อิมามโคมัยนีกับฆราวาสนิยม secularism)

อิมามโคมัยนีกับฆราวาสนิยม  secularism)


เชคอิมรอน พิชัยรัตน์/เรียบเรียง


เนื่องในวาระใกล้จะครบรอบการอสัญกรรมอิมามโคมัยนี ผู้นำการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน ทว่าความเป็นจริงแล้วท่านคือผู้นำของบรรดานักปฏิวัติและผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงโลกยุคใหม่เลยทีเดียว และเป็นบุคคลต้นแบบแห่งยุคสมัยที่ผู้คนต่างพากันตะลึงงันกับภาพลักษณ์ใหม่ของอิสลามที่ถูกนำเสนอสู่สายตาประชาคมโลก ชายชราแต่งชุดนักการศาสนาตามแบบสำนักคิดชีอะฮ์ถูกตีแผ่ออกไปทั่วโลก วิถีชีวิตที่สำรวม คำพูดที่ทรงพลัง แววตาที่อ่อนโยนกับบรรดาผู้ศรัทธาและผู้ถูกกดขี่ทว่าแข็งกร้าวดุจดังเหยี่ยวเมื่อมองยังเหล่าผู้อธรรม ผู้กดขี่ และชาติมหาอำนาจที่สวาปามโลกด้วยความอธรรม เอารัดเอาเปรียบ กดขี่ทุกรูปแบบในทุกสนาม ไม่ว่าในสนามการเมือง สังคม วัฒนธรรม การสื่อสาร แม้แต่ทฤษฎีและแนวคิดต่างๆ ที่พยายามนำเสนอและอธิบายเชิงวิชาการเพื่อให้คล้อยตาม ดูดีเป็นปัญญาชน
 ความโดดเด่นของอิมามโคมัยนีเป็นที่ประจักษ์ท่านได้ทำลายทฤษฎีและแนวคิดแปลกปลอมต่างๆของชาติมหาอำนาจลงด้วยการปฏิบัติของท่าน เป็นการทวนกระแส สู้กับแรงเสียดทานอันหนักหน่วงของแนวคิดแปลกปลอมฝั่งซีกตะวันตกที่ปกคลุมเหนือประชาคมโลก  โลกยนิยมหรือฆราวาสนิยม (secularism) ถือเป็นแนวคิดหลักที่เหล่าชาติมหาอำนาจใช้เป็นเครื่องมือในการกดประชาคมโลกให้อยู่ภายใต้อำนาจของตนด้วยการอธิบาย นิยาม สโลกแกนที่สวยหรูภายใต้แนวคิดปรัชญา
 โลกยนิยมหรือฆราวาสนิยม ก็ (secularism) คือ แนวปรัชญาที่ว่าสถาบันการปกครอง สถาบันการเมือง หรือสถาบันในรูปอื่นควรจะดำเนินการปกครองที่เป็นอิสระจากการอำนาจการควบคุมของสถาบันศาสนา และหรือความเชื่อทางศาสนา เป็นแนวคิดที่ต้องการแยกศาสนาออกจากการเมือง ซึ่งท่านอิมามโคมัยนีได้วิพากษ์แนวคิดนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า:
 หนึ่งในการโฆษณาชวนเชื่อหลักของชาติมหาอำนาจในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาคือ  “การแยกศาสนาออกจากการเมือง” พวกเขา พยายามที่จะแยกศาสนาออกจากการเมืองด้วยการโฆษณาชวนเชื่อที่มดเท็จ ว่าศาสนาล้าหลัง และใส่ร้ายว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่โง่
เขลา ตัวการสำคัญที่เผยแพร่แนวคิดแยกศาสนาออกจากการเมืองในหมู่มุสลิมคือศัตรูอิสลามและพวกที่มีแนวคิดที่จะครองโลกโดยนำเสนอว่าศาสนาอิสลามก็เหมือนกับศาสนาอื่นๆ ที่ไม่มีเป้าหมายใดนอกจากหลักปฏิบัติด้านศีลธรรมและและพัฒนาจิตวิญญาณซึ่งทำให้บรรดมุสลิมมุ่งเน้นเพียงด้านจริยธรรม  โลกหน้าและจิตวิญญาณเท่านั้น ให้ละวางเรื่องทางโลกโดยเฉพาะเรื่องการเมือง ด้วยวิธีนี้สามารถทำให้สามารถปกป้องตนเองและเสริมสร้างศรัทธาของตนให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วจะทำให้พวกเขาได้รับความผาสุกทั้งโลกนี้และโลกหน้า การชักนำแนวคิดนี้นำไปสู่การยอมรับศาสนาที่แยกออกจากการเมือง ซึ่งในที่สุดแนวคิดนี้จะสร้างปัญหาขึ้นอย่างมากมายให้กับโลกอิสลามและความปกติทางสังคม ทำให้สังคมอิสลามไม่อาจบรรลุเป้าหมายอันสูงส่ง ของตนที่อดีตเคยมีวัฒนธรรมและอารยธรรมที่รุ่งโรจน์ ก่อให้เกิดความบกพร่องและความอ่อนแอขึ้นอย่างมากมาย เช่น ความยากจน เป็นต้น เบื้องต้นต้องค้นหาปัจจัยของการแยกศาสนาออกจากการเมืองในความคิดระดับพื้น กลุ่มผู้ที่มีความคิดว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์
        ปัจจัยที่สองการโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางของศัตรูอิสลาม
        กลุ่มแรกมองศาสนาเพียงด้านบัญญัติและสาระธรรม เหมือนศาสนาคริสต์ที่อยู่ในมัสญิดและโบสถ์เท่านั้น กลุ่มที่สองพยายามเสนอภาพ
ลักษณ์ที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอิสลามออกสู่สังคม รูปแบบที่บกพร่องของอิสลาม ศาสนาอิสลามไม่ใช่ศาสนาที่สมบูรณ์ ไม่ใช่ศาสนาสังคมและการใช้ชีวิต ไม่มีกฎเกณฑ์และกฎระเบียบในการบริหารจัดการสังคม แนวคิดนี้ท้ายสุดคือการปฏิเสธศักยภาพของศาสนาอิสลามในการจัดตั้งระบอบการปกครองขึ้น พวกล่าอาณานิคมเข้าแทรกซึมในวัฒนธรรม และความเชื่อของกลุ่มประเทศมุสลิม และเป็นที่น่าเสียดายที่พวกเขาประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
 ท่านอิมามโคมัยนีมีความเข้าใจต่อสถานการณ์อย่างถูกต้องจึงพยายามที่จะกำจัดแนวคิดนี้ออกจากสถาบันศาสนาแล้วฟื้นฟูการเมืองสังคมของศาสนาอิสลาม นอกจากการต่อสู้กับแนวคิดนี้แล้ว อิมามโคมัยนียังได้นำเสนอความสมบูรณ์ของศาสนาอิสลามในด้านต่างๆ และความเขลาของบรรดาผู้ต่อต้านอิสลามออกสู่สื่อสากล
 เกี่ยวกับเรื่องนี้อิมามโคมัยนีกล่าวคำสั่งเสียทางการเมืองของท่านไว้ว่า:
 “แผนการที่สำคัญในศตวรรษนี้โดยเฉพาะช่วงทศวรรษล่าสุดนี้ ยิ่งชัดเจนขึ้นหลังชัยชนะการปฏิวัติ คือการโฆษณาชวนเชื่อในด้านต่างๆ อย่างกว้างขวางเพื่อทำประชาชาติต่างๆ โดยเฉพาะชาวอิหร่านผู้เสียสละสิ้นหวังจากศาสนาอิสลาม
         บางครั้งก็พูดอย่างเปิดเผยเลยว่าบทบัญญัติทุ่กำหนดไว้เมื่อ1400 กว่าปีก่อนไม่สามารถนำมาบริหารประเทศในยุคปัจจุบันได้ เป็นศาสนาที่ล้าหลังต่อต้านทุกนวัตกรรมใหม่ๆและอารยธรรม ยุคปัจจุบันเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศต่างๆจะปลีกตัวออกจากอารยธรรมโลก และการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ที่โง่เขลาในทำนองนี้ บางทีก็สร้างความรำคาญ
และแฝงความมุ่งร้ายในลักษณะที่ทำเป็นผู้ฝักใฝ่ในความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลามที่อิสลามและศาสนาอื่นๆ ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งนี้ เรื่องของจิตวิญญาณ การขัดเกลาจิตวิญญาณ การออกห่างจากตำแหน่งทางโลก เรียกร้องเชิญชวนสู่การทิ้งชีวิตทางโลก สาละวนอยู่กับการปฏิบัติธรรม วิงวอนขอพรซึ่งทำให้มนุษย์ใกล้ชิดยังพระเจ้าและออกห่างจากชีวิต
ทางโลก การปกครองและการเมืองเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับเป้าหมายอันสูงส่งและยิ่งใหญ่ทางด้านจิตวิญญาณ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของ
ทางโลกซึ่งขัดแย้งกับวิถีของบรรดาศาสดา!! ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าการเผยแพร่ด้วยวิธีที่สองนี้มีผลต่อนักการศาสนาและผู้เคร่งศาสนาบางคนที่ไม่เข้าใจอิสลามกระทั่งถือว่าการยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองนั้นเป็นบาปหนึ่งเลยทีเดียว และบ้างก็รู้ดี! ซึ่งถือเป็นวิกฤตและภัยพิบัติที่
 ใหญ่หลวงที่โลกอิสลามต้องเผชิญสำหรับกลุ่มแรกนั้นต้องกล่าวว่าพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับการเมืองการปกครองและกฎหมายหรือตั้งใจที่จะไม่รู้ เพราะการนำกฎหมายมา
ใช้บนฐานของความยุติธรรม การป้องกันการกดขี่ การปกครองที่อธรรม สร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นทั้งด้านปัจเจกและสังคม ห้ามสร้างความเสียหาย ความเสื่อมเสียและความบิดเบี้ยวต่างๆให้เกิดขึ้นในสังคม เสรีภาพที่วางอยู่ฐานของปัญญา ความยุติธรรม เสรีภาพ และพึ่งพา
ตนเอง ห้ามการล่าอาณานิคมและการแสวงหาผลประโยชน์ บทบัญญัติว่าด้วยฮุดูดและกิศอศที่วางอยู่บนบรรทัดฐานของความยุติธรรมเพื่อหัก
ห้ามการเกิดความเสียหายและเสื่อมเสียขึ้นในสังคม การเมืองและการบริหารสังคมที่วางอยู่บนฐานของปัญญาและความยุติธรรม และสิ่งต่างๆ อีกมากมายในทำนองนี้ใช่ว่ามันจะกลายเป็นสิ่งล้าหลังและล้าสมัยเมื่อ
      วันเวลาผ่านไปในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ...
ส่วนกลุ่มที่สองที่ได้วางแผนการเพื่อทำลายอิสลามโดยถือว่าอิสลามแยกออกจากการเมือง ต้องกล่าวแก่พวกโง่เขลาเหล่านี้ว่า อัลกุรอาน และแบบฉบับของท่านศาสดา (ศ็อลฯ)กล่าวถึงบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องของการเมืองการปกครองไว้อย่างมากมายที่เรื่องอื่นๆไม่ถูกกล่าวไว้มากขนาดนี้ ทว่าบทบัญญัติภาคอิบาดัตของอิสลามก็ยังมีอิบาดัตที่เป็นภาคการเมืองด้วยเช่นกัน ซึ่งการลืมประเด็นนี้นำมาซึ่งความโศกเศร้าที่ต้องประสบกันอยู่

-ซอฮีฟะฮ์อิมามเล่ม 21 หน้า 404-406