10 สัญญาณก่อนวันสิ้นโลกที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์ และพระวจนะของศาสดาอิสลาม[ตอนที่ 2]

10 สัญญาณก่อนวันสิ้นโลกที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์ และพระวจนะของศาสดาอิสลาม[ตอนที่ 2]

เรียบเรียงโดยเชคอันซอร เหล็มปาน


4. การปรากฏตัวของอัล-ดัจญาล [الدَّجَّالُ]

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. กล่าวว่า
لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّی تَکُونَ عَشْرُ ءَایَاتٍ : الدَّجَّالُ

วันกิยามะฮ์จะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ (หนึ่งในนั้น)การปรากฏตัวของดัจญาล

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ กล่าวไว้ว่า การปฎเสธการปรากฎตัวของดัจญาลก่อนวันกิยามะฮ์ เทียบเท่ากับ “กุฟร์”
مَنْ أَنْکَرَ خُرُوجَ الْمَهْدِیُّ فَقَدْ کَفَرَ بِما أُنْزِلَ عَلی مُحَمَّدٍ وَ مَنْ أَنْکَرَ نُزُولَ عِیسَی فَقَدْ کَفَرَ وَ مَنَ أَنْکَرَ خُرُوجَ الدَّجّالَ فَقَدْ کَفَرَ

ใครก็ตามที่ได้ปฎิเสธ อัล-มะฮ์ดี แน่นอนเท่ากับการปฎิเสธในสิ่งที่ถูกประทานลงมาให้กับมุฮัมมัด และใครปฎิเสธการลงมาของอีซา แน่นอนเขาคือ ผู้ปฎิเสธ(กุฟร์) และ(เช่นกัน)บุคคลใดได้ปฎิเสธการปรากฎตัวของดัจญาล(ก่อนกิยามะฮ์)เขาคือผู้ปฎิเสธ(จากหนังสือฟาร่อ อิดุล ซิมตัยน์ เล่ม 2 หน้า 334)

คำเตือนให้ระวังของบรรดาศาสดาต่อการปรากฎตัวของดัจญาล

อันตรายของ “ดัจยาล” ที่มีต่อสังคมมนุษย์มีความรุนแรงและกว้างขวาง จนบรรดานบี ทุกๆท่านต้องคอยเตือนประชาชาติของท่านอยู่เสมอ

ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ. กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
إِنَّهُ لَمْ یَکُنْ نَبِیٌّ إِلاّ وَ قَدْ أَنْذَرَ الدَّجّالَ أُمَّتَه

ไม่มี นบี ท่านใดที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมา นอกจากจะมาเตือนประชาชาติของท่าน ถึงเรื่องดัจญาลจอมชั่วร้าย

มีริวายะฮ์มากมายจากท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. ให้ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ให้ได้รอดพ้นจาก อันตรายของดัจญาล เช่น
إِذا فَرَغَ أَحَدُکُمْ مِنَ التَّشَهُّدِ الآخِرِ فَلْیَتَعَوَّذْ مِنْ أَرْبَعٍ: مِنْ عَذابِ جَهَنَّمَ وَ مِنْ عَذابِ الْقَبْرِ وَ مِنْ فِتْنَةِ الْمَحْیا وَ الْمَماتِ وَ مِنْ شَرِّ الْمَسِیحِ الدَّجّالِ

เมื่อพวกเจ้ากล่าวตะชะฮุดสุดท้ายแล้ว ก็จงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ใน 4 ประการด้วยกัน นั่นคือ ขอความคุ้มครองจากการถูกลงโทษในนรกญะฮันนัม ,ฮะซาบ(การลงโทษ)ของกุโบร์ ,จากฟิตนะห์ในขณะมีชีวิตอยู่และขณะตายไปแล้ว ,และของความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ให้รอดพ้นจากความชั่วร้ายของดัจญาล(จากหนังสือศ่อฮิห์มุสลิม เล่ม 1 หน้า 412)

นัยยะทางความหมายของ อัล-ดัจญาล อาคิรุซซะมาน

ในคำอธิบายและการระบุตัวตนของ ดัจญาล มีการให้ความหมายที่หลากหลาย เช่น

ดัจญาลเป็น มนุษย์ตาเดียว(ทัศนะบางส่วนของชาวซุนนะห์)
ฮะดีษ ที่ยืนยันว่า ดัจญาลเป็น มนุษย์ : “แท้จริงดัจญาล ผู้ตาบอดนั้นเป็นชาย รูปร่างเตี้ย เดินขาถ่าง ผมหยิก ตาข้างหนึ่งของมันพิการ(บอด)ไม่มีแวว ดวงตาของมันไม่โปนบวมและยื่นออกมา(ผิวบริเวณตาจะเรียบ) ถ้าหากมันมาหลอกลวงพวกท่านเพิ่งรู้เถิดว่าแท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของท่านไม่ได้มีตาพิการ” (บันทึกโดยอะห์มัด : 23144, อบู ดาวูด : 4320, สุนัน อบี ดาวูด : 3630)

“จงรู้ไว้ว่า ดัจญาลนั้นมีตาเดียว แต่อัลลอฮฺนั้นมิได้มีตาเดียว” (บุคอรี,มุสลิม,และมิซกาด อัล-มะซอบิห์ บทฟิตนะฮ์)

ดัจญาลเป็นการเปรียบเปรยถึง ฟิตนะห์ที่รุนแรงที่สุดในยุคสุดท้าย
ในรายงานต่างๆอย่างมากมายที่ได้ให้ความหมายของ ดัจญาล ในนามของผู้สร้างฟิตนะห์ ,ผู้โกหก ,ผู้หลอกลวง ผู้ชั่วร้าย ,ผู้ปกปิด ฯลฯ ซึ่งสามารถที่จะสรุปได้ว่าบุคคลใดก็ตามที่เป็นผู้ที่สร้างฟิตนะห์ในสังคม และทำให้สังคมแตกแยกอย่างรุนแรง เขาคือ ดัจญาล ในวจนะของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ.

ท่านนบีมุฮัมมัด ศ. กล่าวว่า
یا أَیُّهَا النّاسُ إِنَّها لَمْ تَکُنْ فِتْنَةٌ فِی الأَرْضِ أَعْظَمُ مِنْ فِتْنَةِ الدَّجّالِ وَ إِنَّ اللّهَ تَعالی لَمْ یَبْعَثْ نَبِیّا إلاّ حَذَّرَهُ أُمَّتَهُ

โอ้มนุษย์เอ๋ย ไม่มี ฟิตนะห์ ในหน้าแผ่นดินจะรุนแรงไปกว่า ฟิตนะห์ที่เกิดจากดัจญาล อีกแล้ว และแท้จริงอัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งจะไม่ทรงแต่งตั้งนบีองค์ขึ้นมา เว้นแต่ให้เขาได้เตือนประชาชาติของเขาถึงความน่ากลัวของดัจญาล(จากหนังสือ นะอีม บิน เฮมาด อัล-ฟิตัน เล่ม 2 หน้า 517 เลขที่ฮะดิษ 1446)

จะเห็นได้ว่า ในริวายะฮ์นี้ท่านนบี ศ. ได้ให้ความหมาย ดัจญาล ว่า คือ ฟิตนะห์ที่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ เสมือนมันเป็นอาหารจานโปรดของทุกๆคน ฉะนั้นท่าน ศ. ได้เตือนประชาชาติของท่านว่า เมื่อดัจญาลปรากฎขึ้น หรือ เมื่อฟิตนะห์ได้กระจายเหมือนเชื้อไวรัสไปทุกย่อมหญ้า ก็จงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ ให้รอดพ้นจากฟิตนะห์เหล่านั้น เพราะมันร้ายแรง และรุนแรงจริงๆ

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ กล่าวว่า “ดัจญาล คือ กลุ่มคนจอมโกหกและหลอกลวง”
وَ إِنَّهُ سَیَکُونُ فِی أُمَّتِی کَذّابُونَ ثَلاثُونَ کُلُّهُمْ یَزْعَمُ أَنَّهُ نَبِیٌّ وَ أَنَا خاتَمُ النَّبِییَّنَ لا نَبِیَّ بَعْدِی

“และแท้จริงแล้ว จะมาในไม่ช้าในประชาชาติของฉัน จะมีดัจญาล ปรากฎถึง 30 คน ทั้งหมดอ้างว่า ตัวเองนั้น คือ นบี ทั้งที่ฉันคือนบีคนสุดท้าย และจะไม่มีนบีภายหลังจากฉันอีกแล้ว(จากหนังสือ นะอีม บิน เฮมาด อัล-ฟิตัน เล่ม 2 หน้า 517 เลขที่ฮะดิษ 1446)

یَکُونُ فِی آخِرِالزَّمانِ دَجّالُونَ کَذّابُونَ یَأْتُونَکُمْ مِنَ الأَحادِیث بِما لَمْ‏ تَسْمَعُوا أَنْتُمْ وَ لاآباوُکُمْ فَإِیّاکُمْ وَ إِیّاهُمْ لایُضِلِّونَکُمْ وَ لایَفْتِنُونَکُمْ

ในยุคสุดท้ายของกาลเวลาจะปรากฎ ดัจญาล มากมายที่เป็นจอมโกหกหลอกลวง พวกเขาจะนำฮะดิษต่างๆมายังพวกเจ้า ด้วยกับสิ่งซึ่งพวกเจ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน และบิดามารดาของพวกเจ้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ฉะนั้นพึงระวังพวกเขา และออกห่างจากพวกเขา อย่าให้พวกเขาทำให้พวกเจ้าหลงทางได้ และอย่าให้พวกเขาล่อลวงได้(จากหนังสือศ่อฮิห์มุสลิม เล่ม 1 หน้า 12)

 

 

5. การปรากฎตัวออกมาของยะฮ์ญูจญ์ และ มะฮ์ญูจญ์[یَأْجُوجُ وَ مَأْجُوجُ]

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. กล่าวว่า
لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّی تَکُونَ عَشْرُ ءَایَاتٍ : یَأْجُوجُ وَ مَأْجُوجُ

วันกิยามะฮ์จะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกท่านจะได้เห็นสัญญาณก่อนหน้านั้นสิบประการ (หนึ่งในนั้น)การปรากฏตัวของยะฮ์ญูจญ์ และ มะฮ์ญูจญ์

เรื่องราวที่เป็นความจริงของ ยะฮ์ญูจญ์ และ มะฮ์ญูจญ์ มีระบุไว้ในในอัลกุรอ่านซูเราะห์อัล-กะฮ์ฟ์ ตั้งแต่อายะฮ์ ที่ 94 เป็นต้นไป อัลลอฮ์ตรัสว่า :

قَالُوا يَا ذَا الْقَرْنَيْنِ إِنَّ يَأْجُوجَ وَمَأْجُوجَ مُفْسِدُونَ فِي الْأَرْضِ فَهَلْ نَجْعَلُ لَكَ خَرْجًا عَلَىٰ أَن تَجْعَلَ بَيْنَنَا وَبَيْنَهُمْ سَدًّا قَالَ مَا مَكَّنِّي فِيهِ رَبِّي خَيْرٌ فَأَعِينُونِي بِقُوَّةٍ أَجْعَلْ بَيْنَكُمْ وَبَيْنَهُمْ رَدْمًا فَمَا اسْطَاعُوا أَن يَظْهَرُوهُ وَمَا اسْتَطَاعُوا لَهُ نَقْبًا قَالَ هَٰذَا رَحْمَةٌ مِّن رَّبِّي فَإِذَا جَاءَ وَعْدُ رَبِّي جَعَلَهُ دَكَّاءَ وَكَانَ وَعْدُ رَبِّي حَقًّا

[18:94-98]พวกเขาพูดว่า ซุลก็อรนัยน์เอ๋ย แท้จริงยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์นั้นเป็นผู้บ่อนทำลายในแผ่นดินนี้ ดังนั้น เราขอมอบบรรดาณาการแก่ท่าน เพื่อท่านจะได้สร้างกำแพงกั้นระหว่างพวกเรากับพวกเขา เขากล่าวว่า “สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าของฉันได้ให้อำนาจแก่ฉันดียิ่งกว่า ดังนั้นพวกท่านจงช่วยฉันด้วยกำลัง ฉันจะสร้างกำแพงแน่นหนากั้นระหว่างพวกท่านกับพวกเขา พวกท่านจงเอาเหล็กท่อนโต ๆ มาให้ฉัน” จนกระทั่งเมื่อเขาทำให้บริเวณภุผาทั้งสองราบเรียบเขาก็กล่าวว่า “จงเป่ามันด้วยเครื่องเป่าลม” จนกกระทั่งเมื่อเขาทำให้มันร้อนเป็นไฟ เขากล่าวว่า “ปล่อยให้ฉันเททองแดงหลอมลงไปบนมันดังนั้น พวกเขา (ยะอ์ญูจและมะอ์ญูจ)ไม่สามารถจะข้ามมันได้ และไม่สามารถจะขุดโพรงผ่านมาได้ เขากล่าวว่า “นี่คือความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าของฉัน ดังนั้น เมื่อสัญญาของพระผุ้เป็นเจ้าของฉันมาถึง พระองค์จะทรงทำให้มันพังทลาย และสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าของฉันนั้นเป็นจริงเสมอ

พระองค์อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์อัมบิยา ไว้อีกเช่นกันว่า

حَتَّى إِذَا فُتِحَتْ يَأْجُوجُ وَمَأْجُوجُ وَهُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ

[21:96]จนกระทั่งเมื่อ ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ ถูกปล่อยออกมา และพวกเขาจะกระจายลงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง

ในตัฟซีรกุมมีย์ อรรถาธิบายไว้ว่า

فقال ذو القرنين: هذا رَحْمَةٌ مِنْ رَبِّي فَإِذا جاءَ وَعْدُ رَبِّي جَعَلَهُ دَكَّاءَ- وَ كانَ وَعْدُ رَبِّي حَقًّا قال إذا كان قبل يوم القيامة في آخر الزمان انهدم ذلك السد- و خرج يأجوج و مأجوج إلى الدنيا- و أكلوا الناس و هو قوله: «حَتَّى إِذا فُتِحَتْ يَأْجُوجُ وَ مَأْجُوجُ وَ هُمْ مِنْ كُلِّ حَدَبٍ يَنْسِلُونَ‌

ซูลก็อรนัยน์ กล่าวว่า “นี่คือความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าของฉัน ดังนั้น เมื่อสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าของฉันมาถึง พระองค์จะทรงทำให้มันพังทลาย และสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าของฉันนั้นเป็นจริงเสมอ” (ท่านอิมามศ่อดิก อ.)กล่าวว่า ในยุคสุดท้ายของเวลา ก่อนวันสิ้นโลก กำแพงจะพังทลายลง และยะฮ์ญูจญ์ และ มะฮ์ญูจญ์ ก็จะปรากฎออกมาสู่พื้นโลก และพวกมันจะกลืนกินมนุษย์ นั้นคือ พระดำรัสของอัลลอฮ์ ซ.บ. ที่ว่า “จนกระทั่งเมื่อ ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ ถูกปล่อยออกมา และพวกเขาจะกระจายลงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง” (จากตัฟซีรกุมมีย์ เล่ม 2 หน้า 41)

ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าเรื่องราว ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ เป็นเรื่องจริงที่มีระบุไว้ในคำภีร์อัลกุรอ่าน ซึ่งเป็นกลุ่มชนหนึ่งที่ถูกจองจำโดย ซุลก็อรนัยน์ และเมื่อพันธะสัญญามาถึง พวกเขาจะถูกปล่อยออกมาจากการจองจำนั้น และจะบุกทำลายประชาชนอีกครั้ง และเวลาที่ ยะอ์ญูจญ์และมะอ์ญูจญ์ ก็ช่วงก่อนวันกิยามัต

แต่นักอรรถาธิบายอัลกุรอ่านส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า หมายถึง พวกตาตาร์ หรือชาวมองโกล ซึ่งแผ่อิทธิพลครอบครองไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เอเชียกลาง และอิหร่านตอนเหนือ

จะอย่างไรก็แล้วแต่ ณ จุดนี้สามารถสรุปใจความได้ว่า ยะฮ์ญูจญ์ และมะฮ์ญูจญ์ คือชนกลุ่มหนึ่งที่มีร่างกายกำยำเป็นเผ่าพันธุ์นักรบ ที่มีหัวใจที่โหดเหี้ยม อำมหิตเป็นที่สุด เป็นกลุ่มคนที่กระหายสงคราม ฆ่าผู้บริสุทธิ์เหมือนผักเหมือนปลาโดยไม่รู้สึกผิดเลย จนซุลก็อรนัยน์ ได้ปราบปรามพวกเขา และจองจำไว้ระหว่างหุบเขา

และว่ากันว่า กลุ่มชนที่มีลักษณะเช่น ยะฮ์ญูจญ์ และมะฮ์ญูจญ์ จะปรากฎอีกครั้งหนึ่งในยุคสุดท้าย ก่อนวันสิ้นโลก พวกเขาจะออกมากลืนกินมนุษย์(สังหารผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก) ท่านศาสดาจึงเตือนไว้ หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นให้มนุษย์หาที่หลบซ่อนตัว และขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ ซ.บ.