ดุอาเญาชันกะบีร

ดุอาเญาชันกะบีร

ดุอาเญาชันกะบีร เป็นดุอาที่กล่าวถึงพระนามและคุณลักษณะต่างๆ ที่งดงามของพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ซึ่งเป็นที่รู้จักและใช้ในการวิงวอนขอพรของมุสลิมนิกายชีอะฮ์. โดยมุสลิมนิกายชีอะฮ์มีความเชื่อว่าดุอา “เญาชันกะบีร” เป็นดุอาที่ท่านญิบรออีล (อ.) ได้สอนแก่ท่านศาสดามุฮัมหมัด (ศ็อลฯ) และดุอาบทนี้ถูกเน้นย้ำให้อ่านในค่ำคืนแห่ง “ก็อดร์” (ค่ำคืนแห่งการประทานพระคัมภีร์อัลกุรอาน)

เญาชัน" ในหลักภาษาอาหรับให้ความหมายว่า "เสื้อเกราะ". สาเหตุที่ดุอาบทนี้ได้ชื่อว่า เญาชัน เนื่องจากว่าในสงครามหนึ่งท่านศาสดามุฮัมหมัดได้ใส่เสื้อเกราะตัวหนึ่งที่หนักเป็นอย่างมาก. ญิบรออีลจึงได้ลงมาสู่ท่านศาสดาด้วยคำสั่งจากพระเจ้า และได้กล่าวกับท่านศาสดาว่า "โอ้มุฮัมหมัด พระเจ้าได้ส่งศานติแด่ท่าน และได้กล่าวแก่ท่านว่า จงถอดเสื้อเกราะตัวใส่อยู่เสียเถิด แล้วจงอ่านดุอาบทนี้ (เญาชันกะบีร) เพราะมันจะปกป้องท่านและประชาชาติของท่านจากภัยภิบัติต่างๆ. และคำว่า กะบีร (ใหญ่) ก็ให้ความหมายสองอย่างด้วยกันคือ หนึ่งเพราะความยาวของดุอา และสองเพราะเสื้อเกราะตัวใหญ่ที่ท่านศาสดาใส่อยู่
 

เญาชัน กะบีร” มีทั้งหมด ๑๐๐ วรรค ซึ่งในแต่ละวรรคจะสรรเสริญพระนามของพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ๑๐ พระนามด้วยกัน (นอกจากวรรคที่ ๕๕ มี ๑๑ พระนาม). ดังนั้นพระนาม ๑๐๐๑ ของพระองค์จึงถูกกล่าวสรรเสริญไว้ในดุอาบทนี้.

พระนามของพระองค์อัลลอฮ์จำนวนมากที่ถูกสาธยายไว้ในบทดุอานี้นำมาจากพระคัมภีร์อัลกุรอาน . โดยจะมีสัมผัสกันในแต่ละวรรคของบทดุอา มีท่วงทำนองที่เสนาะ. ดังตัวอย่างวรรคที่หนึ่งของดุอาจะอ่านว่า รอฮีม – การีม – มุกีม – อาซีม – กอดีม – อาลีม – ฮากีม และ อาลีม ซึ่งจะเห็นได้ว่าคำสุดท้ายจะลงท้ายด้วยสระ และอักษรที่เหมือนกัน จึงทำให้เกิดความคล้องจอง และทำนองที่ไพเราะชวนให้น่าอ่าน

คุณลักษณะที่เฉพาะ


ดุอาบทนี้มีทั้งหมด ๑๐๐ วรรค เมื่ออ่านจบแต่ละวรรค จะต้องอ่านบทสร้อยว่า

 

«سُبْحَانَکَ یَا لا إِلَهَ إِلا أَنْتَ الْغَوْثَ الْغَوْثَ خَلِّصْنَا مِنَ النَّارِ یَا رَبِّ»

 

(ซุบฮานะกะ ยา ลาอิลาฮา อิลลาอันตา อัลเฆา อัลเฆา อัลเฆา คอลลิศนา มินันนาริ ยาร็อบ)


ความหมายคือ “มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ โอ้พระผู้อภิบาล ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดแล้วนอกจากพระองค์ , ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือให้ข้าพระองค์รอดพ้นจากไฟนรกอเวจีด้วยเถิด”


ดุอาเญาชันกะบีร จะระลึกถึงพระนามของพระองค์อัลลอฮ์


•••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ที่มา : เพจสถาบันอัลมะฮ์ดียะห์