การสมรสของท่านหญิงฟาฎิมะฮ์กับท่านอิมามอะลี คือ พระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า

การสมรสของท่านหญิงฟาฎิมะฮ์กับท่านอิมามอะลี  คือ พระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า

 

วันที่ 1 ของเดือนซุลฮิจญะฮ์ คือวันสมรสของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์กับท่านอิมามอะลี อ. ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ.  กล่าวว่า : มะลาอิกะฮ์ได้มาหาฉัน แล้วกล่าวว่า โอ้มุฮัมมัด แท้จริงอัลลอฮ์ฝากสลามมายังท่าน และพระองค์ตรัสว่าข้าได้ทำการสมรสฟาฏิมะฮ์ให้กับอะลีในฟากฟ้าเบื้องบนแล้ว ดังนั้นเจ้าจงสมรสเขาทั้งสองบนพื้นภิภพ

 

เมื่อฟาฏิมะฮ์ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และถึงเวลาที่ท่านจะได้ออกเรือนมีสามี ก็ได้มีสาวกของท่านศาสดาเป็นจำนวนมากแวะเวียนมาสู่ขอนาง

و قد كان جماعة من المهاجرين خطبوها إلى رسول الله تاريخ يعقوبي، ج1، ص41
ชาวมุฮาญิรีนจำนวนหนึ่งได้แวะเวียนมาสู่ขอท่านหญิงฟาฎิมะฮ์

 

และในจำนวนบุคคลเหล่านั้น ได้แก่ท่านอบูบักร และและท่านอุมัร บินค็อตฎอบ ท่านศาสดา ศ. ได้ตอบปฏิเสธผู้มาสู่ขอทั้งสองว่า“ฉันเองก็กำลังรอคอยพระบัญชาเกี่ยวกับเรื่องของนางจากอัล วะฮ์ยู อยู่”

حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُحَمَّدٍ الْبَغَوِيُّ، ثنا مُحَمَّدُ بْنُ حُمَيْدٍ الرَّازِيُّ، ثنا أَبُو تُمَيْلَةَ، ثنا حُسَيْنُ بْنُ وَاقِدٍ، عَنِ ابْنِ بُرَيْدَةَ، عَنْ أَبِيهِ، أَنَّ أَبَا بَكْرٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ خَطَبَ إِلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَاطِمَةَ فَقَالَ: انْتَظِرْ بِهَا الْقَضَاءَ ثُمَّ خَطَبَ إِلَيْهِ عُمَرُ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ فَقَالَ: انْتَظِرْ بِهَا الْقَضَاءَ ثُمَّ خَطَبَ إِلَيْهِ عَلِيُّ فَزَوَّجَهَا مِنْهُ
فضائل فاطمة بنت رسول الله صلى الله عليه وسلم ج1 ص47 المؤلف: أبو حفص عمر بن أحمد بن عثمان بن أحمد بن محمد بن أيوب بن أزداذ البغدادي المعروف بـ ابن شاهين المتوفى: 385هـ

ท่านอบูบักรได้มาหาท่านนบี ศ. เพื่อสู่ขอท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ ท่าน ศ. ได้ปฎิเสธโดยกล่าวว่า “ฉันกำลังรอสภาวะการกำหนดจากอัลลอฮ์ในเรื่องนี้อยู่ ต่อมาอุมัร ก็ได้มาสู่ขอนาง ท่านนบี ศ. กล่าวว่า ฉันกำลังรอคำบัญชาเรื่องนี้จากอัลลอฮ์อยู่ !!! หลังจากนั้นท่านอะลี อ. ได้มาสู่ขอฟาฎิมะฺฺฮ์ ท่านศาสดา ศ. จึงทำการสมรสฟาฎิมะฮ์ให้กับอะลี

خواستگاری از حضرت زهرا

เรื่องนี้(การสมรสฟาฎิมะฮ์กับอิมามอะลี)ก่อให้เกิดเสียงกระซิบ กระซากมากมายจนท่านนบีมุฮัมมัด ศ. ได้ขึ้นบนแท่นเทศนาแล้วประกาศว่า”การสมรส ระหว่างท่านหญิงฟาฎิมะฮ์กับท่านอิมามอะลี อ. คือวะฮ์ยู คำบัญชาที่มาจากอัลลอฮ์ ซ.บ. ท่านนบี ศ. กล่าวว่า

ما أنا زوجته و لكن الله زوجه

ฉันไม่ได้เป็นคนจัดการสมรสระหว่างฟาฎิมะฮ์กับอะลี แต่อัลลอฮ์เป็นผู้จัดการสมรสระหว่างคนทั้งสอง

ازدواج حضرت زهرا

มีบันทึกไว้อีกมากมายเกียวกับการสมรสระหว่างท่านหญิงฟาฎิมะฮ์กับท่านอิมามอะลี อ. ว่า เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดจากเบื้องบน เช่น

    ญิบรออีลได้ลงมาบอกข่าวแก่ท่านว่า อัลลอฮ์ทรงจัดการสมรสให้นางกับอะลีแล้ว ด้วยเหตุนี้ เมื่ออะลีได้เดินเข้ามาหา ทั้งๆที่มีความละอายเพื่อจะมาสู่ขอท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อ. ท่านศาสดา ศ. จึงเข้าไปถามท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เพื่อขอทราบความเห็นของนาง โดยกล่าวกับนางว่า “โอ้ฟาฏิมะฮ์ แท้จริงอะลี อิบนิ อบีฏอลิบ ซึ่งเธอก็รู้จักเขาดีในฐานะเครือญาติ อีกทั้งในความเป็นผู้มีเกียรติ และการนับถืออิสลามของเขา แท้จริงพ่อได้วิงวอนขอต่อพระผู้อภิบาลว่า ให้พระองค์จัดการสมรสเธอกับผู้ที่ดีที่สุดสักคนหนึ่ง ที่มีความรักในพระองค์มากกว่าผู้คนทั้งหลาย บัดนี้อาลีได้สู่ขอเธอแล้ว เธอจะมีความคิดเห็นอย่างไร? ฟาฏิมะฮ์นิ่งเงียบ ก้มหน้ามองพื้นด้วยความอาย ท่านศาสดา ศ. จึงกล่าวว่า “อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรการนิ่งเงียบของนางย่อมหมายถึงความพึงพอใจของนางนั่นเอง”

 

    อิมามซอดิก อ. กล่าวว่า หากว่าอัลลอฮ์ ซ.บ. มิได้สร้างอะลีก็จะไม่มีใครคู่ควรกับฟาฏิมะฮ์บนพื้นพิภพเลยตั้งแต่อาดัมจนยุคสุดท้าย (บิฮารุลอันวาร เล่ม 43 หน้า 170 )

 

    ท่านนบี ศ. กล่าวว่า มะลาอิกะฮ์ได้มาหาฉัน แล้วกล่าวว่า โอ้มุฮัมมัด แท้จริงอัลลอฮ์ฝากสลามมายังท่าน และพระองค์ตรัสว่าข้าได้ทำการสมรสฟาฏิมะฮ์ให้กับอาลีในฟากฟ้าเบื้องบนแล้ว ดังนั้นเจ้าจงมรสเขาทั้งสองบนพื้นภิภพ (อิห์กอกุลฮัก เล่ม 6 หน้า 616  )

 

มะฮัร (สินสอด)

ข้อกำหนดของการสมรสประการหนึ่ง คือ มะฮัร(สินสอด) ซึ่งเป็นการตกลงระหว่างคู่บ่าวสาว และเป็นข้อบังคับสำหรับสามีที่จะต้องจ่ายจนกว่าจะครบตามข้อกำหนด ปัจจุบันมีการเรียกมะฮัรสูงมากจนเกินไปแล้วว่านั้นเป็นข้อบังคับทางศาสนา แต่ที่จริงมะฮัรคือสิ่งอะไรก็ได้ ที่มีคุณค่าต่อผู้ถือครองแต่จะต้องไม่เป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า และถือว่าอิสลามห้ามการเรียกร้องมะฮัรที่สูงเกินไป ดังที่ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ.  ได้กล่าวว่า “ สตรีที่ประเสรฐที่สุดในประชาชาติของฉันคือผู้ที่เลอโฉมแต่มีมะฮัรที่น้อยนิด ”

ท่านศาสดา ศ.  เป็นครอบครัวตัวอย่างของประชาชาติ ท่านต้องการทำให้เป็นแบบอย่างว่ามะฮัรที่มากนักไม่เป็นสิ่งเหมาะสมกับประชาติโดยทำการสมรสบุตรีของท่านกับอาลี ด้วยมะฮัรที่พอเหมาะ ท่านศาสดา ศ.  ได้ออกมาหาอาลีพร้อมกับยิ้มและกล่าวว่า “โอ้อาลีท่านีสิ่งใดบ้างไหม ฉนจะทำการสมรสให้เจ้า” อาลีตอบว่า “ฉันมีเพียงดาบหนึ่งเล่ม เสื้อเกราะหนึ่งตัว และอูฐหนึ่งตัว” ท่านศาสดา ศ.  จึงกล่าวว่า ฉนไม่ต้องการสรางความลำบากให้กับท่าน เสื้อเกราะอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว” เสื้อเกราะของท่านอิมามอะลี อ. ได้ขายไปในราคาเท่าไหร่นั้นมมีข้อขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ แต่อบนุ ชะฮ์ออชูบ ได้รายงานฮะดษหลายบทเกี่ยวกบมะฮัรของท่านหญิงฟาติมะฮ์รายงานบทหนึ่งได้กล่าวว่า แท้จริงมะฮัรนั้นคือห้าร้อยดิรฮัม และกล่าวอีกว่ารายงานนี้ถูกต้องที่สุด (หนังสือมะนากิบ เล่ม 3 หน้า 351  )

พิธีสมรส

ท่านศาสดา ศ.  ได้จับมือท่านอิมามอะลี อ. แล้วกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ และจงกล่าวเถิดว่า โดยบารมีแห่งอัลลอฮ์โดยประสงค์ของอัลลอฮ์ ไม่มีพลังอำนาจใดๆนอกจากโดยการอนุมัติของอัลลอฮ์ ข้าขอมอบกายถวายตนแด่อัลลอฮ์” หลังจากนั้นท่านก็ได้นำอิมามอะลี อ. เข้าไปนั่งเคียงข้างกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ แล้วกล่าวว่า

اللهم هذه ابنتي وأحب الخلق إلي، اللهم وهذا أخي وأحب الخلق إلي، اللهم اجعله لك وليا و

“โอ้พระเจ้า นี้คือบุตรีของข้า และนี้คือพี่น้องของข้า เขาทั้งสองเป็นบุคคลที่ข้ารักยิ่งที่สุดในหมู่สิ่งถูกสร้างทั้งหลาย โปรดทำให้เขา(อะลี)เป็น “วะลี” และโปรดบันดาลให้รากฐานแห่งความรักของบุคคลทั้งสองเป็นสิ่งมั่นคงด้วยเถิด และโปรดประทานและความจำเริญให้แก่เชื้อสายวงศ์วานของเขาทั้งสอง และทรงบันดาลให้เขาทั้งสองได้รับการปกป้องจากพระองค์ด้วยเถิด แท้จริง ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองให้เขาทั้งสองและเชื้อสายของเขาทั้งสองรอดพ้นจากมารร้ายที่ถูกสาปแช่ง” หลังจากนั้น ท่านก็ได้จูบทั้งสองเพื่อแสดงความยินดี แล้วกล่าวว่า “โอ้อาลี ภรรยาที่ประเสริฐที่สุดนั้น คือภรรยาของเจ้า” และได้กล่าวแก่ฟาฏิมะฮ์ว่า “โอ้ฟาฏิมะฮ์ สามีที่ประเสริฐสุดนั้น ได้แก่สามีของเจ้า”  ท่ามกลางความยินดีของบรรดาสตรีชาวมุฮาญิรีน ชาวอันศอร และตระกูลบนีฮาชิม ครอบครัวตัวอย่างอันบริสุทธิ์ก็ได้เกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสาตร์จนเป็นแหล่งกำเนิด “อะห์ลุลบัยต์” ซึ่งอัลลอฮ์ทรงประสงค์ที่จะขจัดมลทินให้พ้นจากพวกเขา และทรงชำระขัดเกลาพวกเขาให้สะอาดบริสุทธิ์

พิธีสมรสอันเรียบง่าย ตามหลักการอันสูงส่งของอิสลามก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์ ทั้งๆที่อาลีไม่มีทรัพย์สินอื่นใดๆ อยู่ในครอบครองเลย นอกจากดาบและเสื้อเกราะเพียงตัวเดียว เขาต้องการที่จะขายดาบแต่ท่านศาสดาได้ห้ามไว้ เพราะอิสลามอยู่ในภาวะที่จำเป็นต้องอาศัยดาบของอาลี แต่ท่านตกลงให้เขาขายเสื้อเกราะ ดังนั้นท่านอิมามอะลี อ. จึงนำไปขายแล้วเอาเงินจำนวนนั้นมามอบให้แก่ท่านศาสดา ศ.

ท่านศาสดา ศ.  ได้สั่งให้ซื้อสิ่งของที่ดีแต่เรียบง่าย มาใช้ตามความจำเป็นของครอบครัวใหม่ เรือนหอของอาลีก็นับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกปลูกสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆโดยได้สร้างห้องขึ้นหนึ่งห้อง เชื่อมติดกับผนังของมัสยิดนบี ศ.  อัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้น ที่ทรงรู้ซึ้งถึงระดับของความรักที่ผูกพันในหัวใจของผู้บริสุทธิ์ทั้งสอง นั่นคือหัวใจของอิมามอะลี อ. กับหัวใจของฟาฏิมะฮ์ อ. ทั้งนี้ก็เพราะความรักของคนทั้งสองมีเพื่ออัลลอฮ์และอยู่ในหนทางของอัลลอฮ์ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์นั้นมีความตระหนักดีถึงงานเสียสละและการต่อสู้ของอาลีที่มีเพื่ออิสลาม และคำสอนของบิดาผู้ยิ่งใหญ่ของท่านเอง

ฟาติมะฮ์คือภรรยาที่ดีเลิศของสามี

อะลี อิบนิ อบีฏอลิบ อ. ได้ทำหน้าที่ต่อสู้มาตั้งแต่ก้าวแรกของอิสลาม เขาทำหน้าที่ถือธงรบของอิสลามในทุกสมรภูมิ และทุกสงครามที่มุสลิมต้องเข้าไปต่อสู้ และแทบจะไม่เคยอยู่ห่างท่านศาสดาเลยแม้สักครั้งเดียว

ฉะนั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อ. จึงพยายามอย่างที่สุดในการปรนนิบัติสามี และแบ่งเบาภาระอันหนักหน่วงของเขา และเป็นภรรยาที่เชื่อฟังต่อสามีอย่างดีที่สุด ท่านได้ทำหน้าที่แม่บ้านอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเมื่อสามีของท่านกลับมาก็ได้พบกับบรรยากาศที่น่าอยู่ ให้ความสงบแก่จิตใจและความสันติสุข ฟาฏิมะฮ์เป็นพฤกษชาติที่ดีที่สุด ซึ่งหยั่งรากลึกอย่างมั่นคง และชูกิ่งก้านสูงเสียดฟ้า เพราะนางเจริญเติบโตมาท่ามกลางคำสอนของอัลกุรอาน และได้รับการเลี้ยงดูมาตามคำสอนของรอซูล ศ.  ชีวิตการครองเรือนทั้งสองได้หล่อหลอมให้สองชีวิตเป็นหุ้นส่วนของกันและกันจนกลายเป็นชีวิตเดียวกัน ชีวิตครอบครัวที่ประกอบด้วยความเกื้อกูลความรักใคร่และการให้เกียรติ การดำเนินชีวิตของอาลีและฟาฏิมะฮ์ อ. เป็นตัวอย่างของชีวิตในการครองเรือนที่มีเกียติ อาลีจะช่วยเหลือฟาฏิมะฮ์ทำงานบ้านเสมอ ในขณะที่ฟาฏิมะฮ์ก็พยายามที่สร้างความพึงพอใจและทำให้จิตใจของเขามีความสุข

การพูดคุยกันระหว่างคนทั้งสองเป็นจรรยาและความเคารพต่อกันอย่างที่สุด ท่านอิมามอาลีจะเรียกท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ว่า “โอ้บุตรสาวของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์” ส่วนท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ก็จะเรียกอิมามอาลีว่า “อะมีรุลมุอ์มินีน” ทั้งสองเป็นบิดามารดาตัวอย่างในการให้ความรักแก่ลูกๆของตัวเอง

การเป็นแม่ศรีเรือนของท่านหญิงฟาติมะฮ์

ฟาติมะฮ์ได้ออกจากบ้านแห่งนะบูวะฮ์ก้าวเข้าสู่บ้านแห่งอิมามัต ทำให้นางมีหน้าที่รับผิดชอบอันหนักอึ้ง นางได้กระทำเป็นแบบอย่างของสตรีผู้ศรัทธาทั้งมวลในเรื่องการเป็นแม่ศรีเรือนและการเลี้ยงดูและอบรมบุตร

ตลอดช่วงชีวิตคู่ท่านหญิงได้กระทำทุกวิถึทางให้สามีของนางพึงพอใจจนกระทั่งอิมามอะลี อ. ได้กล่าวถึงสภาพครอบครัวของท่านกับสหายคนหนึ่งว่า “ปรารถนาไหมที่ฉันจะบอกถึงเรื่องราวของฉันกับฟาติมะฮ์” ฟาติมะฮ์นั้นหาบน้ำในบ้านจนกระทั่งร่องรอยนั้นปรากฏบนเรืองร่างของนาง มือของนางนั้นหยาบกร้านจากการโม่แป้ง ทำความสะอาดบบ้านทำขนมปังและอาหารจนเสื้อผ้าของนางนั้นเปรอเปื้อน งานหนักมากสำหรับนาง ฉันจึงได้กล่าวกับนางว่าถ้าอย่างนั้นให้เธอไปหาท่านรอซูล กล่าวให้ท่านทราบ เพื่อท่านจะได้ให้คนรับใช้กับเธอเพื่อช่วยแบ่งเบางานในบ้าน

ท่านหญิงมาหาท่านรอซูลเห็นว่าท่านกำลังคุยกับบรรดาศอฮาบะฮ์อยู่ ท่านเกิดความละอายและกลับมาโดยไม่พูดอะไร ท่านรอซูลรู้สึกว่าฟาติมะฮ์มีความประสงค์ที่จะพูดคุยกับท่าน ท่านจึงได้มาหานางที่บ้าน แล้วได้กล่าวว่า โอ้ฟาติมะฮ์เจ้าประสงค์สิ่งใดที่มาหาพ่อ ฟาติมะฮ์อายที่จะกล่าวถึงสิ่งที่นางประสงค์ แต่ฉันก็กล่าวว่า “โอ้รอซูลฟาติมะฮ์หาบน้ำจนกระทั่งบ่าของนางฟกช้ำ โม่แป้งจนมือหยาบกร้าน ทำความสะอาดบ้านจนเสื้อผ้าเปรอะเปื้อน ฉันจึงกล่าวว่าให้เธอไปหาท่านเพื่อบางทีจะหาคนรับใช้ให้กับเธอ

ท่านศาสดา ศ.  ได้กล่าวว่า “เอาใหมฉันจะสอนให้เธอทั้งสองได้รู้ถึงสิ่งที่ดีกว่าการมีคนรับใช้” ต่อจากนั้นท่านนบีจึงสอน “ตัสบิฮ์”ให้กับท่านหญิงจนกลายเป็นที่มาของ “ตัสบิฮ์อุซซะรอฮ์” จนถึงทุกวันนี้

ฟาติมะฮ์ไม่เคยกระทำการใดที่ขัดแย้งหรือฝ่าฝืนจนเป็นเหตุให้สามีต้องโกรธดังที่อาลีได้กล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์หลังจากที่ได้แต่งงานกับฟาติมะฮ์จนกระทั่งนางสิ้นใจฉันไม่เคยทำสิ่งใดให้นางโกรธและฟาติมะฮ์ก็ไม่เคยทำให้ฉันโกรธเช่นกันและนางไม่เคยฝ่าฝืนความต้องการของฉัน เมื่อใดก็ตามที่ฉันกลับมาถึงบ้านฉันก็จะมองนางความทุกข์ระทมก็จะหายไป ”

 

ผลิตผลแห่งความรัก

ในปีที่สามของฮิจเราะฮ์ศักราช ฟาติมะฮ์ก็ได้กำเนิดบุตรชายคนแรกของท่าน ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ.  ตั้งชื่อให้เขาว่า “ฮะซัน” ต่อจากนั้นอีกหนึ่งปี “ฮุเซน” ก็ได้กำเนิดอีกคนหนึ่งอัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้เชื้อสายของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ.  ถือกำเนิดมาจากฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รออ์บุตรสาวของท่านคนเดียวอันเป็นเชื้อสายที่เป็นของกันและกัน และอัลลอฮ์ทรงได้ยินทรงรอบรู้ยิ่ง ท่านศาสนทูตจะอุ้มหลานสองคนของท่านเสมอและเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูคนทั้งสองอย่างยิ่ง ท่านเคยกล่าวว่า “เขาทั้งสองเป็นกลิ่นหอมที่สุดสำหรับท่านในโลกนี้ ท่านจะอุ้มหลานทั้งสองออกไปพร้อมกับท่านหรือให้นั่งในตักอันอบอุ่นของท่านเสมอ”

วันหนึ่ง ท่านศาสดาได้ไปเยี่ยมบ้านของฟาฏิมะฮ์ ตรงกับช่วงที่ฮาซันร้องไห้ด้วยความหิวอยู่พอดี ในขณะนั้นฟาฏิมะฮ์กำลังนอนหลับอยู่ท่านจึงจัดการนำภาชนะมาใส่นมและป้อนด้วยมือของท่านเอง ท่านได้เดินผ่านหน้าบ้านของฟาฏิมะฮ์อีกในวันหนึ่ง แล้วได้ยินเสียงร้องไห้ของฮูเซน ท่านได้กล่าวด้วยความสะเทือนใจว่า “พวกเธอไม่รู้ดอกหรือว่า เสียงร้องไห้ของเขาทำให้ฉันเจ็บปวดยิ่งนัก”

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี “ซัยหนับ” ก็ได้ถือกำเนิดมาในโลก ต่อจากนั้น “อุมมุกุลซูม” ก็ถือกำเนิดตามมาอีกคนหนึ่ง บางทีท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์อาจจะนึกถึงบุตรสาวสองคนของท่านที่ชื่อซัยนับ และอุมมุกุลซูมก็ได้ จึงตั้งชื่อหลานสาวสองคนด้วยชื่อของทั้งสอง
แบ่งปัน

บทความโดย เชคอันศอร เหล็มปาน