น้ำตาในเรื่องเล่าคือสัญลักษณ์ อุดมการณ์คือพลังที่ขับเคลื่อนสังคม
- จัดพิมพ์ใน
-
- ผู้เขียน:
- ฮุซัยนียะฮ์ซัยยิดุชชะฮะดาอ์
น้ำตาในเรื่องเล่าคือสัญลักษณ์ อุดมการณ์คือพลังที่ขับเคลื่อนสังคม
หลากหลายบทบรรยาย บทรำพัน ไปจนถึงบนกวีนิพนธ์ เหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงเรื่องราวและวิถีชีวิตบนหน้าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ที่ดำเนินเรื่องราวร้อยเรียงผูกพันกับเรามาอย่างช้านาน ดังเช่น บทกวีที่เป็นของมุห์ตะชัม กาชานี (ค.ศ.1500-1588) ชาวอิหร่านซึ่งเป็นที่รู้จักมากว่า 400 ปี เป็นบทกวีที่ได้สะท้อนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันอาชูรอ ความหมายของบทกวีนี้ได้บอกเล่าเหตุการณ์ที่มีความโกลาหลที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการถูกกระทำของตัวแทนบนโลกนี้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนหน้าประวัติศาสตร์ และเป็นเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าอาดูร ความสูญเสียอย่างหาที่สุดมิได้
เมื่อโลกนี้มีความแตกต่างหลากหลาย มีชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป ในทุกชนชาตินั้นๆ จึงล้วนมีจุดยืนและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันตามไปด้วย การแสดงออกและการปลูกฝังอุดมการณ์มักจะมาในรูปแบบที่แตกต่างก้นออกไป ยกตัวอย่างเช่น ในแต่ละชาติจะมีเพลงชาติ ที่มีการเล่าเรื่องราวความเป็นมาและมีความหมายที่แฝงอยู่ ซึ่งถือเป็นการสร้างอารมณ์ความรู้สึกร่วม ความเป็นหนึ่งเดียวของประชาชาติ เช่นเดียวกับอุดมการณ์ในศาสนาอิสลามที่สะท้อนความเป็นหนึ่งเดียวด้วยกับการอาซาน เสียงอาซานเป็นการบ่งบอกตัวตนความเป็นประชาชาติมุสลิมได้เป็นอย่างดี มีการบอกเล่าเรื่องราว อุดมการณ์ความเชื่อความศรัทธา ความเป็นหนึ่งเดียวอยู่ในนั้นทั้งหมด "ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์ นบีคือศาสนาฑูตแห่งอัลลอฮ์ " นั่นคือการประกาศคำมั่นสัญญา คือปฏิญญา คือสาส์นแห่งเตาฮีด เอกานุภาพ เป็นสาส์นแห่งการเรียกร้องเชิญชวนไปสู่การเป็นประชาชาติอิสลาม เสียงอาซานจึงเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะมีการตอกย้ำทุกวัน ในทุกช่วงเวลา 5 เวลา ไม่ว่าจะไปที่ใดเราก็จะได้ยินเสียงอาซานเช่นเดียวกันนี้เหมือนกันทุกที่บนโลก
เช่นเดียวกับเมื่อเดือนมุรฮัรรอมได้มาเยือนอีกครั้ง ปฏิญญาในการให้คำมั่นสัญญาในการดำรงชีวิตอยู่ โดยปฏิบัติตนตามแบบอย่างลูกหลานของท่านศาสดา ที่อยู่บนพื้นฐานของการรักษาสาส์นอันบริสุทธิ์ การรำลึกถึงอิมามจึงเป็นปฏิญญาที่ยิ่งใหญ่ของบรรดามุสลิมชีอะฮ์ทั่วโลก ไม่ว่าช่วงเวลาอื่นการปฏิบัติตนของแต่ละบุคคลจะเป็นเช่นไร แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนมุรฮัรรอม บรรดาชีอะอ์ทุกคน ในทุกพื้นที่บนโลกล้วนพร้อมใจกันร่วมในงานรำลึกถึงอิมามฮุเซน(อ.) อย่างพร้อมเพรียง ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างไม่สามารถใช้สติปัญญาในการทำความเข้าใจได้ บางเรื่องต้องใช้หัวใจเข้าไปสัมผัส เช่น การที่ผู้คนที่มีความเชื่อความศรัทธาที่แตกต่างจากเรา มีการตั้งคำถามต่อการตบอก การร่ำไห้ การแต่งดำ การแสดงออกถึงการรำลึกในทุกด้าน ว่าเหตุใดจึงต้องทำ? ซึ่งในบางครั้งก็ไม่สามารถพิสูจน์และอธิบายได้ด้วยกับเหตุผล แต่หากว่าเขาและเธอเหล่านั้นได้รู้จัก เข้ามาสัมผัสและซึมซับกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับอิมามฮุเซน(อ.)และผู้ติดตามแล้วจึงจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นการอรรถาธิบายต้องมีวิสัยทัศน์และมองเหตุการณ์ด้วยความรอบด้าน มองด้วยบริบทโดยรวม การมองเพียงผิวเผินนอกจากจะไม่สามารถเข้าถึงสาส์นที่อิมามฮุเซน(อ.) ต้องการจะสื่อแล้ว ยังไม่สามารถต่อยอดองค์ความรู้สร้างความเข้าใจให้ขยายวงกว้างออกไปสู่โลกภายนอก สู่ความเป็นสากลได้อีกด้วย
" แท้จริงเดือนมุรฮัรรอมนั้น ชาวอาหรับก่อนหน้า ยังถือปฏิบัติกันว่าเป็นเดือนศักดิ์สิทธิ์ต้องห้ามในการทำสงคราม แต่เลือดของเรา(ลูกหลานศาสดา)กลับถูกทำให้ฮาลาลในเดือนนี้ ซึ่งเป็นเดือนที่เกียรติยศของเราได้ถูกเหยียบย่ำในแผ่นดินกัรบาลา "
ขอขอบคุณ ฮุซัยนียะฮ์ซัยยิดุชชะฮะดาอ์