำภีร์(ชาวกิตาบ)ระบุว่าซุลก็อรนัยน์ มีอายุถึง 3000 ปี" ตาริค ดะมัชค์ เล่ม 17 หน้า 361 ในขณะที่เตารอตระบุว่า: وفي التوراة أن ذا القرنين عاش ثلاثة آلاف سنة والمسلمون يقولون ألفا وخمسمائة . "ในเตารอตระบุว่า อายุของซุลก็อรนัยน์มีถึง 3000 ปี แต่มุสลิมเชื่อว่าเขามีอายุถึง 1500 ปี" ตัซกิรอตุล เคาวาส ซิบฏ อิบนิเญาซีย์ หน้า 364 ในขณะที่อิมามมะฮดีย์ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันแห่งกาลวสารจนวันสุดท้าย #นี่คือฮิกมะฮ ประการหนึ่งของความเหมือนที่พระองค์ได้ทรงมอบให้เป็นข้อเปรียบเทียบสำหรับผู้ที่ปฏิเสธในการคงอยู่ของท่านอิมามมะฮดีย์ในยุคกาลสมัย ยา....มะฮดีย์!!!! #ความเหมือนของอิมามมะฮดีย์กับซุลก็อรนัยน์ในยุคอดีต!! ความคล้ายคลึงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างอิมามมะฮดีย์ อ.กับซุลก็อรนัยน์ #ความเหมือนประการที่หนึ่ง :ซุลก็อรนัยน์ในยุคที่ท่านปกครองนั้นท่านจะปกครองไปทั่วทุกมุมแห่งของอณาจักรซึ่งกุรอานในซูเราะฮกะฮฟอายะฮที่ 84 ยืนยันเรื่องนี้ว่า: إِنَّا مَكَّنَّا لَهُ فِي الْأَرْضِ وَآَتَيْنَاهُ مِنْ كُلِّ شَيْءٍ سَبَبًا "แท้จริงเราได้ให้อำนาจแก่เขาในแผ่นดิน และเราให้เขาทุกสิ่งที่เขาต้องการ" ในส่วนของท่านอิมามมะฮดีย์ อ.ก็ได้มีริวายัตมากมายซึ่งท่านมีส่วนคล้ายคลึงกับซุลก็อรนัยน์ เช่นริวายัตที่บ่งถึงท่านอิมามคือผู้มีอำนาจปกครองเหนือทุกแผ่นดินที่ว่า: فروي أن جميع ملوك الدنيا كلها أربعة : مؤمنان وكافران ، فالمؤمنان سليمان بن داود وإسكندر (ذي القرنين) ، والكافران نمروذ وبختنصر ، وسيملكها من هذه الأمة خامس لقوله تعالى : " ليظهره على الدين كله " [ التوبة : 33 ] وهو المهدي "ผู้มีอำนาจการปกครองเหนือทุกแผ่นดิน(ในยุคก่อน)มีด้วยกันสี่ท่าน สองท่านคือผู้มีอิหม่านและส่วนอีกสองท่านเป็นผู้ปฏิเสธ สองท่านที่เป็นผู้มีอีหม่านคือ สุไลมาน บินดาวูด และอิสกันดัร(ซุลก็อรนัยน์)ส่วนสองท่านที่เป็นผู้ปฏิเสธนั่นคือ นัมรูด และบัคตันซาร ส่วนในยุคสุดท้ายนั้นจะมีบุคคลที่ห้าซึ่งเขาที่จะมีอำนาจปกครองเหนือแผ่นดินทั้งหลาย เพราะพระองค์ได้ยืนยันถึงเขาผู้นั้นว่า: "เพื่อที่จะทรงให้ศาสนาแห่งสัจจะนั้นประจักษ์ เหนือศาสนาทุกศาสนา" และผู้ที่จะทำให้สิ่งนั้นประจักษ์เหนือทุกศาสนานั้น นั้นคือ อิมามมะฮดีย์ นั่นเอง" ตัฟซีรคุรฏุบีย์ เล่ม 11 หน้า 47 ซะคอซีย์ อุลมาชาวสุนนะฮ ท่านได้บันถึกเรื่องราวของท่านอิมามมะฮดีย์ไว้ในตำราของท่านว่า: إني لأجد المهدي مكتوبا في أسفار الأنبياء ما في حكمه ظلم ولا عيب . يملك الدنيا كما ملك ذو القرنين ، وسليمان بن داود عليهما السلام . . "ฉันได้เห็นแล้วว่าอิมามมะฮดีย์ชื่อของท่านนั้นได้ถูกกล่าวเอาไว้ในคำภีร์ต่างๆของบรรดาบนีคนก่อนๆ การมาปกครองของท่านจะมีแต่ความเป็นธรรมไม่มีการกดขี่หรือตำนิใดๆ เขาคือผู้มีอำนาจบนแผ่นดินนี้เสมือนที่ซุลก็อรนัยน์และสุไลมาน บินดาวูดเป็นผู้มีอำนาจปกครองมาก่อน" #ความเหมือนประการที่สอง: ซุลก็อรนัยน์ในยุคการปกครองของท่านไม่มีแผ่นดินใดที่ท่านมิได้ผ่านในเส้นทางนั้น มาในยุคของท่านอิมามมะฮดีย์ช่วงการปกครองของท่านก็เช่นเดียวกันไม่มีแผ่นดินใดที่ท่านไม่เคยผ่าน เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากคำยืนยันของท่านอมี รุลมุฮมินีน ท่านกล่าวว่า: عن أمير المؤمنين علي بن أبي طالب ( عليه السلام ) في قصة المهدي قال : ويتوجه إلى الآفاق فلا تبقى مدينة وطأها ذو القرنين إلا دخلها وأصلحها "อัลมะฮดีย์ เขาจะผ่านไปทุกทิศ ไม่มีเมืองใดบนพื้นแผ่นดินนี้ที่ซุลก็อรนัยน์ได้ผ่านซึ่งอิมามมะฮดีย์ไม่ได้ผ่านเมืองนั้นและเขาจะปรับปรุงและแก้ใขความอธรรมให้หายไป" อัลซามูล นาศิบ เล่ม 2 หน้า 261 #ความเหมือนประการที่สาม: ซุลก็อรนัยน์ในช่วงแรกเขาได้เร้นกายระยะยาวต่อมาเขาได้ปรากฏตัวอีกครั้งท่ามกลางฝูงชน ในขณะที่อิมามมะฮดีย์ก็เป็นเช่นนั้น ซึ่งบทหนึ่งจากริวายัตได้กล่าวว่า: يا أحمد بن إسحاق مثله في هذه الأمة مثل الخضر عليه السلام ، ومثله مثل ذي القرنين ، والله ليغيبن غيبة لا ينجو فيها من الهلكة إلا من ثبته الله عز وجل على القول بإمامته ووفقه [ فيها ] للدعاء بتعجيل فرجه . "โอ้ อะหมัด บิน อิสหาก เรื่องราวของเขา(มะฮดีย์)เหมือนกับเรื่องราวของคิฎิร เรื่องราวของเขาเหมือนกับเรื่องราวของซุลก็อรนัยน์ ขอสาบานว่าเขา(อัลมะฮดีย์)จะฆ้อยบัตเร้นกายและในช่วงเวลานั้นจะไม่มีใครรอดพ้นจากความวิบัติได้เว้นเสียแต่ผู้ที่มีความเชื่อและศรัทธาในความเป็นอิมามัตของเขา และผู้ที่วิงวอนขอในการปรากฏกายของเขาในเวลานั้น พวกเขาจะได้รับถึงการบรรลุ" มุญัม อะฮาดิษ อิมามมะฮดีย์ เล่ม 4 หน้า 267 #ความเหมือนประการที่สี่:ซุลก็อรนัยน์มีอายุใขที่ยืนยาว เรื่องนี้ยืนยันไว้ในคำภีร์ของชาวกิตาบว่า: وأنبأنا أبو الفضائل وأبو تراب قالا نا أبو بكر أنا أبو الحسن أنا عثمان وأحمد قالا أنا الحسن أنا إسماعيل قال وأنا إسحاق عن عبد الله بن زياد بن سمعان قال بلغني عن بعض مؤمني أهل الكتاب أن ذا القرنين عاش ثلاثة آلاف سنة "ในคำภีร์(ชาวกิตาบ)ระบุว่าซุลก็อรนัยน์ มีอายุถึง 3000 ปี" ตาริค ดะมัชค์ เล่ม 17 หน้า 361 ในขณะที่เตารอตระบุว่า: وفي التوراة أن ذا القرنين عاش ثلاثة آلاف سنة والمسلمون يقولون ألفا وخمسمائة . "ในเตารอตระบุว่า อายุของซุลก็อรนัยน์มีถึง 3000 ปี แต่มุสลิมเชื่อว่าเขามีอายุถึง 1500 ปี" ตัซกิรอตุล เคาวาส ซิบฏ อิบนิเญาซีย์ หน้า 364 ในขณะที่อิมามมะฮดีย์ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันแห่งกาลวสารจนวันสุดท้าย #นี่คือฮิกมะฮ ประการหนึ่งของความเหมือนที่พระองค์ได้ทรงมอบให้เป็นข้อเปรียบเทียบสำหรับผู้ที่ปฏิเสธในการคงอยู่ของท่านอิมามมะฮดีย์ในยุคกาลสมัย ยา....มะฮดีย์!!!!#ความเหมือนประการที่หนึ่ง :ซุลก็อรนัยน์ในยุคที่ท่านปกครองนั้นท่านจะปกครองไปทั่วทุกมุมแห่งของอณาจักรซึ่งกุรอานในซูเราะฮกะฮฟอายะฮที่ 84 ยืนยันเรื่องนี้ว่า: