เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม

มุบาฮะละฮ์ ตอนที่ 4

0 ทัศนะต่างๆ 00.0 / 5

มุบาฮะละฮ์ ตอนที่ 4

 

ประวัติศาสตร์เรื่องมุบาฮะละฮ์ ตอน 4
เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 เดือน ซุลฮิจญะฮ์  ฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 9
มุบาฮะละฮ์เป็นเรื่องจริงเป็นความภาคภูมิใจของประชาชาติมุสลิม
#เรื่องเริ่มจากท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้ส่งสารไปยังกษัตริย์และผู้ปกครองในดินแดนต่างๆเพื่อเชิญชวนสู่อิสลาม
สารฉบับหนึ่งส่งมาที่เมืองนัจญ์รอน ประเทศซาอุดิอารเบีย เป็นที่อยู่อาศัยของชาวนะซอรอและยะฮูดี(คริสต์และยิว)
อะบูฮาริษะฮ์(ดำรงตำแหน่งอุสกุฟคือพระสังฆนายก)แห่งเมืองนัจญ์รอนได้รับสารจากท่านศาสดา
อุสกุฟได้อ่านเนื้อหาอย่างละเอียดจากนั้นสั่งประชุมทันที มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้นำศาสนา,นักการเมืองและผู้สูงศักดิ์
มติในที่ประชุมมีว่า ให้ส่งคณะทูตไปที่เมืองมะดีนะฮ์ เพื่อตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับการเป็นศาสดาของมุฮัมมัด(ศ)
ที่ประชุมได้คัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิได้ 60 คนเพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้ โดยมี 3 บุคคลต่อไปนี้เป็นหัวหน้าคณะคือ  
1- สังฆราชอุสกุฟ (ชื่ออะบูฮาริษะฮ์)  
2-อัลอากิ๊บ(อับดุลมะซีห์) กุนซือเจ้าความคิด  
3-อัลอัยฮัม ผู้อาวุโสทั้งอายุและสมณศักดิ์
คณะทูตคริสเตียนเดินทางจากนัจญ์รอนมาถึงนครมะดีนะฮ์ ได้เข้าพบท่านนบีมุฮัมมัดที่มัสญิดมะดีนะฮ์(ขณะนั้นท่านนบีพึ่งนมาซอัศริเสร็จ)  
ชาวคริสต์ทุกคนสวมชุดนักบุญ ทอจากผ้าไหม(ดีบาจญ์และหะรีร)สวมแหวนทอง แบกไม้กางเขนไว้ที่บ่างดงามตระการตา
พวกเขาให้สลามท่านนบี
ท่านนบีได้ตอบรับสลามและให้การต้อนรับพวกเขาอย่างสมเกียรติ พร้อมกับรับฮะดียะฮ์(ของกำนัล)ที่พวกเขานำมามอบให้
พอดีเวลาอัศริ(ราวๆสามโมงเย็น)เป็นเวลาสวดมนต์ของชาวคริสต์ ชาวคริสต์จึงขออนุญาตท่านนบีสวดมนต์ในมัสญิด
บรรดาซอฮาบะฮ์ต้องการขัดขวาง  แต่ท่านนบีอนุญาตให้พวกเขาสวดได้
ท่านนบี(ศ)บอกกับบรรดาสาวกว่า ปล่อยให้พวกเขาทำเถิด  หลังจากสวดมนต์เสร็จพวกเขาได้หันมาสนทนากับท่านนบี(ศ)
ท่านนบีได้กล่าวกับสังฆราชและท่านอากิ๊บว่า
จงเข้ารับอิสลามเถิด  
ทั้งสองตอบว่า  เรารับอิสลามก่อนท่านนานแล้ว
ท่านนบีกล่าวว่า  มีบางสิ่งที่ขัดขวางท่านทั้งสองมิให้เข้ารับอิสลาม  
พวกท่านอ้างว่าพระเจ้ามีบุตร  
พวกท่านกราบไหว้ไม้กางเขน  และทานเนื้อสุกร
เขาทั้งสองตอบว่า หากพระเยซูไม่ใช่บุตรของพระเจ้า แล้วใครเป็นบิดาของเขาล่ะ
#อีกรายงานหนึ่งเล่าว่า
ชาวคริสต์ทั้งสองได้ถามท่านนบี(ศ)ว่า
ท่านจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับอีซา(พระเยซู)  ท่านนบีเงียบไม่ตอบสิ่งใด จนอัลกุรอานได้ประทานลงมาว่า
إِنَّ مَثَلَ عِيسَى عِنْدَ اللَّهِ كَمَثَلِ آدَمَ خَلَقَهُ مِنْ تُرَابٍ ثُمَّ قَالَ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ
แท้จริงอุปมาเรื่องอีซาณ.อัลลอฮ์ เปรียบดั่งอาดัม  พระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน แล้วทรงตรัสกับเขาว่า  จงเป็นแล้วเขาก็เป็นขึ้นมา
เมื่ออัลลอฮ์ตะอาลา ทรงสร้างอาดัมมาจากดินโดยไม่มีบิดามารดา แล้วทรงสร้างอีซามาจากมารดาฝ่ายเดียวโดยไม่มีบิดา
ย่อมถือว่ามหัศจรรย์น้อยกว่าเรื่องของอาดัมอีก  
การสนทนายังดำเนินต่อไปจนคณะทูตแห่งนัจญ์รอนกล่าวกับท่านนบี(ศ)ว่า
เราไม่เห็นได้อะไรเพิ่มจากท่านเลยในเรื่องของผู้ที่เรานับถือ  
นอกจากแค่ความแตกต่างระหว่างพระเยซูกับอาดัมด้านมีแม่กับไม่มีพ่อแม่เท่านั้น   เราจึงไม่ขอยอมรับข้อพิสูจน์ที่ท่านยกมา
#อัลลอฮ์ตะอาลาจึงทรงประทานโองการที่ 61 ซูเราะฮ์อาลิ   อิมรอนลงมา
ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)จึงท้าฝ่ายนะซอรอ(ชาวคริสต์)ให้มาทำมุบาฮะละฮ์กัน
ฝ่ายนะซอรอขอพลัดไปวันพรุ่งนี้ ตอนเช้าจนถึงดวงอาทิตย์ขึ้น นี่คือที่มาของ(โองการ มุบาฮะละฮ์ )
#มีบางรายงานเล่าว่า  
สังฆราชอุสกุฟถามท่านนะบี(ศ)ว่า  ท่านจะว่าอย่างเกี่ยวกับพระเยซู ท่านนะบีตอบว่า เขาเป็นบ่าวคนหนึ่งของอัลลอฮ์ พระองค์ทรงคัดเลือกเขามาเป็นศาสดา  
สังฆราชอุสกุฟกล่าวว่า  อีซามีบิดาหรือไม่  ท่านนะบีตอบว่า  มารดาเขาไม่เคยสมรสกับใครแล้วจะมีบิดาได้อย่างไร อุสกุฟกล่าวว่า  แล้วท่านมาบอกว่า เขาเป็นบ่าวคนหนึ่งได้อย่างไร  ท่านเคยเห็นมนุษย์คนไหนที่เกิดมาโดยไม่มีบิดาบ้างไหม อัลลอฮ์ตะอาลาจึงทรงประทานโองการลงมาว่า
#แท้จริงอุปมาของอีซานั้น ดังอุปมัยของอาดัม พระองค์ทรงบังเกิดเขาจากดิน และได้ทรงประกาศิตแก่เขาว่า จงเป็นขึ้นเถิด แล้วเขาก็เป็นขึ้น  ความจริงนั้นมาจากพระผู้อภิบาลของเจ้า ดังนั้นจงอย่าเป็นหนึ่งในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้า(มุฮัมมัด)ในเรื่องของอีซา(ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ท่านทั้งหลาย(ชาวคริสต์)จงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านและตัวของเรา และตัวของพวกท่าน    และเราจะมาวิงวอน (ต่อพระเจ้า)กัน ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้อัลลอฮ์ทรงลงโทษทัณฑ์แก่บรรดาผู้โกหก
(อาลิอิมรอน : 59 – 61)
#ท่านนบีได้อ่านโองการดังกล่าวให้ชาวคริสต์ฟัง #และท้าพวกเขาให้มาทำมุบาฮะละฮ์กัน
ท่านนบีกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งแก่ฉันว่า อะซาบโทษทัณฑ์จะลงมายังผู้อยู่กับความเท็จหลังการทำมุบาฮะละฮ์ เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกและฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด
ชาวคริสต์ได้ขอเลื่อนเวลาการทำมุบาฮะละฮ์ไปวันพรุ่งนี้ จากนั้นพวกเขาได้กลับไปปรึกษาหารือกัน   
#สังฆราชกล่าวกับพวกเขาว่า
จงสังเกตุดูว่าพรุ่งนี้  หากมุฮัมมัด(ศ)พาลูกและครอบครัวของเขาออกมาสาบาญ  พวกเจ้าจงอย่ามุบาฮะละฮ์กับเขา  
#รุ่งเช้านบีมุฮัมมัด(ศ)จูงมือท่านอาลีมา มีฮาซันและฮูเซนเดินอยู่ข้างหน้า ส่วนท่านหญิงฟาติมะฮ์บุตรสาวเดินอยู่ข้างหลัง  
สังฆราชเดินนำหน้าคณะมา พอเห็นท่านนบีเดินตรงมาหา  เขาจึงถามว่า  
#ท่านพาใครมามุบาฮะละฮ์  
#ท่านนบีตอบว่า  นี่อาลี ลูกของลุงฉันและเป็นบุตรเขยของฉัน  เขาเป็นบิดาของหลานชายทั้งสองของฉัน เขาคือคนที่ฉันรักมากที่สุด  
เด็กสองคนนี้เป็นบุตรของลูกสาวฉันที่เกิดจากอาลีทั้งสองเป็นที่รักยิ่งของฉัน  
ส่วนสตรีคนนี้ชื่อฟาติมะฮ์ นางเป็นสตรีที่มีเกียรติมากที่สุดและเป็นญาติที่สนิทที่สุดของฉัน  
สังฆราชหันมามองอากิบและอับดุลมะซีห์ พลางกล่าวกับพวกเขาว่า
#จงดูเถิดมุฮัมมัดพาบุตรกับครอบครัวของเขาออกมามุบาฮะละฮ์กับพวกเราเพื่อปกป้องสัจธรรมของเขา  
ชาวคริสต์หวั่นเกรงว่า จะเกิดเพทภัยกับพวกเขาและไม่กล้าทำมุบาฮะละฮ์ด้วย แต่ขอประนีประนอมกับฝ่ายมุสลิมโดยยอมจ่ายญิซยะฮ์(เครื่องราชบรรณาการ)แทน
ท่านนบียอมรับข้อเสนอของฝ่ายคริสต์คือยอมรับญิซยะฮ์แทนจากนั้นชาวคริสต์จึงได้ลากลับไป

กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วย

ความคิดเห็นของผู้ใช้งานทั้งหลาย

ไม่่มีความคิดเห็น
*
*

เว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลาม